เหลียงเส้าถูกเรียกกลับไปยังจวนเฉิงเอินป๋อ เขายังคงถือตัว โดยบอกว่าเขาไม่ผิด ฮ่องเต้ตำหนิเขาและปลดยศซื่อจื่อของเขาไปเป็นการตัดสินที่ไม่สมควรคนหนุ่มมักจะเย่อหยิ่ง คิดว่าตนเองฉลาดคนเดียวคนอื่นล้วนโง่หมด ดูถูกทุกคน แม้ว่าจะเป็นพ่อแม่ของตนเอง ครอบครัวของตนเอง เขาก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาเมื่อเห็นว่าเขาดื้อรั้นขนาดนี้ เฉิงเอินป๋อก็โกรธมากจนตบหน้าเขาแล้วพูดด้วยดุเดือดว่า "เจ้าไปกล่าวขอโทษต่อท่านหญิงเดี๋ยวนี้เลย หากเจ้ากล้าพูดจาไม่มีต่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอีก ก็ไสหัวออกไปซะ อย่าคิดจะเหยียบเข้ามาในจวนเฉิงเอินป๋ออีกในอนาคต แม้แต่ที่พักซอยฝูหรงก็ถูกยึดกลับคืนมาด้วย"ในขณะที่เหลียงเส้ากลับมานั้นเขายังคงกังวลเล็กน้อย เพราะถึงยังไงยศซื่อจื่อก็ถูกปลดแล้ว หลังจากปากแข็งพูดไปอีกกี่คำ หากคนในครอบครัวยังคงเอาใจเขางั้นเขาก็จะฉวยโอกาสอ่อนข้อให้แล้วพาเยียนหลิวกลับมาทว่าไม่มีผู้ใดเอาใจเขาหลังจากกลับบ้าน แม้แต่ท่านย่าที่คอยเอาใจใส่เขามาตลอดก็ยังเงียบอยู่ ตอนนี้เขาถูกตบหน้าอีกครั้งและยังบังคับให้ไปกล่าวขอโทษท่านหญิง ซึ่งทำให้เขาไม่ยอมเขาปิดหน้า ยังทำท่าดื้อรื้อและคำรามด้วยความโกรธ "เอาเลย เอากลับไปหมด ให้ข้
หลานเอ่อร์กล่าวว่า "ช่วยข้านั่งขึ้นแล้วปล่อยให้เขาเข้ามาเถอะ จะดูว่าเขาจะทำอะไร""ท่านหญิง ยังปล่อยให้เขามาหรือ?" เสี่ยวจินยังคงโกรธมากและเป็นกังวลเมื่อคิดถึงเขาเคยผลักคุณหนูชนกับโต๊ะหลานเอ่อร์กล่าวว่า "ไม่ต้องลัว ขอให้ศิษย์พี่ซือโซและศิษย์พี่หลัวคอยเฝ้าดูจากด้านข้าง เขาแตะต้องข้าไม่ได้"นางตายใจกับบุคคลนี้แล้ว แต่เรื่องบางเรื่องต้องมาพูดคุยต่อหน้าให้ชัดเจนเสี่ยวจินได้แต่ช่วยพยุงนางลุกขึ้นนั่ง โดยยัดเบาะนุ่มๆ ไว้บนหลังให้นาง "ไม่ว่ายังไงท่านก็ลุกจากเตียงไม่ได้ หมอบอกว่าท่านยังไม่สามารถลุกจากเตียงแล้วเดินไปรอบๆ ได้""ข้ารู้" ใบหน้าซีดเซียวของหลานเอ่อร์ ดูหมองคล้ำและไร้อารมณ์นับตั้งแต่เสด็จแม่บอกว่าห้ามนางหย่า นางก็นอนพักอย่างสิ้นหวังแบบนี้ตลอดทั้งวัน อย่าว่าแต่อนาคตจะเป็นอย่างไร นาง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรแต่วันนี้เขามาด้วยความโกรธ และจู่ๆ นางก็มีพลังขึ้นมาบ้าง นาง อยากจะทำอะไรสักอย่างหรืออยากจะพูดอะไรบางอย่างอย่างน้อย นางก็ไม่สามารถปล่อยให้การกระทำของท่านพี่ต้องเสียเปล่าเสียงฝีเท้าเร่งรีบเข้ามาใกล้ และเขาเสาเท้าเข้าไป แต่ศิษย์พี่ซือโซและศิษย์พี่หลัวควางติดต
