หลังจากที่สองสามีภรรยาอ๋องฮวยจากไป คนรับใช้ของจวนเฉิงเอินป๋อก็จัดเก็บข้าวของนอกจากนี้ เหลียงเส้าและเยียนหลิวถูกให้อยู่ห้องโถงดอกไม้ต่อ และผู้คนในบ้านอื่นก็แยกย้ายกันไปฮูหยินเฉิงเอินป๋อก็ไม่อยู่ต่อเช่นกัน และถูกเฉิงเอินป๋อสั่งให้ส่งฮูหยินผู้เฒ่ากลับห้องก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะกลับไป นางสั่งเฉิงเอินป๋อห้ามสร้างปัญหากับเหลียงเส้า "ลูกหลานที่เรียนหนังสือมาในจวนของเรามีผู้ใดบ้างที่โดดเด่นอย่างเขา เขาเป็นถ้านฮัวที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ และการถูกไล่ออกจากตำแหน่งก็เป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น มีครอบครัวไหนที่ไม่ได้แต่งภรรยาหลายๆ คน ก็แต่พวกคนเจตนาไม่ดีกำลังก่กวนเรื่องเท่านั้น""แม่กลับไปพักผ่อนเถอะ" เฉิงเอินป๋อไม่ตอบตกลง แต่ให้ฮูหยินช่วยพาฮูหยินผู้เฒ่ากลับเฉิงเอินป๋อมองดูเยียนหลิวที่ซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของเหลียงเส้าและยังคงร้องไห้ไม่หยุด เขารู้สึกหงุดหงิดถึงที่สุด "ร้องไห้อะไรนักหนา หากวันนี้เจ้าไม่ยั่วยุท่านหญิง คืนนี้จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรือ?"เหลียงเส้ายังคงปกป้องเยียนหลิว และพูดว่า "ท่านพ่อ ท่านจะโทษเยียนเอ๋อร์ได้อย่างไร ท่านคงไม่รู้ว่าคนที่เรือนของท่านหญิงมันโหดร้ายมากแค่ไหน
หลังจากที่เหลียงเส้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็เริ่มเขียนบทความเพื่อประณามจวนเป่ยหมิงอ๋องทันทีหลังจากที่เขาเขียนเสร็จแล้ว เขาก็เชิญอดีตนักเรียนบางคนออกมา เขาชวนคนมากกว่าสิบคน แต่มีเพียงสามสี่คนเท่านั้นที่มาหลังจากอ่านบทความที่เขาเขียน นักเรียนเหล่านั้นต่างก็ตกตะลึง และรีบจากไปพร้อมให้ข้ออ้างที่ว่าพวกเขามีเรื่องอื่นต้องทำเหลียงเส้างุนงง และรีบตามหนึ่งในนั้นไปพลางถามว่า "เมื่อเห็นทางจวนเป่ยหมิงอ๋องกลั่นแกล้งคนอื่นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ไม่ยอมช่วยข้าหรือ"นักเรียนแซ่หวู่และชื่อหวู่ซานหลาง เขาเข้าเรียนสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนเมื่อปีที่แล้ว และเขาชื่นชมเหลียงเส้ามากก็จริง แต่นั่นเป็นเพียงก่อนที่เหลียงเส้าแต่งงานกับหญิงงามเมืองจากสถานบันเทิ ที่เขายอมมาในวันนี้ถือว่าให้แก่หน้าเขาเมื่อเห็นว่าบทความนี้เต็มไปด้วยคำพูดประณามเชื้อพระวงศ์ที่เพิ่งยึดเขตหนานเจียงกลับคืนมา แต่เขาเอาแต่หาว่าเป่ยหมิงอ๋องดูหมิ่นสตรี และคนที่ถูกดูหมิ่นนั้นก็คือเยียนหลิวหวู่ซานหลางพูดไม่ออกเมื่อบทความนี้ถูกปรพกาศออกมา ผู้คนทั่วโลกมีแต่จะชี้นิ้วไปดุเขา เขาจะไม่เข้าไปยุ่งหรอกดังนั้น เมื่อเผชิญกับคำถามของเหลียง
ซ่งซีซีให้ว่านจือส่งคนไปจับตาดูเหลียงเส้ามาแล้วหลายวัน ถ้านฮัวคนนี้ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากฮูหยินผู้เฒ่า เลยยังกำเริบเสิบสานในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาไปที่สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนพร้อมกับบทความในมือ พยายามหาคนที่จะส่งบทความดังกล่าวให้ฮ่องเต้ แต่ไม่มีใครในสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนสนใจเขาเขารู้สึกว่าผู้คนในสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนก็อิจฉาคนที่มีความสามารถพิเศษ และเขารู้สึกไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปสถาบันฮันลินเพื่อขอคนมาช่วย แต่ทุกคนที่เห็นเขาก็จงใจหลีกเลี่ยงเขาถ้านฮัว ซึ่งถูกฮ่องเต้สั่งให้ไล่ออกจากตำแหน่งด้วยตนเอง เอาใจอนุภรรยาและทอดทิ้งภรรยาเอก อีกทั้งออกจากจวนป๋อและสร้างครอบครัวใหม่ ได้ยินมาว่าเขาไม่ต้องการเป็นซื่อจื่ออีกต่อไปนอกจากนี้มีข่าวที่เขาแต่งงานกับลูกสาวพ่อค้าและให้ลูกสาวพ่อค้าออกเงินเพื่อไถ่ถอนหญิงงามเมืองในสถานบันเทิงถูกแพร่สะพัดว่า แม้ว่าพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นคิดว่านี่ไม่ได้ผิดร้สยแรง แต่ผิดศีลธรรม และรู้สึกไม่มีค่าพอที่เป็นนักวิชาการนอกจากนี้ เมื่อตัวตนของเยียนหลิวถูกแพร่กระจาย แม้ว่าจะไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ก็ถูกหลีกเลี่ยงอยู่เสมอเหลียงเส้ายุ่งไปหลาย
ในห้องโถงดอกไม้ กลิ่นหอมของชามะลิอบอวลไปทั่วห้องเป่าจูนำขนมหวานมา ข้างนอกฝนตก และรองเท้าปักของนางก็เปียกโชก เมื่อเหยียบบนพื้นหินอ่อน ทำให้มีรอยเท้าที่ชัดเจนหลายรอยอยู่บนพื้นซ่งซีซีไม่ได้พูดก่อน แต่นั่งบนเก้าอี้และดื่มน้ำชาช้าๆ ระหว่างน้ากับหลานสองคนนี้ห่างกันเพียงโต๊ะน้ำชาทรงสี่เหลี่ยมสูงขนมหวานวางอยู่บนโต๊ะน้ำชา เป่าจูถือถาดแล้วถอยกลับโดยยืนเฝ้าอยู่นอกประตูซ่งซีซีหยิบขนมหวานก้อนเมฆด้วยมือแล้วกินมันช้าๆ เสียงเคี้ยวเบามากจนแทบไม่ได้ยินพระชายาอ๋องฮวยใช้ตะเกียบขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วใส่เข้าไปในปากของนาง นางกินมันอย่างงดงาม โดยกัดคำเล็กๆ และถือมันไว้บนจานกระเบื้องเล็กๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เศษขนมใดๆ ตกใส่กระโปรงลายดอกไม้สีม่วงของนางผิวของนางค่อนข้างเหลือง และสีม่วงทำให้ผิวของนางยิ่งดูเข้มขึ้น ดวงตาของนางเหม่อลอย ใต้ตาลึกคล้ำ เห็นๆ อยู่ว่านอนหลับไม่ดีมาหลายคืนแล้วบางทีอาจเป็นเพราะนางเห็นซ่งซีซีเงียบตลอด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่จะวางจานและตะเกียบลง แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าปาดมุมปากก่อนพูดว่า "ซีซี เจ้าต้องเหินห่างกับน้าเช่นนี้เลยหรือ?"เสียงซ่งซีซีเบาๆ "ข้านึกว่าเป็นท่านน้าที่จงใจทำตัวเหิน
ซ่งซีซีเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "เป่าจู ส่งแขก"พระชายาอ๋องฮวยระเบิดอารมณ์ออกมาทันทีทันใด "ซ่งซีซี ข้ายังพูดไม่จบเลย เจ้าจะรีบร้อนที่จะขับไล่ข้าหรือ ข้าเป็นท่านน้าของเจ้าน่ะ"นางหัวเสียและทุบถ้วยชาลงบนพื้น หน้าอกนั้นกระเพื่อมซ่งซีซีมองดูถ้วยชาที่แตกอยู่บนพื้น มีแอ่งน้ำชาอยู่ที่บริเวณข้างเท้าของนาง ทำให้เท้าหน้าของนางเปียกโชก"หาก" ซ่งซีซีเงยหน้าขึ้นมองนาง น้ำเสียงดุดันและเย็นชา "เจ้ากล้าระบายความโกรธเช่นนี้ในจวนเฉิงเอินป๋อและกล้าทุบถ้วยต่อหน้าพวกเขา ชี้หน้าด่าเหลียงเส้าเป็นคนชั่ว ข้าก็ดีใจแทนหลานเอ่อร์ ยังถือว่าเจ้าเป็นท่านน้าของข้า แต่หลานเอ่อร์ต้องทนทุกข์ขนาดไหนแล้ว คืนนั้นเจ้าไม่เห็นหรือไง เจ้าเอาแต่พูดเกลี้ยกล่อม นางบอกว่าต้องการหย่า แค่ถามเจ้าว่ายอมรับให้นางกลับจวนหรือไม่ แม้ว่าเจ้าแค่พยักหน้าเล็กน้อยแทนที่โน้มน้าวให้นางอดทนเอาไว้ก็ถือว่าเป็นการปลอบใจที่ยิ่งใหญ่ บางทีนางอาจจะรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจไปขณะนึงเลยพูดว่าอยากหย่าด้วยอารมณ์เท่านั้น แต่การปฏิเสธของเจ้าจะทำให้นางเสียใจขนาดไหน ต้องสิ้นหวังมากเพียงใด เจ้าเคยคิดบ้างไหม?""นางหย่าไม่ได้" ใบหน้าของพระชายาอ๋องฮวยเปลี่ยนเป็นส
เรื่องที่ว่าซ่งซีซีหัวเสียเพราะพระชายาอ๋องฮวยก็ถูกกระจ่ายไปถึงหูสนมฮุ่ยไทเฟยหลังจากที่นางตามหาเป่าจูเพื่อสอบถามต้นสายปลายเหตุ นางกระทืบเท้าตึงตัง "ผู้ใดบ้างจะไม่โกรธหลังจากได้ยินคำพูดแบบนี้ ซีซีเสียเปรียบตรงที่นางเป็นรุ่นหลาน หากข้าอยู่ล่ะก็ จะไม่ตบหน้านางสักหลายๆ ฉาดได้อย่างไร"นางรีบออกคกสั่ง "เร็วเข้า ให้ห้องครัวทำขนมหวานให้นาง ขนมหมื่นลี้ ขนมพุทราแดง ไม่สิ ไม่ ไปซื้อชุดขนมหลวงรวมแปดชนิดตรงๆ เลย กล่อมนางสักหน่อย อย่าให้นางอารมณ์เสียอีก เพื่อคนที่ไม่เอาไหนแบบนั้นทำให้ตนเองโกรธจนทำร้ายสุขภาพก็ไม่คุ้มเอาเสีย"ซู่เยว่เตรียมตัวจะออกไปซื้อของอย่างรีบร้อน แต่เสิ่นว่านจือก็พูดว่า "ให้ข้าไปเถอะ ข้าคล่องตัวกว่า""ใช่ ให้ว่านจือไป" สนมฮุ่ยไทเฟยรู้สึกประหม่ามาก หาใช่ว่านางไม่เคยเห็นลูกสะใภ้โกรธ แต่คราวนี้นางต้องเผชิญหน้ากับพระชายาอ๋องฮวย นางไม่สามารถระบายความโกรธออกมาได้ ก็ประหนึ่งบางครั้งที่นางหงุดหงิดกับท่านพี่มาก แต่ไม่กล้าใส่อารมณ์กับท่านพี่ไม่ ยังคงแตกต่างออกไป ท่านพี่เป็นคนมีเหตุผล ในใจของนางยังหวังดีกับตนเอง ในทางกลับกันพระชายาอ๋องฮวยคนนั้นไม่แม้แต่สนใจลูกสาวของตนเองด้วยซ้ำ จะมาเท
ซ่งซีซีหยิบขนมชิ้นหนึ่งมาให้สนมฮุ่ยไทเฟย และพูดด้วยรอยยิ้ม "เสด็จแม่ ข้าไม่โกรธ ท่านกินด้วย"เมื่อมองดูนางหยิบมันด้วยมือเปล่าโดยตรง สนมฮุ่ยไทเฟยขมวดคิ้ว นี่ลูกสะใภ้คนนี้ก็หยาบไปหน่อยไหมหลังจากลังเลอยู่นาน นางก็รับมันมา ช่างเถอะกินๆ ไปเลยไม่ตายหรอกฝ่ายตรวจการเริ่มยุ่งอีกครั้ง และร้องเรียนถ้านฮัวเหลียงเส้าจัดหนักเลยอวี้ฉื่อคิดว่าเขาประพฤติตนผิดจรรยาบรรณและดูถูกขุนนางทุกคนในราชสำนักในที่สาธารณะ และยังดูหมิ่นอำนาจของจักรพรรดิอีกด้วย เขาไม่คู่ควรเป็นศิษย์ของจักรพรรดิ จึงขอร้องฮ่องเต้ให้ขีดฆ่าชื่อของเหลียงเส้าออกจาก "รายชื่อบันทึกผู้สอบผ่านขุนนาง" และในขณะเดียวกันก็ยกเลิกยศในฐานนะซื่อจื่อเฉิงเอินป๋อด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จวนเฉิงเอินป๋อต้องการเปลี่ยนซื่อจื่อแล้วฮ่องเต้ยกเลิกยศในฐานะซื่อจื่อเฉิงเอินป๋อของเหลียงเส้าในการประชุมยามเช้า แต่ไม่ได้ตัดสิทธิ์เขาจากการเป็นถ้านฮัว หากยกเลิกถ้านฮัวซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตนเองแต่งตั้งให้มันก็เท่ากับฉีกหน้าของตนเองแต่ถึงยังไงฮ่องเต้ก็โกรธจัดมากและตักเตือนเฉิงเอินป๋อในประชุม หลังจากเลิกประชุม เขาเรียกเฉิงเอินป๋อไปที่ห้องหนังสือหลวงฮ่องเต้มองดูเฉิง
เซี่ยหลูโม่ถาม "เสด็จพี่ ตัวตนของชีซื่อคือใครกัน?"เมื่อเขาได้รับข่าวกรองจากฉีหลินโดยเป็นชีซื่อส่งให้ เขาได้สอบสวนแม่ทัพทั้งหมดที่ไปสนามรบเขตหนานเจียง รวมถึงทหารที่ถูกจับ และไม่มีผู้ใดชื่อชีซื่อจักรพรรดิ์ซูชิงส่ายหัว "ไม่รู้ คาดว่าไม่มีผู้ใดรู้ พ่อตาของเจ้าเป็นคนรับข่าวกรองคนแรก บางทีพ่อตาของเจ้ารู้ตัวตนของเขา หรือว่าพ่อตาของเจ้าก็ไม่รู้เช่นกัน""ชีซื่อสามารถหนีจากค่ายผู้ถูกจับได้ซึ่งพิสูจน์ว่าบุคคลนี้มีวรยุทธ์ไม่เลว ไม่ใช่ทหารธรรมดา"เซี่ยหลูโม่ขมวดคิ้วและคิดอยู่พักหนึ่ง เมื่อเขารับข่าวกรองจากชีซื่อและเดินเส้นทางของเขาในอดีต ไม่ได้สอบถามตัวตนของเขา แต่แน่นอนว่าต่อให้ถามแล้วก็ไม่มีทางจะบอก เพราะข่าวกรองอาจถูกดักจับได้ เปิดเผยตัวจนในข่าวกรองมันอันตรายมากเซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "เสด็จพี่ เขาได้ให้ข่าวกรองมากมาย มีผลงานใหญ่ จ้องช่วยเขากลับมา"จักรพรรดิ์ซูชิงพยักหน้าและมองดูเขาอย่างเคร่งขรึม "ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะไปเอง สิ่งเดียวที่แน่ใจได้ในขณะนี้ก็คือเขายังไม่ตาย แคว้นซาต้องการใช้เขามาแลกกับเมืองแห่งหนึ่ง ตามที่ฝางเทียนหลินสืบมา เขากำลังถูกควบคุมตัวอยู่ในคุกในเมืองชายแดนของแคว้นซา แ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า
ข้ามาอยู่ชายแดนเฉิงหลิงได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะทำสิ่งใดดีในนามแล้ว ข้าคือภรรยาของจ้านเป่ยว่าง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากลับมีน้อยนัก เขามักพำนักอยู่ในค่ายทหาร มีเพียงบางครั้งที่กลับมามองข้าสองสามตาด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีเวลาว่างมากมาย พอจะทำกิจการเล็กๆ ได้ชายแดนเฉิงหลิงนั้นต่างจากที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าดินแดนชายขอบย่อมแร้นแค้น ขาดแคลนสิ่งของ แต่เหนือความคาดหมาย ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างขาย ยกเว้นเพียงเครื่องประดับล้ำค่าและผ้าไหมชั้นดีจากแคว้นสู่เท่านั้นสิ่งเหล่านี้ก็หาใช่ว่าไม่มีไม่ เพียงแต่ว่าหลังจากพ่อค้าเดินทางนำมาถึงแล้ว ก็มักเก็บไว้รอส่งไปขายแก่พวกขุนนางมั่งคั่งในซีจิงชาวบ้านที่ชายแดนเฉิงหลิงซื้อเครื่องประดับเพียงเพื่อความสวยงาม ไม่ได้ใส่ใจว่าล้ำค่าหรือไม่ข้ากำลังตรองว่าจะค้าขายสิ่งใดดี เพียงแต่ไม่ว่าคิดจะค้าขายอะไร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องซื้อร้านก่อนมิใช่หรือ?ดังนั้น ข้าจึงพาบ่าวชายและสาวใช้เดินไปตามตรอกซอกซอย ค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมการมาครั้งนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เงินติดตัวข้ามาด้วย พี่สะใภ้รองกับว่านจือก็ให้มาบ้าง รวมกับเงินที่ข้าเก็บไว้เอง ที
นายท่านป๋ออันถูกหวังเยว่จางเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยเส้าหมิ่นออกมา ให้เส้าหมิ่นไปขอความเห็นใจ ถึงได้ช่วยชีวิตคุณชายเส้าเอาไว้เรื่องราวคลี่คลาย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณหวังเยว่จางอย่างสุดซึ้ง แม้จะรู้ว่าถูกจงใจบีบไว้ แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ใครใช้ให้บุตรชายของตนประพฤติผิด ไร้คุณธรรม ถูกจับได้คาหนังคาเขาเล่า?เส้าหมิ่นรู้ว่ามารดาของตนเคยกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี่ เขาจึงอดทนไว้ก่อน รอจนแต่งงานแล้วจึงกล่าวขอแยกเรือนทันทีเขามิได้ทะเลาะกับทางบ้าน เพราะราชสำนักแคว้นซางสอบคุณธรรมข้าราชการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมแห่งความกตัญญู หากมีตราบาปว่าอกตัญญู วันหน้าอย่าหวังจะยืนหยัดในวงราชการเหตุผลที่เขาขอแยกเรือนก็สมเหตุสมผล กล่าวว่าสำคัญต่ออนาคต การสอบใกล้เข้ามาแล้ว คนในเรือนมากเกินไปย่อมรบกวนสมาธิ หากแยกเรือนไปจะได้เตรียมสอบอย่างสงบเพราะเขาเป็นบุตรที่กตัญญูมาโดยตลอด อีกทั้งฮูหยินเส้าเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา รู้ดีว่าเบื้องหลังของหวังจืออวี่มั่นคงนัก จึงมิได้ขัดขวางมากนัก อนุญาตให้พวกเขาแยกเรือนไปเรื่องนี้ถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ มิได้ก่อผลกระทบอันใด ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำซุบซิบนินทาเด