หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากคนรับใช้ เขาก็นั่งอยู่นิ่งๆ ในสวน ดูเหมือนหัวใจจะว่างเปล่า แลไม่ว่าใครจะพูดอะไรเขาก็ไม่สนใจด้านนอกซอยฝูหรง มีคนจากฝู้หม่ากู้เฝ้าดูอยู่ หลังจากกลับไปรายงานกับฝู้หม่ากู้แล้ว ฝู้หม่ากู้ก็ขมวดคิ้ว "ชิงหวู่ไม่ได้บอกว่าจะไปจากเขาอย่างดีๆ หรือ ช่างเถอะ ถึงยังไงก็เป็นแค่คนไร้ค่า ตอนนี้ชื่อเสียงของจวนเฉิงเอินป๋อก็ถูกทำลายแล้ว ไม่ต้องไปสนในเขาอีก"เหลียงเส้าอยู่ในซอยฝูหรงเป็นเวลาสองวันโดยไม่กินหรือดื่มอะไร การจากไปของกู้ชิงหวู่ไม่ใช่สิ่งที่กระทบใจเขามากที่สุด แต่สิ่งที่นางพูดก่อนจากไปนั้นคือสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจเขามากที่สุดเขาอวดดี เขาได้สอบติดเป็นถ้านฮัวตั้งแต่อายุยังน้อย และได้รับการชื่นชมจากหญิงสาวชื่อดังมากมายในเมืองหลวงเขาเชื่อว่าตนเองเป็นอัจฉริยะ และเขาแตกต่างออกไปในโลกนี้ ดังนั้น เขาจึงแหวกแนว และโดดเด่นในหมู่คนธรรมดาถึงขนาดกลายเป็นแบบอย่างทางจิตวิญญาณที่ทุกคนเคารพนับถือแม้ว่าเขาจะสูญเสียตำแหน่งข้าราชการเพื่อเยียนหลิว เขาก็ไม่เคยกลัว เพราะนี่เพิ่งพิสูจน์ว่าเขาแตกต่างจากโลกทั่วไปนี้ เขาทะลุพันธนาการและตกหลุมรักหญิงงามเมืองในสถานบันเทิงแม้ว่าเขาจะถู
ในวันนี้ หงเซียวรายงานว่ามีคนหลายคนที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยได้เข้ามาในเมืองหลวงและพักที่โรงเตี้ยมหลงซิงเหตุผลที่บอกว่าพวกเขาประพฤติตัวน่าสงสัยก็เพราะพวกเขามีพลังงานการฆ่าที่รุนแรงบนร่างกาย แตกต่างจากคนอยู่แวดวงการต่อสู้ทั่วไปมากสายลับไวต่อกลิ่นอายที่เกือบจะกระหายเลือด ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในเมืองหลวง กลุ่มสายลับก็ติดตามพวกเขาสลับกัน เมื่อเห็นพวกเขาเข้าไปในโรงเตี้ยมหลงซิง หลังจากทำขั้นตอนเข้าพักแล้วก็ไม่ออกมาอีก จากนั้นจึงกลับมารายงานหลังจากได้ยินรายงานแล้ว เสิ่นว่านจือก็ไปหาซ่งซีซีซ่งซีซีขมวดคิ้วหลังจากได้ยินสิ่งนี้เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่พลุกพล่านและเจริญรุ่งเรืองที่สุดในแคว้นซาง มีนักธุรกิจมากมายเข้าออก และผู้คนจำนวนมากจากแวดวงการต่อสู้เข้าออกเมืองหลวง"คนที่มีพลังงานการฆ่าที่รุนแรง มักจะมีกลิ่นพิเศษบนร่างกายของพวกเขา นี่คือสิ่งที่หงเซียวบอก นางบอกว่าคนเหล่านี้น่าสงสัยมาก หรือว่าต้องการลอบสังหารฮ่องเต้หรือไม่?" เสิ่นว่านจือถามซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว "การลอบสังหารฮ่องเต้จะต้องทำเมื่อฮ่องเต้ออกจากวัง การเข้าไปในวังเพื่อลอบสังหารเป็นการกระทำที่โง่ที่สุด ยิ่งไ
เสิ่นว่านจือมองไปที่นาง "ถ้า...ไม่ได้มาเพื่อยี่ฝาง จาหาเพื่อจวนเป่ยหมิงอ๋องหรือเปล่า""ไม่รู้" ซ่งซีซีไม่สามารถวิเคราะห์ออกมาในระยะสั้นๆ ถึงยังไงมีเพียงคนที่มีกลิ่นไอการฆ่าที่รุนแรงไม่กี่คนเข้ามาในเมืองหลวง ไม่มีข้อมูลอื่นๆ "ข้าต้องให้กุ้นเอ๋อร์เสริมสร้างการป้องกันของจวนอ๋อง พรุ่งนี้ข้าจะส่งรุ่ยเอ๋อร์ไปที่สถาบันการศึกษา และให้กุ้นเอ๋อร์นำเขาไปเฝ้าดูอยู่ข้างนอกไว้ก่อน จนกว่าคนเลห่านั้นจากไป"ไม่ว่ายังไงก็ต้องคอยระวังตัวเอาไว้จะดีกว่า ตอนนี้เซี่ยหลูโม่และอาจารย์หยูต่างไม่ได้อยู่ในจวน ทุกเรื่องต้องระวังมากขึ้น กันไว้ดีกว่าแก้ จะประมาทไม่ได้จากนั้นกุ้นเอ๋อร์เริ่มตั้งแนวป้องกัน ทหารประจำจวนห้าร้อยนายอยู่ที่ใต้เท้าจักรพรรดิ แม้ว่าจะทำให้ฮ่องเต้ไม่ไว้วางใจ แต่การใช้งานจริงนั้นยอดเยี่ยมมากตอนนี้มาจัดการเรื่องระบบความปลดภัยก็ง่ายมาก สามชั่วยามเปลี่ยนเวร และกำลังคนก็เพียงพอแล้วเนื่องจากในเมืองหลวงไม่มีการสั่งห้ามออกไปไหนในกลางคืน ดังนั้นกุ้นเอ๋อร์ต้องเข้ามาดูแลเองในเวลากลางคืน ถึงยังไงเวลาตกมืดก็เป็นช่วงเวลาที่มีโอกาสฆ่าคนและขโมยสินค้ามากที่สุด ความเป็นไปได้ที่คนบุกเข้าจวนอ๋องในกลางวันแส
ใบหน้าของฮูหยินซีดเผือด และฝนทำให้ผมและเสื้อผ้าของนางเปียกโชก เห็นๆ อยู่ว่านางไม่ต้องการให้คนอื่นมาเห็นสภาพที่น่าอนาถเช่นนี้ จากนั้นก็ใช้แขนเสื้อมาปิดหน้า แล้วพูดกับซ่งซีซีเบาๆ ว่า "ขอบคุณ ขอบคุณมาก""ไม่เป็นไร ฮูหยินเป็นอะไรหรือเปล่า?" ซ่งซีซีถาม"ไม่ได้เป็น... อ๊ะ!" นางขยับเท้า และรู้สึกเจ็บแปลบที่เท้าซ้าย นางก็อดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมา"เกรงว่าเท้าแพลง" ซ่งซีซีช่วยประคองนาง และสาวใช้เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามาช่วย แต่ฝ่ามือของสาวใช้กลับเต็มไปด้วยเลือด น่าจะเป็นตอนที่นางล้มลง มือของนางถูกทรายหยาบบนพื้นบาดซ่งซีซีขมวดคิ้วและพูดว่า "รถม้าของข้าอยู่ตรงหน้า มียาอยู่บนรถม้า ไม่งั้นพวกเจ้าไปกับข้า ข้าจะทำแผลให้พวกเจ้าในรถม้าของข้า"ฮูหยินกล่าวว่า "นี่...จะลำบากเกินไปหรือเปล่า ข้าไม่รู้ว่าฮูหยินคือผู้ใด"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ฮูหยินรอง ข้าชื่อซ่งซีซี เราเคยพบกันมาก่อน"ฮูหยินที่อยู่ตรงหน้าก็คือหลี่จิ้งที่ต้องการช่วยเหลือหวังชิงหลูที่ร้านจินจิงในวันนั้นหลังจากที่ซ่งซีซีกลับมาจากภูเขาเหม่ยชาน นางเคยไปเยี่ยมเยือนที่จวนโหวเซวียนผิงพร้อมกับท่านแม่ และได้พบกับนางมาครั้งหนึ่งเมื่อได้ยินคำว่า "ซ
รถม้าจอดที่มุมทิศเหนือของสถาบันการศึกษาหมินลู่ ส่วนรถม้าจากจวนโหวเซวียนผิงก็ตามมาด้านหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการติดขัดในรถม้าฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ และมีคนมากขึ้นเรื่อยๆ หลี่จิ้งที่ได้รับบาดเจ็บที่เท้า ทำให้นางไม่อาจลงจากรถม้าในเวลานี้ได้ ได้แต่รอให้รถม้าที่ส่งเด็กๆ เข้าเรียนให้น้อยลง นางถึงกล้าลงจากรถได้"ฮูหยินรอง มาส่งเด็กเข้าเรียนหรือ" ซ่งซีซีรู้ว่านางรับเลี้ยงบุตรชายคนหนึ่งไว้ แต่ไม่รู้ว่าเขาอายุเท่าไหร่แล้ว"ใช่ เข้าเรียนวันแรก ข้าเลยมาส่งเขา" เมื่อพูดถึงบุตรชาย รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของหลี่จิ้ง และนางก็ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น"อายุเท่าไหร่? ชื่ออะไรหรือ?"หลี่จิ้งพูดว่า "เขาอายุเจ็ดขวบ และชื่อจางเว่ยกั๋ว (มีความหมายปกป้องบ้านเมื่องรักประเทศ)"เสิ่นว่านจือยิ้มและพูดว่า "พอได้ยินชื่อนี้ก็รู้ว่าเป็นลูกหลานของแม่ทัพ"สีหน้าของหลี่จิ้งเหม่อลอย และก่อนที่เธอจะกำจัดความขมขื่นในดวงตาได้ นางก็พูดเบาๆ ว่า "ท่านสามีของข้าเคยตั้งชื่อให้เด็ก หากเป็นบุรุษ ให้ตั้งชื่อเกี่ยวกับบ้านเมือง""เป็นอย่างนี้นี่เอง" เสิ่นว่านจือไม่กล้าพูดถึงหัวข้อนี้อีกต่อไป ดวงตาของนางเริ่มแดงมากจนดูเหมือนกำลังจะร้องไห
ซ่งซีซีเรียกเสิ่นว่านจือมา และให้นางช่วยวางหลี่จิ้งไว้บนหลังของนาง จากนั้นรีบอุ้มหลี่จิ้งกลับไปที่รถม้า "รออยู่ที่นี่ ข้าจะช่วยเจ้าหามัน"หลี่จิ้งตัวสั่นไปทั้งตัว ผมของนางเต็มไปด้วยน้ำ ไม่รู้ว่าใบหน้านั้นเป็นน้ำตาหรือว่าน้ำฝนกันแน่ ริมฝีปากก็สั่นเทารุนแรงด้วย "ขอร้อง ขอร้องล่ะ ต้องตามหามันให้เจอ""อย่าลงมา!" ซ่งซีซีสั่งอย่างจริงจัง "ดูแลร่างกายของตนเอง อย่าทำให้วิญญาณของเขาในสวรรค์ไม่สงบ"หลี่จิ้งปิดหน้าและร้องไห้อย่างขมขื่นซ่งซีซีให้คนควบคุมรถม้าเฝ้าดูนางเอาไว้ แล้วกลับไปค้นหาต่อหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม รถม้าก็ค่อยๆ กระจายไป แต่ฝนยังคงไม่หยุด และท้องฟ้าก็มืดมนอย่างน่าสะพรึงกลัว คนทั้งหมดสี่คนรวมทั้งคนควบคุมรถม้าจากจวนโหวเซวียนผิงด้วย ค้นหาจนไม่สามารถยืดเอวให้ตรงได้ แต่ก็ไม่พบต่างหูนั้นเมื่อทุกคนกำลังจะยอมแพ้ ซ่งซีซีกลับเห็นแสงแวววาวแวบหนึ่งใกล้ทางเข้าสถาบัน นางรีบวิ่งเข้าไปและพบว่ามันคือต่างหูไข่มุกของนางจริงๆ นางรีบเอื้อมมือออกไปหยิบมันขึ้นมา เพียงแต่ต่างหูได้รับความเสียหายเหลือเพียงไข่มุกเท่านั้น ด้ายทองที่ห้อยต่างหูและทองคำสองใบที่ยึดไข่มุกก็หายไปหมดแล้วนี่ไม่ใช่ที่ที่น
เขาไปซื้อปิ่นปักผมสีแดงทองและใส่ไว้ในกล่อง หลังจากกลับถึงจวนและถามคนใช้ถึงรู้ว่าจ้านเส้าฮวนอยู่ในเรือนของท่านแม่ เขาก็ตรงไปที่เรือนท่านแม่จ้านเส้าฮวนถือกล่องเครื่องประดับอยู่ในนั้น เมื่อเห็นเขาเข้ามา จ้านเส้าฮวนก็ลุกขึ้นยืนทันทีและถามด้วยความระมัดระวัง "คืนนี้พี่ชายรองไม่ได้เข้าเวรเหรอ? ทำไมกลับมาล่ะ?""ให้เจ้า!" จ้านเป่ยว่างยื่นกล่องให้นาง แล้วพูดอย่างใจเย็น "ได้รับเงินอุดหนุนแล้วเลยซื้อปิ่นปักผมให้เจ้า"จ้านเส้าฮวนเต็มไปด้วยความสงสัย "ซื้อปิ่นปักผมให้ข้า ทำไมต้องซื้อปิ่นปักผมให้ข้าด้วย"นางกอดกล่องเครื่องประดับไว้แน่น เมื่อสองวันที่ผ่านมา เอาแต่ให้นางไปคืนชุดเครื่องประดับบนศีรษะอยู่เลย ทำไมจู่ๆ ก็ซื้อปิ่นปักผมให้นางในยามนี้ล่ะ?"ของขวัญแต่งงานของเจ้า และเห็นเจ้าต้องดูแลท่านแม่อย่างเหนื่อยล้าในหลายวันนี้...เฮะ เก็บไว้เถอะ" จ้านเป่ยว่างหันกลับไปมองฮูหยินผู้เฒ่าจ้านที่นอนอยู่บนเตียง "ท่านแม่ วันนี้ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง??"ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับพฤติกรรมของบุตรชาย หลังจากได้ยินคำถามของเขา นางจึงพูดว่า "น้องสาวของเจ้าดูแลข้าแบบนี้ต้องเหนื่อยจริงๆ วันนี้รู้
เมื่อจ้านเป่ยว่างกลับมาถึงจวนนั้น สาวใช้ก็ลากพวกนางออกไปสักที แต่ทั้งสองอยู่ในสภาพยุ่งเหยิงไม่น่ามอง ผมยุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่น และใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยเล็บมือและรอยตบ ราวกับป้าปากร้ายที่ทะเลาะกันในตลาดไม่มีผิดเลยฮูหยินผู้เฒ่านั่งบนเก้าอี้อย่างหายใจหอบ และจ้องเขม็งมองที่หวังชิงหลูอย่างดุเดือด "นางจะออกเรือนในเร็วๆ นี้ เจ้าไปทำร้ายใบหน้านางแล้วให้นางไปพบคนนอกได้อย่างไร"หวังชิงหลูนั่งอยู่บนพื้นและร้องไห้เสียงดัง รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่งจ้านเป่ยว่างเดินเข้าไปช่วยพยุงหวังชิงหลูให้ลุกขึ้น จากนั้นหยิบตัวเงินกองหนึ่งออกมาให้นาง "ชุดเครื่องประดับทับทิมบนศีรษะคืนแล้ว ตัวเงินนี้เจ้าเก็บไว้""เจ้ารอง เจ้าบ้าแล้วใช่ไหม" ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านลุกขึ้นยืนด้วยความกราดเกรี้ยว "เอาเครื่องประดับที่ซื้อมาแล้วไปคืน จวนแม่ทัพของเรายังมีหน้าเหลืออยู่หรือเปล่า?""เจ้านำมันกลับมาให้ข้า ไม่คืน ข้าไม่คืน" จ้านเส้าฮวนที่เพิ่งนั่งพักไปแป๊บหนึ่งก็พุ่งเข้ามา และทุบตีหน้าอกของเขา มีสภาพเสียท่ามากจ้านเป่ยว่างปล่อยให้นางทุบตี โดยไม่ขยับตัวด้วยสีหน้าเย็นชา เขาเบื่อหน่ายกับการใช้ชีวิตแบบนี้ เบื่อมากน่ารำคาญมา
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็
งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็
พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั
ฉินอ๋องได้รับความหวาดกลัว จึงให้หมอหลวงจ่ายยาบำรุงประสาทเพื่อบรรเทาอาการซ่งซีซีไปเยี่ยมดูอาการของเขา หน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ไร้สีเลือด ริมฝีปากยังสั่นระริก เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกมือสังหารไปหมดแล้วหรือยัง?”ซ่งซีซีบอกเขาว่า มือสังหารจากไปแล้ว เขาถึงค่อยหยุดสั่นไปบ้างที่จริง คนรอบตัวเขาต่างบอกไปแล้วว่าศัตรูถูกขับไล่ไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่เชื่อ ต้องให้ซ่งซีซีเป็นคนพูดเองถึงจะรู้สึกปลอดภัยซ่งซีซีกำชับให้เขาพักผ่อนดีๆ แล้วจึงออกมาหลี่เต๋อฮวยกำลังปลอบขวัญผู้คนอื่นๆ ในฐานะเสนาบดีกรมทหาร เขาผ่านประสบการณ์มามาก ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอันใด เขาเชื่อมั่นในตัวพระชายาและกองทัพซวนเจีย มิได้เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไรนัก อย่างมากก็แค่เสียหัวหนึ่งขณะเดียวกัน กลุ่มคนจากภูเขาเหม่ยชานรวมตัวกันสนทนา เริ่มสงสัยว่ากลุ่มคนชุดดำที่พบเจอที่ชายแดนเฉิงหลิง อาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับมือสังหารในคืนนี้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเสิ่นว่านจือที่กล่าวขึ้นมา นางคิดว่าพวกเขาหายตัวไปได้อย่างลึกลับเกินไป น่าจะมีเส้นทางลับที่ใช้หนีออกไป และพวกนั้นต้องมีแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้ายิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองกลุ่มล้
เช้าตรู่ กองคณะทูตออกเดินทางไปยังซีจิงซ่งซีซีมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากนัก เพราะขากลับก็ยังต้องผ่านชายแดนเฉิงหลิงอยู่ดี นางยังมีโอกาสได้พบกับครอบครัวของท่านตาอีกหลังจากออกจากชายแดนเฉิงหลิง เส้นทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น หลายจุดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือไม่ก็ถูกทำลายโดยเจตนา ทำให้รถม้าวิ่งไปได้ยากทว่าฉินอ๋องกลับไม่ต้องการขี่ม้าอีกแล้ว แม้จะได้พักฟื้นอยู่หลายวัน แต่บาดแผลที่ต้นขาของเขาก็ยังเจ็บอยู่มาก ถึงแม้จะเดินได้ แต่เมื่อต้องนั่งบนอานม้า ความเจ็บปวดยังคงสร้างความลำบากให้แก่เขาดังนั้น ฉินอ๋องผู้ที่เพิ่งสร้างความดีความชอบในชายแดนเฉิงหลิง และเป็นผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ก็เอ่ยปากว่าเขาจะนั่งรถม้าเมื่อรถม้าติดหล่ม กองทัพซวนเจียก็ลงจากหลังม้าช่วยกันเข็นอย่างยากลำบากดีที่ว่าตอนนี้เส้นทางระหว่างสองแคว้นเปิดให้สัญจร ไม่มีการปิดกั้น ดังนั้นจึงสามารถเดินทางไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ได้หากต้องปีนข้ามภูเขาสูงลิบลิ่ว เกรงว่าบั้นท้ายอันสูงศักดิ์ของฉินอ๋องคงต้องรับเคราะห์ไปอีกมากเมื่อเข้าสู่เขตแดนของซีจิง ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ซึ่งมีขุนนางและทหารของซีจิงมาคอยต้
นายท่านเซียวแปดออกคำสั่งให้ไปสืบหาเรื่องนี้ โดยมอบหมายให้จ้านเป่ยว่างเป็นผู้นำกำลังไปสืบข่าวตามที่ต่างๆเรื่องที่ซ่งซีซีเดินทางมายังชายแดนเฉิงหลิงนั้น จ้านเป่ยว่างรู้ดี วันนั้นตอนที่คณะทูตเดินทางมาถึงเขตเมือง เขายืนดูอยู่ห่างๆ แต่ไม่ได้เข้าไปต้อนรับเขายืนอยู่ไกลมาก ถึงขั้นที่ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน เห็นเพียงเงารางๆ คล้ายกับเป็นนางเท่านั้นเขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองช่างทำเรื่องเปล่าประโยชน์ นางกับเขายังมีความเกี่ยวข้องอันใดกันอีก? เรื่องราวของเมืองหลวง เขาสมควรอยู่ให้ห่างที่สุดในระหว่างที่คณะทูตพักอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิง พวกเขาต่างก็ใช้เวลาหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์การเจรจา รวมถึงจำลองสถานการณ์หลายครั้งทุกคนต่างเข้าใจดีว่าการเจรจาครั้งนี้ แม้จะง่ายกว่าครั้งก่อน แต่ก็มิใช่เรื่องง่ายอย่างแท้จริงนี่คือเรื่องที่จักรพรรดิ์นีใส่พระทัยเป็นอย่างยิ่ง นางจะไม่ยอมประนีประนอมง่ายๆ แน่นอนทางตระกูลเซียวเองก็เป็นกังวลว่าฝ่ายตรงข้ามอาจส่งคนเข้ามาสืบความลับเกี่ยวกับกลยุทธ์ของคณะทูต หากพวกเขาล่วงรู้แผนการ ก็สามารถรับมือได้ทันการณ์ ซึ่งจะทำให้แคว้นซางเสียเปรียบดังนั้น นายท่านเซียวแปดจึงสั่
หอชุนหม่านในวันนี้เต็มแน่นไปหมดเดิมทีโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก ปกติก็มีแขกมารับประทานอยู่บ้าง แต่เมื่อสตรีผู้นั้นพาคนชุดดำเข้ามา พวกเขาก็จับจองที่นั่งที่เหลือทั้งหมดซ่งซีซี เสิ่นว่านจือ และกุ้นเอ๋อร์ทั้งสามคน ถูกเจ้าของร้านเรียกให้ไปนั่งที่โต๊ะเล็กๆ ซึ่งตั้งขึ้นมาเป็นการชั่วคราว แยกออกจากพวกเขาเสียงของบุรุษผู้นั้นดังขึ้นข้างหูนาง แฝงแววขอโทษเล็กน้อย ทั้งยังฟังดูอบอุ่นน่าฟังยิ่งนัก “พวกเขาทั้งหมดเป็นสหายของข้า เช่นเดียวกับข้า ยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อคืนเลย หากแม่นางไม่สบายใจ ข้าจะให้พวกเขารออยู่ที่หน้าประตู แล้วแต่ละคนรับหมั่นโถวไปคนละลูกก็พอ”เสิ่นว่านจือถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว “ไม่จำเป็นหรอก นั่งตามสบาย อยากกินอะไรก็สั่งมาเถิด”บุรุษคนนั้นเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “แม่นางทั้งงดงามและมีจิตใจเมตตานัก เช่นนั้นพวกข้าก็จะสั่งอาหารตามสบายแล้วกัน ขอมากหน่อย”“ได้…ได้สิ” เสิ่นว่านจือพยักหน้า แล้วกวาดตามองคนชุดดำที่เต็มร้าน พวกเขาสวมเสื้อผ้าที่มีเครื่องหมายบางอย่างที่แขนเสื้อ ดูเหมือนจะเป็นตัวอักษร แต่เพราะเสื้อเหล่านั้นยับย่นและเปรอะเปื้อนจนมองแทบไม่อ