เหลียงเส้าปรี๊ดแตก "ข้าไร้ค่าเช่นนี้ แต่เจ้ากลับกระตือรือร้นมาใกล้ชิดข้า เรื่องแต่งงานของเรา เป็นเจ้าชอบด้านเดียว ข้าแค่ถูกบังคับโดยอำนาจของจวนอ๋อง... ""หุบปากซะ" ดวงตาของหลานเอ่อร์แดงก่ำมาก และริมฝีปากของนางก็สั่นอีกครั้ง นางรู้สึกละอายใจและเสียใจมากเมื่อพูดถึงการแต่งงาน "ตอนแรกข้าถูกใจเจ้าจริงๆ แต่เจ้าก็บอกว่าถูกใจข้าด้วย นี่ถึงทำให้ข้ามีชะตากรรมที่ชั่วร้ายนี้เช่นนี้ หากจวนอ๋องฮวยของข้ามีอำนาจจริงๆ เจ้าจะกล้ารังแกข้าได้อย่างไร"สุดท้ายน้ำตาของนางยังคงไหลออกมาอย่างไม่เป็นที่น่าพอใจ แม้ว่านางจะพยายามกลั้นไว้ แต่นางเป็นคนมีนิสัยอ่อนแอตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว เมื่อพูดคำเหล่านี้ออกมา อารมณ์ของนางก็ไม่สามารถระงับได้อีกต่อไป ดังนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่ได้เช่นกันนางผอมมาก และท่าทางที่นางพยายามหลั่งน้ำตาเอาไว้แต่กลั้นไว้ไม่อยู่ทำให้เหลียงเส้ารู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดนี้ก็หายไปในชั่วพริบตา เขาสัญญาว่าจะรักเดียวใจเดียวกับเยียนหลิว จะไม่แสดงความรักหรือเห็นใจกับผู้หญิงคนอื่นเขาพูดอย่างเย็นชา "ข้ารังแกเจ้าหรือ ทำไมไม่บอกว่าเจ้ารังแกนาง ตอนนี้เจ้ายังอาศัยอยู่ใ
เหลียงเส้ากลับไปที่ซอยฝูหรง และบ้วนปากก่อนเพื่อคายเลือดในปากของเขาออกเขาไม่ต้องการให้เยียนหลิวเป็นห่วงคนรับใช้ในซอยฝูหรงมีเพียงสองคน คนหนึ่งอยู่ในครัว และอีกคนอาจจะกำลังรออยู่รับใช้เยียนหลิวในตอนนี้เขาบ้วนปากด้วยน้ำชาเย็นๆ ในห้องน้ำชา เพียงรู้สึกปวดศีรษะตุบๆ และปากด้านซ้ายดูเหมือนจะแตกร้าว เขาทนกับความเจ็บปวดเอาไว้อยู่นานถึงจะกลั้นน้ำตาเซี่ยหลานโหดร้ายมากจริงๆ นางให้คนอื่นทุบตีสามีของตนซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอนแรกเขาตาบอดจริงๆ ถูกหลอกด้วยนิสัยที่อ่อนโยนและละเมียดของนาง แต่เขาไม่คิดว่านางขี้อิจฉามากเช่นนี้พระชายาเป่ยหมิงอ๋อง ท่านพี่ของนางจะเป็นคนแบบไหน นางก็เป็นคนแบบเดียวกันหลังจากที่เขาถูกทุบตี ท่านย่าและท่านพ่อต้องรู้เรื่องนี้ ดังนั้นการที่เขาจากไปอย่างไม่กล่าวอะไรก็มีข้ออ้างได้แล้ว หากพวกเขามาร้องขอให้เขากลับ เขาจะไม่กลับไปอย่างง่ายๆ"เสี่ยวไป๋ เอาผ้าเช็ดตัว…"เขาเรียกไปเสียงหนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่าเสี่ยวไป๋อยู่ในจวนเฉิงเอินป๋อไม่ได้ติดตามมา จดหมายขายเป็นทาสของเขาอยู่ในมือของท่านแม่ ท่านแม่ไม่อนุญาตให้เขามาที่เคยใช้ชีวิตอย่างหรูหรากินดีอยู่ดีมาโดยตลอดทำให้เขาในตอนนี้ดูน่าอนาถมาก
หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากคนรับใช้ เขาก็นั่งอยู่นิ่งๆ ในสวน ดูเหมือนหัวใจจะว่างเปล่า แลไม่ว่าใครจะพูดอะไรเขาก็ไม่สนใจด้านนอกซอยฝูหรง มีคนจากฝู้หม่ากู้เฝ้าดูอยู่ หลังจากกลับไปรายงานกับฝู้หม่ากู้แล้ว ฝู้หม่ากู้ก็ขมวดคิ้ว "ชิงหวู่ไม่ได้บอกว่าจะไปจากเขาอย่างดีๆ หรือ ช่างเถอะ ถึงยังไงก็เป็นแค่คนไร้ค่า ตอนนี้ชื่อเสียงของจวนเฉิงเอินป๋อก็ถูกทำลายแล้ว ไม่ต้องไปสนในเขาอีก"เหลียงเส้าอยู่ในซอยฝูหรงเป็นเวลาสองวันโดยไม่กินหรือดื่มอะไร การจากไปของกู้ชิงหวู่ไม่ใช่สิ่งที่กระทบใจเขามากที่สุด แต่สิ่งที่นางพูดก่อนจากไปนั้นคือสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจเขามากที่สุดเขาอวดดี เขาได้สอบติดเป็นถ้านฮัวตั้งแต่อายุยังน้อย และได้รับการชื่นชมจากหญิงสาวชื่อดังมากมายในเมืองหลวงเขาเชื่อว่าตนเองเป็นอัจฉริยะ และเขาแตกต่างออกไปในโลกนี้ ดังนั้น เขาจึงแหวกแนว และโดดเด่นในหมู่คนธรรมดาถึงขนาดกลายเป็นแบบอย่างทางจิตวิญญาณที่ทุกคนเคารพนับถือแม้ว่าเขาจะสูญเสียตำแหน่งข้าราชการเพื่อเยียนหลิว เขาก็ไม่เคยกลัว เพราะนี่เพิ่งพิสูจน์ว่าเขาแตกต่างจากโลกทั่วไปนี้ เขาทะลุพันธนาการและตกหลุมรักหญิงงามเมืองในสถานบันเทิงแม้ว่าเขาจะถู
ในวันนี้ หงเซียวรายงานว่ามีคนหลายคนที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยได้เข้ามาในเมืองหลวงและพักที่โรงเตี้ยมหลงซิงเหตุผลที่บอกว่าพวกเขาประพฤติตัวน่าสงสัยก็เพราะพวกเขามีพลังงานการฆ่าที่รุนแรงบนร่างกาย แตกต่างจากคนอยู่แวดวงการต่อสู้ทั่วไปมากสายลับไวต่อกลิ่นอายที่เกือบจะกระหายเลือด ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในเมืองหลวง กลุ่มสายลับก็ติดตามพวกเขาสลับกัน เมื่อเห็นพวกเขาเข้าไปในโรงเตี้ยมหลงซิง หลังจากทำขั้นตอนเข้าพักแล้วก็ไม่ออกมาอีก จากนั้นจึงกลับมารายงานหลังจากได้ยินรายงานแล้ว เสิ่นว่านจือก็ไปหาซ่งซีซีซ่งซีซีขมวดคิ้วหลังจากได้ยินสิ่งนี้เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่พลุกพล่านและเจริญรุ่งเรืองที่สุดในแคว้นซาง มีนักธุรกิจมากมายเข้าออก และผู้คนจำนวนมากจากแวดวงการต่อสู้เข้าออกเมืองหลวง"คนที่มีพลังงานการฆ่าที่รุนแรง มักจะมีกลิ่นพิเศษบนร่างกายของพวกเขา นี่คือสิ่งที่หงเซียวบอก นางบอกว่าคนเหล่านี้น่าสงสัยมาก หรือว่าต้องการลอบสังหารฮ่องเต้หรือไม่?" เสิ่นว่านจือถามซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว "การลอบสังหารฮ่องเต้จะต้องทำเมื่อฮ่องเต้ออกจากวัง การเข้าไปในวังเพื่อลอบสังหารเป็นการกระทำที่โง่ที่สุด ยิ่งไ
เสิ่นว่านจือมองไปที่นาง "ถ้า...ไม่ได้มาเพื่อยี่ฝาง จาหาเพื่อจวนเป่ยหมิงอ๋องหรือเปล่า""ไม่รู้" ซ่งซีซีไม่สามารถวิเคราะห์ออกมาในระยะสั้นๆ ถึงยังไงมีเพียงคนที่มีกลิ่นไอการฆ่าที่รุนแรงไม่กี่คนเข้ามาในเมืองหลวง ไม่มีข้อมูลอื่นๆ "ข้าต้องให้กุ้นเอ๋อร์เสริมสร้างการป้องกันของจวนอ๋อง พรุ่งนี้ข้าจะส่งรุ่ยเอ๋อร์ไปที่สถาบันการศึกษา และให้กุ้นเอ๋อร์นำเขาไปเฝ้าดูอยู่ข้างนอกไว้ก่อน จนกว่าคนเลห่านั้นจากไป"ไม่ว่ายังไงก็ต้องคอยระวังตัวเอาไว้จะดีกว่า ตอนนี้เซี่ยหลูโม่และอาจารย์หยูต่างไม่ได้อยู่ในจวน ทุกเรื่องต้องระวังมากขึ้น กันไว้ดีกว่าแก้ จะประมาทไม่ได้จากนั้นกุ้นเอ๋อร์เริ่มตั้งแนวป้องกัน ทหารประจำจวนห้าร้อยนายอยู่ที่ใต้เท้าจักรพรรดิ แม้ว่าจะทำให้ฮ่องเต้ไม่ไว้วางใจ แต่การใช้งานจริงนั้นยอดเยี่ยมมากตอนนี้มาจัดการเรื่องระบบความปลดภัยก็ง่ายมาก สามชั่วยามเปลี่ยนเวร และกำลังคนก็เพียงพอแล้วเนื่องจากในเมืองหลวงไม่มีการสั่งห้ามออกไปไหนในกลางคืน ดังนั้นกุ้นเอ๋อร์ต้องเข้ามาดูแลเองในเวลากลางคืน ถึงยังไงเวลาตกมืดก็เป็นช่วงเวลาที่มีโอกาสฆ่าคนและขโมยสินค้ามากที่สุด ความเป็นไปได้ที่คนบุกเข้าจวนอ๋องในกลางวันแส
ใบหน้าของฮูหยินซีดเผือด และฝนทำให้ผมและเสื้อผ้าของนางเปียกโชก เห็นๆ อยู่ว่านางไม่ต้องการให้คนอื่นมาเห็นสภาพที่น่าอนาถเช่นนี้ จากนั้นก็ใช้แขนเสื้อมาปิดหน้า แล้วพูดกับซ่งซีซีเบาๆ ว่า "ขอบคุณ ขอบคุณมาก""ไม่เป็นไร ฮูหยินเป็นอะไรหรือเปล่า?" ซ่งซีซีถาม"ไม่ได้เป็น... อ๊ะ!" นางขยับเท้า และรู้สึกเจ็บแปลบที่เท้าซ้าย นางก็อดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมา"เกรงว่าเท้าแพลง" ซ่งซีซีช่วยประคองนาง และสาวใช้เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามาช่วย แต่ฝ่ามือของสาวใช้กลับเต็มไปด้วยเลือด น่าจะเป็นตอนที่นางล้มลง มือของนางถูกทรายหยาบบนพื้นบาดซ่งซีซีขมวดคิ้วและพูดว่า "รถม้าของข้าอยู่ตรงหน้า มียาอยู่บนรถม้า ไม่งั้นพวกเจ้าไปกับข้า ข้าจะทำแผลให้พวกเจ้าในรถม้าของข้า"ฮูหยินกล่าวว่า "นี่...จะลำบากเกินไปหรือเปล่า ข้าไม่รู้ว่าฮูหยินคือผู้ใด"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ฮูหยินรอง ข้าชื่อซ่งซีซี เราเคยพบกันมาก่อน"ฮูหยินที่อยู่ตรงหน้าก็คือหลี่จิ้งที่ต้องการช่วยเหลือหวังชิงหลูที่ร้านจินจิงในวันนั้นหลังจากที่ซ่งซีซีกลับมาจากภูเขาเหม่ยชาน นางเคยไปเยี่ยมเยือนที่จวนโหวเซวียนผิงพร้อมกับท่านแม่ และได้พบกับนางมาครั้งหนึ่งเมื่อได้ยินคำว่า "ซ
ท่านอ๋องฮุยพ่นลมหายใจออกอย่างเย็นชา พลางเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่ยอมมองเขา หนิงจวิ้นอ๋องที่ยืนตัวตรงสง่างามอยู่ตรงนั้น แต่ใบหน้ายังคงเป็นของลุงกวน พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "ลูกขอสัญญา สิ่งที่ลูกตกลงกับเสด็จพ่อไว้ ลูกจะทำให้สำเร็จ งานก่อสร้างคลองจะแล้วเสร็จโดยไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ ไม่ทำร้ายชาวบ้านในเมืองหลวง ไม่เหยียบย่ำพืชผลใดๆ และขอให้เสด็จพ่อวางใจ ลูกจะไม่ปล่อยให้เสด็จพ่อต้องตาย ลูกยังรับรองได้ว่า หลังจากชิงใต้หล้ามาได้ บัลลังก์จักรพรรดิ์จะต้องเป็นของเสด็จพ่อแน่นอน" ท่านอ๋องฮุยพูดเย้ยหยันว่า "เจ้านี่ช่างเป็นลูกกตัญญูยิ่งนัก" "ลูกเคยพูดแล้ว" หนิงจวิ้นอ๋องตอบอย่างจริงใจ "ลูกจะมอบตำแหน่งจักรพรรดิ์ผู้ทรงอำนาจสูงสุด ให้เสด็จพ่อ เพื่อให้เสด็จพ่อปกครองแผ่นดิน เราจะไม่ถูกแคว้นซาข่มเหงอีกต่อไป ไม่ต้องยืดเยื้อเรื่องชายแดนกับชาวซีจิง ชาวบ้านจะได้ใช้ชีวิตสงบสุข และแคว้นซางของเราจะเจริญรุ่งเรือง" ท่านอ๋องฮุยสบถเสียงดัง "เจ้ากบฏที่สมคบคิดกับแคว้นซาซีจิง กล้าพูดคำพูดไร้ยางอายแบบนี้ออกมาได้ ช่างน่ารังเกียจที่สุด" "นั่นเป็นเพียงแผนชั่วคราว รอเสด็จพ่อขึ้นครองบัลลังก์ ลูกจะขับไล่ศัตรูและท
เฉินเฉินเสนอให้ลองพิสูจน์ดู แต่เสิ่นว่านจือส่ายศีรษะ "อย่าลอง ทำเป็นไม่รู้ดีที่สุด ห้ามไปกระตุ้นให้พวกเขาระแวง พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะออกเดินทางแล้วกลับไปบอกซีซีและอาจารย์หยู" แต่หม่านโถวกลับทำท่าคิดหนัก "พวกเราจะออกไปได้หรือ?" เฉินเฉินตกใจเล็กน้อย "เจ้าหมายความว่าเขาจะไม่ยอมให้พวกเราไป? เขาจะกักตัวพวกเราไว้? แต่ท่านอ๋องฮุยบอกแล้วว่าปล่อยให้พวกเราไปนี่" "แต่เหตุใดท่านอ๋องฮุยถึงเรียกว่านจือมาที่นี่ล่ะ? พวกเจ้าเคยคิดเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า?" เสิ่นว่านจือเดินไปมาด้วยความร้อนใจ นางเคยคุยเรื่องนี้กับซ่งซีซีมาก่อนแล้ว ถ้าการเรียกตัวมาไม่ใช่เพื่อขอความช่วยเหลือ แล้วจะเป็นการกักตัวหรือ? แต่มองดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่เรื่องนั้น คล้ายกับว่าต้องการเปิดเผยบางอย่างให้พวกเขาเห็นมากกว่า "เป็นไปได้ไหมว่า ท่านอ๋องฮุยและลุงกวนไม่ได้อยู่ข้างเดียวกัน?" เสิ่นว่านจือย้อนคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่ในจวนท่านอ๋องฮุย ลุงกวนเหมือนจะอยู่ทุกที่ แต่กลับไม่มีใครรู้สึกถึงตัวตนของเขา นางอดทนไว้ ไม่กล้าพูดสิ่งที่ตนคาดเดาออกมา ลุงกวนจะใช่คนที่ปลอมตัวหรือเปล่า? หรือเขาคือหนิงจวิ้นอ๋อง? "ไม่คุยแล้ว กลับไปนอนกั
เสิ่นว่านจือและพรรคพวกพักอยู่ในจวนท่านอ๋องฮุยมาหลายวัน จนแทบจะพลิกจวนค้นหาไปทั่ว แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร นางจึงตัดสินใจจะถอนตัวกลับ ในแต่ละวัน นางเอาแต่นั่งกินดื่มกับท่านอ๋องฮุย จนรู้สึกว่าตัวเองเกียจคร้าน เสียเวลาเปล่า โดยเฉพาะเมื่อซ่งซีซีกำลังยุ่งมาก แต่นางกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ ระหว่างมื้อเย็น นางจึงบอกกับท่านอ๋องฮุยว่าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ท่านอ๋องฮุยมองนางพร้อมหัวเราะ "ทำไมหรือ? หรือจวนของข้าเลี้ยงดูเจ้าด้วยของดีๆ ไม่พอ?" เสิ่นว่านจือตอบอย่างตรงไปตรงมา "ท่านเลี้ยงดูดีเกินไป ทุกวันมีแต่ของเลิศรสจากป่าและทะเลจนข้ารู้สึกเกินพอ" "เจ้าช่างเป็นหมูป่าเสียจริง กินอาหารเลิศรสไม่เป็น!" ท่านอ๋องฮุยหัวเราะเสียงดัง "เอาเถอะ หากเจ้าอยู่เบื่อแล้ว ก็กลับไปเถิด" เขาเรียกลุงสิบสามมา สั่งว่า "เจ้าสิบสาม ไปที่คลังสมบัติ เลือกของขวัญสักสองสามชิ้นไว้ส่งให้พวกเขาในวันพรุ่งนี้" ลุงสิบสามตอบ "ขอรับ ข้าจะไปจัดการทันที" ลุงกวนที่ยืนรออยู่หน้าประตูได้ยินจึงกล่าวว่า "ฝ่าบาท ให้ข้าไปเถอะ" ท่านอ๋องฮุยมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า "อืม เจ้าก็ไปเถิด เลือกของดีๆ
เพราะการจัดกำลังป้องกันของกองทัพซวนเจีย เมืองหลวงจึงตกอยู่ในสภาวะระแวงระวังอย่างหนักด้วยการประกาศห้ามออกจากเคหสถานในเวลากลางคืน ทำให้สถานที่บันเทิงเริงรมย์ต่างๆ ดำเนินกิจการได้ลำบาก โรงน้ำชาและโรงสุราต่างปิดประตูทันทีเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เมืองหลวงในยามค่ำคืนราวกับเป็นเมืองร้างกลยุทธ์ในตอนนี้คือ ข้าศึกไม่เคลื่อนไหว เราก็ไม่เคลื่อนไหวงานก่อสร้างคลองยังคงดำเนินต่อไป หากหยุดงานโดยไม่มีเหตุผล กองทัพซวนเจียจะบุกล้อมทันทีเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ซ่งซีซีจึงยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้และถือไพ่เหนือกว่าหากงานก่อสร้างไม่หยุด กิจการคลองจะดำเนินไปตามปกติ ซึ่งเป็นผลดีทั้งต่อราชสำนักและราษฎรแม้การเผชิญหน้าระหว่างสองกองทัพยังไม่เกิดขึ้น แต่บรรยากาศของสงครามกลับเข้มข้นราวกับควันปืนที่เริ่มปกคลุมการเข้าออกประตูเมืองถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดทุกวัน เป็นไปไม่ได้ที่นกต่อจะไม่กลับมาเมืองหลวง เมื่อเดิมพันด้วยชีวิตและทรัพย์สิน เขาจะสั่งการจากระยะไกลได้อย่างไร?ก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีสงสัยว่านกต่ออาจกลับมาแล้ว แต่เสิ่นว่านจือที่พักอยู่ในจวนอ๋องฮุยกลับไม่พบเบาะแสใดเลย อีกทั้งข้ารับใช้ใกล้ชิดของท่านอ๋องฮุยล้วนเป
แม้ว่าจะไม่ถูกต้องตามระเบียบ แต่ก่อนที่นางจีจะกลับไป ซ่งซีซีก็สั่งให้คนไปซื้อโจ๊กเนื้อบดสองหม้อ โดยอ้างว่าเป็นของชาวบ้านที่ต้องการขอบคุณฮูหยินจีสำหรับการแจกจ่ายโจ๊กตลอดหลายปีที่ผ่านมา และตอนนี้ต้องการตอบแทนบุญคุณครั้งนี้นางจีร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ นางหวังว่าลูกๆ จะได้ดื่มโจ๊กอุ่นๆ สักคำ แม้เพียงนิดเดียวหลังออกจากหอต้าหลี่ ซ่งซีซีครุ่นคิดแล้วสั่งให้อาจารย์หยูไปเล่าถึงเรื่องที่ชาวบ้านบริจาคโจ๊กให้เป็นที่แพร่หลายเดิมทีผู้คนยังจดจำความมีน้ำใจของนางจีที่แจกจ่ายโจ๊กได้ แต่ช่วงนี้เรื่องราวนั้นเริ่มเงียบหายไปตอนนี้จึงเหมาะที่จะใช้โอกาสนี้จุดกระแสเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งอาจารย์หยูจึงแต่งเรื่องเล็กน้อย โดยเล่าว่าชาวบ้านที่มอบโจ๊กเดิมทีเป็นคนเร่ร่อนชานเมืองหลวงที่อดอยากจนเกือบตาย ดื่มโจ๊กที่โรงทานหลายวันติดต่อกัน และก่อนออกจากเมืองหลวง โรงทานยังมอบเสบียงให้เขาห่อหนึ่งแม้ปัจจุบันชีวิตของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นนัก แต่เมื่อได้ยินว่าผู้มีพระคุณของเขาประสบเคราะห์ เขาจึงรีบเดินทางมาที่เมืองหลวงและซื้อโจ๊กอุ่นๆ สองหม้อมาส่งที่เรือนจำ พร้อมร้องขอให้นำไปให้ผู้มีพระคุณเซี่ยหรูหลิงซึ่งดูแลเรือนจำ เ
นางถามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”หงเชวี่ยตอบว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอาการยังพอรับได้ แต่ถ้าหวังชิงหลูไข้สูงไม่ลด ก็อาจเป็นอันตรายได้ นางเครียดเกินไป ตอนที่พบนาง นางจับมือข้าไว้แน่น ถามว่าตัวเองจะตายหรือไม่ พูดแต่เรื่องเพ้อเจ้อ เดี๋ยวโทษคนนั้น เดี๋ยวโทษคนนี้ บางครั้งก็โทษตัวเองที่ตัดสินใจผิดพลาดหลายอย่าง”ซ่งซีซีไม่ได้พูดอะไร นางไม่มีสิทธิ์ตัดสินชีวิตของผู้อื่น เพียงแต่หวังว่านางจะไม่ทำให้ฮูหยินจีลำบากไปกว่านี้หากหวังชิงหลูเสียชีวิตในเรือนจำ จะสร้างความหวาดกลัวให้กับคนในตระกูลหวัง ซึ่งจะเพิ่มภาระทางจิตใจให้กับฮูหยินจีอย่างแน่นอน“หงเชวี่ย อีกสองวันเจ้าไปดูพวกเขาอีกทีนะ”หงเชวี่ยพยักหน้า “เจ้าค่ะ”ซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อีกสองวันเจ้าไป ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”นางอยากพูดคุยกับฮูหยินจีตามลำพัง เพราะในที่สิ้นหวังเช่นเรือนจำนั้น หากไม่มีแม้แต่คนพูดคุย มีเพียงเสียงร้องไห้ที่ไม่สิ้นสุด วันเวลาก็จะยืดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เนื่องจากฝ่าบาททรงพระประชวรและงดราชกิจ นางจึงต้องไปพบเสนาบดีมู่เพื่อแจ้งเรื่องจินชางหมิงเปล
เนื่องจากฝ่าบาททรงส่งชีกุ้ยไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอก งานดูแลเรือนจำจึงถูกมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของหอต้าหลี่ดูแล และผู้ที่รับหน้าที่นี้คือเซี่ยหรูหลิงไม่นานนัก เซี่ยหรูหลิงก็เดินทางมาที่จวนเป่ยหมิงอ๋องเพื่อพบซ่งซีซี บอกว่ามีเรื่องที่เขาตัดสินใจไม่ได้ และขอให้ซ่งซีซีช่วยแนะนำซ่งซีซีรีบกินข้าวเพียงสองสามคำแล้วออกมาพบเขา เพราะกังวลว่าอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮูหยินจีและเด็กๆแต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่เซี่ยหรูหลิงกล่าว นางก็พบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูทั้งสองคนหลังจากถูกส่งตัวเข้าเรือนจำก็วิตกกังวลทุกวัน อีกทั้งอาหารยังแย่ยิ่งกว่าอาหารที่เคยให้สุนัขกิน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เริ่มอาเจียนและท้องเสียก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีเคยให้ยากับฮูหยินจี ซึ่งรวมถึงยาสำหรับอาการท้องเสียและปวดท้องเพราะไม่ชินสภาพแวดล้อม ยาทำให้อาการดีขึ้น แต่เพราะต้องกินอาหารแบบนั้นต่อไป อาการจึงกลับมาแย่ลงอีก และหวังชิงหลูก็มีไข้สูงฮูหยินผู้เฒ่าร้องขออย่างน่าสงสารให้ช่วยหาหมอ เซี่ยหรูหลิงไม่กล้าตัดสินใจ จึงออกมาขอคำปรึกษาจากซ่งซีซีซ่งซีซีถามว่า “แล้วคนอื่นล่ะ? มีอาการเหมือนกันหรือไม่?”“เดิมที
แต่ครั้งนี้เมื่อเข้าไปในวัง กลับไม่ได้พบฝ่าบาท อู๋ต้าปั้นออกมาแจ้งข่าวว่า วันนี้ฝ่าบาทไอจนมีเลือดปนและเกือบหมดสติ ตอนนี้หมอหลวงกำลังรักษาซ่งซีซีรีบถาม “เป็นเพราะพระวรกายอ่อนแอ หรือถูกลอบวางยาพิษ?”คำถามนี้ชัดเจนว่าแฝงด้วยความระแวง หากเป็นสถานการณ์ปกติหรือคนอื่น ซ่งซีซีคงไม่กล้าถามแต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างออกไป อีกทั้งคนที่นางเผชิญหน้าอยู่คืออู๋ต้าปั้น นางจึงถามอู๋ต้าปั้นถอนหายใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “หมอหลวงวินิจฉัยว่าไม่ได้ถูกวางยาพิษ แต่เพราะฝ่าบาททรงวิตกกังวลอย่างหนัก พักผ่อนน้อยและเบื่ออาหาร อีกทั้งสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ทรงติดเชื้อและไอมาแล้วหลายวัน แม้จะดื่มยามาหลายวันแต่ไม่ได้ผล วันนี้ไอไม่หยุดจนกระทั่งมีเลือดปนและแทบหายใจไม่ออก”เมื่อได้ยินว่าไม่ใช่การวางยาพิษ ซ่งซีซีก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย หากเป็นการวางยาพิษ ก็หมายความว่ามีคนแฝงตัวเข้ามาในวังแล้ว ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยากลำบากยิ่งขึ้นการไอเป็นเลือดอาจเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ได้ ซ่งซีซีจึงยังไม่จากไป แต่เฝ้ารออยู่ด้านนอกเพื่อรอหมอหลวงออกมาแจ้งสถานการณ์นอกจากซ่งซีซีแล้ว ยังมีขุนนางอีกหลายคนที่รอเพื่อกราบทูลเรื่อ
ซ่งซีซีนั่งกลับลงบนเก้าอี้ กล่าวว่า “เรื่องที่พวกเจ้าทุจริตนั้น ฝ่าบาททรงทราบดีแล้ว ตอนนี้ที่ทรงให้ข้าสอบสวนเป็นการส่วนตัว ก็เพื่อมอบโอกาสให้พวกเจ้า หากพูดความจริง หัวของเจ้าจะยังปลอดภัย หากให้ข้อมูลที่มีค่าเพิ่มเติม อย่างมากก็แค่ถูกเนรเทศไปทำงานนอกเมือง ยังสามารถโลดแล่นในวงราชการได้”เกาหมิงอวี้ที่มีประสบการณ์ในราชสำนักมานานย่อมรู้ดีว่าให้ข้อมูลที่มีค่ามากขึ้น หมายถึงการขายเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชาเขาไม่มีข้อสงสัยในคำพูดของซ่งซีซีด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือ ช่วงนี้อู๋เยว่และคนของเขาตรวจสอบทางน้ำอยู่เสมอ สองคือ ซ่งซีซีออกหน้ามาสอบสวนด้วยตัวเอง หากไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาท นางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จะส่งใครมาทรมานเขาก็ได้แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีวิเคราะห์เขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคาดการณ์ความคิดของเขาไปก่อนแล้ว“พวกเจ้าทุจริตทั้งระบบ ท่าทีของจินชางหมิงเป็นอย่างไร?”เกาหมิงอวี้ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “จะว่าไปจริงๆ แล้ว เขาเป็นคนเริ่มเปิดทางให้เราทุจริต โดยอ้างว่าเป็นค่าเหนื่อยของเรา เมื่อเริ่มต้นแล้ว เราลองเบิกเงินเกินมาเล็กน้อย เขาก็ไม่ว่าอะไร จากนั้นเรากล้าขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเขาเตือนเ