สีหน้าของกู้ชิงหวู่นั้นเรียบเฉย บ่งบอกถึงการเสียดสีอยู่เสมอ แม้แต่ต่อหน้าพ่อของนางก็ตามนางพูดว่า "ลูกไปที่จวนเฉิงเอินป๋อเป็นอนุภรรยา จะไปติดต่อกับพระชายาเป่ยหมิงอ๋องอย่างเป็นการส่วนตัวได้อย่างไร ถ้าท่านแม่ใหญ่องค์หญิงไม่เชื่อใจลูก ก็สามารถให้ยาพิษหนึ่งแก้วแก่ลูกได้"ฝู้หม่ากู้ขมวดคิ้ว "เจ้าพูดอะไรเหลวไหล ให้ยาพิษแก่เจ้า ทำไมต้องเสียเงินเสียแรงไปอบรมเจ้าล่ะ เจ้าอย่าลืมภารกิจของตนเอง แม่แท้ๆ ของเจ้ายังอยู่ในมือของนาง"ดวงตาจของกู้ชิงหวู่ยิ่งฉายแววความเยาะเย้ยและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง "ถ้าท่านพ่อชอบท่านแม่ของข้ามาก ทำไมท่านไม่กล้าต่อต้านนาง แต่ปล่อยให้ลูกถูกคนอื่นทำร้ายตามอำเภอใจเพื่อแลกกับให้ท่านแม่ไปอยู่กับท่านหรื?"ใบหน้าของฝู้หม่ากู้ดูไม่สบอารมณ์ "เจ้าทำให้จวนเฉิงเอินป๋อเกิดความวุ่นวายไปหมด ท่านแม่ใหญ่ของเจ้าก็ดีใจกับเรื่องนี้ แต่ถูกค้นพบตัวตนทำให้นางโกรธน้ดหน่อย น้องสาวของเจ้าออกเดินทางแล้ว นางจะไปพบเป่ยหมิงอ๋องในระหว่างทาง น้องสาวของเจ้าทั้งงดงามและเป็นสตรีที่มีวรยุทธ์เป็นแนวที่เป่ยหมิงอ๋องชอบ เป่ยหมิงอ๋องน่าจะให้ความสนใจกับนาง ขอแค่นางแต่งเข้าจวนเป่ยหมิงอ๋อง งั้นแผนของเรา
เหลียงเส้าถูกเรียกกลับไปยังจวนเฉิงเอินป๋อ เขายังคงถือตัว โดยบอกว่าเขาไม่ผิด ฮ่องเต้ตำหนิเขาและปลดยศซื่อจื่อของเขาไปเป็นการตัดสินที่ไม่สมควรคนหนุ่มมักจะเย่อหยิ่ง คิดว่าตนเองฉลาดคนเดียวคนอื่นล้วนโง่หมด ดูถูกทุกคน แม้ว่าจะเป็นพ่อแม่ของตนเอง ครอบครัวของตนเอง เขาก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาเมื่อเห็นว่าเขาดื้อรั้นขนาดนี้ เฉิงเอินป๋อก็โกรธมากจนตบหน้าเขาแล้วพูดด้วยดุเดือดว่า "เจ้าไปกล่าวขอโทษต่อท่านหญิงเดี๋ยวนี้เลย หากเจ้ากล้าพูดจาไม่มีต่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอีก ก็ไสหัวออกไปซะ อย่าคิดจะเหยียบเข้ามาในจวนเฉิงเอินป๋ออีกในอนาคต แม้แต่ที่พักซอยฝูหรงก็ถูกยึดกลับคืนมาด้วย"ในขณะที่เหลียงเส้ากลับมานั้นเขายังคงกังวลเล็กน้อย เพราะถึงยังไงยศซื่อจื่อก็ถูกปลดแล้ว หลังจากปากแข็งพูดไปอีกกี่คำ หากคนในครอบครัวยังคงเอาใจเขางั้นเขาก็จะฉวยโอกาสอ่อนข้อให้แล้วพาเยียนหลิวกลับมาทว่าไม่มีผู้ใดเอาใจเขาหลังจากกลับบ้าน แม้แต่ท่านย่าที่คอยเอาใจใส่เขามาตลอดก็ยังเงียบอยู่ ตอนนี้เขาถูกตบหน้าอีกครั้งและยังบังคับให้ไปกล่าวขอโทษท่านหญิง ซึ่งทำให้เขาไม่ยอมเขาปิดหน้า ยังทำท่าดื้อรื้อและคำรามด้วยความโกรธ "เอาเลย เอากลับไปหมด ให้ข้
หลานเอ่อร์กล่าวว่า "ช่วยข้านั่งขึ้นแล้วปล่อยให้เขาเข้ามาเถอะ จะดูว่าเขาจะทำอะไร""ท่านหญิง ยังปล่อยให้เขามาหรือ?" เสี่ยวจินยังคงโกรธมากและเป็นกังวลเมื่อคิดถึงเขาเคยผลักคุณหนูชนกับโต๊ะหลานเอ่อร์กล่าวว่า "ไม่ต้องลัว ขอให้ศิษย์พี่ซือโซและศิษย์พี่หลัวคอยเฝ้าดูจากด้านข้าง เขาแตะต้องข้าไม่ได้"นางตายใจกับบุคคลนี้แล้ว แต่เรื่องบางเรื่องต้องมาพูดคุยต่อหน้าให้ชัดเจนเสี่ยวจินได้แต่ช่วยพยุงนางลุกขึ้นนั่ง โดยยัดเบาะนุ่มๆ ไว้บนหลังให้นาง "ไม่ว่ายังไงท่านก็ลุกจากเตียงไม่ได้ หมอบอกว่าท่านยังไม่สามารถลุกจากเตียงแล้วเดินไปรอบๆ ได้""ข้ารู้" ใบหน้าซีดเซียวของหลานเอ่อร์ ดูหมองคล้ำและไร้อารมณ์นับตั้งแต่เสด็จแม่บอกว่าห้ามนางหย่า นางก็นอนพักอย่างสิ้นหวังแบบนี้ตลอดทั้งวัน อย่าว่าแต่อนาคตจะเป็นอย่างไร นาง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรแต่วันนี้เขามาด้วยความโกรธ และจู่ๆ นางก็มีพลังขึ้นมาบ้าง นาง อยากจะทำอะไรสักอย่างหรืออยากจะพูดอะไรบางอย่างอย่างน้อย นางก็ไม่สามารถปล่อยให้การกระทำของท่านพี่ต้องเสียเปล่าเสียงฝีเท้าเร่งรีบเข้ามาใกล้ และเขาเสาเท้าเข้าไป แต่ศิษย์พี่ซือโซและศิษย์พี่หลัวควางติดต
เหลียงเส้าปรี๊ดแตก "ข้าไร้ค่าเช่นนี้ แต่เจ้ากลับกระตือรือร้นมาใกล้ชิดข้า เรื่องแต่งงานของเรา เป็นเจ้าชอบด้านเดียว ข้าแค่ถูกบังคับโดยอำนาจของจวนอ๋อง... ""หุบปากซะ" ดวงตาของหลานเอ่อร์แดงก่ำมาก และริมฝีปากของนางก็สั่นอีกครั้ง นางรู้สึกละอายใจและเสียใจมากเมื่อพูดถึงการแต่งงาน "ตอนแรกข้าถูกใจเจ้าจริงๆ แต่เจ้าก็บอกว่าถูกใจข้าด้วย นี่ถึงทำให้ข้ามีชะตากรรมที่ชั่วร้ายนี้เช่นนี้ หากจวนอ๋องฮวยของข้ามีอำนาจจริงๆ เจ้าจะกล้ารังแกข้าได้อย่างไร"สุดท้ายน้ำตาของนางยังคงไหลออกมาอย่างไม่เป็นที่น่าพอใจ แม้ว่านางจะพยายามกลั้นไว้ แต่นางเป็นคนมีนิสัยอ่อนแอตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว เมื่อพูดคำเหล่านี้ออกมา อารมณ์ของนางก็ไม่สามารถระงับได้อีกต่อไป ดังนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่ได้เช่นกันนางผอมมาก และท่าทางที่นางพยายามหลั่งน้ำตาเอาไว้แต่กลั้นไว้ไม่อยู่ทำให้เหลียงเส้ารู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดนี้ก็หายไปในชั่วพริบตา เขาสัญญาว่าจะรักเดียวใจเดียวกับเยียนหลิว จะไม่แสดงความรักหรือเห็นใจกับผู้หญิงคนอื่นเขาพูดอย่างเย็นชา "ข้ารังแกเจ้าหรือ ทำไมไม่บอกว่าเจ้ารังแกนาง ตอนนี้เจ้ายังอาศัยอยู่ใ
เหลียงเส้ากลับไปที่ซอยฝูหรง และบ้วนปากก่อนเพื่อคายเลือดในปากของเขาออกเขาไม่ต้องการให้เยียนหลิวเป็นห่วงคนรับใช้ในซอยฝูหรงมีเพียงสองคน คนหนึ่งอยู่ในครัว และอีกคนอาจจะกำลังรออยู่รับใช้เยียนหลิวในตอนนี้เขาบ้วนปากด้วยน้ำชาเย็นๆ ในห้องน้ำชา เพียงรู้สึกปวดศีรษะตุบๆ และปากด้านซ้ายดูเหมือนจะแตกร้าว เขาทนกับความเจ็บปวดเอาไว้อยู่นานถึงจะกลั้นน้ำตาเซี่ยหลานโหดร้ายมากจริงๆ นางให้คนอื่นทุบตีสามีของตนซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอนแรกเขาตาบอดจริงๆ ถูกหลอกด้วยนิสัยที่อ่อนโยนและละเมียดของนาง แต่เขาไม่คิดว่านางขี้อิจฉามากเช่นนี้พระชายาเป่ยหมิงอ๋อง ท่านพี่ของนางจะเป็นคนแบบไหน นางก็เป็นคนแบบเดียวกันหลังจากที่เขาถูกทุบตี ท่านย่าและท่านพ่อต้องรู้เรื่องนี้ ดังนั้นการที่เขาจากไปอย่างไม่กล่าวอะไรก็มีข้ออ้างได้แล้ว หากพวกเขามาร้องขอให้เขากลับ เขาจะไม่กลับไปอย่างง่ายๆ"เสี่ยวไป๋ เอาผ้าเช็ดตัว…"เขาเรียกไปเสียงหนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่าเสี่ยวไป๋อยู่ในจวนเฉิงเอินป๋อไม่ได้ติดตามมา จดหมายขายเป็นทาสของเขาอยู่ในมือของท่านแม่ ท่านแม่ไม่อนุญาตให้เขามาที่เคยใช้ชีวิตอย่างหรูหรากินดีอยู่ดีมาโดยตลอดทำให้เขาในตอนนี้ดูน่าอนาถมาก
หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากคนรับใช้ เขาก็นั่งอยู่นิ่งๆ ในสวน ดูเหมือนหัวใจจะว่างเปล่า แลไม่ว่าใครจะพูดอะไรเขาก็ไม่สนใจด้านนอกซอยฝูหรง มีคนจากฝู้หม่ากู้เฝ้าดูอยู่ หลังจากกลับไปรายงานกับฝู้หม่ากู้แล้ว ฝู้หม่ากู้ก็ขมวดคิ้ว "ชิงหวู่ไม่ได้บอกว่าจะไปจากเขาอย่างดีๆ หรือ ช่างเถอะ ถึงยังไงก็เป็นแค่คนไร้ค่า ตอนนี้ชื่อเสียงของจวนเฉิงเอินป๋อก็ถูกทำลายแล้ว ไม่ต้องไปสนในเขาอีก"เหลียงเส้าอยู่ในซอยฝูหรงเป็นเวลาสองวันโดยไม่กินหรือดื่มอะไร การจากไปของกู้ชิงหวู่ไม่ใช่สิ่งที่กระทบใจเขามากที่สุด แต่สิ่งที่นางพูดก่อนจากไปนั้นคือสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจเขามากที่สุดเขาอวดดี เขาได้สอบติดเป็นถ้านฮัวตั้งแต่อายุยังน้อย และได้รับการชื่นชมจากหญิงสาวชื่อดังมากมายในเมืองหลวงเขาเชื่อว่าตนเองเป็นอัจฉริยะ และเขาแตกต่างออกไปในโลกนี้ ดังนั้น เขาจึงแหวกแนว และโดดเด่นในหมู่คนธรรมดาถึงขนาดกลายเป็นแบบอย่างทางจิตวิญญาณที่ทุกคนเคารพนับถือแม้ว่าเขาจะสูญเสียตำแหน่งข้าราชการเพื่อเยียนหลิว เขาก็ไม่เคยกลัว เพราะนี่เพิ่งพิสูจน์ว่าเขาแตกต่างจากโลกทั่วไปนี้ เขาทะลุพันธนาการและตกหลุมรักหญิงงามเมืองในสถานบันเทิงแม้ว่าเขาจะถู
ในวันนี้ หงเซียวรายงานว่ามีคนหลายคนที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยได้เข้ามาในเมืองหลวงและพักที่โรงเตี้ยมหลงซิงเหตุผลที่บอกว่าพวกเขาประพฤติตัวน่าสงสัยก็เพราะพวกเขามีพลังงานการฆ่าที่รุนแรงบนร่างกาย แตกต่างจากคนอยู่แวดวงการต่อสู้ทั่วไปมากสายลับไวต่อกลิ่นอายที่เกือบจะกระหายเลือด ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในเมืองหลวง กลุ่มสายลับก็ติดตามพวกเขาสลับกัน เมื่อเห็นพวกเขาเข้าไปในโรงเตี้ยมหลงซิง หลังจากทำขั้นตอนเข้าพักแล้วก็ไม่ออกมาอีก จากนั้นจึงกลับมารายงานหลังจากได้ยินรายงานแล้ว เสิ่นว่านจือก็ไปหาซ่งซีซีซ่งซีซีขมวดคิ้วหลังจากได้ยินสิ่งนี้เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่พลุกพล่านและเจริญรุ่งเรืองที่สุดในแคว้นซาง มีนักธุรกิจมากมายเข้าออก และผู้คนจำนวนมากจากแวดวงการต่อสู้เข้าออกเมืองหลวง"คนที่มีพลังงานการฆ่าที่รุนแรง มักจะมีกลิ่นพิเศษบนร่างกายของพวกเขา นี่คือสิ่งที่หงเซียวบอก นางบอกว่าคนเหล่านี้น่าสงสัยมาก หรือว่าต้องการลอบสังหารฮ่องเต้หรือไม่?" เสิ่นว่านจือถามซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว "การลอบสังหารฮ่องเต้จะต้องทำเมื่อฮ่องเต้ออกจากวัง การเข้าไปในวังเพื่อลอบสังหารเป็นการกระทำที่โง่ที่สุด ยิ่งไ
เสิ่นว่านจือมองไปที่นาง "ถ้า...ไม่ได้มาเพื่อยี่ฝาง จาหาเพื่อจวนเป่ยหมิงอ๋องหรือเปล่า""ไม่รู้" ซ่งซีซีไม่สามารถวิเคราะห์ออกมาในระยะสั้นๆ ถึงยังไงมีเพียงคนที่มีกลิ่นไอการฆ่าที่รุนแรงไม่กี่คนเข้ามาในเมืองหลวง ไม่มีข้อมูลอื่นๆ "ข้าต้องให้กุ้นเอ๋อร์เสริมสร้างการป้องกันของจวนอ๋อง พรุ่งนี้ข้าจะส่งรุ่ยเอ๋อร์ไปที่สถาบันการศึกษา และให้กุ้นเอ๋อร์นำเขาไปเฝ้าดูอยู่ข้างนอกไว้ก่อน จนกว่าคนเลห่านั้นจากไป"ไม่ว่ายังไงก็ต้องคอยระวังตัวเอาไว้จะดีกว่า ตอนนี้เซี่ยหลูโม่และอาจารย์หยูต่างไม่ได้อยู่ในจวน ทุกเรื่องต้องระวังมากขึ้น กันไว้ดีกว่าแก้ จะประมาทไม่ได้จากนั้นกุ้นเอ๋อร์เริ่มตั้งแนวป้องกัน ทหารประจำจวนห้าร้อยนายอยู่ที่ใต้เท้าจักรพรรดิ แม้ว่าจะทำให้ฮ่องเต้ไม่ไว้วางใจ แต่การใช้งานจริงนั้นยอดเยี่ยมมากตอนนี้มาจัดการเรื่องระบบความปลดภัยก็ง่ายมาก สามชั่วยามเปลี่ยนเวร และกำลังคนก็เพียงพอแล้วเนื่องจากในเมืองหลวงไม่มีการสั่งห้ามออกไปไหนในกลางคืน ดังนั้นกุ้นเอ๋อร์ต้องเข้ามาดูแลเองในเวลากลางคืน ถึงยังไงเวลาตกมืดก็เป็นช่วงเวลาที่มีโอกาสฆ่าคนและขโมยสินค้ามากที่สุด ความเป็นไปได้ที่คนบุกเข้าจวนอ๋องในกลางวันแส
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า
ข้ามาอยู่ชายแดนเฉิงหลิงได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะทำสิ่งใดดีในนามแล้ว ข้าคือภรรยาของจ้านเป่ยว่าง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากลับมีน้อยนัก เขามักพำนักอยู่ในค่ายทหาร มีเพียงบางครั้งที่กลับมามองข้าสองสามตาด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีเวลาว่างมากมาย พอจะทำกิจการเล็กๆ ได้ชายแดนเฉิงหลิงนั้นต่างจากที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าดินแดนชายขอบย่อมแร้นแค้น ขาดแคลนสิ่งของ แต่เหนือความคาดหมาย ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างขาย ยกเว้นเพียงเครื่องประดับล้ำค่าและผ้าไหมชั้นดีจากแคว้นสู่เท่านั้นสิ่งเหล่านี้ก็หาใช่ว่าไม่มีไม่ เพียงแต่ว่าหลังจากพ่อค้าเดินทางนำมาถึงแล้ว ก็มักเก็บไว้รอส่งไปขายแก่พวกขุนนางมั่งคั่งในซีจิงชาวบ้านที่ชายแดนเฉิงหลิงซื้อเครื่องประดับเพียงเพื่อความสวยงาม ไม่ได้ใส่ใจว่าล้ำค่าหรือไม่ข้ากำลังตรองว่าจะค้าขายสิ่งใดดี เพียงแต่ไม่ว่าคิดจะค้าขายอะไร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องซื้อร้านก่อนมิใช่หรือ?ดังนั้น ข้าจึงพาบ่าวชายและสาวใช้เดินไปตามตรอกซอกซอย ค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมการมาครั้งนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เงินติดตัวข้ามาด้วย พี่สะใภ้รองกับว่านจือก็ให้มาบ้าง รวมกับเงินที่ข้าเก็บไว้เอง ที
นายท่านป๋ออันถูกหวังเยว่จางเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยเส้าหมิ่นออกมา ให้เส้าหมิ่นไปขอความเห็นใจ ถึงได้ช่วยชีวิตคุณชายเส้าเอาไว้เรื่องราวคลี่คลาย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณหวังเยว่จางอย่างสุดซึ้ง แม้จะรู้ว่าถูกจงใจบีบไว้ แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ใครใช้ให้บุตรชายของตนประพฤติผิด ไร้คุณธรรม ถูกจับได้คาหนังคาเขาเล่า?เส้าหมิ่นรู้ว่ามารดาของตนเคยกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี่ เขาจึงอดทนไว้ก่อน รอจนแต่งงานแล้วจึงกล่าวขอแยกเรือนทันทีเขามิได้ทะเลาะกับทางบ้าน เพราะราชสำนักแคว้นซางสอบคุณธรรมข้าราชการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมแห่งความกตัญญู หากมีตราบาปว่าอกตัญญู วันหน้าอย่าหวังจะยืนหยัดในวงราชการเหตุผลที่เขาขอแยกเรือนก็สมเหตุสมผล กล่าวว่าสำคัญต่ออนาคต การสอบใกล้เข้ามาแล้ว คนในเรือนมากเกินไปย่อมรบกวนสมาธิ หากแยกเรือนไปจะได้เตรียมสอบอย่างสงบเพราะเขาเป็นบุตรที่กตัญญูมาโดยตลอด อีกทั้งฮูหยินเส้าเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา รู้ดีว่าเบื้องหลังของหวังจืออวี่มั่นคงนัก จึงมิได้ขัดขวางมากนัก อนุญาตให้พวกเขาแยกเรือนไปเรื่องนี้ถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ มิได้ก่อผลกระทบอันใด ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำซุบซิบนินทาเด