ส่วนการเจรจาที่ภูเขายาดั้งในกลางวันนั้น ทัศนคติของหวังเบียว เด็ดขาดมากก่อนการเจรจา ทั้งฝางเทียนสวีและฉีหลินชักชวนเขาไม่ให้พูดถึงเป่ยหมิงอ๋องต่อหน้าวิกเตอร์ อย่างไรก็ตาม หวังเบียวคิดว่าพวกเขาเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเป่ยหมิงอ๋อง และจะเข้าข้างเป่ยหมิงอ๋องอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาตอบตกลงในชั่วคราว แต่ในใจกลับมีแผนอื่นในการเจรจาครั้งก่อน เขาเคยต่อรองโดยบอกว่าเขาจะใช้ทองคำหรืออาหาร เสื้อผ้า หรือผ้าชั้นดีอื่นๆ เพื่อแลกกับชีซื่อ แต่วิกเตอร์ปฏิเสธทั้งนั้น ดังนั้นการเจรจาจึงถ่วงเวลานานแต่คราวนี้ หวังเบียวหมดความอดทนจริงๆ เพื่อชีซื่อเขายอมอ่อนข้อให้มากมายแล้ว จากห้าพันตำลึงเป็นหนึ่งหมื่นตำลึง ข้าว สามพันหาบ และเส้นไหมสองพันผืน ในของพวกนี้แลกกับตัวประกันคนหนึ่ง พวกเขายังไม่ยอม ถือว่าโลภมากทีเดียวอยากได้เมืองซีม่อนมันเป็นไปไม่ได้ เมื่องซีม่อนถูกยึดคืนจากเงื้อมมือของเป่ยหมิงอ๋อง หากถูกสูญเสียไปจากมือของเขา งั้นเขาจะโดนประชาชนชี้หน้าด่าในช่วงเริ่มต้นของการเจรจาในครั้งนี้ เขาได้เพิ่มข้าวสารเป็นห้าพันหาบ แต่ยังคงถูกวิกเตอร์ปฏิเสธเขาโกรธมากจึงทุบโต๊ะ "ข้าว่าพวกเจ้าไม่ได้คิดจะเจรจาจริงๆ ข้าได้
เมื่อหวังเบียวเห็นพวกเขาทั้งสองแสดงท่าทีแปลกๆ ก็เกิดความไม่ชอบมาพากลขึ้นมา เขาเป็นผู้ตัดสินของการเจรจาครั้งนี้ อีกอย่างได้กล่าวไปแล้วว่าไม่จำเป็นต้องเจรจากันอีกต่อไป แต่พวกเขายังหยุดวิกเตอร์ไว้ หรือว่ามีเหตุผลใดบ้างหรือเขามาเป็นผู้นำกองทัพหลังจากที่เขตหนานเจียงได้ยึดกลับคืนมา และแม่ทัพใต้บังคับบัญชานั้นก็ไม่ยอมอยู่แล้ว หากการเจรจาครั้งนี้ยังให้เขาเป็นผู้ตัดสินไม่ได้ งั้นจะทำให้เขาเสียหน้า เขาจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอนเขาตะคอก "เจ้าสองคนกลับมา"จากนั้นเขาก็สั่งล่ามว่า "บอกวิกเตอร์ ถ้าไม่มีความจริงใจการเจรจาก็จะจบแค่นั้น หากยังมีความจริงใจในการเจรจา งั้นก็ตามเงื่อนไขที่ข้าเสนอไว้"หลังจากที่ล่ามถ่ายทอดข้อความแล้ว วิกเตอร์ก็มองย้อนกลับไปที่หวังเบียว เขามีสีหน้าหงุดหงิดมาก ไม่ได้มีทีท่ามั่นใจมาก แต่ก็ประมาทไม่ได้ เขาออกคำสั่ง "กลับเมือง"ฉีหลินและฝางเทียนสวีไล่ตาออกไปเพื่อหยุดวิกเตอร์ต่อฉีหลินยกมือขึ้นแล้วโค้งคำนับอีกครั้ง "ท่านผู้บังคับบัญชาวิกเตอร์ ท่านผู้บังคับบัญชาหวังไม่รู้จักชีซื่อ เขาไม่รู้สึกอะไรกับชีซื่อ ดังนั้นเขาจึงไม่เต็มใจที่จะใช้เมืองซีม่อนไปแลกชีซื่อ
ฉีหลินและฝางเทียนสวีต่างก็บอกไม่ถูกว่าพวกเขากราดเกรี้ยวมากแค่ไหน การเจรจาที่ไม่จริงใจเช่นนี้จะรั้งให้วิกเตอร์อยู่คุยต่อได้อย่างไรตอนนี้เพียงหวังแต่ว่าท่านอ๋องสามารถช่วยชีซื่อออกมาก่อนที่วิกเตอร์จะกลับไป ไม่เช่นนั้นผลที่ตามมาจะเป็นหายนะในทางฝั่งเซี่ยหลูโม่ เขาได้ช่วยเหลือเหล่าจากออกมาแล้ว แต่ในขณะที่วิ่งออกไปนั้นข้างนอกได้ฝ่าฟันอย่างรุนแรงดุเดือด บรรดาพวกเจ้าสิบเอ็ดฝางมีหลายคนได้รับบาดเจ็บแล้วด้วยความที่มีอาจารย์อยู่ด้วย เลยยังไม่ได้รับความเดือดร้อนมากนัก แต่จำนวนกองทหารศัตรูก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และต้องเป็นต้องล่าถอยโดยเร็วที่สุดหลังจากที่เขาวิ่งออกไป ผู้คนมากกว่าสิบคนก็เข้ามาต่อสู้กับเขา เขาใช้วิชาตัวเบากระโดดบินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า และส่งคนที่อยู่บนหลังของเขาให้จางต้าจ้วง จางต้าจ้วงฉวยโอกาสจากความมืดและจากไปอย่างรวดเร็วในขณะที่แบกคนที่อยู่ด้านหลังของเขาเซี่ยหลูโม่ใช้วิชาตัวเบาอีกครั้งเพื่อบินกลับเพื่อช่วยพวกเขาหลบหนี หากได้ช่วยคนหนึ่งออกมาแต่กลับโดนจับไปอีกหลายคนงั้นแผนการช่วยเหลือนี้ก็ถือว่าล้มเหลวเซี่ยหลูโม่ถือดาบทองคำไว้ในมือแล้วบินตรงไปที่ด้านข้างของอาจารย์หย
สุสานแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก และทหารที่เสียชีวิตส่วนใหญ่ถูกฝังอยู่ที่นี่ มีป้ายสุสานขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่ทางเข้าสุสานเมื่อเดินเข้าไปข้างใน มีห้องพักสำหรับผู้พิทักษ์สุสานหลายห้อง เหล่าผู้พิทักษ์สุสานถูกควบคุมและคุมขังอยู่ในหนึ่งห้องในนั้นล่วงหน้าแล้ว พวกเขาถูกมัดและปิดปากเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่สามารถออกเสียงเพื่อขอความช่วยเหลือได้ก่อนการกู้ภัยพวกเขาเตรียมอาหารและน้ำไว้ที่นี่เรียบร้อยแล้วเหตุผลในการเตรียมอาหารและน้ำเป็นเพราะคิดได้แล้วว่าชีซื่อจะถูกทรมานอย่างแน่นอน ชาวแคว้นซาจะต้องระบายความโกรธใส่เขาหลังจากพ่ายแพ้ อาการบาดเจ็บของชีซื่อจะสาหัส ดังนั้นจึงไม่สามารถออกเดินทางได้ในทันทีเพียงแต่ว่าพวกเขาไม่คาดคิดว่าชีซื่อจะมีผู้คนมากมายแบบนี้ ดังนั้นปริมาณข้าวของที่พวกเขาเตรียมไว้จึงไม่เพียงพอเมื่อพวกเขากลับมา จางต้าจ้วงกำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้เหล่าจางอยู่แล้วเซี่ยหลูโม่วางเจ้าสิบเอ็ดฝางลง และไม่ปล่อยให้ตนเองได้พักผ่อนอะไรก็ยื่นยารักษาบาดแผลและผ้าพันแผลให้อาจารย์และ อาจารย์หยู "รักษาบาดแผลก่อน"เจ้าสิบเอ็ดฝางได้รับบาดเจ็บที่หลัง และฝืนตัววิ่งไปได้ระยะหนึ่ง เมื่อมาถึงสุสาน เขาก็หมดสติไปแล้
ทุกคนมองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ตระหนักว่าภรรยาอาจของตนเองก็อาจจะแต่งงานกับคนอื่นเช่นกันบรรดากลุ่มคนนี้ มีเพียงลู่หยาชินเท่านั้นที่ไม่ได้หมั้นหมายหรือแต่งงานกัน เขาเป็นหลานชายจากครอบครัวแม่ของเจ้าสิบเอ็ด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกศึกและเป็นเพียงทหารหวังเอ๋อและหวังหวู่มาจากซูโจว เช่นเดียวกับหยาชินและจางไท่เป็นเพียงทหารธรรมดาเท่านั้นฉีฟางเป็นพี่ชายของคุณชายฉีลิ่ว และเป็นบุตรชายที่รับเลี้ยงโดยฉีฮูหยินคนที่สาม ไม่ใช่เด็กโดยกำเนิดเอง เพราะเขาไม่ชอบเรียนหนังสือและชอบฝึกฝนทักษะการต่อสู้ เขาจึงถูกส่งไปยังสนามรบเพื่อฝึกฝน หลังจากอยู่มาสองสามปี ก่อนที่ถูกจับกุมเขาเป็นหัวหน้าที่มีกองทหารหนึ่งร้อยคนฉีฟางได้หมั้นหมายไว้แล้วก่อนที่จะออกศึก แต่เมื่อข่าวการเสียชีวิตของเขาแพร่กระจายไป คู่หมั้นของเขาคงได้ไปหาคนใหม่แล้ว หัวหน้าตระกูลฉีใจดีและไม่สามารถทำเรื่องที่ใจร้ายอย่างให้หญิงสาวคนนั้นเป็นแม่หม้ายและทำร้ายชีวิตของเขาไปตลอดกาลฉีฟางก็หวังว่าคู่หมั้นของเขาจะมีความสุขเพียงแต่ว่าเขารู้สึกทุกข์ใจแทนเจ้าสิบเอ็ด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขามักจะพูดถึงภรรยาของเขาและอดีตระหว่างสามี
อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ และทางจวนอ๋องก็เริ่มใช้น้ำแข็งจนถึงบัดนี้เซี่ยหลูโม่ยังไม่ได้ส่งจดหมายกลับมาแม้แต่ฉบับเดียว และซ่งซีซีก็เป็นกังวลเล็กน้อย แม้ว่าจะมีศิษย์อาไปด้วย แต่ถึงยังไงมันเป็นการบุกเข้าไปในเมืองชายแดนของแคว้นซาเพื่อช่วยเหลือตัวประกัน และทหารของแคว้นซาก็เฝ้าอยู่เมืองชายแดนนั้นด้วย ภรกิจครั้งนี้จึงอันตรายมากตามข่าวที่หงเซียวสืบมาว่ามีองครักษ์หลวงในชุดชาวบ้านประจำการอยู่รอบๆ จวนแม่ทัพ และพวกเขาก็เปลี่ยนกะทั้งวันทั้งคืน ดูเหมือนว่าฮ่องเต้ก็ตระหนักว่ามีคนกำลังจะลงมือกับยี่ฝางไม่รู้ว่าสถานการณ์ในทางเมืองซีจิงเป็นอย่างไร แต่ทูตเจ้ากรมหลี่กลับมาเมืองหลวงเพื่อรายงานงานของเขาแล้ว เรื่องคดีฆ่าสังหารหมูได้สอบสวนชัดเจนแล้ว เป็นเพราะมีคนใส่ไส้เดือนฝอยกับฮูหยินคนนั้นเลยทำให้นางเสียสติทั้งหมดจึงไปฆ่าคนของครอบครัว คือพ่อค้าท้องถิ่นชื่อเถ๋าหม่านฆาตกรก็ยอมรับโทษแล้ว ส่วนสาเหตุของการฆาตกรรมนั้นเป็นเพราะทั้งสองครอบครัวทำธุรกิจเดียวกัน แต่เนื่องจากครอบครัวผู้ตายตีสองหน้าเก่งชอบเสแสร้งกลายขึ้นชื่อว่าเป็นคนมีเมตตาแล้วได้แย่งชิงธุรกิจทั้งหมดของเขาไป เขาอิจฉามาก และนางเถ๋าบังเอิญรู้วิธีใช
ในเมื่อซีซีบอกว่าน่าสงสัย งั้นเสิ่นว่านจือก็จะไปสืบสวนเพื่อหาคำตอบ นางไปหาหงเซียว ให้นางส่งคนไปจับตาดูอ๋องฮวยด้วย ยังกำชับกับหงเซียวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าเปิดเผยร่องรอยใดๆ และอย่าให้ใครรู้ว่านางกำลังจับตาดูจวนอ๋องฮวยอยู่ก่อนหน้านี้ที่จวนแม่ทัพเจอเหตุการณ์ลอบสังหาร ที่ซีซีออกหน้าไปช่วยยังต้องเข้าวังเพื่ออธิบายต้นสายปลายเหตุทั้งหมด ฮ่องเต้เกิดความสงสัยกับทางจวนเป่ยหมิงอ๋องเข้าแล้ว เพราะงั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังมากจู่ๆ ก็มีฝนตกหนัก และบังเอิญเป็นวันที่จ้านเส้าฮวนแต่งงานเข้าไปในจวนโหวผิงหยางฝ่าฝนที่ตกหนัก เกี้ยวคันเล็กเข้ามาทางประตูเล็กของจวนโหวผิงหยาง จ้านเส้าฮวนไม่มีสินเดิมที่ดี ก่อนที่จะเข้าไปในเกี้ยวยังจ้องจ้านเป่ยว่างอย่างขุ่นเคืองหลังจากเข้าไปในจวน นางได้ไหว้กับท่านหญิงเจียอี้และถวายน้ำชาในฐานะอนุภรรยา แต่กลับไม่เห็นหน้าของโหวผิงหยางด้วยซ้ำฮูหยินผู้เฒ่าโหวผิงหยางก็ไม่ยอมพบนาง เพียงแต่ให้คนใช้มอบกำไลหยกธรรมดาคู่หนึ่งให้นางเป็นรางวัล และให้นางได้อาศัยอยู่ในเรือนชิวหยางเดิมทีนางได้นำสาวใช้สองคนมา แต่เข้าจวนไม่ถึงครึ่งชั่วยาม สองสาวใช้นั้นก็ถูกส่งตัวกลับจวนแม่ทัพ ท่าน
ทั้งเสิ่นว่านจือและกุ้นเอ๋อร์ต่างเข้าใจสิ่งที่นางหมายถึงสถานการณ์เมืองซีจิงจะเปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งสำคัญอันดับแรกของเขาคือการสอบสวนเหตุการณ์เมืองลู่เปินเอ่อร์อย่างละเอียด ประการแรกคือการแก้แค้น ประการที่สองคือเพื่อให้อำนาจและตำแหน่งของตนเองได้มั่นคง และประการที่สามคือการกำหนดเส้นขอบใหม่หากจ้านเป่ยว่างยังมีความเห็นอกเห็นใจต่อหวังชิงหลู เขาจะปล่อยหวังชิงหลูกลับบ้านแต่ถ้าเพื่อปกป้องครอบครัวของเขาและครองหวังชิงหลูอยู่ในจวนแม่ทัพ เพื่อบังคับให้หวังเบียวออกหน้ามารักษาความปลอกภัยของจวนแม่ทัพ งั้นเขากับยี่ฝางก็เป็นคนประเภทเดียวกัน และล้วนเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างยิ่งเสิ่นว่านจือขี้เล่น "มาเดิมพันกันสิ ดูว่าจ้านเป่ยว่างจะให้จดหมายปล่อยตัวกับหวังชิงหลูหรือไม่ ข้าว่าจะไม่ให้"กุ้นเอ๋อร์ดูถูกจ้านเป่ยว่าง แต่เมื่อคิดถึงความกล้าหาญของเขาในสนามรบ เขาก็ยังยินยอมที่จะให้การสนับสนุนเขาเล็กน้อย "น่าจะให้กระมัง อย่างน้อยเขาก็เป็นคนมีความรับผิดชอบในสนามรบ"ทั้งสองมองไปที่ซ่งซีซี "เจ้าเลือกอันไหน"ซ่งซีซีเบือนหน้า "จริงๆ แล้ว ข้าไม่ค่อยรู้จักจ้านเป่ยว่างเท่าไร"เสิ่นว่า
ตำแหน่งที่เขานั่ง แสดงถึงจุดยืนของเป่ยถังในการเจรจาครั้งนี้!เป็นกลาง!ซ่งซีซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอีกครั้งว่า การที่แคว้นเข้มแข็งนั้นดีเพียงใดการเจรจาในช่วงแรกเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำพูดซ้ำไปซ้ำมา ถูกเน้นย้ำไม่รู้จบ ล่ามของทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่แปล โดยส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงปัญหาทางประวัติศาสตร์นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเริ่มต้นด้วยการยอมถอยแต่แรก ก็จะต้องถอยไปเรื่อยๆดังนั้น การเจรจาครั้งแรกจึงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เป็นเพียงการลองเชิงขีดจำกัดของกันและกันในวันรุ่งขึ้น การเจรจาครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก็ยังคงเน้นย้ำเรื่องเดิมสองรอบ จนกระทั่งอันเฟิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ถ่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีความหมาย สองแคว้นของพวกเจ้าโต้เถียงกันเรื่องพรมแดนมาหลายสิบปีแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ในวันเดียว เราพักเรื่องพรมแดนไว้ก่อน ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามีความตั้งใจจะทำสัญญาสันติระหว่างสองแคว้นหรือไม่ และจะไม่ละเมิดต่อกัน?”ทุกคนล้วนให้คำตอบที่แน่ชัด ต่างกล่าวว่าตนมาโดยมีความหวังที่ดี อยากให้สองแคว้นยุติความขัดแย้งอันเฟิงชินอ๋องหยิบแผ่นรายการออกมาแผ่นหนึ่ง บนกระดาษระบุรายการสินค้าของ
ทว่า ซ่งซีซีสังเกตเห็นว่าบรรดาญาติวงศ์ตระกูลและขุนนางของซีจิงดูเหมือนไม่รู้เรื่องที่เป่ยถังจะเข้ามาแทรกแซงการเจรจา พวกเขาล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงหลังจากตกตะลึง พวกเขากลับแสดงความยินดีและมั่นใจออกมา คิดดูแล้วพวกเขาก็คงเห็นว่าการที่เป่ยถังเข้าร่วมเป็นการช่วยหนุนหลังซีจิงเห็นเช่นนี้ซ่งซีซีกลับรู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อยเพราะหากเป็นเช่นนั้นจักรพรรดินีหยวนซินย่อมสามารถแจ้งพวกเขาล่วงหน้าได้ อย่างน้อยก็ควรให้ขุนนางที่ร่วมเจรจารับรู้แต่นางเหตุใดจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เล่าดูเหมือนว่ามีเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียว นางเองก็หวังให้ต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนปรนกัน อีกทั้งบรรดาขุนนางในราชสำนักที่สนับสนุนนางนั้นมีไม่มาก ดังนั้นนางจึงเชิญเป่ยถังอันเฟิงชินอ๋องมา เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าคืนก่อนที่จักรพรรดินีหยวนซินเรียกนางและเสิ่นว่านจือเข้าเฝ้าในวัง เหตุใดนางจึงกล่าวถ้อยคำว่าความปรารถนามิอาจเป็นจริง การสอบเข้ารับราชการของสตรีเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกขึ้นมา นางต้องการสื่อว่าหลายๆ นโยบายล้วนผลักดันได้ยากหลังจากวิเคราะห์เหตุการณ์โดยละเอียดซ่งซีซีพลันรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้นหลังจากง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็
งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็
พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั
ฉินอ๋องได้รับความหวาดกลัว จึงให้หมอหลวงจ่ายยาบำรุงประสาทเพื่อบรรเทาอาการซ่งซีซีไปเยี่ยมดูอาการของเขา หน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ไร้สีเลือด ริมฝีปากยังสั่นระริก เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกมือสังหารไปหมดแล้วหรือยัง?”ซ่งซีซีบอกเขาว่า มือสังหารจากไปแล้ว เขาถึงค่อยหยุดสั่นไปบ้างที่จริง คนรอบตัวเขาต่างบอกไปแล้วว่าศัตรูถูกขับไล่ไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่เชื่อ ต้องให้ซ่งซีซีเป็นคนพูดเองถึงจะรู้สึกปลอดภัยซ่งซีซีกำชับให้เขาพักผ่อนดีๆ แล้วจึงออกมาหลี่เต๋อฮวยกำลังปลอบขวัญผู้คนอื่นๆ ในฐานะเสนาบดีกรมทหาร เขาผ่านประสบการณ์มามาก ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอันใด เขาเชื่อมั่นในตัวพระชายาและกองทัพซวนเจีย มิได้เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไรนัก อย่างมากก็แค่เสียหัวหนึ่งขณะเดียวกัน กลุ่มคนจากภูเขาเหม่ยชานรวมตัวกันสนทนา เริ่มสงสัยว่ากลุ่มคนชุดดำที่พบเจอที่ชายแดนเฉิงหลิง อาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับมือสังหารในคืนนี้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเสิ่นว่านจือที่กล่าวขึ้นมา นางคิดว่าพวกเขาหายตัวไปได้อย่างลึกลับเกินไป น่าจะมีเส้นทางลับที่ใช้หนีออกไป และพวกนั้นต้องมีแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้ายิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองกลุ่มล้
เช้าตรู่ กองคณะทูตออกเดินทางไปยังซีจิงซ่งซีซีมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากนัก เพราะขากลับก็ยังต้องผ่านชายแดนเฉิงหลิงอยู่ดี นางยังมีโอกาสได้พบกับครอบครัวของท่านตาอีกหลังจากออกจากชายแดนเฉิงหลิง เส้นทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น หลายจุดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือไม่ก็ถูกทำลายโดยเจตนา ทำให้รถม้าวิ่งไปได้ยากทว่าฉินอ๋องกลับไม่ต้องการขี่ม้าอีกแล้ว แม้จะได้พักฟื้นอยู่หลายวัน แต่บาดแผลที่ต้นขาของเขาก็ยังเจ็บอยู่มาก ถึงแม้จะเดินได้ แต่เมื่อต้องนั่งบนอานม้า ความเจ็บปวดยังคงสร้างความลำบากให้แก่เขาดังนั้น ฉินอ๋องผู้ที่เพิ่งสร้างความดีความชอบในชายแดนเฉิงหลิง และเป็นผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ก็เอ่ยปากว่าเขาจะนั่งรถม้าเมื่อรถม้าติดหล่ม กองทัพซวนเจียก็ลงจากหลังม้าช่วยกันเข็นอย่างยากลำบากดีที่ว่าตอนนี้เส้นทางระหว่างสองแคว้นเปิดให้สัญจร ไม่มีการปิดกั้น ดังนั้นจึงสามารถเดินทางไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ได้หากต้องปีนข้ามภูเขาสูงลิบลิ่ว เกรงว่าบั้นท้ายอันสูงศักดิ์ของฉินอ๋องคงต้องรับเคราะห์ไปอีกมากเมื่อเข้าสู่เขตแดนของซีจิง ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ซึ่งมีขุนนางและทหารของซีจิงมาคอยต้