เมื่อวันที่สิบก้าวมิถุนายน หวังเบียวส่งฝางเทียนสวีและฉีหลินพร้อมทหารสามพันคนไปที่ภูเขานอกเมืองซีม่อน เพื่อรอรับเป่ยหมิงอ๋องและชีซื่อเขาไม่สนใจว่าสถานการณ์การช่วยตัวประกันที่ทางนุ้นจะเป็นอย่างไร แต่การส่งกลุ่มคนไปรับเขาต้องทำทุกสิ่งจะต้องทำอย่างไม่มีที่ติเพื่อตำแหน่งผู้บัญชาการของเขาจะมั่นคงหากเป่ยหมิงอ๋องล้มเหลวในการช่วยตัวประกันและตกไปอยู่ในเงื้อมมือของชาวแคว้นซา งั้นก็เป็นกรรมของเขาเอง เขาไม่มีทางส่งคนไปที่ชายแดนของแคว้นซาได้ฉีหลินและฝางเทียนสวีได้นำทหารและม้าของพวกเขาไปยังภูเขาที่สูงที่สุดนอกเมืองซีม่อน หลังจากทิ้งคนหนึ่งพันคนเตรียมพร้อมรับคำสั่งกับที่ พวกเขาก็นำคนสองพันคนและเดินหน้าต่อไปโดยหวังว่าจะได้พบท่านอ๋องโดยเร็วที่สุดแต่หลังจากข้ามภูเขาหนึ่งลูกแล้ว พวกเขาไม่ได้เดินต่อไปอีก ข้างหน้ามีชนเผ่าทุ่งหญ้าอยู่ หากไปกันแค่กี่คนมันก็ได้อยู่ แต่พากลุ่มทหารสองพันนาย นี่เท่ากับจะสร้างสงครามเลยที่จริงแล้วขอแค่ท่านอ๋องมาถึงทุ่งหญ้า ชาวแคว้นซาจะไม่กล้าเข้าไปง่ายๆ พวกเขาได้แต่ส่งนักรบเก่งๆ หลายๆ คนไล่ตามเขาไป แต่ถ้าจำนวนคนไม่มาก ในกรณีที่ท่านอ๋องไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เขาก็สามารถจัดก
ในที่สุดพวกเขาทั้งสองก็ตัดสินใจจะไปด้วยกัน เพราะทหารและม้าก็อยู่ที่นี่และไม่ได้บุกรุกชายแดนของคนอื่น ไม่ได้ก้าวเข้าไปในชนเผ่าทุ่งหญ้า เพียงหนึ่งร้อยคนเท่านั้นที่ทยอยไปเป็นอย่างที่คาดไว้ พวกเขาเดินทางเป็นกลุ่มและไม่ได้ทำให้ทหารรักษาการณ์ประจำทุ่งหญ้าสังเกตเห็น พวกเขาปีนขึ้นไปบนภูเขาหวู่เหิง และรออยู่ที่ยอดเขา แม้ว่าภูเขาหวู่เหิงจะใหญ่มาก แต่พวกเขาก็ยืนอยู่จุดสูงสุดได้ หากที่นั่นมีการเคลื่อนไหวอะไรพวกเขาล้วนจะเห็นหมดจะลงไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ภูเขาหวู่เหิงครึ่งหนึ่งถูกครอบครองโดยแคว้นซา ส่วนอีกครึ่งหนึ่งถูกครอบครองโดยทุ่งหญ้า หากไม่ระวังไว้จะเกิดความขัดแย้งได้จะว่าไปอย่างนั้น แต่ยังคงเหลือบางคนไว้ที่นี่ โดยบอกว่าหากพวกเขาพบสถานการณ์ใดๆ ให้แจ้งทันที ส่วนพวกยังคงเดินลงไปพร้อมกับคนมากกว่าสิบคนเซี่ยหลูโม่และคนอื่นๆ มาถึงเชิงเขาภูเขาหวู่เหิง ตราบใดที่ข้ามภูเขาหวู่เหิงพวกไปก็ถึงทุ่งหญ้าแล้วพวกเขามีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้นที่เข้ามาในทุ่งหญ้า ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดความสนใจของชนเผ่าทุ่งหญ้า แต่วิกเตอร์จะไม่กล้าไล่ตามมาอย่างแน่นอนแต่การเดินวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต เขาไหว คนอื่นๆ ก็เริ่มไม่
จะรอช้าไม่ได้อีก ผู้ไล่ตามกำลังเข้าใกล้แล้วดังนั้นอูโซเว่ยและเซี่ยหลูโม่จึงสบตากัน และใช้วิธีที่งุ่มง่ามที่สุดและเป็นทางเดียวก็คือให้พวกเขาขี่หลังตนเองแล้วบินขึ้นไปอย่างไรก็ตาม นอกจากจางต้าจ้วงและอาจารย์หยูแล้ว มีคนตั้งสิบเอ็ดคน ซึ่งหมายความว่าพวกเขาต้องไปมาอย่างน้อยห้าหกครั้งด้วยความเหนื่อยล้าและหมดพลัง...มันช่างยากเหลือเกิน"อาจารย์ลำบากท่านแล้ว" สายตาของเซี่ยหลูโม่เต็มไปด้วยความขอโทษอูโซเว่ยถอนหายใจและพูดว่า "เจ้าเป็นศิษย์คนเดียวของข้า ต้องให้เจ้าทนทุกข์ที่แต่งงานกับแม่นางที่ซนจนน่าปวดหัวที่สุดในภูเขาเหม่ยชาน ข้าจะไม่เห็นใจได้อย่างไร?"เซี่ยหลูโม่อยากจะบอกว่าเขามีความสุขมาก แต่ในสายตาที่เต็มไปด้วยความสมเพชของอาจารย์ เขากลืนคำพูดของเขากลับ นำคนบินขึ้นไปหมดค่อยว่ากัน อาจารย์เป็นคนหัวดื้อ หากไม่เห็นด้วยกับความเห็นของเขา เขาต้องโกรธแน่จะเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว เซี่ยหลูโม่อุ้มฉีฟางก่อน และอูโซเว่ยก็อุ้มเจ้าสิบเอ็ด และคนที่เหลือดูแลจางเลี่ยเหวินไว้ รอให้พวกเขาลงมาเซี่ยหลูโม่พูดกับฉีฟางว่า "จับไว้ให้แน่น นอกจากหายใจแล้วอย่าเคลื่อนไหวใดๆ"ฉีฟางตอบรับอืม สอดแขนโอบคอของท่านอ๋องด้
ทุกคนปิดปากและมองดูฉากนี้ด้วยความสยดสยอง คุณพระ หากตกลงไปแบบนี้ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ อูโซเว่ยและจางต้าจ้วงรีบพุ่งเข้าไปพร้อมกัน จับมือของเซี่ยหลูโม่คนละข้างในขณะที่อีกมือหนึ่งคว้าต้นไม้เล็กไว้ อย่างไรก็ตาม ระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองก็ห่างไกลกัน ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่ลากเซี่ยหลูโม่ไว้ ไม่สามารถพาเขาขึ้นไปได้นอกจากนี้ต้นไม้เล็กๆ สองต้นยังรับน้ำหนักคนได้สี่คนซึ่งเป็นอันตรายเช่นกันในขณะนี้ เจ้าสิบเอ็ดฝางปล่อยตะขอและเชือกลงอย่างรวดเร็ว และความยาวก็มาถึงมือขวาของเซี่ยหลูโม่พอดีจางต้าจ้วงสบตากับเขา และในขณะที่พวกเขาพยักหน้า จางต้าจ้วงก็ปล่อยมือ และเซี่ยหลูโม่ก็รีบคว้าเชือกด้วยมือขวาแล้วอูโซเว่ยค่อยปล่อยมือ เขาก็คว้าเชือกด้วยมือซ้ายอีกด้วยมือทั้งสองข้างพันอยู่กับเชือก ซึ่งหมายความว่าได้แต่ให้ลากพวกเขาสองคนขึ้นไปเท่านั้นความยาวของเชือกไม่ยาวพอที่จะพันรอบต้นไม้ด้านบน และเมื่อเจ้าสิบเอ็ดฝางปล่อยมันลงนั้นได้ปล่อยด้านที่มีตะขอเหล็กลงแล้ว ซึ่งมันหมดหนทางจริงๆ หากไม่ปล่อยด้านตะขอเหล็กไป เชือกก็จะปลิวไปมา ไม่สามารถไปอยู่ข้างๆ ท่านอ๋องอย่างมั่นคงเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถพันรอบต้นไม้ได้ จ
ฉีหลินผลักเขาออกไปทันทีและมองดูเขาอย่างใกล้ชิด เขาแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก แต่ยังจำเขาได้เขาทั้งร้องไห้และหัวเราะ "แก่แล้วและขี้เหร่ด้วย ทำไมถึงขี้เหร่ขนาดนี้?""ไม่มัวแต่ถามสารทุกข์สุขดิบ มาดูพี่น้องคนอื่นๆ บ้าง" เซี่ยหลูโม่หายใจไม่ออก และมือของเขาก็สั่นเทา หลังจากที่ปล่อยวางจางเลี่ยเหวินลงจากหลังเขาแล้ว เขานอนอยู่กับพื้น หลังจากเรียกอยู่หลายคำก็ไม่มีการตอบสนองฉีหลินและฝางเทียนสวีมองไปที่คนทั้งสิบเอ็ดคนและหลั่งน้ำตา เยี่ยมมากจริงๆ ที่คนเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่แต่สถานการณ์ของจางเลี่ยเหวินเป็นเรื่องเร่งด่วนในขณะนี้ และคนในนั้นก็ไม่มีใครรู้ทักษะทางการแพทย์ ดังนั้นจึงทำได้แค่บดยาและยัดมันลงไปเท่านั้นอูโซเว่ยก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน แม้ว่าเขาจะถนัดในการนองเลือด แต่เห็นๆ อยู่ว่าจางเลี่ยเหวินก็ไม่ได้รับบาดเจ็บภายใน แต่แผลแต่ละที่ล้วนเป็นหนองจนเป็นไข้ได้ อาการตกอยู่ในอันตรายมาก"ขึ้นไปเลย" เสียงคำรามดังมาจากด้านล่าง คือวิกเตอร์ เขานำคนมาถึงแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหน้าผา พวกเขาสามารถขึ้นไปกี่คนได้ก็ไม่แน่ "นี่มันอาณาจักรของแคว้นซา ใครที่บุกรุกเข้าแคว้นซาโดยไม่ได้รับอนุญาตล้วนต้องตาย""ไป"
เจ้าสิบเอ็ดฝางมองไปที่แผ่นหลังของหวังเบียว และสงสัยว่าเขาจำเขาไม่ได้จริงๆ หรือไม่ได้ยินชื่อของเขาด้วยซ้ำ หรือเขาจงใจแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขากันแน่ช่างเถอะ อาจารย์หยูพูดถูก การปล่อยวางเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกคน สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเหล่าจางหลังจากที่หมอทหารทำการวินิจฉัย ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึม ขอดูยาที่เซี่ยหลูโม่ให้กับจางเลี่ยเหวิน "โชคดีที่มียานี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงอยู่ไม่ถึงวันนี้"กองทัพมียารักษาแผลและมันเป็นยาดีที่สุด แต่หลังจากที่หมอทหารทำการวินิจฉัยแล้ว ก็ยังส่ายหัวและขอให้เซี่ยหลูโม่ออกไปพูดคุยด้วย"ที่ผู้บัญ... ท่านอ๋อง ข้าน้อยพยายามอย่างเต็มที่แล้ว มากสูดก็ยื้อเวลาเจ็ดแปดวัน แต่บอกยากจริงๆ ตัวร่างของเขาไม่มีเนื้อชิ้นดีๆ สักชิ้นเลย และยังมีรอยแดงและมีหนองเต็มไปหมด ถ้าไม่ได้เพราะท่านให้ยาดีๆ กับเขา เขาคงจากไปนานแล้ว""ยานั้นข้ายังมีอยู่ ถ้าให้เขากินตลอดทาง สามารถถ่วงเวลาเป็นหนึ่งเดือนได้ไหม?"หมอทหารส่ายหัว "ไม่ได้ขอรับ ยานี้รักษาหัวใจ สามารถรักษาให้จนถึงวันนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว ถ่วงอีกหนึ่งเดือนย่อมไม่ได้เลย"เซี่ยหลูโม่ขมวดคิ้ว "เจ้าติดตามข้ากลับเมืองหลวง ข้าจะไปบอก
เซี่ยหลูโม่ไปหาหวังเบียวโดยบอกว่าจะให้หมอทหารมาติดตามเขาไป หวังเบียวตอบรับทันที เพราะมีหมอทหารหลายคนอยู่ในกองทัพจดหมายของหวังเบียวได้ส่งออกไปแล้ว หลังจากคิดหาทางให้ตนเองได้สร้างผลงานมากที่สุดเสร็จแล้ว เขามองดูคนทั้งสิบเอ็ด ก็รู้สึกน่าชื่นชมจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้ยินว่าเหล่าจางไม่อยู่ในสภาพที่ไม่ดี เขาก็เริ่มกังวลมากไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นทหารเช่นกัน แม้ว่าเขาเคยคิดที่จะตัดทิ้งชีซื่อไป แต่ได้เห็นพวกเขากลับมา เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเช่นกันไม่มีใครจะไม่ชื่นชมวีรบุรุษ เว้นแต่วีรบุรุษนั้นจะส่งผลต่อสถานะของเขา แต่เห็นได้ชัดว่าการกลับมาอย่างปลอดภัยของทั้งสิบเอ็ดคนนี้ค มีผลงานของเซี่ยหลูโม่ แต่เขาก็ให้ความร่วมมือเช่นกัน เพราะถึงยังไงเขาได้ส่งฉีหลินและฝางเทียนสวีไปให้แล้วการที่เขาอยากจะช่วยจางเลี่ยเหวินกลับมามีชีวิต แน่นอนว่ามีแผนแอบแฝงบ้าง จางเลี่ยเหวินเป็นคุณชายรองของจวโหวเซวียนผิง สถานะของเขาในกองทัพยังไม่มั่นคง และต้องการการสนับสนุนจากตะกูลใหญ่ๆ พวกนั้นด้วยแต่เขาไม่คาดคิดว่าเจ้าสิบเอ็ดฝางจะเป็นสมาชิกของชีซื่อด้วยน้องสาวสามได้ถูกปล่อยตัวกลับบ้านและแต่งงานใหม่แล้ว ท่านพี่ชา
ทันทีที่แม่นมเดินออกไป ซ่งซีซีกล่าวว่า "ท่านอ๋องไปเมืองซีม่อนเพื่อเจรจาหาเรื่องสายลับคนที่ชื่อชีซื่อกับชาวแคว้นซา ชีซื่อเป็นสายลับกองทัพของเราที่หลบหนีจากการถูกจับตัว ในช่วงสงครามเขตหนานเจียง เขาได้ส่งข่าวกรองไปยังกองทัพของเราตลอด แต่เขาถูกจับตัวไปเมื่อไม่นานก่อน ชาวแคว้นซาอยากใช้เขามาแลกเมืองซีม่อน"เมื่อซ่งซีซีพูดเช่นนี้ ทุกคนก็หายใจถี่ขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงรอให้นางพูดต่อ"ดังนั้นฮ่องเต้จึงส่งท่านอ๋องไปซีม่อน เมื่อพูดต่อหน้าคือไปเจรจาบน แต่จริงๆ แล้วไปช่วยตัวประกันลับหลัง ตอนนี้ได้ช่วยชีซื่อกลับถึงซีม่อน และทางนั้นบอกว่าเขาก็คือจางเลี่ยเหวิน คุณชายรองของพวกเจ้า แต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่านอ๋องใช้นกพิราบบินส่งจดหมายให้นำหมอมหัศจรรย์ดันและฮูหยินน้อยรองไป จะออกเดินทางคืนนี้ รอช้าไม่ได้เลย""แม่เจ้า คุณพระช่วย" ฮูหยินโหวเซวียนผิงตัวสั่นไปหมด นางได้ยินมาว่าบุตรชายของตนเองยังไม่ตายแต่ก็กำลังจะตาย นางก็ทุกข์ใจมาก "ข้าไป ข้าขอไปด้วย"ซื่อจื่อโหวเซวียนผิงพยุงแม่ของเขาไว้ "ท่านแม่อย่าไป ข้าไป ข้าจะติดตามน้องสะใภ้ไป"เสียงของเขาสำลัก"ข้าก็ไปด้วย" เสียงของโหวเซวียนผิงสั่นเล็กน้อย เขายิ้ม
ตำแหน่งที่เขานั่ง แสดงถึงจุดยืนของเป่ยถังในการเจรจาครั้งนี้!เป็นกลาง!ซ่งซีซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอีกครั้งว่า การที่แคว้นเข้มแข็งนั้นดีเพียงใดการเจรจาในช่วงแรกเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ คำพูดซ้ำไปซ้ำมา ถูกเน้นย้ำไม่รู้จบ ล่ามของทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่แปล โดยส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงปัญหาทางประวัติศาสตร์นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเริ่มต้นด้วยการยอมถอยแต่แรก ก็จะต้องถอยไปเรื่อยๆดังนั้น การเจรจาครั้งแรกจึงไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เป็นเพียงการลองเชิงขีดจำกัดของกันและกันในวันรุ่งขึ้น การเจรจาครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ตอนแรกก็ยังคงเน้นย้ำเรื่องเดิมสองรอบ จนกระทั่งอันเฟิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ถ่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีความหมาย สองแคว้นของพวกเจ้าโต้เถียงกันเรื่องพรมแดนมาหลายสิบปีแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ในวันเดียว เราพักเรื่องพรมแดนไว้ก่อน ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้ามีความตั้งใจจะทำสัญญาสันติระหว่างสองแคว้นหรือไม่ และจะไม่ละเมิดต่อกัน?”ทุกคนล้วนให้คำตอบที่แน่ชัด ต่างกล่าวว่าตนมาโดยมีความหวังที่ดี อยากให้สองแคว้นยุติความขัดแย้งอันเฟิงชินอ๋องหยิบแผ่นรายการออกมาแผ่นหนึ่ง บนกระดาษระบุรายการสินค้าของ
ทว่า ซ่งซีซีสังเกตเห็นว่าบรรดาญาติวงศ์ตระกูลและขุนนางของซีจิงดูเหมือนไม่รู้เรื่องที่เป่ยถังจะเข้ามาแทรกแซงการเจรจา พวกเขาล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงหลังจากตกตะลึง พวกเขากลับแสดงความยินดีและมั่นใจออกมา คิดดูแล้วพวกเขาก็คงเห็นว่าการที่เป่ยถังเข้าร่วมเป็นการช่วยหนุนหลังซีจิงเห็นเช่นนี้ซ่งซีซีกลับรู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อยเพราะหากเป็นเช่นนั้นจักรพรรดินีหยวนซินย่อมสามารถแจ้งพวกเขาล่วงหน้าได้ อย่างน้อยก็ควรให้ขุนนางที่ร่วมเจรจารับรู้แต่นางเหตุใดจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เล่าดูเหมือนว่ามีเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียว นางเองก็หวังให้ต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนปรนกัน อีกทั้งบรรดาขุนนางในราชสำนักที่สนับสนุนนางนั้นมีไม่มาก ดังนั้นนางจึงเชิญเป่ยถังอันเฟิงชินอ๋องมา เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับได้เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าคืนก่อนที่จักรพรรดินีหยวนซินเรียกนางและเสิ่นว่านจือเข้าเฝ้าในวัง เหตุใดนางจึงกล่าวถ้อยคำว่าความปรารถนามิอาจเป็นจริง การสอบเข้ารับราชการของสตรีเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกขึ้นมา นางต้องการสื่อว่าหลายๆ นโยบายล้วนผลักดันได้ยากหลังจากวิเคราะห์เหตุการณ์โดยละเอียดซ่งซีซีพลันรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้นหลังจากง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็
งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็
พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั
ฉินอ๋องได้รับความหวาดกลัว จึงให้หมอหลวงจ่ายยาบำรุงประสาทเพื่อบรรเทาอาการซ่งซีซีไปเยี่ยมดูอาการของเขา หน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ไร้สีเลือด ริมฝีปากยังสั่นระริก เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกมือสังหารไปหมดแล้วหรือยัง?”ซ่งซีซีบอกเขาว่า มือสังหารจากไปแล้ว เขาถึงค่อยหยุดสั่นไปบ้างที่จริง คนรอบตัวเขาต่างบอกไปแล้วว่าศัตรูถูกขับไล่ไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่เชื่อ ต้องให้ซ่งซีซีเป็นคนพูดเองถึงจะรู้สึกปลอดภัยซ่งซีซีกำชับให้เขาพักผ่อนดีๆ แล้วจึงออกมาหลี่เต๋อฮวยกำลังปลอบขวัญผู้คนอื่นๆ ในฐานะเสนาบดีกรมทหาร เขาผ่านประสบการณ์มามาก ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอันใด เขาเชื่อมั่นในตัวพระชายาและกองทัพซวนเจีย มิได้เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไรนัก อย่างมากก็แค่เสียหัวหนึ่งขณะเดียวกัน กลุ่มคนจากภูเขาเหม่ยชานรวมตัวกันสนทนา เริ่มสงสัยว่ากลุ่มคนชุดดำที่พบเจอที่ชายแดนเฉิงหลิง อาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับมือสังหารในคืนนี้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเสิ่นว่านจือที่กล่าวขึ้นมา นางคิดว่าพวกเขาหายตัวไปได้อย่างลึกลับเกินไป น่าจะมีเส้นทางลับที่ใช้หนีออกไป และพวกนั้นต้องมีแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้ายิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองกลุ่มล้
เช้าตรู่ กองคณะทูตออกเดินทางไปยังซีจิงซ่งซีซีมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากนัก เพราะขากลับก็ยังต้องผ่านชายแดนเฉิงหลิงอยู่ดี นางยังมีโอกาสได้พบกับครอบครัวของท่านตาอีกหลังจากออกจากชายแดนเฉิงหลิง เส้นทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น หลายจุดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือไม่ก็ถูกทำลายโดยเจตนา ทำให้รถม้าวิ่งไปได้ยากทว่าฉินอ๋องกลับไม่ต้องการขี่ม้าอีกแล้ว แม้จะได้พักฟื้นอยู่หลายวัน แต่บาดแผลที่ต้นขาของเขาก็ยังเจ็บอยู่มาก ถึงแม้จะเดินได้ แต่เมื่อต้องนั่งบนอานม้า ความเจ็บปวดยังคงสร้างความลำบากให้แก่เขาดังนั้น ฉินอ๋องผู้ที่เพิ่งสร้างความดีความชอบในชายแดนเฉิงหลิง และเป็นผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ก็เอ่ยปากว่าเขาจะนั่งรถม้าเมื่อรถม้าติดหล่ม กองทัพซวนเจียก็ลงจากหลังม้าช่วยกันเข็นอย่างยากลำบากดีที่ว่าตอนนี้เส้นทางระหว่างสองแคว้นเปิดให้สัญจร ไม่มีการปิดกั้น ดังนั้นจึงสามารถเดินทางไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ได้หากต้องปีนข้ามภูเขาสูงลิบลิ่ว เกรงว่าบั้นท้ายอันสูงศักดิ์ของฉินอ๋องคงต้องรับเคราะห์ไปอีกมากเมื่อเข้าสู่เขตแดนของซีจิง ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ซึ่งมีขุนนางและทหารของซีจิงมาคอยต้