อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ และทางจวนอ๋องก็เริ่มใช้น้ำแข็งจนถึงบัดนี้เซี่ยหลูโม่ยังไม่ได้ส่งจดหมายกลับมาแม้แต่ฉบับเดียว และซ่งซีซีก็เป็นกังวลเล็กน้อย แม้ว่าจะมีศิษย์อาไปด้วย แต่ถึงยังไงมันเป็นการบุกเข้าไปในเมืองชายแดนของแคว้นซาเพื่อช่วยเหลือตัวประกัน และทหารของแคว้นซาก็เฝ้าอยู่เมืองชายแดนนั้นด้วย ภรกิจครั้งนี้จึงอันตรายมากตามข่าวที่หงเซียวสืบมาว่ามีองครักษ์หลวงในชุดชาวบ้านประจำการอยู่รอบๆ จวนแม่ทัพ และพวกเขาก็เปลี่ยนกะทั้งวันทั้งคืน ดูเหมือนว่าฮ่องเต้ก็ตระหนักว่ามีคนกำลังจะลงมือกับยี่ฝางไม่รู้ว่าสถานการณ์ในทางเมืองซีจิงเป็นอย่างไร แต่ทูตเจ้ากรมหลี่กลับมาเมืองหลวงเพื่อรายงานงานของเขาแล้ว เรื่องคดีฆ่าสังหารหมูได้สอบสวนชัดเจนแล้ว เป็นเพราะมีคนใส่ไส้เดือนฝอยกับฮูหยินคนนั้นเลยทำให้นางเสียสติทั้งหมดจึงไปฆ่าคนของครอบครัว คือพ่อค้าท้องถิ่นชื่อเถ๋าหม่านฆาตกรก็ยอมรับโทษแล้ว ส่วนสาเหตุของการฆาตกรรมนั้นเป็นเพราะทั้งสองครอบครัวทำธุรกิจเดียวกัน แต่เนื่องจากครอบครัวผู้ตายตีสองหน้าเก่งชอบเสแสร้งกลายขึ้นชื่อว่าเป็นคนมีเมตตาแล้วได้แย่งชิงธุรกิจทั้งหมดของเขาไป เขาอิจฉามาก และนางเถ๋าบังเอิญรู้วิธีใช
ในเมื่อซีซีบอกว่าน่าสงสัย งั้นเสิ่นว่านจือก็จะไปสืบสวนเพื่อหาคำตอบ นางไปหาหงเซียว ให้นางส่งคนไปจับตาดูอ๋องฮวยด้วย ยังกำชับกับหงเซียวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าเปิดเผยร่องรอยใดๆ และอย่าให้ใครรู้ว่านางกำลังจับตาดูจวนอ๋องฮวยอยู่ก่อนหน้านี้ที่จวนแม่ทัพเจอเหตุการณ์ลอบสังหาร ที่ซีซีออกหน้าไปช่วยยังต้องเข้าวังเพื่ออธิบายต้นสายปลายเหตุทั้งหมด ฮ่องเต้เกิดความสงสัยกับทางจวนเป่ยหมิงอ๋องเข้าแล้ว เพราะงั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังมากจู่ๆ ก็มีฝนตกหนัก และบังเอิญเป็นวันที่จ้านเส้าฮวนแต่งงานเข้าไปในจวนโหวผิงหยางฝ่าฝนที่ตกหนัก เกี้ยวคันเล็กเข้ามาทางประตูเล็กของจวนโหวผิงหยาง จ้านเส้าฮวนไม่มีสินเดิมที่ดี ก่อนที่จะเข้าไปในเกี้ยวยังจ้องจ้านเป่ยว่างอย่างขุ่นเคืองหลังจากเข้าไปในจวน นางได้ไหว้กับท่านหญิงเจียอี้และถวายน้ำชาในฐานะอนุภรรยา แต่กลับไม่เห็นหน้าของโหวผิงหยางด้วยซ้ำฮูหยินผู้เฒ่าโหวผิงหยางก็ไม่ยอมพบนาง เพียงแต่ให้คนใช้มอบกำไลหยกธรรมดาคู่หนึ่งให้นางเป็นรางวัล และให้นางได้อาศัยอยู่ในเรือนชิวหยางเดิมทีนางได้นำสาวใช้สองคนมา แต่เข้าจวนไม่ถึงครึ่งชั่วยาม สองสาวใช้นั้นก็ถูกส่งตัวกลับจวนแม่ทัพ ท่าน
ทั้งเสิ่นว่านจือและกุ้นเอ๋อร์ต่างเข้าใจสิ่งที่นางหมายถึงสถานการณ์เมืองซีจิงจะเปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งสำคัญอันดับแรกของเขาคือการสอบสวนเหตุการณ์เมืองลู่เปินเอ่อร์อย่างละเอียด ประการแรกคือการแก้แค้น ประการที่สองคือเพื่อให้อำนาจและตำแหน่งของตนเองได้มั่นคง และประการที่สามคือการกำหนดเส้นขอบใหม่หากจ้านเป่ยว่างยังมีความเห็นอกเห็นใจต่อหวังชิงหลู เขาจะปล่อยหวังชิงหลูกลับบ้านแต่ถ้าเพื่อปกป้องครอบครัวของเขาและครองหวังชิงหลูอยู่ในจวนแม่ทัพ เพื่อบังคับให้หวังเบียวออกหน้ามารักษาความปลอกภัยของจวนแม่ทัพ งั้นเขากับยี่ฝางก็เป็นคนประเภทเดียวกัน และล้วนเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างยิ่งเสิ่นว่านจือขี้เล่น "มาเดิมพันกันสิ ดูว่าจ้านเป่ยว่างจะให้จดหมายปล่อยตัวกับหวังชิงหลูหรือไม่ ข้าว่าจะไม่ให้"กุ้นเอ๋อร์ดูถูกจ้านเป่ยว่าง แต่เมื่อคิดถึงความกล้าหาญของเขาในสนามรบ เขาก็ยังยินยอมที่จะให้การสนับสนุนเขาเล็กน้อย "น่าจะให้กระมัง อย่างน้อยเขาก็เป็นคนมีความรับผิดชอบในสนามรบ"ทั้งสองมองไปที่ซ่งซีซี "เจ้าเลือกอันไหน"ซ่งซีซีเบือนหน้า "จริงๆ แล้ว ข้าไม่ค่อยรู้จักจ้านเป่ยว่างเท่าไร"เสิ่นว่า
เมื่อวันที่สิบก้าวมิถุนายน หวังเบียวส่งฝางเทียนสวีและฉีหลินพร้อมทหารสามพันคนไปที่ภูเขานอกเมืองซีม่อน เพื่อรอรับเป่ยหมิงอ๋องและชีซื่อเขาไม่สนใจว่าสถานการณ์การช่วยตัวประกันที่ทางนุ้นจะเป็นอย่างไร แต่การส่งกลุ่มคนไปรับเขาต้องทำทุกสิ่งจะต้องทำอย่างไม่มีที่ติเพื่อตำแหน่งผู้บัญชาการของเขาจะมั่นคงหากเป่ยหมิงอ๋องล้มเหลวในการช่วยตัวประกันและตกไปอยู่ในเงื้อมมือของชาวแคว้นซา งั้นก็เป็นกรรมของเขาเอง เขาไม่มีทางส่งคนไปที่ชายแดนของแคว้นซาได้ฉีหลินและฝางเทียนสวีได้นำทหารและม้าของพวกเขาไปยังภูเขาที่สูงที่สุดนอกเมืองซีม่อน หลังจากทิ้งคนหนึ่งพันคนเตรียมพร้อมรับคำสั่งกับที่ พวกเขาก็นำคนสองพันคนและเดินหน้าต่อไปโดยหวังว่าจะได้พบท่านอ๋องโดยเร็วที่สุดแต่หลังจากข้ามภูเขาหนึ่งลูกแล้ว พวกเขาไม่ได้เดินต่อไปอีก ข้างหน้ามีชนเผ่าทุ่งหญ้าอยู่ หากไปกันแค่กี่คนมันก็ได้อยู่ แต่พากลุ่มทหารสองพันนาย นี่เท่ากับจะสร้างสงครามเลยที่จริงแล้วขอแค่ท่านอ๋องมาถึงทุ่งหญ้า ชาวแคว้นซาจะไม่กล้าเข้าไปง่ายๆ พวกเขาได้แต่ส่งนักรบเก่งๆ หลายๆ คนไล่ตามเขาไป แต่ถ้าจำนวนคนไม่มาก ในกรณีที่ท่านอ๋องไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เขาก็สามารถจัดก
ในที่สุดพวกเขาทั้งสองก็ตัดสินใจจะไปด้วยกัน เพราะทหารและม้าก็อยู่ที่นี่และไม่ได้บุกรุกชายแดนของคนอื่น ไม่ได้ก้าวเข้าไปในชนเผ่าทุ่งหญ้า เพียงหนึ่งร้อยคนเท่านั้นที่ทยอยไปเป็นอย่างที่คาดไว้ พวกเขาเดินทางเป็นกลุ่มและไม่ได้ทำให้ทหารรักษาการณ์ประจำทุ่งหญ้าสังเกตเห็น พวกเขาปีนขึ้นไปบนภูเขาหวู่เหิง และรออยู่ที่ยอดเขา แม้ว่าภูเขาหวู่เหิงจะใหญ่มาก แต่พวกเขาก็ยืนอยู่จุดสูงสุดได้ หากที่นั่นมีการเคลื่อนไหวอะไรพวกเขาล้วนจะเห็นหมดจะลงไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ภูเขาหวู่เหิงครึ่งหนึ่งถูกครอบครองโดยแคว้นซา ส่วนอีกครึ่งหนึ่งถูกครอบครองโดยทุ่งหญ้า หากไม่ระวังไว้จะเกิดความขัดแย้งได้จะว่าไปอย่างนั้น แต่ยังคงเหลือบางคนไว้ที่นี่ โดยบอกว่าหากพวกเขาพบสถานการณ์ใดๆ ให้แจ้งทันที ส่วนพวกยังคงเดินลงไปพร้อมกับคนมากกว่าสิบคนเซี่ยหลูโม่และคนอื่นๆ มาถึงเชิงเขาภูเขาหวู่เหิง ตราบใดที่ข้ามภูเขาหวู่เหิงพวกไปก็ถึงทุ่งหญ้าแล้วพวกเขามีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้นที่เข้ามาในทุ่งหญ้า ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดความสนใจของชนเผ่าทุ่งหญ้า แต่วิกเตอร์จะไม่กล้าไล่ตามมาอย่างแน่นอนแต่การเดินวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต เขาไหว คนอื่นๆ ก็เริ่มไม่
จะรอช้าไม่ได้อีก ผู้ไล่ตามกำลังเข้าใกล้แล้วดังนั้นอูโซเว่ยและเซี่ยหลูโม่จึงสบตากัน และใช้วิธีที่งุ่มง่ามที่สุดและเป็นทางเดียวก็คือให้พวกเขาขี่หลังตนเองแล้วบินขึ้นไปอย่างไรก็ตาม นอกจากจางต้าจ้วงและอาจารย์หยูแล้ว มีคนตั้งสิบเอ็ดคน ซึ่งหมายความว่าพวกเขาต้องไปมาอย่างน้อยห้าหกครั้งด้วยความเหนื่อยล้าและหมดพลัง...มันช่างยากเหลือเกิน"อาจารย์ลำบากท่านแล้ว" สายตาของเซี่ยหลูโม่เต็มไปด้วยความขอโทษอูโซเว่ยถอนหายใจและพูดว่า "เจ้าเป็นศิษย์คนเดียวของข้า ต้องให้เจ้าทนทุกข์ที่แต่งงานกับแม่นางที่ซนจนน่าปวดหัวที่สุดในภูเขาเหม่ยชาน ข้าจะไม่เห็นใจได้อย่างไร?"เซี่ยหลูโม่อยากจะบอกว่าเขามีความสุขมาก แต่ในสายตาที่เต็มไปด้วยความสมเพชของอาจารย์ เขากลืนคำพูดของเขากลับ นำคนบินขึ้นไปหมดค่อยว่ากัน อาจารย์เป็นคนหัวดื้อ หากไม่เห็นด้วยกับความเห็นของเขา เขาต้องโกรธแน่จะเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว เซี่ยหลูโม่อุ้มฉีฟางก่อน และอูโซเว่ยก็อุ้มเจ้าสิบเอ็ด และคนที่เหลือดูแลจางเลี่ยเหวินไว้ รอให้พวกเขาลงมาเซี่ยหลูโม่พูดกับฉีฟางว่า "จับไว้ให้แน่น นอกจากหายใจแล้วอย่าเคลื่อนไหวใดๆ"ฉีฟางตอบรับอืม สอดแขนโอบคอของท่านอ๋องด้
ทุกคนปิดปากและมองดูฉากนี้ด้วยความสยดสยอง คุณพระ หากตกลงไปแบบนี้ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ อูโซเว่ยและจางต้าจ้วงรีบพุ่งเข้าไปพร้อมกัน จับมือของเซี่ยหลูโม่คนละข้างในขณะที่อีกมือหนึ่งคว้าต้นไม้เล็กไว้ อย่างไรก็ตาม ระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองก็ห่างไกลกัน ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่ลากเซี่ยหลูโม่ไว้ ไม่สามารถพาเขาขึ้นไปได้นอกจากนี้ต้นไม้เล็กๆ สองต้นยังรับน้ำหนักคนได้สี่คนซึ่งเป็นอันตรายเช่นกันในขณะนี้ เจ้าสิบเอ็ดฝางปล่อยตะขอและเชือกลงอย่างรวดเร็ว และความยาวก็มาถึงมือขวาของเซี่ยหลูโม่พอดีจางต้าจ้วงสบตากับเขา และในขณะที่พวกเขาพยักหน้า จางต้าจ้วงก็ปล่อยมือ และเซี่ยหลูโม่ก็รีบคว้าเชือกด้วยมือขวาแล้วอูโซเว่ยค่อยปล่อยมือ เขาก็คว้าเชือกด้วยมือซ้ายอีกด้วยมือทั้งสองข้างพันอยู่กับเชือก ซึ่งหมายความว่าได้แต่ให้ลากพวกเขาสองคนขึ้นไปเท่านั้นความยาวของเชือกไม่ยาวพอที่จะพันรอบต้นไม้ด้านบน และเมื่อเจ้าสิบเอ็ดฝางปล่อยมันลงนั้นได้ปล่อยด้านที่มีตะขอเหล็กลงแล้ว ซึ่งมันหมดหนทางจริงๆ หากไม่ปล่อยด้านตะขอเหล็กไป เชือกก็จะปลิวไปมา ไม่สามารถไปอยู่ข้างๆ ท่านอ๋องอย่างมั่นคงเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถพันรอบต้นไม้ได้ จ
ฉีหลินผลักเขาออกไปทันทีและมองดูเขาอย่างใกล้ชิด เขาแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก แต่ยังจำเขาได้เขาทั้งร้องไห้และหัวเราะ "แก่แล้วและขี้เหร่ด้วย ทำไมถึงขี้เหร่ขนาดนี้?""ไม่มัวแต่ถามสารทุกข์สุขดิบ มาดูพี่น้องคนอื่นๆ บ้าง" เซี่ยหลูโม่หายใจไม่ออก และมือของเขาก็สั่นเทา หลังจากที่ปล่อยวางจางเลี่ยเหวินลงจากหลังเขาแล้ว เขานอนอยู่กับพื้น หลังจากเรียกอยู่หลายคำก็ไม่มีการตอบสนองฉีหลินและฝางเทียนสวีมองไปที่คนทั้งสิบเอ็ดคนและหลั่งน้ำตา เยี่ยมมากจริงๆ ที่คนเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่แต่สถานการณ์ของจางเลี่ยเหวินเป็นเรื่องเร่งด่วนในขณะนี้ และคนในนั้นก็ไม่มีใครรู้ทักษะทางการแพทย์ ดังนั้นจึงทำได้แค่บดยาและยัดมันลงไปเท่านั้นอูโซเว่ยก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน แม้ว่าเขาจะถนัดในการนองเลือด แต่เห็นๆ อยู่ว่าจางเลี่ยเหวินก็ไม่ได้รับบาดเจ็บภายใน แต่แผลแต่ละที่ล้วนเป็นหนองจนเป็นไข้ได้ อาการตกอยู่ในอันตรายมาก"ขึ้นไปเลย" เสียงคำรามดังมาจากด้านล่าง คือวิกเตอร์ เขานำคนมาถึงแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหน้าผา พวกเขาสามารถขึ้นไปกี่คนได้ก็ไม่แน่ "นี่มันอาณาจักรของแคว้นซา ใครที่บุกรุกเข้าแคว้นซาโดยไม่ได้รับอนุญาตล้วนต้องตาย""ไป"
ฮองเฮาตกพระทัย รีบก้มหน้าลง ดวงตาที่หม่นหมองฉายแววไม่พอใจ นางไม่คาดคิดว่าหลังจากที่ผู้คนในวังหลังพูดถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้กลับปกป้องซ่งซีซีก่อน และความพิโรธของพระองค์นั้นมีเพื่อซ่งซีซีเพียงผู้เดียว หากเรื่องนี้มิได้เกิดจากความคิดที่ไม่เหมาะสมของซ่งซีซี ก็ย่อมเป็นฮ่องเต้ที่ทรงกระทำเอง พระองค์จึงรับความผิดทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว ฮองเฮารู้สึกสับสน เพราะฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของพระองค์เองเป็นที่สุด เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เหตุใดพระองค์จึงไม่ฉวยโอกาสผลักความผิดไปที่ซ่งซีซี เพื่อรักษาพระเกียรติของตน? เหตุใดจึงต้องปกป้องซ่งซีซีก่อน? หากพระองค์ตรัสแบบเดียวกันนี้ต่อเหล่าขุนนางในราชสำนัก ก็ย่อมจะถูกกล่าวหาว่าฮ่องเต้ทรงกระทำการอันเหลวไหล ความคิดหลากหลายประการถาโถมเข้าสู่จิตใจของฉีฮองเฮา นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องในอดีตที่ฮ่องเต้เคยตรัสว่าอยากให้ซ่งซีซีเข้าวัง หรือว่าฮ่องเต้จะมีใจให้ซ่งซีซีจริง? หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ถือว่าน่าหัวเราะสิ้นดี ตั้งแต่วันที่นางแต่งงานกับฮ่องเต้ นางก็รู้ว่า ผู้ชายคนนี้จะไม่มีวันเป็นของนางเพียงผู้เดียว ความรักหรือความชื่นชอบล้วนไม่สำคั
ดังที่อาจารย์หยูวิตกไว้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยพยายามลอบถามจากเหล่าข้ารับใช้ในจวนเป่ยหมิงอ๋อง โชคดีที่ได้เตือนล่วงหน้าไว้แล้ว ข้ารับใช้เหล่านั้นจึงตอบกลับไปเพียงว่าไม่ทราบในทุกคำถาม แต่ยิ่งจวนเป่ยหมิงอ๋องปิดปากเงียบ ก็ยิ่งทำให้ผู้อื่นสงสัย เพราะเหตุการณ์นี้ดูผิดปกติอย่างยิ่ง การเสด็จออกจากวังของฮ่องเต้ มิใช่เรื่องเล่าที่สามารถเกิดขึ้นง่ายๆ ด้วยการนำคนเพียงไม่กี่คนออกไปตรวจเยี่ยมบ้านเมือง แม้จะเป็นงานมงคลในจวนของขุนนางชั้นสูง หากฮ่องเต้จะเสด็จด้วยพระองค์เอง ย่อมต้องมีพระราชโองการล่วงหน้าเพื่อให้เจ้าของบ้านเตรียมการรับเสด็จ บางครั้งถึงขั้นต้องซ่อมแซมบ้าน ปูพรม หรือตกแต่งด้วยดอกไม้ เตรียมอาหารและข้าวของต่างๆ แต่การเสด็จไปยังจวนของขุนนางกลางดึก โดยมีเพียงเกี้ยวหนึ่งหลังและคนไม่กี่คน ย่อมเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เป่ยหมิงอ๋องเองก็อยู่ที่หนานเจียงในขณะนี้ แต่ปัญหาใหญ่คือ พระชายาเป่ยหมิงอ๋อง ซึ่งในตอนนี้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการซ่ง กำลังพักรักษาตัวอยู่ที่จวน และก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้มักทรงเรียกให้นางไปยังห้องพระอักษรเพื่อร่วมปรึกษา ใครจะทราบว่าพวกเขาหารือกันจริงหรือไม
ในห้องหนังสือ โคมไฟยังคงส่องสว่าง หลังจากฟังคำพูดของเสิ่นชิงเหอแล้ว ซ่งซีซีถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก "เช่นนี้ ข้าจะได้หายไวๆ เสียที ข้ารู้สึกอึดอัดแทบบ้าแล้ว" อาจารย์หยูกล่าว "คืนนี้ช่างน่าหวาดเสียวเสียจริง" เสิ่นชิงเหอมองซ่งซีซี พลางถอนหายใจเบาๆ "หากเขาเอาอย่างเยี่ยนอ๋องจริงๆ เกรงว่าศิษย์น้องคงต้องทำตามแบบเซี่ยถิงเหยียนแล้วกระมัง" "เขารู้จักชั่งน้ำหนักผลลัพธ์" อาจารย์หยูกล่าว ซ่งซีซีรู้สึกหงุดหงิด "ข้าว่าเขาช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก ตอนข้ายังเล็ก เขาสนิทสนมกับพี่ชายทั้งสองของข้าและมองข้าเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ต่อมาพอข้าเข้าราชสำนัก เขาก็ปฏิบัติต่อข้าในฐานะขุนนางโดยแท้ แล้วเหตุใดจู่ๆ เขาถึงมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมาได้?" อาจารย์หยูกล่าว "มันใช่จะเกิดขึ้นกะทันหันหรือ? พระชายาอ๋องลืมหรือไม่ว่า ตอนที่กลับมาจากการกอบกู้หนานเจียง เขาเคยคิดจะให้ท่านเข้าไปในวังเป็นสนมของเขา" "ข้าเข้าใจมาตลอดว่า เขาต้องการใช้ข้าเพื่อบังคับให้ศิษย์น้องสละอำนาจในกองทัพเสียอีก" อีกทั้งในตอนนั้น ด้วยความที่ข้าเป็นบุตรีของซ่งฮวยอัน การให้ข้าเข้าวังยังเป็นการป้องกันไม่ให้ใครที่มีจิตคิดร้ายแต่งข้าไปอีกด้
ภาพวาดของเสิ่นชิงเหอนั้นฝีมือประณีตยิ่งนัก ละเอียดอ่อนและสมจริงราวกับมีชีวิต ทุกคนมองดูภาพวาดบนกระดาษ จากนั้นจึงหันไปมองจักรพรรดิ์ซูชิงที่ยังประทับอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ทรงแสดงอาการอ่อนล้าแม้แต่น้อย ราวกับว่าพระองค์ได้ก้าวเข้าไปอยู่ในภาพนั้นแล้ว แม้แต่สีพระพักตร์ก่อนหน้านี้ก็เหมือนถ่ายทอดออกมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน รายละเอียดต่างๆ ไม่ถูกมองข้าม แม้แต่ริ้วรอยบางๆ รอบดวงพระเนตร เส้นผมสีขาวที่ข้างพระเกศา ปานสีดำเล็กๆ ใต้ริมพระโอษฐ์ด้านขวา และร่องพระโอษฐ์ ทุกอย่างถูกถ่ายทอดไว้อย่างครบถ้วน แม้ว่าฉลองพระองค์จะยังไม่ได้ลงสี แต่ลวดลายบนฉลองพระองค์ก็ถูกวาดออกมาอย่างครบถ้วนไร้ข้อผิดพลาด จักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรภาพของพระองค์เองอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก พระองค์ทรงนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะยกพระหัตถ์แตะพระพักตร์ของพระองค์เอง “ข้าดูแก่ขึ้นจริงๆ” ตามปกติพระองค์แทบไม่ได้ส่องคันฉ่อว แม้จะส่องก็ไม่ได้ชัดเจนเท่านี้ “ฝ่าบาทมิได้แก่เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นว่าฝ่าบาทยังดูเหมือนเพิ่งจะยี่สิบต้นๆ เท่านั้นเอง” อู๋ต้าปั้นกล่าวประจบ จักรพรรดิ์ซูชิงทรงแย้มพระสรวล ทอดพระเนตรอู๋ต้าปั้นพร้อมส่ายพระพักตร์เล็
จักรพรรดิ์ซูชิงดูเหมือนจะทรงได้สติขึ้นมากกว่าตอนที่อยู่ในวัง ไม่ได้ทรงเลื่อนลอยเหมือนก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงแย้มพระสรวล “ไม่ต้องเคร่งครัดนัก ทำตัวตามสบาย เฮ้อ ข้าเพียงรู้สึกอึดอัดในใจเลยอยากมาที่จวนอ๋องเพื่อสนทนากับอาจารย์เสิ่น” ซ่งซีซีจึงกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระหม่อมคงไม่ขัดพระองค์และศิษย์พี่ ขออนุญาตกลับไปพักผ่อน” “ไม่ต้องรีบไป ในเมื่อมาแล้วก็มาร่วมพูดคุยกันเถิด” จักรพรรดิ์ซูชิงทรงมองนางด้วยสายพระเนตรที่ดูเป็นห่วง “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซ่งซีซีที่เพิ่งยันตัวลุกขึ้นต้องวางมือลงอีกครั้ง ตอบว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย กระหม่อมดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่หมอหลวงกำชับให้พักฟื้นบนเตียงสักระยะ” “อืม” จักรพรรดิ์ซูชิงพยักพระพักตร์ “บาดเจ็บกล้ามเนื้อและกระดูก ควรต้องพักรักษาให้ดี” แม้พระองค์จะตรัสเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ทรงอนุญาตให้นางกลับไป ทั้งห้องจึงมีทั้งผู้ที่นั่งและยืนอยู่เงียบๆ เพื่อรอพระราชดำรัส ผ่านไปสักพัก จักรพรรดิ์ซูชิงทรงทำลายความเงียบขึ้นก่อน “มีอาหารว่างหรือไม่? ข้าหิวแล้ว” อู๋ต้าปั้นเมื่อได้ยินรีบกล่าว “ฝ่าบาทยังมิได้เสวยอาหารค่ำ รีบจัดเตร
ข่าวคราวเรื่องราวในห้องหนังสือและตำหนักฉือหนิงได้ถูกนำขึ้นกราบทูลถึงพระกรรณของจักรพรรดิ์ซูชิง ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกกระวนกระวายและอึดอัดพระทัยยิ่งนัก รวมทั้งการวางแผนงานตลอดหลายวันที่ผ่านมา ยิ่งทำให้พระอาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้นจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พระองค์ทรงยกเลิกการกักบริเวณฮองเฮา โดยแท้จริงแล้วก็เพื่อเตรียมตัวให้องค์ชายใหญ่ หากจะทรงแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ตำแหน่งนี้ย่อมไม่อาจมีมารดาที่ถูกกักบริเวณได้ ตอนแรกทรงคิดว่า ช่วงเวลากักบริเวณนี้ ฮองเฮาคงจะได้สำนึกผิด ทราบดีว่าการตามใจบุตรไม่ต่างอะไรกับการผลักดันบุตรไปสู่ความตาย แต่ใครจะคาดคิดว่าฮองเฮาไม่เพียงไม่สำนึกผิด กลับยิ่งเชื่อว่าการมีพระโอรสอยู่ใกล้ตัวจะช่วยเสริมความมั่นคงให้ตำแหน่งพระมเหสีของนาง เนื่องจากไม่ค่อยอยากอาหาร พระกระยาหารค่ำในวันนั้น พระองค์เสวยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อประทังพระอุทร ก่อนเสวยยา พระองค์จำเป็นต้องเสวยยา เพราะแต่ละวันผ่านไปนับเป็นกำไร แต่ด้วยวันสุดท้ายของพระชนม์ชีพที่นับถอยหลังเข้ามาใกล้ หลังจากทรงวางแผนการ พระทัยกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น พระองค์ทรงทราบดีว่าทุกคนล้วนต้องผ่านความตายนี้ แต
ฮองเฮาเลือกเวลาอย่างเหมาะสม ไปยังห้องหนังสือเพื่อรับองค์ชายใหญ่ แล้วจึงพากันกลับไปยังตำหนักฉือหนิงเพื่อถวายพระพรไทเฮา กลุ่มคนที่ตามหลังมานั้นอลังการยิ่งนัก แม้แต่องค์ชายใหญ่ยังถูกข้ารับใช้ตัวน้อยอุ้มกลับมา พอมาถึงประตูตำหนักจึงวางเขาลง ฮองเฮาจัดระเบียบอาภรณ์ให้เรียบร้อย แล้วจูงมือองค์ชายใหญ่เข้าไปด้านใน ทำความเคารพด้วยการคุกเข่าตามธรรมเนียม ถวายพระพรไทเฮาอย่างครบถ้วน แต่ไทเฮากลับมิทรงอนุญาตให้นางลุกขึ้นทันที เพียงเรียกองค์ชายใหญ่เข้าไปใกล้ "วันนี้ไทฟู่ชมเจ้าหรือไม่?" องค์ชายใหญ่หดคอเล็กน้อย มองไทเฮาอย่างระมัดระวัง ก่อนตอบเสียงเบา "วันนี้ไทฟู่ลืมชมขอรับ" ฮองเฮาที่ยังคุกเข่าอยู่รีบเสริมว่า "เสด็จแม่ ไทฟู่เข้มงวดนัก มิชมผู้ใดง่ายๆ" แน่นอนว่าฮองเฮาหาได้ทราบไม่ว่า ไทเฮาเคยตกลงกับไทฟู่ว่าหากองค์ชายใหญ่ประพฤติดีและตั้งใจเรียน ไทฟู่จะกล่าวชมเมื่อตอนเลิกเรียน หากมิใช่ก็จะเงียบเสีย ด้วยเหตุนี้ ไทเฮาจึงทรงทราบถึงความประพฤติขององค์ชายใหญ่ในแต่ละวันโดยง่าย ไทเฮามิทรงตอบคำของฉีฮองเฮา เพียงตรัสกับองค์ชายใหญ่อย่างเรียบๆ ว่า "ยังจำกฎเกณฑ์ได้หรือไม่?" องค์ชายใหญ่หน้าซีด รีบ
สองแม่ลูกพูดคุยกันในห้องทรงพระอักษรเกือบสองชั่วโมง หลังจากไทเฮาเสด็จกลับ จักรพรรดิ์ซูชิงมีพระราชโองการให้ปลดโทษกักบริเวณของฮองเฮา แต่ยังไม่คืนสิทธิ์การบริหารวังหลังให้ ฉีฮองเฮาเมื่อได้ยินคำประกาศจากอู๋ต้าปั้น ก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ไฉนถึงยกเลิกโทษกักบริเวณอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ในทันใดนั้น นางก็คิดได้ว่าคงเป็นเพราะคำพูดที่ให้นักเลงปากมอมแพร่ออกไปก่อนหน้านี้ได้ผล ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ แต่จะส่งรัชทายาทไปเลี้ยงดูในวังไทเฮา เช่นนี้ไม่สมเหตุสมผล ดังนั้น หลังจากนางได้รับการปลดโทษ นางไม่ได้รีบไปขอบคุณพระมหากษัตริย์ แต่เลือกไปที่โรงเรียนหลวงเพื่อเยี่ยมองค์ชายใหญ่ เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นฮองเฮา ทรงดีพระทัยจนสุดขีด ไม่สนใจว่าไทฟู่ยังสอนอยู่ รีบลุกขึ้นพุ่งตัวราวกับนกที่พ้นกรง กระโจนเข้าสู่อ้อมอกของฉีฮองเฮา "เสด็จแม่ ลูกคิดถึงท่านเหลือเกิน ท่านจะพาลูกกลับไปเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ?" ฮองเฮาก้มลงจับบ่าของพระองค์ ลูบเส้นผม แล้วสังเกตดูอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นว่าไม่ได้สวมเสื้อขนสัตว์ และตัวผอมลงมาก คางแหลม นางก็อดปวดใจไม่ได้ "เหตุใดเจ้าผอมเช่นนี้? ที่วังเสด็จย่าไม่ได้เลี้ยงดูอย่างดีหรือ?" องค์
รุ่งขึ้น เสนาบดีมู่มาถึงสำนักหมอหลวง บรรดาหมอหลวงทั้งหมด รวมทั้งเจ้าสำนักอยู่พร้อมหน้า เสนาบดีมู่ประทับนั่งลงก่อนมองพวกเขาด้วยแววตาหนักอึ้ง "ข้าถามพวกเจ้าเพียงคำเดียว โรคของฝ่าบาท พวกเจ้ามีความมั่นใจหรือไม่?" เหล่าแพทย์เงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่อู๋ย่วนเจิ้งจะเงยหน้าที่ตาแดงก่ำเพราะอดหลับอดนอนขึ้นมองเสนาบดีมู่แล้วส่ายหน้า "ไม่มีขอรับ" "ไม่มีเลยหรือ?" เสนาบดีมู่ถามด้วยท่าทีเหมือนไม่ยอมแพ้ "แม้แต่ความหวังเล็กๆ หรือวิธีการสักนิด?" ในความเงียบงันอีกครั้ง ดวงตาของเสนาบดีมู่ค่อยๆ หมองลงจนไร้แสง เขาถอนหายใจยาว "หากระดมกำลังจากสำนักหมอหลวงทั้งหมด จะยืดเวลาออกไปได้ถึงสองปีหรือไม่?" อู๋ย่วนเจิ้งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "ท่านเสนาบดี โรคปอดทรุดนี้กำเริบอย่างรุนแรง อย่าว่าแต่สองปีเลย เพียงหนึ่งปีก็...ยากมากพ่ะย่ะค่ะ" ครั้งนี้ถึงคราวเสนาบดีมู่เงียบไปนาน ก่อนทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง "ระวังคำพูดของพวกเจ้าด้วย" เขาค่อยๆ เดินออกจากสำนักหมอหลวง พลางกระชับเสื้อคลุมให้แน่น ฤดูหนาวผ่านเข้ามาเร็วนัก อากาศยิ่งหนาวจนแทงกระดูก ไทเฮาดูเหมือนจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่แสงไฟในสำนักหมอหลวงสว่างตล