เมื่อวันที่สิบก้าวมิถุนายน หวังเบียวส่งฝางเทียนสวีและฉีหลินพร้อมทหารสามพันคนไปที่ภูเขานอกเมืองซีม่อน เพื่อรอรับเป่ยหมิงอ๋องและชีซื่อเขาไม่สนใจว่าสถานการณ์การช่วยตัวประกันที่ทางนุ้นจะเป็นอย่างไร แต่การส่งกลุ่มคนไปรับเขาต้องทำทุกสิ่งจะต้องทำอย่างไม่มีที่ติเพื่อตำแหน่งผู้บัญชาการของเขาจะมั่นคงหากเป่ยหมิงอ๋องล้มเหลวในการช่วยตัวประกันและตกไปอยู่ในเงื้อมมือของชาวแคว้นซา งั้นก็เป็นกรรมของเขาเอง เขาไม่มีทางส่งคนไปที่ชายแดนของแคว้นซาได้ฉีหลินและฝางเทียนสวีได้นำทหารและม้าของพวกเขาไปยังภูเขาที่สูงที่สุดนอกเมืองซีม่อน หลังจากทิ้งคนหนึ่งพันคนเตรียมพร้อมรับคำสั่งกับที่ พวกเขาก็นำคนสองพันคนและเดินหน้าต่อไปโดยหวังว่าจะได้พบท่านอ๋องโดยเร็วที่สุดแต่หลังจากข้ามภูเขาหนึ่งลูกแล้ว พวกเขาไม่ได้เดินต่อไปอีก ข้างหน้ามีชนเผ่าทุ่งหญ้าอยู่ หากไปกันแค่กี่คนมันก็ได้อยู่ แต่พากลุ่มทหารสองพันนาย นี่เท่ากับจะสร้างสงครามเลยที่จริงแล้วขอแค่ท่านอ๋องมาถึงทุ่งหญ้า ชาวแคว้นซาจะไม่กล้าเข้าไปง่ายๆ พวกเขาได้แต่ส่งนักรบเก่งๆ หลายๆ คนไล่ตามเขาไป แต่ถ้าจำนวนคนไม่มาก ในกรณีที่ท่านอ๋องไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เขาก็สามารถจัดก
ในที่สุดพวกเขาทั้งสองก็ตัดสินใจจะไปด้วยกัน เพราะทหารและม้าก็อยู่ที่นี่และไม่ได้บุกรุกชายแดนของคนอื่น ไม่ได้ก้าวเข้าไปในชนเผ่าทุ่งหญ้า เพียงหนึ่งร้อยคนเท่านั้นที่ทยอยไปเป็นอย่างที่คาดไว้ พวกเขาเดินทางเป็นกลุ่มและไม่ได้ทำให้ทหารรักษาการณ์ประจำทุ่งหญ้าสังเกตเห็น พวกเขาปีนขึ้นไปบนภูเขาหวู่เหิง และรออยู่ที่ยอดเขา แม้ว่าภูเขาหวู่เหิงจะใหญ่มาก แต่พวกเขาก็ยืนอยู่จุดสูงสุดได้ หากที่นั่นมีการเคลื่อนไหวอะไรพวกเขาล้วนจะเห็นหมดจะลงไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ภูเขาหวู่เหิงครึ่งหนึ่งถูกครอบครองโดยแคว้นซา ส่วนอีกครึ่งหนึ่งถูกครอบครองโดยทุ่งหญ้า หากไม่ระวังไว้จะเกิดความขัดแย้งได้จะว่าไปอย่างนั้น แต่ยังคงเหลือบางคนไว้ที่นี่ โดยบอกว่าหากพวกเขาพบสถานการณ์ใดๆ ให้แจ้งทันที ส่วนพวกยังคงเดินลงไปพร้อมกับคนมากกว่าสิบคนเซี่ยหลูโม่และคนอื่นๆ มาถึงเชิงเขาภูเขาหวู่เหิง ตราบใดที่ข้ามภูเขาหวู่เหิงพวกไปก็ถึงทุ่งหญ้าแล้วพวกเขามีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้นที่เข้ามาในทุ่งหญ้า ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดความสนใจของชนเผ่าทุ่งหญ้า แต่วิกเตอร์จะไม่กล้าไล่ตามมาอย่างแน่นอนแต่การเดินวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต เขาไหว คนอื่นๆ ก็เริ่มไม่
จะรอช้าไม่ได้อีก ผู้ไล่ตามกำลังเข้าใกล้แล้วดังนั้นอูโซเว่ยและเซี่ยหลูโม่จึงสบตากัน และใช้วิธีที่งุ่มง่ามที่สุดและเป็นทางเดียวก็คือให้พวกเขาขี่หลังตนเองแล้วบินขึ้นไปอย่างไรก็ตาม นอกจากจางต้าจ้วงและอาจารย์หยูแล้ว มีคนตั้งสิบเอ็ดคน ซึ่งหมายความว่าพวกเขาต้องไปมาอย่างน้อยห้าหกครั้งด้วยความเหนื่อยล้าและหมดพลัง...มันช่างยากเหลือเกิน"อาจารย์ลำบากท่านแล้ว" สายตาของเซี่ยหลูโม่เต็มไปด้วยความขอโทษอูโซเว่ยถอนหายใจและพูดว่า "เจ้าเป็นศิษย์คนเดียวของข้า ต้องให้เจ้าทนทุกข์ที่แต่งงานกับแม่นางที่ซนจนน่าปวดหัวที่สุดในภูเขาเหม่ยชาน ข้าจะไม่เห็นใจได้อย่างไร?"เซี่ยหลูโม่อยากจะบอกว่าเขามีความสุขมาก แต่ในสายตาที่เต็มไปด้วยความสมเพชของอาจารย์ เขากลืนคำพูดของเขากลับ นำคนบินขึ้นไปหมดค่อยว่ากัน อาจารย์เป็นคนหัวดื้อ หากไม่เห็นด้วยกับความเห็นของเขา เขาต้องโกรธแน่จะเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว เซี่ยหลูโม่อุ้มฉีฟางก่อน และอูโซเว่ยก็อุ้มเจ้าสิบเอ็ด และคนที่เหลือดูแลจางเลี่ยเหวินไว้ รอให้พวกเขาลงมาเซี่ยหลูโม่พูดกับฉีฟางว่า "จับไว้ให้แน่น นอกจากหายใจแล้วอย่าเคลื่อนไหวใดๆ"ฉีฟางตอบรับอืม สอดแขนโอบคอของท่านอ๋องด้
ทุกคนปิดปากและมองดูฉากนี้ด้วยความสยดสยอง คุณพระ หากตกลงไปแบบนี้ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ อูโซเว่ยและจางต้าจ้วงรีบพุ่งเข้าไปพร้อมกัน จับมือของเซี่ยหลูโม่คนละข้างในขณะที่อีกมือหนึ่งคว้าต้นไม้เล็กไว้ อย่างไรก็ตาม ระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองก็ห่างไกลกัน ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่ลากเซี่ยหลูโม่ไว้ ไม่สามารถพาเขาขึ้นไปได้นอกจากนี้ต้นไม้เล็กๆ สองต้นยังรับน้ำหนักคนได้สี่คนซึ่งเป็นอันตรายเช่นกันในขณะนี้ เจ้าสิบเอ็ดฝางปล่อยตะขอและเชือกลงอย่างรวดเร็ว และความยาวก็มาถึงมือขวาของเซี่ยหลูโม่พอดีจางต้าจ้วงสบตากับเขา และในขณะที่พวกเขาพยักหน้า จางต้าจ้วงก็ปล่อยมือ และเซี่ยหลูโม่ก็รีบคว้าเชือกด้วยมือขวาแล้วอูโซเว่ยค่อยปล่อยมือ เขาก็คว้าเชือกด้วยมือซ้ายอีกด้วยมือทั้งสองข้างพันอยู่กับเชือก ซึ่งหมายความว่าได้แต่ให้ลากพวกเขาสองคนขึ้นไปเท่านั้นความยาวของเชือกไม่ยาวพอที่จะพันรอบต้นไม้ด้านบน และเมื่อเจ้าสิบเอ็ดฝางปล่อยมันลงนั้นได้ปล่อยด้านที่มีตะขอเหล็กลงแล้ว ซึ่งมันหมดหนทางจริงๆ หากไม่ปล่อยด้านตะขอเหล็กไป เชือกก็จะปลิวไปมา ไม่สามารถไปอยู่ข้างๆ ท่านอ๋องอย่างมั่นคงเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถพันรอบต้นไม้ได้ จ
ฉีหลินผลักเขาออกไปทันทีและมองดูเขาอย่างใกล้ชิด เขาแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก แต่ยังจำเขาได้เขาทั้งร้องไห้และหัวเราะ "แก่แล้วและขี้เหร่ด้วย ทำไมถึงขี้เหร่ขนาดนี้?""ไม่มัวแต่ถามสารทุกข์สุขดิบ มาดูพี่น้องคนอื่นๆ บ้าง" เซี่ยหลูโม่หายใจไม่ออก และมือของเขาก็สั่นเทา หลังจากที่ปล่อยวางจางเลี่ยเหวินลงจากหลังเขาแล้ว เขานอนอยู่กับพื้น หลังจากเรียกอยู่หลายคำก็ไม่มีการตอบสนองฉีหลินและฝางเทียนสวีมองไปที่คนทั้งสิบเอ็ดคนและหลั่งน้ำตา เยี่ยมมากจริงๆ ที่คนเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่แต่สถานการณ์ของจางเลี่ยเหวินเป็นเรื่องเร่งด่วนในขณะนี้ และคนในนั้นก็ไม่มีใครรู้ทักษะทางการแพทย์ ดังนั้นจึงทำได้แค่บดยาและยัดมันลงไปเท่านั้นอูโซเว่ยก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน แม้ว่าเขาจะถนัดในการนองเลือด แต่เห็นๆ อยู่ว่าจางเลี่ยเหวินก็ไม่ได้รับบาดเจ็บภายใน แต่แผลแต่ละที่ล้วนเป็นหนองจนเป็นไข้ได้ อาการตกอยู่ในอันตรายมาก"ขึ้นไปเลย" เสียงคำรามดังมาจากด้านล่าง คือวิกเตอร์ เขานำคนมาถึงแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหน้าผา พวกเขาสามารถขึ้นไปกี่คนได้ก็ไม่แน่ "นี่มันอาณาจักรของแคว้นซา ใครที่บุกรุกเข้าแคว้นซาโดยไม่ได้รับอนุญาตล้วนต้องตาย""ไป"
เจ้าสิบเอ็ดฝางมองไปที่แผ่นหลังของหวังเบียว และสงสัยว่าเขาจำเขาไม่ได้จริงๆ หรือไม่ได้ยินชื่อของเขาด้วยซ้ำ หรือเขาจงใจแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขากันแน่ช่างเถอะ อาจารย์หยูพูดถูก การปล่อยวางเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกคน สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเหล่าจางหลังจากที่หมอทหารทำการวินิจฉัย ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึม ขอดูยาที่เซี่ยหลูโม่ให้กับจางเลี่ยเหวิน "โชคดีที่มียานี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงอยู่ไม่ถึงวันนี้"กองทัพมียารักษาแผลและมันเป็นยาดีที่สุด แต่หลังจากที่หมอทหารทำการวินิจฉัยแล้ว ก็ยังส่ายหัวและขอให้เซี่ยหลูโม่ออกไปพูดคุยด้วย"ที่ผู้บัญ... ท่านอ๋อง ข้าน้อยพยายามอย่างเต็มที่แล้ว มากสูดก็ยื้อเวลาเจ็ดแปดวัน แต่บอกยากจริงๆ ตัวร่างของเขาไม่มีเนื้อชิ้นดีๆ สักชิ้นเลย และยังมีรอยแดงและมีหนองเต็มไปหมด ถ้าไม่ได้เพราะท่านให้ยาดีๆ กับเขา เขาคงจากไปนานแล้ว""ยานั้นข้ายังมีอยู่ ถ้าให้เขากินตลอดทาง สามารถถ่วงเวลาเป็นหนึ่งเดือนได้ไหม?"หมอทหารส่ายหัว "ไม่ได้ขอรับ ยานี้รักษาหัวใจ สามารถรักษาให้จนถึงวันนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว ถ่วงอีกหนึ่งเดือนย่อมไม่ได้เลย"เซี่ยหลูโม่ขมวดคิ้ว "เจ้าติดตามข้ากลับเมืองหลวง ข้าจะไปบอก
เซี่ยหลูโม่ไปหาหวังเบียวโดยบอกว่าจะให้หมอทหารมาติดตามเขาไป หวังเบียวตอบรับทันที เพราะมีหมอทหารหลายคนอยู่ในกองทัพจดหมายของหวังเบียวได้ส่งออกไปแล้ว หลังจากคิดหาทางให้ตนเองได้สร้างผลงานมากที่สุดเสร็จแล้ว เขามองดูคนทั้งสิบเอ็ด ก็รู้สึกน่าชื่นชมจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้ยินว่าเหล่าจางไม่อยู่ในสภาพที่ไม่ดี เขาก็เริ่มกังวลมากไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นทหารเช่นกัน แม้ว่าเขาเคยคิดที่จะตัดทิ้งชีซื่อไป แต่ได้เห็นพวกเขากลับมา เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเช่นกันไม่มีใครจะไม่ชื่นชมวีรบุรุษ เว้นแต่วีรบุรุษนั้นจะส่งผลต่อสถานะของเขา แต่เห็นได้ชัดว่าการกลับมาอย่างปลอดภัยของทั้งสิบเอ็ดคนนี้ค มีผลงานของเซี่ยหลูโม่ แต่เขาก็ให้ความร่วมมือเช่นกัน เพราะถึงยังไงเขาได้ส่งฉีหลินและฝางเทียนสวีไปให้แล้วการที่เขาอยากจะช่วยจางเลี่ยเหวินกลับมามีชีวิต แน่นอนว่ามีแผนแอบแฝงบ้าง จางเลี่ยเหวินเป็นคุณชายรองของจวโหวเซวียนผิง สถานะของเขาในกองทัพยังไม่มั่นคง และต้องการการสนับสนุนจากตะกูลใหญ่ๆ พวกนั้นด้วยแต่เขาไม่คาดคิดว่าเจ้าสิบเอ็ดฝางจะเป็นสมาชิกของชีซื่อด้วยน้องสาวสามได้ถูกปล่อยตัวกลับบ้านและแต่งงานใหม่แล้ว ท่านพี่ชา
ทันทีที่แม่นมเดินออกไป ซ่งซีซีกล่าวว่า "ท่านอ๋องไปเมืองซีม่อนเพื่อเจรจาหาเรื่องสายลับคนที่ชื่อชีซื่อกับชาวแคว้นซา ชีซื่อเป็นสายลับกองทัพของเราที่หลบหนีจากการถูกจับตัว ในช่วงสงครามเขตหนานเจียง เขาได้ส่งข่าวกรองไปยังกองทัพของเราตลอด แต่เขาถูกจับตัวไปเมื่อไม่นานก่อน ชาวแคว้นซาอยากใช้เขามาแลกเมืองซีม่อน"เมื่อซ่งซีซีพูดเช่นนี้ ทุกคนก็หายใจถี่ขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงรอให้นางพูดต่อ"ดังนั้นฮ่องเต้จึงส่งท่านอ๋องไปซีม่อน เมื่อพูดต่อหน้าคือไปเจรจาบน แต่จริงๆ แล้วไปช่วยตัวประกันลับหลัง ตอนนี้ได้ช่วยชีซื่อกลับถึงซีม่อน และทางนั้นบอกว่าเขาก็คือจางเลี่ยเหวิน คุณชายรองของพวกเจ้า แต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่านอ๋องใช้นกพิราบบินส่งจดหมายให้นำหมอมหัศจรรย์ดันและฮูหยินน้อยรองไป จะออกเดินทางคืนนี้ รอช้าไม่ได้เลย""แม่เจ้า คุณพระช่วย" ฮูหยินโหวเซวียนผิงตัวสั่นไปหมด นางได้ยินมาว่าบุตรชายของตนเองยังไม่ตายแต่ก็กำลังจะตาย นางก็ทุกข์ใจมาก "ข้าไป ข้าขอไปด้วย"ซื่อจื่อโหวเซวียนผิงพยุงแม่ของเขาไว้ "ท่านแม่อย่าไป ข้าไป ข้าจะติดตามน้องสะใภ้ไป"เสียงของเขาสำลัก"ข้าก็ไปด้วย" เสียงของโหวเซวียนผิงสั่นเล็กน้อย เขายิ้ม
สถาบันว่านซงเหมิน ณ เขาเหมยซานวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของเหรินหยางอวิ๋น ทว่าอูโซเว่ยกลับกล่าวว่ายังไม่ใช่แต่ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาต้องการความครื้นเครง จึงได้ส่งเทียบเชิญไปยังบรรดาสำนักบนเขาเหมยซาน รวมถึงพรรคในยุทธภพที่พอจะมีไมตรีกันอยู่บ้างล่วงหน้าหลายวัน จัดเลี้ยงเกินสามสิบโต๊ะอูโซเว่ยลงมือจัดเตรียมงานเลี้ยงวันประเกิดนี้ด้วยตนเองเรื่องราวภายในสถาบันว่านซงเหมิน ส่วนมากล้วนเป็นเขาที่ลงมือจัดการเอง เขา อูโซเว่ย ไม่ถือสาหากต้องลำบากสักหน่อย แต่ที่ทำให้เขาคิดว่ามีปัญหาก็คือ คราวนี้ศิษย์พี่กลับระบุในเทียบเชิญว่าห้ามนำของขวัญอวยพรวันเกิด มันลำบากเกินไปจริงๆสถาบันว่านซงเหมินมั่งคั่งก็จริง แต่ไม่อาจลดเกียรติตนเองเช่นนี้ แม้ไปดื่มสุรามงคลหรือสุราวันเกิดของผู้อื่นก็ใช่ว่าจะไปมือเปล่า ของขวัญกับน้ำใจย่อมขาดไม่ได้ศิษย์พี่ก็เป็นบุรุษที่เงินทองมากจนคันมือคันไม้ หากมิหาเหตุผลใดๆ เพื่อใช้จ่ายออกไปบ้าง ก็คงไม่อาจเป็นสุขกายใจทว่า ที่ทำให้อูโซเว่ยรู้สึกประหลาดใจก็คือ แต่ก่อนศิษย์พี่ไม่ค่อยชอบคบหาผู้คน ถึงมีเรื่องน่ายินดีก็เพียงเอ่ยวาจาทักทายสองสามคำก็จบแต่วันนี้ต่างออกไป เห็นเขาใช้โอกาสข
ท่านอ๋องฮุยมองถ้วยที่แตกกระจายอยู่บนพื้น เศษชิ้นส่วนแม้จะไม่คมมาก แต่หากใช้กรีดข้อมือก็น่าจะทำได้ เขาค่อยๆ ก้มลงเก็บเศษถ้วยชิ้นหนึ่งขึ้นมา แต่ทันใดนั้นมือของเขาก็ถูกคว้าไว้ "ฝ่าบาท โปรดระวังมือได้รับบาดเจ็บ" ข้อมือของเขาถูกบีบจนเจ็บปวด เศษถ้วยในมือก็ถูกแย่งไปในทันที คนผู้นั้นสวมเสื้อผ้าสีดำสนิท แม้แสงจากโคมไฟสะท้อนก็ไม่ปรากฏแสงใดจากชุดของเขา ในจวนแห่งนี้มีคนเช่นนี้อยู่มากเท่าใด เขาเองก็ไม่รู้ เขารู้เพียงว่า ไม่ว่าจะไปที่ใด ก็มีความรู้สึกถูกจับตาดูอย่างหนักอึ้ง คนเหล่านี้ไม่เพียงมีวิทยายุทธ์สูงส่ง พลังภายในลึกล้ำ แต่ยังเก่งกาจเรื่องอาวุธลับ ต่อให้เขาพาเสิ่นว่านจือและคนอื่นๆ ออกไป ความรู้สึกกดดันนี้ก็ยังคงอยู่ เขาเคยหวังว่าเสิ่นว่านจือและคนอื่นๆ จะสังเกตเห็นการมีอยู่ของคนเหล่านี้ แต่พวกเขากลับเหมือนอากาศที่อยู่ทุกหนแห่ง ทว่าไม่มีใครมองเห็นหรือสัมผัสได้ เหล่าทหารรับจ้างของอ๋องเยี่ยนเมื่อเทียบกับคนเหล่านี้แล้ว ช่างเหมือนขยะไม่มีค่า เมื่อคนผู้นั้นปล่อยมือ ข้อมือของเขาก็ช้ำเป็นรอยดำ มีรอยนิ้วมือสองรอยชัดเจน แม้แต่การตาย เขายังไร้หนทางทำให้สำเร็จ ดวงตาของท่านอ๋อง
ท่านอ๋องฮุยพ่นลมหายใจออกอย่างเย็นชา พลางเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่ยอมมองเขา หนิงจวิ้นอ๋องที่ยืนตัวตรงสง่างามอยู่ตรงนั้น แต่ใบหน้ายังคงเป็นของลุงกวน พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "ลูกขอสัญญา สิ่งที่ลูกตกลงกับเสด็จพ่อไว้ ลูกจะทำให้สำเร็จ งานก่อสร้างคลองจะแล้วเสร็จโดยไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ ไม่ทำร้ายชาวบ้านในเมืองหลวง ไม่เหยียบย่ำพืชผลใดๆ และขอให้เสด็จพ่อวางใจ ลูกจะไม่ปล่อยให้เสด็จพ่อต้องตาย ลูกยังรับรองได้ว่า หลังจากชิงใต้หล้ามาได้ บัลลังก์จักรพรรดิ์จะต้องเป็นของเสด็จพ่อแน่นอน" ท่านอ๋องฮุยพูดเย้ยหยันว่า "เจ้านี่ช่างเป็นลูกกตัญญูยิ่งนัก" "ลูกเคยพูดแล้ว" หนิงจวิ้นอ๋องตอบอย่างจริงใจ "ลูกจะมอบตำแหน่งจักรพรรดิ์ผู้ทรงอำนาจสูงสุด ให้เสด็จพ่อ เพื่อให้เสด็จพ่อปกครองแผ่นดิน เราจะไม่ถูกแคว้นซาข่มเหงอีกต่อไป ไม่ต้องยืดเยื้อเรื่องชายแดนกับชาวซีจิง ชาวบ้านจะได้ใช้ชีวิตสงบสุข และแคว้นซางของเราจะเจริญรุ่งเรือง" ท่านอ๋องฮุยสบถเสียงดัง "เจ้ากบฏที่สมคบคิดกับแคว้นซาซีจิง กล้าพูดคำพูดไร้ยางอายแบบนี้ออกมาได้ ช่างน่ารังเกียจที่สุด" "นั่นเป็นเพียงแผนชั่วคราว รอเสด็จพ่อขึ้นครองบัลลังก์ ลูกจะขับไล่ศัตรูและท
เฉินเฉินเสนอให้ลองพิสูจน์ดู แต่เสิ่นว่านจือส่ายศีรษะ "อย่าลอง ทำเป็นไม่รู้ดีที่สุด ห้ามไปกระตุ้นให้พวกเขาระแวง พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะออกเดินทางแล้วกลับไปบอกซีซีและอาจารย์หยู" แต่หม่านโถวกลับทำท่าคิดหนัก "พวกเราจะออกไปได้หรือ?" เฉินเฉินตกใจเล็กน้อย "เจ้าหมายความว่าเขาจะไม่ยอมให้พวกเราไป? เขาจะกักตัวพวกเราไว้? แต่ท่านอ๋องฮุยบอกแล้วว่าปล่อยให้พวกเราไปนี่" "แต่เหตุใดท่านอ๋องฮุยถึงเรียกว่านจือมาที่นี่ล่ะ? พวกเจ้าเคยคิดเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า?" เสิ่นว่านจือเดินไปมาด้วยความร้อนใจ นางเคยคุยเรื่องนี้กับซ่งซีซีมาก่อนแล้ว ถ้าการเรียกตัวมาไม่ใช่เพื่อขอความช่วยเหลือ แล้วจะเป็นการกักตัวหรือ? แต่มองดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่เรื่องนั้น คล้ายกับว่าต้องการเปิดเผยบางอย่างให้พวกเขาเห็นมากกว่า "เป็นไปได้ไหมว่า ท่านอ๋องฮุยและลุงกวนไม่ได้อยู่ข้างเดียวกัน?" เสิ่นว่านจือย้อนคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่ในจวนท่านอ๋องฮุย ลุงกวนเหมือนจะอยู่ทุกที่ แต่กลับไม่มีใครรู้สึกถึงตัวตนของเขา นางอดทนไว้ ไม่กล้าพูดสิ่งที่ตนคาดเดาออกมา ลุงกวนจะใช่คนที่ปลอมตัวหรือเปล่า? หรือเขาคือหนิงจวิ้นอ๋อง? "ไม่คุยแล้ว กลับไปนอนกั
เสิ่นว่านจือและพรรคพวกพักอยู่ในจวนท่านอ๋องฮุยมาหลายวัน จนแทบจะพลิกจวนค้นหาไปทั่ว แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร นางจึงตัดสินใจจะถอนตัวกลับ ในแต่ละวัน นางเอาแต่นั่งกินดื่มกับท่านอ๋องฮุย จนรู้สึกว่าตัวเองเกียจคร้าน เสียเวลาเปล่า โดยเฉพาะเมื่อซ่งซีซีกำลังยุ่งมาก แต่นางกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ ระหว่างมื้อเย็น นางจึงบอกกับท่านอ๋องฮุยว่าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ท่านอ๋องฮุยมองนางพร้อมหัวเราะ "ทำไมหรือ? หรือจวนของข้าเลี้ยงดูเจ้าด้วยของดีๆ ไม่พอ?" เสิ่นว่านจือตอบอย่างตรงไปตรงมา "ท่านเลี้ยงดูดีเกินไป ทุกวันมีแต่ของเลิศรสจากป่าและทะเลจนข้ารู้สึกเกินพอ" "เจ้าช่างเป็นหมูป่าเสียจริง กินอาหารเลิศรสไม่เป็น!" ท่านอ๋องฮุยหัวเราะเสียงดัง "เอาเถอะ หากเจ้าอยู่เบื่อแล้ว ก็กลับไปเถิด" เขาเรียกลุงสิบสามมา สั่งว่า "เจ้าสิบสาม ไปที่คลังสมบัติ เลือกของขวัญสักสองสามชิ้นไว้ส่งให้พวกเขาในวันพรุ่งนี้" ลุงสิบสามตอบ "ขอรับ ข้าจะไปจัดการทันที" ลุงกวนที่ยืนรออยู่หน้าประตูได้ยินจึงกล่าวว่า "ฝ่าบาท ให้ข้าไปเถอะ" ท่านอ๋องฮุยมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า "อืม เจ้าก็ไปเถิด เลือกของดีๆ
เพราะการจัดกำลังป้องกันของกองทัพซวนเจีย เมืองหลวงจึงตกอยู่ในสภาวะระแวงระวังอย่างหนักด้วยการประกาศห้ามออกจากเคหสถานในเวลากลางคืน ทำให้สถานที่บันเทิงเริงรมย์ต่างๆ ดำเนินกิจการได้ลำบาก โรงน้ำชาและโรงสุราต่างปิดประตูทันทีเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เมืองหลวงในยามค่ำคืนราวกับเป็นเมืองร้างกลยุทธ์ในตอนนี้คือ ข้าศึกไม่เคลื่อนไหว เราก็ไม่เคลื่อนไหวงานก่อสร้างคลองยังคงดำเนินต่อไป หากหยุดงานโดยไม่มีเหตุผล กองทัพซวนเจียจะบุกล้อมทันทีเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ซ่งซีซีจึงยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้และถือไพ่เหนือกว่าหากงานก่อสร้างไม่หยุด กิจการคลองจะดำเนินไปตามปกติ ซึ่งเป็นผลดีทั้งต่อราชสำนักและราษฎรแม้การเผชิญหน้าระหว่างสองกองทัพยังไม่เกิดขึ้น แต่บรรยากาศของสงครามกลับเข้มข้นราวกับควันปืนที่เริ่มปกคลุมการเข้าออกประตูเมืองถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดทุกวัน เป็นไปไม่ได้ที่นกต่อจะไม่กลับมาเมืองหลวง เมื่อเดิมพันด้วยชีวิตและทรัพย์สิน เขาจะสั่งการจากระยะไกลได้อย่างไร?ก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีสงสัยว่านกต่ออาจกลับมาแล้ว แต่เสิ่นว่านจือที่พักอยู่ในจวนอ๋องฮุยกลับไม่พบเบาะแสใดเลย อีกทั้งข้ารับใช้ใกล้ชิดของท่านอ๋องฮุยล้วนเป
แม้ว่าจะไม่ถูกต้องตามระเบียบ แต่ก่อนที่นางจีจะกลับไป ซ่งซีซีก็สั่งให้คนไปซื้อโจ๊กเนื้อบดสองหม้อ โดยอ้างว่าเป็นของชาวบ้านที่ต้องการขอบคุณฮูหยินจีสำหรับการแจกจ่ายโจ๊กตลอดหลายปีที่ผ่านมา และตอนนี้ต้องการตอบแทนบุญคุณครั้งนี้นางจีร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ นางหวังว่าลูกๆ จะได้ดื่มโจ๊กอุ่นๆ สักคำ แม้เพียงนิดเดียวหลังออกจากหอต้าหลี่ ซ่งซีซีครุ่นคิดแล้วสั่งให้อาจารย์หยูไปเล่าถึงเรื่องที่ชาวบ้านบริจาคโจ๊กให้เป็นที่แพร่หลายเดิมทีผู้คนยังจดจำความมีน้ำใจของนางจีที่แจกจ่ายโจ๊กได้ แต่ช่วงนี้เรื่องราวนั้นเริ่มเงียบหายไปตอนนี้จึงเหมาะที่จะใช้โอกาสนี้จุดกระแสเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งอาจารย์หยูจึงแต่งเรื่องเล็กน้อย โดยเล่าว่าชาวบ้านที่มอบโจ๊กเดิมทีเป็นคนเร่ร่อนชานเมืองหลวงที่อดอยากจนเกือบตาย ดื่มโจ๊กที่โรงทานหลายวันติดต่อกัน และก่อนออกจากเมืองหลวง โรงทานยังมอบเสบียงให้เขาห่อหนึ่งแม้ปัจจุบันชีวิตของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นนัก แต่เมื่อได้ยินว่าผู้มีพระคุณของเขาประสบเคราะห์ เขาจึงรีบเดินทางมาที่เมืองหลวงและซื้อโจ๊กอุ่นๆ สองหม้อมาส่งที่เรือนจำ พร้อมร้องขอให้นำไปให้ผู้มีพระคุณเซี่ยหรูหลิงซึ่งดูแลเรือนจำ เ
นางถามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”หงเชวี่ยตอบว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอาการยังพอรับได้ แต่ถ้าหวังชิงหลูไข้สูงไม่ลด ก็อาจเป็นอันตรายได้ นางเครียดเกินไป ตอนที่พบนาง นางจับมือข้าไว้แน่น ถามว่าตัวเองจะตายหรือไม่ พูดแต่เรื่องเพ้อเจ้อ เดี๋ยวโทษคนนั้น เดี๋ยวโทษคนนี้ บางครั้งก็โทษตัวเองที่ตัดสินใจผิดพลาดหลายอย่าง”ซ่งซีซีไม่ได้พูดอะไร นางไม่มีสิทธิ์ตัดสินชีวิตของผู้อื่น เพียงแต่หวังว่านางจะไม่ทำให้ฮูหยินจีลำบากไปกว่านี้หากหวังชิงหลูเสียชีวิตในเรือนจำ จะสร้างความหวาดกลัวให้กับคนในตระกูลหวัง ซึ่งจะเพิ่มภาระทางจิตใจให้กับฮูหยินจีอย่างแน่นอน“หงเชวี่ย อีกสองวันเจ้าไปดูพวกเขาอีกทีนะ”หงเชวี่ยพยักหน้า “เจ้าค่ะ”ซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อีกสองวันเจ้าไป ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”นางอยากพูดคุยกับฮูหยินจีตามลำพัง เพราะในที่สิ้นหวังเช่นเรือนจำนั้น หากไม่มีแม้แต่คนพูดคุย มีเพียงเสียงร้องไห้ที่ไม่สิ้นสุด วันเวลาก็จะยืดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เนื่องจากฝ่าบาททรงพระประชวรและงดราชกิจ นางจึงต้องไปพบเสนาบดีมู่เพื่อแจ้งเรื่องจินชางหมิงเปล
เนื่องจากฝ่าบาททรงส่งชีกุ้ยไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอก งานดูแลเรือนจำจึงถูกมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของหอต้าหลี่ดูแล และผู้ที่รับหน้าที่นี้คือเซี่ยหรูหลิงไม่นานนัก เซี่ยหรูหลิงก็เดินทางมาที่จวนเป่ยหมิงอ๋องเพื่อพบซ่งซีซี บอกว่ามีเรื่องที่เขาตัดสินใจไม่ได้ และขอให้ซ่งซีซีช่วยแนะนำซ่งซีซีรีบกินข้าวเพียงสองสามคำแล้วออกมาพบเขา เพราะกังวลว่าอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮูหยินจีและเด็กๆแต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่เซี่ยหรูหลิงกล่าว นางก็พบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูทั้งสองคนหลังจากถูกส่งตัวเข้าเรือนจำก็วิตกกังวลทุกวัน อีกทั้งอาหารยังแย่ยิ่งกว่าอาหารที่เคยให้สุนัขกิน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เริ่มอาเจียนและท้องเสียก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีเคยให้ยากับฮูหยินจี ซึ่งรวมถึงยาสำหรับอาการท้องเสียและปวดท้องเพราะไม่ชินสภาพแวดล้อม ยาทำให้อาการดีขึ้น แต่เพราะต้องกินอาหารแบบนั้นต่อไป อาการจึงกลับมาแย่ลงอีก และหวังชิงหลูก็มีไข้สูงฮูหยินผู้เฒ่าร้องขออย่างน่าสงสารให้ช่วยหาหมอ เซี่ยหรูหลิงไม่กล้าตัดสินใจ จึงออกมาขอคำปรึกษาจากซ่งซีซีซ่งซีซีถามว่า “แล้วคนอื่นล่ะ? มีอาการเหมือนกันหรือไม่?”“เดิมที