ซ่งซีซีหยิบขนมชิ้นหนึ่งมาให้สนมฮุ่ยไทเฟย และพูดด้วยรอยยิ้ม "เสด็จแม่ ข้าไม่โกรธ ท่านกินด้วย"เมื่อมองดูนางหยิบมันด้วยมือเปล่าโดยตรง สนมฮุ่ยไทเฟยขมวดคิ้ว นี่ลูกสะใภ้คนนี้ก็หยาบไปหน่อยไหมหลังจากลังเลอยู่นาน นางก็รับมันมา ช่างเถอะกินๆ ไปเลยไม่ตายหรอกฝ่ายตรวจการเริ่มยุ่งอีกครั้ง และร้องเรียนถ้านฮัวเหลียงเส้าจัดหนักเลยอวี้ฉื่อคิดว่าเขาประพฤติตนผิดจรรยาบรรณและดูถูกขุนนางทุกคนในราชสำนักในที่สาธารณะ และยังดูหมิ่นอำนาจของจักรพรรดิอีกด้วย เขาไม่คู่ควรเป็นศิษย์ของจักรพรรดิ จึงขอร้องฮ่องเต้ให้ขีดฆ่าชื่อของเหลียงเส้าออกจาก "รายชื่อบันทึกผู้สอบผ่านขุนนาง" และในขณะเดียวกันก็ยกเลิกยศในฐานนะซื่อจื่อเฉิงเอินป๋อด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จวนเฉิงเอินป๋อต้องการเปลี่ยนซื่อจื่อแล้วฮ่องเต้ยกเลิกยศในฐานะซื่อจื่อเฉิงเอินป๋อของเหลียงเส้าในการประชุมยามเช้า แต่ไม่ได้ตัดสิทธิ์เขาจากการเป็นถ้านฮัว หากยกเลิกถ้านฮัวซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตนเองแต่งตั้งให้มันก็เท่ากับฉีกหน้าของตนเองแต่ถึงยังไงฮ่องเต้ก็โกรธจัดมากและตักเตือนเฉิงเอินป๋อในประชุม หลังจากเลิกประชุม เขาเรียกเฉิงเอินป๋อไปที่ห้องหนังสือหลวงฮ่องเต้มองดูเฉิง
เซี่ยหลูโม่ถาม "เสด็จพี่ ตัวตนของชีซื่อคือใครกัน?"เมื่อเขาได้รับข่าวกรองจากฉีหลินโดยเป็นชีซื่อส่งให้ เขาได้สอบสวนแม่ทัพทั้งหมดที่ไปสนามรบเขตหนานเจียง รวมถึงทหารที่ถูกจับ และไม่มีผู้ใดชื่อชีซื่อจักรพรรดิ์ซูชิงส่ายหัว "ไม่รู้ คาดว่าไม่มีผู้ใดรู้ พ่อตาของเจ้าเป็นคนรับข่าวกรองคนแรก บางทีพ่อตาของเจ้ารู้ตัวตนของเขา หรือว่าพ่อตาของเจ้าก็ไม่รู้เช่นกัน""ชีซื่อสามารถหนีจากค่ายผู้ถูกจับได้ซึ่งพิสูจน์ว่าบุคคลนี้มีวรยุทธ์ไม่เลว ไม่ใช่ทหารธรรมดา"เซี่ยหลูโม่ขมวดคิ้วและคิดอยู่พักหนึ่ง เมื่อเขารับข่าวกรองจากชีซื่อและเดินเส้นทางของเขาในอดีต ไม่ได้สอบถามตัวตนของเขา แต่แน่นอนว่าต่อให้ถามแล้วก็ไม่มีทางจะบอก เพราะข่าวกรองอาจถูกดักจับได้ เปิดเผยตัวจนในข่าวกรองมันอันตรายมากเซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "เสด็จพี่ เขาได้ให้ข่าวกรองมากมาย มีผลงานใหญ่ จ้องช่วยเขากลับมา"จักรพรรดิ์ซูชิงพยักหน้าและมองดูเขาอย่างเคร่งขรึม "ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะไปเอง สิ่งเดียวที่แน่ใจได้ในขณะนี้ก็คือเขายังไม่ตาย แคว้นซาต้องการใช้เขามาแลกกับเมืองแห่งหนึ่ง ตามที่ฝางเทียนหลินสืบมา เขากำลังถูกควบคุมตัวอยู่ในคุกในเมืองชายแดนของแคว้นซา แ
ณ จวนเป่ยหมิงอ๋องซ่งซีซีช่วยเขาจัดเก็บเสื้อผ้าพร้อมกับเลิกคิ้วอย่างกังวล "ไม่งั้นให้ไปกับท่านไหม ท่านไปคนเดียวข้าไม่วางใจ""ข้าไม่ได้ไปคนเดียว มีจางต้าจ้วงและอาจารย์หยูด้วย เจ้าอย่าไปเลย ยังต้องเตรียมงานแต่งงานของเซียนหนิง นอกจากนี้ รุ่ยเอ๋อร์จะไปสถานบันการศึกษาแล้ว""ทักษะการต่อสู้ของอาจารย์หยูเป็นอย่างไรบ้าง" ซ่งซีซีไม่ค่อยสนิทกับอาจารย์หยูมากนัก แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักกันมานานแล้วและเขาเป็นคนสำคัญมากในจวนอ๋อง แต่ผู้คนก็มักจะรู้สึกว่าเขาค่อนข้างเก็บตัว"ทักษะการต่อสู้ธรรมดามากแต่หัวไว"ซ่งซีซียังคงไม่วางไว้ นั่นมันแอบเข้าไปในเมืองชายแดนของแคว้นซาเนี่ย "งั้นข้าจะให้ว่านจือไปด้วยดีไหม"เซี่ยหลูโม่เอื้อมมือไปกอดนางและจูบนางที่หน้าผาก สีหน้าที่นางกำลังเป็นห่วงเขานั้นทำให้เขามีความสุขจริงๆ "ไม่ต้องหรอก ข้าขอให้อาจารย์ของข้าไปกับข้า""ศิษย์อาจะไปด้วยหรือ? งั้นดีเลย" ศิษย์อามีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง และเป็นคนลึกลับซับซ้อน ทั้งๆ ที่อยู่ห่างจากเขาแล้ว แต่พอตนเองทำอะไรผิดพลาดเขาก็จะปรากฏตัวขึ้นมาทันที ราวกับว่าเขาอยู่ทุกหนทุกแห่ง"อืม วางใจได้เลย ข้าจะช่วยชีซื่อกลับมา" เซี่ยหลูโม่จูบแก้มของน
เซี่ยหลูโม่พาจางต้าจ้วงและอาจารย์หยูออกจากเมืองข้ามคืน ในเวลาเดียวกัน ก็ส่งจดหมายกลับไปที่สถาบันว่านซงเหมินเพื่อขอความช่วยเหลือจากอาจารย์หลังจากที่เซี่ยหลูโม่ออกไป เสิ่นว่านจือก็พาซ่งซีซีไปพักที่ห้องพักด้านข้างโดยบอกว่ากลัวนางจะชินกับการมีเพื่อรนอน จู่ๆ ข้างกายไม่มีคนอยู่ด้วยจะเหงาเอาซ่งซีซีเคาะหัวของนาง "ข้าไม่เหงาสักหน่อย เจ้ารู้สึกเบื่อใช่ไหมล่ะ ไม่งั้นไปหากุ้นเอ๋อร์เล่นด้วยสิ""ข้าไม่อยากไปหาเขาหรอก ตอนนี้เขาหยิ่งมากทีเดียว เป็นผู้นำทหารประจำจวน เวลาเดินเหมือนไก่ตัวผู้ไม่มีผิด" เสิ่นว่านจือนอนคว่ำหน้าบนเตียง เอามือเท้าคาง "ข้าก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อหรือเหงาเลย แค่อยากคุยเล่นกับเจ้า อีกสองวันเราไปร่วมสนุดด้วย จ้านเส้าฮวนจะถูกส่งไปที่จวนโหวผิงหยางเป็นอนุภรรยาแล้ว"ซ่งซีซีวางมือไว้ด้านหลังศีรษะ "อืม เรื่องนี้ข้ารู้ ข้ากำลังคิดอีกเรื่องนึงอยู่""คิดอะไรอยู่? คิดว่าท่านหญิงเจียอี้จะโกรธเป็นบ้าเหรอ?" เสิ่นว่านจือหันหน้าและหัวเราะกว้าง"ไม่ใช่ เจ้าสนใจแต่เรื่องที่บ้านของพวกเขาหรือไง?""ก็ไม่ได้ทั้งหมด ทางจวนเฉิงเอินป๋อข้าก็สนใจด้วย" เสิ่นว่านจือยกขาของนางขึ้นและขยับอย่างยืดหยุ่น "เหล
ทั้งสองคุยกันทั้งคืน หลังจากประสบสงครามในสนามรบเขตหนานเจียงแล้ว เสิ่นว่านจือคิดอะไรดูผู้ใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะเมื่อนางอาศัยอยู่ในเมืองหลวงในช่วงนี้ และรับรู้เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับครอบครัวที่มีอำนาจ นางคิดว่าโลกไม่ได้ง่ายอย่างที่นางอยู่ในภูเขาเหม่ยชานที่เห็นจริงๆชีวิตในภูเขาเหม่ยชานเรียบง่ายมาก ทุกๆ วันเอาแต่สร้างปัญหาให้คนอื่น เล่นกันแมวหมา ขุดดินเพื่อหางู ไล่ล่าหมูป่า และสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือการถูกทุบตีโดยลูกศิษย์จากนิกายอื่นขณะพูดคุยไปเรื่อยๆ นางก็เริ่งง่วงนอน เสิ่นว่านจือพลิกตัว เอาเท้าด้านข้างไปทับบนร่างของซ่งซีซี และหาวว่า "ข้าค่อนข้างอิจฉาเจ้าที่มีแม่สามีที่ดี จริงๆ แล้วไทเฟยปกป้องเจ้ามาก""ข้ารู้""ไม่งั้นให้ข้าแต่งงานกับผู้บังคับบัญชาเช่นกัน และให้นางเป็นแม่สามีของ…"ก่อนที่เสิ่นว่านจือจะพูดจบ นางก็ถูกเตะออกจากเตียงแล้ว นางก็กระโดดขึ้นและทุบตีซ่งซีซียกใหญ่ "ข้าแค่พูดไปเรื่อย เจ้าเอาจริงหรือ ไทเฟยได้บอกว่าจะรับข้าเป็นบุตรสาวบุญธรรมมานานแล้ว ข้าแค่เล่นตัวเลยไม่ได้รับปากนาง นางชอบข้ามากเลยนะ"ซ่งซีซีใช้ข้อศอกขวางนาง จากนั้นยกเท้าขึ้นกดคอของนาง แล้วทับหัวของนางลงบนเตียง "ง่วงแล
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านมองไปที่ซ่งซีซี และมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ตอนนี้ในตัวของนางเต็มไปด้วยความสูงส่งและความสง่างามที่ไม่อาจพรรณนาได้ นางแตกต่างออกไปแล้วจริงๆดวงตาของนางปะปนไปด้วยความโกรธ ความเสียใจ ความไม่พอใจ และไม่ยอม และซับซ้อนมากจนเหงือกของนางเริ่มเจ็บจ้านเส้าฮวนอยู่ในอารมณ์เดียวกับนาง แต่จ้านเส้าฮวนจะมีความเกลียดชังและความอิจฉามากกว่าอีกนิดเดียว แค่อีกนิดเดียวนางก็เกือบจะกลายเป็นชายารอง ของเป่ยหมิงอ๋องได้แล้ว"โชคร้าย!" เสิ่นว่านจือพูดอย่างเย็นชาซ่งซีซีเพียงเหลือบมองแวบหนึ่งจากนั้นก็ละสายตาออกไป เมื่อเห็นลูกเถ้าแก่ที่ยิ้มแย้มอยู่ตรงหน้าตน โดยแอบคิดว่าดวงตาของนักธุรกิจนี่เฉียบคมจริงๆ วันนั้นนางอยู่ในสภาพเลอะเทอะอย่างนั้นเขายังคงจำนางได้โอ้ แต่ก็ไม่แปลกใจเลย เมื่อก่อนนางและท่านแม่เคยมาร้านจินจิงมาก่อน ได้พบกับลูกเถ้าแก่คนนี้นางยิ้มและพูดว่า "นายน้อย ไม่ต้องสุภาพเช่นนั้น เราอยากจะขึ้นไปชั้นสามเพื่อเลือกเครื่องประดับ ไม่ทราบว่าจะสะดวกไหม?""สะดวก สะดวกมาก" นายน้อยพูดอย่างตื่นเต้น "พระชายาและคุณหนูทั้งสองท่านโปรดตามข้าน้อยมาด้วย และข้าน้อยจะดูแลทั้งสามท่านเองขอรับ"มีแขกผู้
เครื่องประดับไข่มุกหนานจู? เครื่องประดับบนชั้นสามนางสามารถเลือกซื้อตามอำเภอใจงั้นหรือ?ในอดีต ซ่งซีซีจะให้เครื่องประดับและเสื้อผ้าทุกฤดูกาลให้นางนางมือเติบมาก นางเคยสัญญาว่าจะจัดสินเดิมชุดใหญ่ให้นางเวลานางออกเรือนแต่ตอนนี้ นางกลับไปจัดสินเดิมให้คนอื่นและวันนี้นางพาหวังชิงหลูมาเลือกสินเดิม หวังชิงหลูแค่เลือกซื้อของในชั้นนี้เท่านั้น แม้แต่ชั้นสองก็ไม่ขึ้นไป นับประสาอะไรสินค้าพิเศษที่ชั้นสามล่ะเหตุใดความแตกต่างระหว่างผู้คนจึงใหญ่มาก?เมื่อนางเห็นสายตาที่แขกในนั้นกำลังจ้องมองนางเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน นางรู้สึกอับอายขึ้นมา จากนั้นหันกลับไปและคว้าแขนของหวังชิงหลูพลางพูดว่า "พี่สะใภ้รอง ข้าก็อยากจะขึ้นไปชั้นสามด้วย"หวังชิงหลูหัวเสียขึ้นทันที เดิมทีให้นาออกเงินจัดสินเดิมให้กับน้องสามีนางก็ไม่พอใจอยู่แล้ว ในฐานะพี่สะใภ้นางสามารถออกให้ชุดหนึ่ง แต่บัดนี้กลายเป็นว่าให้นางออกให้หมดตอนแรกนางไม่ต้องการมาร้านจินจิง เครื่องประดับที่นี่ค่อนข้างแพง นางคิดว่าไปที่ร้านขายทองหรือร้านขายเครื่องประดับแห่งไหนก็ได้แค่ซื้อสักหน่อยให้นางก็พอ แต่แม่สามีบอกว่านางต้องแต่งเข้าจวนโหวผิงหยาง ดังนั้นให้ดู
เด็กน้อยตอบด้วยรอยยิ้ม "ขอรับ คุณหนูรอสักครู่ นั่งดื่มน้ำชาและกินขนมก่อน แล้วข้าจะไปห่อให้ท่านเดี๋ยวนี้"เขาไม่ได้บอกราคา เพราะลูกค้าที่มาชั้นสามจะไม่ถามราคาเสมอ หลังจากห่อเสร็จก็แค่แจ้งตัวเลขไปก็พอฮูหยินผู้เฒ่าจ้านมองไปที่ชุดเครื่องประดับบนศีรษะทับทิมนั้นก็ใจเต้นแรงด้วย นางเคยเจอมาก่อน เลยรู้ว่าชุดเครื่องประดับบนศีรษะทับทิมชุดนี้ต้องมีราคาไม่น้อย และทับทิมก็คุณภาพที่แตกต่างกันเช่นกัน เม็ดเล็กๆ ที่ปกติซื้อนั้นมันเทียบกับทับทิมในวันนี้ไม่ติดเลยนางมองไปที่หวังชิงหลู และพูดเบาๆ "ในเมื่อนางต้องการ ก็ซื้อให้นาง เจ้าว่าอย่างไร?"หวังชิงหลูหัวเราะด้วยความโกรธ ว่าอย่างไรงั้นหรือ? นางมีทางเลือกไหม? เด็กน้อยคนนั้นได้นำกล่องเครื่องประดับที่สวยงามออกมาแล้วเริ่มบรรจุมันกล่องเครื่องประดับนั้นก็มองออกว่ามันมีค่าไม่น้อยด้วย ไม้จันทน์ฝังด้วยกระดองเต่าและอัญมณีเล็กๆ เรียงเป็นแถว และขอบแนวตั้งแกะสลักด้วยลวดลายเมฆนำโชค ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามเช่นนี้ ชุดเครื่องประดับนี้จะถูกได้อย่างไรหลังจากที่เด็กน้อยบรรจุอย่างชำนาญและเรียบร้อย เขาก็ยื่นให้ด้วยความเคารพ "ฮูหยิน นอกจากชุดเครื่องประดับบนศีรษะนี้แล
ท่านอ๋องฮุยพ่นลมหายใจออกอย่างเย็นชา พลางเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่ยอมมองเขา หนิงจวิ้นอ๋องที่ยืนตัวตรงสง่างามอยู่ตรงนั้น แต่ใบหน้ายังคงเป็นของลุงกวน พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "ลูกขอสัญญา สิ่งที่ลูกตกลงกับเสด็จพ่อไว้ ลูกจะทำให้สำเร็จ งานก่อสร้างคลองจะแล้วเสร็จโดยไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ ไม่ทำร้ายชาวบ้านในเมืองหลวง ไม่เหยียบย่ำพืชผลใดๆ และขอให้เสด็จพ่อวางใจ ลูกจะไม่ปล่อยให้เสด็จพ่อต้องตาย ลูกยังรับรองได้ว่า หลังจากชิงใต้หล้ามาได้ บัลลังก์จักรพรรดิ์จะต้องเป็นของเสด็จพ่อแน่นอน" ท่านอ๋องฮุยพูดเย้ยหยันว่า "เจ้านี่ช่างเป็นลูกกตัญญูยิ่งนัก" "ลูกเคยพูดแล้ว" หนิงจวิ้นอ๋องตอบอย่างจริงใจ "ลูกจะมอบตำแหน่งจักรพรรดิ์ผู้ทรงอำนาจสูงสุด ให้เสด็จพ่อ เพื่อให้เสด็จพ่อปกครองแผ่นดิน เราจะไม่ถูกแคว้นซาข่มเหงอีกต่อไป ไม่ต้องยืดเยื้อเรื่องชายแดนกับชาวซีจิง ชาวบ้านจะได้ใช้ชีวิตสงบสุข และแคว้นซางของเราจะเจริญรุ่งเรือง" ท่านอ๋องฮุยสบถเสียงดัง "เจ้ากบฏที่สมคบคิดกับแคว้นซาซีจิง กล้าพูดคำพูดไร้ยางอายแบบนี้ออกมาได้ ช่างน่ารังเกียจที่สุด" "นั่นเป็นเพียงแผนชั่วคราว รอเสด็จพ่อขึ้นครองบัลลังก์ ลูกจะขับไล่ศัตรูและท
เฉินเฉินเสนอให้ลองพิสูจน์ดู แต่เสิ่นว่านจือส่ายศีรษะ "อย่าลอง ทำเป็นไม่รู้ดีที่สุด ห้ามไปกระตุ้นให้พวกเขาระแวง พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะออกเดินทางแล้วกลับไปบอกซีซีและอาจารย์หยู" แต่หม่านโถวกลับทำท่าคิดหนัก "พวกเราจะออกไปได้หรือ?" เฉินเฉินตกใจเล็กน้อย "เจ้าหมายความว่าเขาจะไม่ยอมให้พวกเราไป? เขาจะกักตัวพวกเราไว้? แต่ท่านอ๋องฮุยบอกแล้วว่าปล่อยให้พวกเราไปนี่" "แต่เหตุใดท่านอ๋องฮุยถึงเรียกว่านจือมาที่นี่ล่ะ? พวกเจ้าเคยคิดเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า?" เสิ่นว่านจือเดินไปมาด้วยความร้อนใจ นางเคยคุยเรื่องนี้กับซ่งซีซีมาก่อนแล้ว ถ้าการเรียกตัวมาไม่ใช่เพื่อขอความช่วยเหลือ แล้วจะเป็นการกักตัวหรือ? แต่มองดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่เรื่องนั้น คล้ายกับว่าต้องการเปิดเผยบางอย่างให้พวกเขาเห็นมากกว่า "เป็นไปได้ไหมว่า ท่านอ๋องฮุยและลุงกวนไม่ได้อยู่ข้างเดียวกัน?" เสิ่นว่านจือย้อนคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่ในจวนท่านอ๋องฮุย ลุงกวนเหมือนจะอยู่ทุกที่ แต่กลับไม่มีใครรู้สึกถึงตัวตนของเขา นางอดทนไว้ ไม่กล้าพูดสิ่งที่ตนคาดเดาออกมา ลุงกวนจะใช่คนที่ปลอมตัวหรือเปล่า? หรือเขาคือหนิงจวิ้นอ๋อง? "ไม่คุยแล้ว กลับไปนอนกั
เสิ่นว่านจือและพรรคพวกพักอยู่ในจวนท่านอ๋องฮุยมาหลายวัน จนแทบจะพลิกจวนค้นหาไปทั่ว แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร นางจึงตัดสินใจจะถอนตัวกลับ ในแต่ละวัน นางเอาแต่นั่งกินดื่มกับท่านอ๋องฮุย จนรู้สึกว่าตัวเองเกียจคร้าน เสียเวลาเปล่า โดยเฉพาะเมื่อซ่งซีซีกำลังยุ่งมาก แต่นางกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ ระหว่างมื้อเย็น นางจึงบอกกับท่านอ๋องฮุยว่าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ท่านอ๋องฮุยมองนางพร้อมหัวเราะ "ทำไมหรือ? หรือจวนของข้าเลี้ยงดูเจ้าด้วยของดีๆ ไม่พอ?" เสิ่นว่านจือตอบอย่างตรงไปตรงมา "ท่านเลี้ยงดูดีเกินไป ทุกวันมีแต่ของเลิศรสจากป่าและทะเลจนข้ารู้สึกเกินพอ" "เจ้าช่างเป็นหมูป่าเสียจริง กินอาหารเลิศรสไม่เป็น!" ท่านอ๋องฮุยหัวเราะเสียงดัง "เอาเถอะ หากเจ้าอยู่เบื่อแล้ว ก็กลับไปเถิด" เขาเรียกลุงสิบสามมา สั่งว่า "เจ้าสิบสาม ไปที่คลังสมบัติ เลือกของขวัญสักสองสามชิ้นไว้ส่งให้พวกเขาในวันพรุ่งนี้" ลุงสิบสามตอบ "ขอรับ ข้าจะไปจัดการทันที" ลุงกวนที่ยืนรออยู่หน้าประตูได้ยินจึงกล่าวว่า "ฝ่าบาท ให้ข้าไปเถอะ" ท่านอ๋องฮุยมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า "อืม เจ้าก็ไปเถิด เลือกของดีๆ
เพราะการจัดกำลังป้องกันของกองทัพซวนเจีย เมืองหลวงจึงตกอยู่ในสภาวะระแวงระวังอย่างหนักด้วยการประกาศห้ามออกจากเคหสถานในเวลากลางคืน ทำให้สถานที่บันเทิงเริงรมย์ต่างๆ ดำเนินกิจการได้ลำบาก โรงน้ำชาและโรงสุราต่างปิดประตูทันทีเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เมืองหลวงในยามค่ำคืนราวกับเป็นเมืองร้างกลยุทธ์ในตอนนี้คือ ข้าศึกไม่เคลื่อนไหว เราก็ไม่เคลื่อนไหวงานก่อสร้างคลองยังคงดำเนินต่อไป หากหยุดงานโดยไม่มีเหตุผล กองทัพซวนเจียจะบุกล้อมทันทีเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ซ่งซีซีจึงยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้และถือไพ่เหนือกว่าหากงานก่อสร้างไม่หยุด กิจการคลองจะดำเนินไปตามปกติ ซึ่งเป็นผลดีทั้งต่อราชสำนักและราษฎรแม้การเผชิญหน้าระหว่างสองกองทัพยังไม่เกิดขึ้น แต่บรรยากาศของสงครามกลับเข้มข้นราวกับควันปืนที่เริ่มปกคลุมการเข้าออกประตูเมืองถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดทุกวัน เป็นไปไม่ได้ที่นกต่อจะไม่กลับมาเมืองหลวง เมื่อเดิมพันด้วยชีวิตและทรัพย์สิน เขาจะสั่งการจากระยะไกลได้อย่างไร?ก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีสงสัยว่านกต่ออาจกลับมาแล้ว แต่เสิ่นว่านจือที่พักอยู่ในจวนอ๋องฮุยกลับไม่พบเบาะแสใดเลย อีกทั้งข้ารับใช้ใกล้ชิดของท่านอ๋องฮุยล้วนเป
แม้ว่าจะไม่ถูกต้องตามระเบียบ แต่ก่อนที่นางจีจะกลับไป ซ่งซีซีก็สั่งให้คนไปซื้อโจ๊กเนื้อบดสองหม้อ โดยอ้างว่าเป็นของชาวบ้านที่ต้องการขอบคุณฮูหยินจีสำหรับการแจกจ่ายโจ๊กตลอดหลายปีที่ผ่านมา และตอนนี้ต้องการตอบแทนบุญคุณครั้งนี้นางจีร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ นางหวังว่าลูกๆ จะได้ดื่มโจ๊กอุ่นๆ สักคำ แม้เพียงนิดเดียวหลังออกจากหอต้าหลี่ ซ่งซีซีครุ่นคิดแล้วสั่งให้อาจารย์หยูไปเล่าถึงเรื่องที่ชาวบ้านบริจาคโจ๊กให้เป็นที่แพร่หลายเดิมทีผู้คนยังจดจำความมีน้ำใจของนางจีที่แจกจ่ายโจ๊กได้ แต่ช่วงนี้เรื่องราวนั้นเริ่มเงียบหายไปตอนนี้จึงเหมาะที่จะใช้โอกาสนี้จุดกระแสเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งอาจารย์หยูจึงแต่งเรื่องเล็กน้อย โดยเล่าว่าชาวบ้านที่มอบโจ๊กเดิมทีเป็นคนเร่ร่อนชานเมืองหลวงที่อดอยากจนเกือบตาย ดื่มโจ๊กที่โรงทานหลายวันติดต่อกัน และก่อนออกจากเมืองหลวง โรงทานยังมอบเสบียงให้เขาห่อหนึ่งแม้ปัจจุบันชีวิตของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นนัก แต่เมื่อได้ยินว่าผู้มีพระคุณของเขาประสบเคราะห์ เขาจึงรีบเดินทางมาที่เมืองหลวงและซื้อโจ๊กอุ่นๆ สองหม้อมาส่งที่เรือนจำ พร้อมร้องขอให้นำไปให้ผู้มีพระคุณเซี่ยหรูหลิงซึ่งดูแลเรือนจำ เ
นางถามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”หงเชวี่ยตอบว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอาการยังพอรับได้ แต่ถ้าหวังชิงหลูไข้สูงไม่ลด ก็อาจเป็นอันตรายได้ นางเครียดเกินไป ตอนที่พบนาง นางจับมือข้าไว้แน่น ถามว่าตัวเองจะตายหรือไม่ พูดแต่เรื่องเพ้อเจ้อ เดี๋ยวโทษคนนั้น เดี๋ยวโทษคนนี้ บางครั้งก็โทษตัวเองที่ตัดสินใจผิดพลาดหลายอย่าง”ซ่งซีซีไม่ได้พูดอะไร นางไม่มีสิทธิ์ตัดสินชีวิตของผู้อื่น เพียงแต่หวังว่านางจะไม่ทำให้ฮูหยินจีลำบากไปกว่านี้หากหวังชิงหลูเสียชีวิตในเรือนจำ จะสร้างความหวาดกลัวให้กับคนในตระกูลหวัง ซึ่งจะเพิ่มภาระทางจิตใจให้กับฮูหยินจีอย่างแน่นอน“หงเชวี่ย อีกสองวันเจ้าไปดูพวกเขาอีกทีนะ”หงเชวี่ยพยักหน้า “เจ้าค่ะ”ซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อีกสองวันเจ้าไป ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”นางอยากพูดคุยกับฮูหยินจีตามลำพัง เพราะในที่สิ้นหวังเช่นเรือนจำนั้น หากไม่มีแม้แต่คนพูดคุย มีเพียงเสียงร้องไห้ที่ไม่สิ้นสุด วันเวลาก็จะยืดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เนื่องจากฝ่าบาททรงพระประชวรและงดราชกิจ นางจึงต้องไปพบเสนาบดีมู่เพื่อแจ้งเรื่องจินชางหมิงเปล
เนื่องจากฝ่าบาททรงส่งชีกุ้ยไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอก งานดูแลเรือนจำจึงถูกมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของหอต้าหลี่ดูแล และผู้ที่รับหน้าที่นี้คือเซี่ยหรูหลิงไม่นานนัก เซี่ยหรูหลิงก็เดินทางมาที่จวนเป่ยหมิงอ๋องเพื่อพบซ่งซีซี บอกว่ามีเรื่องที่เขาตัดสินใจไม่ได้ และขอให้ซ่งซีซีช่วยแนะนำซ่งซีซีรีบกินข้าวเพียงสองสามคำแล้วออกมาพบเขา เพราะกังวลว่าอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับฮูหยินจีและเด็กๆแต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่เซี่ยหรูหลิงกล่าว นางก็พบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหลูทั้งสองคนหลังจากถูกส่งตัวเข้าเรือนจำก็วิตกกังวลทุกวัน อีกทั้งอาหารยังแย่ยิ่งกว่าอาหารที่เคยให้สุนัขกิน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เริ่มอาเจียนและท้องเสียก่อนหน้านี้ ซ่งซีซีเคยให้ยากับฮูหยินจี ซึ่งรวมถึงยาสำหรับอาการท้องเสียและปวดท้องเพราะไม่ชินสภาพแวดล้อม ยาทำให้อาการดีขึ้น แต่เพราะต้องกินอาหารแบบนั้นต่อไป อาการจึงกลับมาแย่ลงอีก และหวังชิงหลูก็มีไข้สูงฮูหยินผู้เฒ่าร้องขออย่างน่าสงสารให้ช่วยหาหมอ เซี่ยหรูหลิงไม่กล้าตัดสินใจ จึงออกมาขอคำปรึกษาจากซ่งซีซีซ่งซีซีถามว่า “แล้วคนอื่นล่ะ? มีอาการเหมือนกันหรือไม่?”“เดิมที
แต่ครั้งนี้เมื่อเข้าไปในวัง กลับไม่ได้พบฝ่าบาท อู๋ต้าปั้นออกมาแจ้งข่าวว่า วันนี้ฝ่าบาทไอจนมีเลือดปนและเกือบหมดสติ ตอนนี้หมอหลวงกำลังรักษาซ่งซีซีรีบถาม “เป็นเพราะพระวรกายอ่อนแอ หรือถูกลอบวางยาพิษ?”คำถามนี้ชัดเจนว่าแฝงด้วยความระแวง หากเป็นสถานการณ์ปกติหรือคนอื่น ซ่งซีซีคงไม่กล้าถามแต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างออกไป อีกทั้งคนที่นางเผชิญหน้าอยู่คืออู๋ต้าปั้น นางจึงถามอู๋ต้าปั้นถอนหายใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “หมอหลวงวินิจฉัยว่าไม่ได้ถูกวางยาพิษ แต่เพราะฝ่าบาททรงวิตกกังวลอย่างหนัก พักผ่อนน้อยและเบื่ออาหาร อีกทั้งสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ทรงติดเชื้อและไอมาแล้วหลายวัน แม้จะดื่มยามาหลายวันแต่ไม่ได้ผล วันนี้ไอไม่หยุดจนกระทั่งมีเลือดปนและแทบหายใจไม่ออก”เมื่อได้ยินว่าไม่ใช่การวางยาพิษ ซ่งซีซีก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย หากเป็นการวางยาพิษ ก็หมายความว่ามีคนแฝงตัวเข้ามาในวังแล้ว ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยากลำบากยิ่งขึ้นการไอเป็นเลือดอาจเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ได้ ซ่งซีซีจึงยังไม่จากไป แต่เฝ้ารออยู่ด้านนอกเพื่อรอหมอหลวงออกมาแจ้งสถานการณ์นอกจากซ่งซีซีแล้ว ยังมีขุนนางอีกหลายคนที่รอเพื่อกราบทูลเรื่อ
ซ่งซีซีนั่งกลับลงบนเก้าอี้ กล่าวว่า “เรื่องที่พวกเจ้าทุจริตนั้น ฝ่าบาททรงทราบดีแล้ว ตอนนี้ที่ทรงให้ข้าสอบสวนเป็นการส่วนตัว ก็เพื่อมอบโอกาสให้พวกเจ้า หากพูดความจริง หัวของเจ้าจะยังปลอดภัย หากให้ข้อมูลที่มีค่าเพิ่มเติม อย่างมากก็แค่ถูกเนรเทศไปทำงานนอกเมือง ยังสามารถโลดแล่นในวงราชการได้”เกาหมิงอวี้ที่มีประสบการณ์ในราชสำนักมานานย่อมรู้ดีว่าให้ข้อมูลที่มีค่ามากขึ้น หมายถึงการขายเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชาเขาไม่มีข้อสงสัยในคำพูดของซ่งซีซีด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือ ช่วงนี้อู๋เยว่และคนของเขาตรวจสอบทางน้ำอยู่เสมอ สองคือ ซ่งซีซีออกหน้ามาสอบสวนด้วยตัวเอง หากไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาท นางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จะส่งใครมาทรมานเขาก็ได้แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีวิเคราะห์เขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคาดการณ์ความคิดของเขาไปก่อนแล้ว“พวกเจ้าทุจริตทั้งระบบ ท่าทีของจินชางหมิงเป็นอย่างไร?”เกาหมิงอวี้ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “จะว่าไปจริงๆ แล้ว เขาเป็นคนเริ่มเปิดทางให้เราทุจริต โดยอ้างว่าเป็นค่าเหนื่อยของเรา เมื่อเริ่มต้นแล้ว เราลองเบิกเงินเกินมาเล็กน้อย เขาก็ไม่ว่าอะไร จากนั้นเรากล้าขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเขาเตือนเ