หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากคนรับใช้ เขาก็นั่งอยู่นิ่งๆ ในสวน ดูเหมือนหัวใจจะว่างเปล่า แลไม่ว่าใครจะพูดอะไรเขาก็ไม่สนใจด้านนอกซอยฝูหรง มีคนจากฝู้หม่ากู้เฝ้าดูอยู่ หลังจากกลับไปรายงานกับฝู้หม่ากู้แล้ว ฝู้หม่ากู้ก็ขมวดคิ้ว "ชิงหวู่ไม่ได้บอกว่าจะไปจากเขาอย่างดีๆ หรือ ช่างเถอะ ถึงยังไงก็เป็นแค่คนไร้ค่า ตอนนี้ชื่อเสียงของจวนเฉิงเอินป๋อก็ถูกทำลายแล้ว ไม่ต้องไปสนในเขาอีก"เหลียงเส้าอยู่ในซอยฝูหรงเป็นเวลาสองวันโดยไม่กินหรือดื่มอะไร การจากไปของกู้ชิงหวู่ไม่ใช่สิ่งที่กระทบใจเขามากที่สุด แต่สิ่งที่นางพูดก่อนจากไปนั้นคือสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจเขามากที่สุดเขาอวดดี เขาได้สอบติดเป็นถ้านฮัวตั้งแต่อายุยังน้อย และได้รับการชื่นชมจากหญิงสาวชื่อดังมากมายในเมืองหลวงเขาเชื่อว่าตนเองเป็นอัจฉริยะ และเขาแตกต่างออกไปในโลกนี้ ดังนั้น เขาจึงแหวกแนว และโดดเด่นในหมู่คนธรรมดาถึงขนาดกลายเป็นแบบอย่างทางจิตวิญญาณที่ทุกคนเคารพนับถือแม้ว่าเขาจะสูญเสียตำแหน่งข้าราชการเพื่อเยียนหลิว เขาก็ไม่เคยกลัว เพราะนี่เพิ่งพิสูจน์ว่าเขาแตกต่างจากโลกทั่วไปนี้ เขาทะลุพันธนาการและตกหลุมรักหญิงงามเมืองในสถานบันเทิงแม้ว่าเขาจะถู
ในวันนี้ หงเซียวรายงานว่ามีคนหลายคนที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยได้เข้ามาในเมืองหลวงและพักที่โรงเตี้ยมหลงซิงเหตุผลที่บอกว่าพวกเขาประพฤติตัวน่าสงสัยก็เพราะพวกเขามีพลังงานการฆ่าที่รุนแรงบนร่างกาย แตกต่างจากคนอยู่แวดวงการต่อสู้ทั่วไปมากสายลับไวต่อกลิ่นอายที่เกือบจะกระหายเลือด ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในเมืองหลวง กลุ่มสายลับก็ติดตามพวกเขาสลับกัน เมื่อเห็นพวกเขาเข้าไปในโรงเตี้ยมหลงซิง หลังจากทำขั้นตอนเข้าพักแล้วก็ไม่ออกมาอีก จากนั้นจึงกลับมารายงานหลังจากได้ยินรายงานแล้ว เสิ่นว่านจือก็ไปหาซ่งซีซีซ่งซีซีขมวดคิ้วหลังจากได้ยินสิ่งนี้เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่พลุกพล่านและเจริญรุ่งเรืองที่สุดในแคว้นซาง มีนักธุรกิจมากมายเข้าออก และผู้คนจำนวนมากจากแวดวงการต่อสู้เข้าออกเมืองหลวง"คนที่มีพลังงานการฆ่าที่รุนแรง มักจะมีกลิ่นพิเศษบนร่างกายของพวกเขา นี่คือสิ่งที่หงเซียวบอก นางบอกว่าคนเหล่านี้น่าสงสัยมาก หรือว่าต้องการลอบสังหารฮ่องเต้หรือไม่?" เสิ่นว่านจือถามซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว "การลอบสังหารฮ่องเต้จะต้องทำเมื่อฮ่องเต้ออกจากวัง การเข้าไปในวังเพื่อลอบสังหารเป็นการกระทำที่โง่ที่สุด ยิ่งไ
เสิ่นว่านจือมองไปที่นาง "ถ้า...ไม่ได้มาเพื่อยี่ฝาง จาหาเพื่อจวนเป่ยหมิงอ๋องหรือเปล่า""ไม่รู้" ซ่งซีซีไม่สามารถวิเคราะห์ออกมาในระยะสั้นๆ ถึงยังไงมีเพียงคนที่มีกลิ่นไอการฆ่าที่รุนแรงไม่กี่คนเข้ามาในเมืองหลวง ไม่มีข้อมูลอื่นๆ "ข้าต้องให้กุ้นเอ๋อร์เสริมสร้างการป้องกันของจวนอ๋อง พรุ่งนี้ข้าจะส่งรุ่ยเอ๋อร์ไปที่สถาบันการศึกษา และให้กุ้นเอ๋อร์นำเขาไปเฝ้าดูอยู่ข้างนอกไว้ก่อน จนกว่าคนเลห่านั้นจากไป"ไม่ว่ายังไงก็ต้องคอยระวังตัวเอาไว้จะดีกว่า ตอนนี้เซี่ยหลูโม่และอาจารย์หยูต่างไม่ได้อยู่ในจวน ทุกเรื่องต้องระวังมากขึ้น กันไว้ดีกว่าแก้ จะประมาทไม่ได้จากนั้นกุ้นเอ๋อร์เริ่มตั้งแนวป้องกัน ทหารประจำจวนห้าร้อยนายอยู่ที่ใต้เท้าจักรพรรดิ แม้ว่าจะทำให้ฮ่องเต้ไม่ไว้วางใจ แต่การใช้งานจริงนั้นยอดเยี่ยมมากตอนนี้มาจัดการเรื่องระบบความปลดภัยก็ง่ายมาก สามชั่วยามเปลี่ยนเวร และกำลังคนก็เพียงพอแล้วเนื่องจากในเมืองหลวงไม่มีการสั่งห้ามออกไปไหนในกลางคืน ดังนั้นกุ้นเอ๋อร์ต้องเข้ามาดูแลเองในเวลากลางคืน ถึงยังไงเวลาตกมืดก็เป็นช่วงเวลาที่มีโอกาสฆ่าคนและขโมยสินค้ามากที่สุด ความเป็นไปได้ที่คนบุกเข้าจวนอ๋องในกลางวันแส
ใบหน้าของฮูหยินซีดเผือด และฝนทำให้ผมและเสื้อผ้าของนางเปียกโชก เห็นๆ อยู่ว่านางไม่ต้องการให้คนอื่นมาเห็นสภาพที่น่าอนาถเช่นนี้ จากนั้นก็ใช้แขนเสื้อมาปิดหน้า แล้วพูดกับซ่งซีซีเบาๆ ว่า "ขอบคุณ ขอบคุณมาก""ไม่เป็นไร ฮูหยินเป็นอะไรหรือเปล่า?" ซ่งซีซีถาม"ไม่ได้เป็น... อ๊ะ!" นางขยับเท้า และรู้สึกเจ็บแปลบที่เท้าซ้าย นางก็อดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมา"เกรงว่าเท้าแพลง" ซ่งซีซีช่วยประคองนาง และสาวใช้เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามาช่วย แต่ฝ่ามือของสาวใช้กลับเต็มไปด้วยเลือด น่าจะเป็นตอนที่นางล้มลง มือของนางถูกทรายหยาบบนพื้นบาดซ่งซีซีขมวดคิ้วและพูดว่า "รถม้าของข้าอยู่ตรงหน้า มียาอยู่บนรถม้า ไม่งั้นพวกเจ้าไปกับข้า ข้าจะทำแผลให้พวกเจ้าในรถม้าของข้า"ฮูหยินกล่าวว่า "นี่...จะลำบากเกินไปหรือเปล่า ข้าไม่รู้ว่าฮูหยินคือผู้ใด"ซ่งซีซีกล่าวว่า "ฮูหยินรอง ข้าชื่อซ่งซีซี เราเคยพบกันมาก่อน"ฮูหยินที่อยู่ตรงหน้าก็คือหลี่จิ้งที่ต้องการช่วยเหลือหวังชิงหลูที่ร้านจินจิงในวันนั้นหลังจากที่ซ่งซีซีกลับมาจากภูเขาเหม่ยชาน นางเคยไปเยี่ยมเยือนที่จวนโหวเซวียนผิงพร้อมกับท่านแม่ และได้พบกับนางมาครั้งหนึ่งเมื่อได้ยินคำว่า "ซ
รถม้าจอดที่มุมทิศเหนือของสถาบันการศึกษาหมินลู่ ส่วนรถม้าจากจวนโหวเซวียนผิงก็ตามมาด้านหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการติดขัดในรถม้าฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ และมีคนมากขึ้นเรื่อยๆ หลี่จิ้งที่ได้รับบาดเจ็บที่เท้า ทำให้นางไม่อาจลงจากรถม้าในเวลานี้ได้ ได้แต่รอให้รถม้าที่ส่งเด็กๆ เข้าเรียนให้น้อยลง นางถึงกล้าลงจากรถได้"ฮูหยินรอง มาส่งเด็กเข้าเรียนหรือ" ซ่งซีซีรู้ว่านางรับเลี้ยงบุตรชายคนหนึ่งไว้ แต่ไม่รู้ว่าเขาอายุเท่าไหร่แล้ว"ใช่ เข้าเรียนวันแรก ข้าเลยมาส่งเขา" เมื่อพูดถึงบุตรชาย รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของหลี่จิ้ง และนางก็ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น"อายุเท่าไหร่? ชื่ออะไรหรือ?"หลี่จิ้งพูดว่า "เขาอายุเจ็ดขวบ และชื่อจางเว่ยกั๋ว (มีความหมายปกป้องบ้านเมื่องรักประเทศ)"เสิ่นว่านจือยิ้มและพูดว่า "พอได้ยินชื่อนี้ก็รู้ว่าเป็นลูกหลานของแม่ทัพ"สีหน้าของหลี่จิ้งเหม่อลอย และก่อนที่เธอจะกำจัดความขมขื่นในดวงตาได้ นางก็พูดเบาๆ ว่า "ท่านสามีของข้าเคยตั้งชื่อให้เด็ก หากเป็นบุรุษ ให้ตั้งชื่อเกี่ยวกับบ้านเมือง""เป็นอย่างนี้นี่เอง" เสิ่นว่านจือไม่กล้าพูดถึงหัวข้อนี้อีกต่อไป ดวงตาของนางเริ่มแดงมากจนดูเหมือนกำลังจะร้องไห
ซ่งซีซีเรียกเสิ่นว่านจือมา และให้นางช่วยวางหลี่จิ้งไว้บนหลังของนาง จากนั้นรีบอุ้มหลี่จิ้งกลับไปที่รถม้า "รออยู่ที่นี่ ข้าจะช่วยเจ้าหามัน"หลี่จิ้งตัวสั่นไปทั้งตัว ผมของนางเต็มไปด้วยน้ำ ไม่รู้ว่าใบหน้านั้นเป็นน้ำตาหรือว่าน้ำฝนกันแน่ ริมฝีปากก็สั่นเทารุนแรงด้วย "ขอร้อง ขอร้องล่ะ ต้องตามหามันให้เจอ""อย่าลงมา!" ซ่งซีซีสั่งอย่างจริงจัง "ดูแลร่างกายของตนเอง อย่าทำให้วิญญาณของเขาในสวรรค์ไม่สงบ"หลี่จิ้งปิดหน้าและร้องไห้อย่างขมขื่นซ่งซีซีให้คนควบคุมรถม้าเฝ้าดูนางเอาไว้ แล้วกลับไปค้นหาต่อหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม รถม้าก็ค่อยๆ กระจายไป แต่ฝนยังคงไม่หยุด และท้องฟ้าก็มืดมนอย่างน่าสะพรึงกลัว คนทั้งหมดสี่คนรวมทั้งคนควบคุมรถม้าจากจวนโหวเซวียนผิงด้วย ค้นหาจนไม่สามารถยืดเอวให้ตรงได้ แต่ก็ไม่พบต่างหูนั้นเมื่อทุกคนกำลังจะยอมแพ้ ซ่งซีซีกลับเห็นแสงแวววาวแวบหนึ่งใกล้ทางเข้าสถาบัน นางรีบวิ่งเข้าไปและพบว่ามันคือต่างหูไข่มุกของนางจริงๆ นางรีบเอื้อมมือออกไปหยิบมันขึ้นมา เพียงแต่ต่างหูได้รับความเสียหายเหลือเพียงไข่มุกเท่านั้น ด้ายทองที่ห้อยต่างหูและทองคำสองใบที่ยึดไข่มุกก็หายไปหมดแล้วนี่ไม่ใช่ที่ที่น
เขาไปซื้อปิ่นปักผมสีแดงทองและใส่ไว้ในกล่อง หลังจากกลับถึงจวนและถามคนใช้ถึงรู้ว่าจ้านเส้าฮวนอยู่ในเรือนของท่านแม่ เขาก็ตรงไปที่เรือนท่านแม่จ้านเส้าฮวนถือกล่องเครื่องประดับอยู่ในนั้น เมื่อเห็นเขาเข้ามา จ้านเส้าฮวนก็ลุกขึ้นยืนทันทีและถามด้วยความระมัดระวัง "คืนนี้พี่ชายรองไม่ได้เข้าเวรเหรอ? ทำไมกลับมาล่ะ?""ให้เจ้า!" จ้านเป่ยว่างยื่นกล่องให้นาง แล้วพูดอย่างใจเย็น "ได้รับเงินอุดหนุนแล้วเลยซื้อปิ่นปักผมให้เจ้า"จ้านเส้าฮวนเต็มไปด้วยความสงสัย "ซื้อปิ่นปักผมให้ข้า ทำไมต้องซื้อปิ่นปักผมให้ข้าด้วย"นางกอดกล่องเครื่องประดับไว้แน่น เมื่อสองวันที่ผ่านมา เอาแต่ให้นางไปคืนชุดเครื่องประดับบนศีรษะอยู่เลย ทำไมจู่ๆ ก็ซื้อปิ่นปักผมให้นางในยามนี้ล่ะ?"ของขวัญแต่งงานของเจ้า และเห็นเจ้าต้องดูแลท่านแม่อย่างเหนื่อยล้าในหลายวันนี้...เฮะ เก็บไว้เถอะ" จ้านเป่ยว่างหันกลับไปมองฮูหยินผู้เฒ่าจ้านที่นอนอยู่บนเตียง "ท่านแม่ วันนี้ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง??"ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับพฤติกรรมของบุตรชาย หลังจากได้ยินคำถามของเขา นางจึงพูดว่า "น้องสาวของเจ้าดูแลข้าแบบนี้ต้องเหนื่อยจริงๆ วันนี้รู้
เมื่อจ้านเป่ยว่างกลับมาถึงจวนนั้น สาวใช้ก็ลากพวกนางออกไปสักที แต่ทั้งสองอยู่ในสภาพยุ่งเหยิงไม่น่ามอง ผมยุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่น และใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยเล็บมือและรอยตบ ราวกับป้าปากร้ายที่ทะเลาะกันในตลาดไม่มีผิดเลยฮูหยินผู้เฒ่านั่งบนเก้าอี้อย่างหายใจหอบ และจ้องเขม็งมองที่หวังชิงหลูอย่างดุเดือด "นางจะออกเรือนในเร็วๆ นี้ เจ้าไปทำร้ายใบหน้านางแล้วให้นางไปพบคนนอกได้อย่างไร"หวังชิงหลูนั่งอยู่บนพื้นและร้องไห้เสียงดัง รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่งจ้านเป่ยว่างเดินเข้าไปช่วยพยุงหวังชิงหลูให้ลุกขึ้น จากนั้นหยิบตัวเงินกองหนึ่งออกมาให้นาง "ชุดเครื่องประดับทับทิมบนศีรษะคืนแล้ว ตัวเงินนี้เจ้าเก็บไว้""เจ้ารอง เจ้าบ้าแล้วใช่ไหม" ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านลุกขึ้นยืนด้วยความกราดเกรี้ยว "เอาเครื่องประดับที่ซื้อมาแล้วไปคืน จวนแม่ทัพของเรายังมีหน้าเหลืออยู่หรือเปล่า?""เจ้านำมันกลับมาให้ข้า ไม่คืน ข้าไม่คืน" จ้านเส้าฮวนที่เพิ่งนั่งพักไปแป๊บหนึ่งก็พุ่งเข้ามา และทุบตีหน้าอกของเขา มีสภาพเสียท่ามากจ้านเป่ยว่างปล่อยให้นางทุบตี โดยไม่ขยับตัวด้วยสีหน้าเย็นชา เขาเบื่อหน่ายกับการใช้ชีวิตแบบนี้ เบื่อมากน่ารำคาญมา
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า
ข้ามาอยู่ชายแดนเฉิงหลิงได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะทำสิ่งใดดีในนามแล้ว ข้าคือภรรยาของจ้านเป่ยว่าง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากลับมีน้อยนัก เขามักพำนักอยู่ในค่ายทหาร มีเพียงบางครั้งที่กลับมามองข้าสองสามตาด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีเวลาว่างมากมาย พอจะทำกิจการเล็กๆ ได้ชายแดนเฉิงหลิงนั้นต่างจากที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าดินแดนชายขอบย่อมแร้นแค้น ขาดแคลนสิ่งของ แต่เหนือความคาดหมาย ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างขาย ยกเว้นเพียงเครื่องประดับล้ำค่าและผ้าไหมชั้นดีจากแคว้นสู่เท่านั้นสิ่งเหล่านี้ก็หาใช่ว่าไม่มีไม่ เพียงแต่ว่าหลังจากพ่อค้าเดินทางนำมาถึงแล้ว ก็มักเก็บไว้รอส่งไปขายแก่พวกขุนนางมั่งคั่งในซีจิงชาวบ้านที่ชายแดนเฉิงหลิงซื้อเครื่องประดับเพียงเพื่อความสวยงาม ไม่ได้ใส่ใจว่าล้ำค่าหรือไม่ข้ากำลังตรองว่าจะค้าขายสิ่งใดดี เพียงแต่ไม่ว่าคิดจะค้าขายอะไร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องซื้อร้านก่อนมิใช่หรือ?ดังนั้น ข้าจึงพาบ่าวชายและสาวใช้เดินไปตามตรอกซอกซอย ค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมการมาครั้งนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เงินติดตัวข้ามาด้วย พี่สะใภ้รองกับว่านจือก็ให้มาบ้าง รวมกับเงินที่ข้าเก็บไว้เอง ที
นายท่านป๋ออันถูกหวังเยว่จางเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยเส้าหมิ่นออกมา ให้เส้าหมิ่นไปขอความเห็นใจ ถึงได้ช่วยชีวิตคุณชายเส้าเอาไว้เรื่องราวคลี่คลาย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณหวังเยว่จางอย่างสุดซึ้ง แม้จะรู้ว่าถูกจงใจบีบไว้ แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ใครใช้ให้บุตรชายของตนประพฤติผิด ไร้คุณธรรม ถูกจับได้คาหนังคาเขาเล่า?เส้าหมิ่นรู้ว่ามารดาของตนเคยกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี่ เขาจึงอดทนไว้ก่อน รอจนแต่งงานแล้วจึงกล่าวขอแยกเรือนทันทีเขามิได้ทะเลาะกับทางบ้าน เพราะราชสำนักแคว้นซางสอบคุณธรรมข้าราชการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมแห่งความกตัญญู หากมีตราบาปว่าอกตัญญู วันหน้าอย่าหวังจะยืนหยัดในวงราชการเหตุผลที่เขาขอแยกเรือนก็สมเหตุสมผล กล่าวว่าสำคัญต่ออนาคต การสอบใกล้เข้ามาแล้ว คนในเรือนมากเกินไปย่อมรบกวนสมาธิ หากแยกเรือนไปจะได้เตรียมสอบอย่างสงบเพราะเขาเป็นบุตรที่กตัญญูมาโดยตลอด อีกทั้งฮูหยินเส้าเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา รู้ดีว่าเบื้องหลังของหวังจืออวี่มั่นคงนัก จึงมิได้ขัดขวางมากนัก อนุญาตให้พวกเขาแยกเรือนไปเรื่องนี้ถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ มิได้ก่อผลกระทบอันใด ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำซุบซิบนินทาเด