ทั้งสองคุยกันทั้งคืน หลังจากประสบสงครามในสนามรบเขตหนานเจียงแล้ว เสิ่นว่านจือคิดอะไรดูผู้ใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะเมื่อนางอาศัยอยู่ในเมืองหลวงในช่วงนี้ และรับรู้เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับครอบครัวที่มีอำนาจ นางคิดว่าโลกไม่ได้ง่ายอย่างที่นางอยู่ในภูเขาเหม่ยชานที่เห็นจริงๆชีวิตในภูเขาเหม่ยชานเรียบง่ายมาก ทุกๆ วันเอาแต่สร้างปัญหาให้คนอื่น เล่นกันแมวหมา ขุดดินเพื่อหางู ไล่ล่าหมูป่า และสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือการถูกทุบตีโดยลูกศิษย์จากนิกายอื่นขณะพูดคุยไปเรื่อยๆ นางก็เริ่งง่วงนอน เสิ่นว่านจือพลิกตัว เอาเท้าด้านข้างไปทับบนร่างของซ่งซีซี และหาวว่า "ข้าค่อนข้างอิจฉาเจ้าที่มีแม่สามีที่ดี จริงๆ แล้วไทเฟยปกป้องเจ้ามาก""ข้ารู้""ไม่งั้นให้ข้าแต่งงานกับผู้บังคับบัญชาเช่นกัน และให้นางเป็นแม่สามีของ…"ก่อนที่เสิ่นว่านจือจะพูดจบ นางก็ถูกเตะออกจากเตียงแล้ว นางก็กระโดดขึ้นและทุบตีซ่งซีซียกใหญ่ "ข้าแค่พูดไปเรื่อย เจ้าเอาจริงหรือ ไทเฟยได้บอกว่าจะรับข้าเป็นบุตรสาวบุญธรรมมานานแล้ว ข้าแค่เล่นตัวเลยไม่ได้รับปากนาง นางชอบข้ามากเลยนะ"ซ่งซีซีใช้ข้อศอกขวางนาง จากนั้นยกเท้าขึ้นกดคอของนาง แล้วทับหัวของนางลงบนเตียง "ง่วงแล
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านมองไปที่ซ่งซีซี และมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ตอนนี้ในตัวของนางเต็มไปด้วยความสูงส่งและความสง่างามที่ไม่อาจพรรณนาได้ นางแตกต่างออกไปแล้วจริงๆดวงตาของนางปะปนไปด้วยความโกรธ ความเสียใจ ความไม่พอใจ และไม่ยอม และซับซ้อนมากจนเหงือกของนางเริ่มเจ็บจ้านเส้าฮวนอยู่ในอารมณ์เดียวกับนาง แต่จ้านเส้าฮวนจะมีความเกลียดชังและความอิจฉามากกว่าอีกนิดเดียว แค่อีกนิดเดียวนางก็เกือบจะกลายเป็นชายารอง ของเป่ยหมิงอ๋องได้แล้ว"โชคร้าย!" เสิ่นว่านจือพูดอย่างเย็นชาซ่งซีซีเพียงเหลือบมองแวบหนึ่งจากนั้นก็ละสายตาออกไป เมื่อเห็นลูกเถ้าแก่ที่ยิ้มแย้มอยู่ตรงหน้าตน โดยแอบคิดว่าดวงตาของนักธุรกิจนี่เฉียบคมจริงๆ วันนั้นนางอยู่ในสภาพเลอะเทอะอย่างนั้นเขายังคงจำนางได้โอ้ แต่ก็ไม่แปลกใจเลย เมื่อก่อนนางและท่านแม่เคยมาร้านจินจิงมาก่อน ได้พบกับลูกเถ้าแก่คนนี้นางยิ้มและพูดว่า "นายน้อย ไม่ต้องสุภาพเช่นนั้น เราอยากจะขึ้นไปชั้นสามเพื่อเลือกเครื่องประดับ ไม่ทราบว่าจะสะดวกไหม?""สะดวก สะดวกมาก" นายน้อยพูดอย่างตื่นเต้น "พระชายาและคุณหนูทั้งสองท่านโปรดตามข้าน้อยมาด้วย และข้าน้อยจะดูแลทั้งสามท่านเองขอรับ"มีแขกผู้
เครื่องประดับไข่มุกหนานจู? เครื่องประดับบนชั้นสามนางสามารถเลือกซื้อตามอำเภอใจงั้นหรือ?ในอดีต ซ่งซีซีจะให้เครื่องประดับและเสื้อผ้าทุกฤดูกาลให้นางนางมือเติบมาก นางเคยสัญญาว่าจะจัดสินเดิมชุดใหญ่ให้นางเวลานางออกเรือนแต่ตอนนี้ นางกลับไปจัดสินเดิมให้คนอื่นและวันนี้นางพาหวังชิงหลูมาเลือกสินเดิม หวังชิงหลูแค่เลือกซื้อของในชั้นนี้เท่านั้น แม้แต่ชั้นสองก็ไม่ขึ้นไป นับประสาอะไรสินค้าพิเศษที่ชั้นสามล่ะเหตุใดความแตกต่างระหว่างผู้คนจึงใหญ่มาก?เมื่อนางเห็นสายตาที่แขกในนั้นกำลังจ้องมองนางเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน นางรู้สึกอับอายขึ้นมา จากนั้นหันกลับไปและคว้าแขนของหวังชิงหลูพลางพูดว่า "พี่สะใภ้รอง ข้าก็อยากจะขึ้นไปชั้นสามด้วย"หวังชิงหลูหัวเสียขึ้นทันที เดิมทีให้นาออกเงินจัดสินเดิมให้กับน้องสามีนางก็ไม่พอใจอยู่แล้ว ในฐานะพี่สะใภ้นางสามารถออกให้ชุดหนึ่ง แต่บัดนี้กลายเป็นว่าให้นางออกให้หมดตอนแรกนางไม่ต้องการมาร้านจินจิง เครื่องประดับที่นี่ค่อนข้างแพง นางคิดว่าไปที่ร้านขายทองหรือร้านขายเครื่องประดับแห่งไหนก็ได้แค่ซื้อสักหน่อยให้นางก็พอ แต่แม่สามีบอกว่านางต้องแต่งเข้าจวนโหวผิงหยาง ดังนั้นให้ดู
เด็กน้อยตอบด้วยรอยยิ้ม "ขอรับ คุณหนูรอสักครู่ นั่งดื่มน้ำชาและกินขนมก่อน แล้วข้าจะไปห่อให้ท่านเดี๋ยวนี้"เขาไม่ได้บอกราคา เพราะลูกค้าที่มาชั้นสามจะไม่ถามราคาเสมอ หลังจากห่อเสร็จก็แค่แจ้งตัวเลขไปก็พอฮูหยินผู้เฒ่าจ้านมองไปที่ชุดเครื่องประดับบนศีรษะทับทิมนั้นก็ใจเต้นแรงด้วย นางเคยเจอมาก่อน เลยรู้ว่าชุดเครื่องประดับบนศีรษะทับทิมชุดนี้ต้องมีราคาไม่น้อย และทับทิมก็คุณภาพที่แตกต่างกันเช่นกัน เม็ดเล็กๆ ที่ปกติซื้อนั้นมันเทียบกับทับทิมในวันนี้ไม่ติดเลยนางมองไปที่หวังชิงหลู และพูดเบาๆ "ในเมื่อนางต้องการ ก็ซื้อให้นาง เจ้าว่าอย่างไร?"หวังชิงหลูหัวเราะด้วยความโกรธ ว่าอย่างไรงั้นหรือ? นางมีทางเลือกไหม? เด็กน้อยคนนั้นได้นำกล่องเครื่องประดับที่สวยงามออกมาแล้วเริ่มบรรจุมันกล่องเครื่องประดับนั้นก็มองออกว่ามันมีค่าไม่น้อยด้วย ไม้จันทน์ฝังด้วยกระดองเต่าและอัญมณีเล็กๆ เรียงเป็นแถว และขอบแนวตั้งแกะสลักด้วยลวดลายเมฆนำโชค ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามเช่นนี้ ชุดเครื่องประดับนี้จะถูกได้อย่างไรหลังจากที่เด็กน้อยบรรจุอย่างชำนาญและเรียบร้อย เขาก็ยื่นให้ด้วยความเคารพ "ฮูหยิน นอกจากชุดเครื่องประดับบนศีรษะนี้แล
หวังชิงหลูน้ำตาคลอเบ้า และเสียงของนางก็สั่น "ไม่ เราไปเลือกที่ชั้นหนึ่ง ค่อยเลือกหลายๆ ชิ้นหน่อยก็พอ"นางเป็นบุตรีของฮูหยินเอกของจวนป๋อผิงซี นางไม่สามารถพูดเสียงดังกับแม่สามีของตนได้ที่นี่ นางทำได้เพียงอ่อนข้อและขอให้พวกเขาตกลงที่จะลงไปชั้นล่างเพื่อเลือกของต่อ ของชั้นหนึ่งก็หาใช่ถูก เครื่องประดับในร้านจินจิงล้วนราคาไม่ใช่น้อยเลยจ้านเส้าฮวนถือมันไว้แน่น "ไม่ ข้าต้องการชุดนี้"หวังชิงหลูตัวสั่นไปทั้งตัว และมีคนมองออกจากห้องส่วนตัวมาดขึ้นเรื่อยๆ พวกนางต่างมองด้วยความประหลาดใจ ซึ่งทำให้ความรู้สึกอับอายของหวังชิงหลูรุนแรงยิ่งขึ้นแต่เงินตั้งสามสี่หมื่นตำลึงนี้จะให้นางออกให้อย่างไร? ขายสินเดิมหมดบวกกับเงินทำขวัญของเจ้าสิบเอ็ดล้วนเอาออกมาให้พวกนางหมดหรือ เป็นไปได้ยังไง?นางยืนตัวสั่นโดยไม่พูดอะไรสักคำ ไม่เคยประสบกับช่วงเวลาที่น่าอับอายเช่นนี้มาก่อนในชีวิตนี้เลยนางหันหลังกลับและต้องการจะจากไป แต่แม่สามีรีบคว้าแขนเสื้อของนาง นางตัวแข็งทื่อและสบตาเย็นชาของแม่สามีเข้าน้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าจ้านแฝงไปด้วยความอ่อนโยน แต่ดวงตาของนางบ่งบอกการกดขี่ "จะเดินรีบร้อนออกไปทำไม รอเด็กบริการไปด้วยส
หัวหน้าร้านมองไปที่จ้านเส้าฮวน แล้วพูดอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส "คุณหนู แน่นอนว่ามันได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าชุดเครื่องประดับทับทิมบนศีรษะ ร้านของเรามีหลายรูปแบบ ท่านเพิ่งดูมารูปแบบเดียว ไม่งั้นให้ข้าจัดมาหลายๆ ชุดให้ท่านเลือกดูดีไหม"จ้านเส้าฮวนเงยหน้าขึ้นและเห็นเด็กบริการเดินเข้ามาพร้อมถาดไม้พะยูง พอนางเห็นมันก็รู้ว่ามันกับชุดที่ตนเองถืออยู่นั้นมันคนละระดับเลย ย่อมเอามาจากชั้นหนึ่งหรือชั้นสอง นางก็เรียกหยุดขึ้นมาทันที "ไม่ ข้าจะเอาชุดนี้"ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านก็โกรธขึ้นอย่างเห็นได้ชัด "จะเลือกอะไรนักหนาอีก บอกว่าเอาชุดนี้แล้ว ร้านจินจิงของพวกเจ้าเป็นอะไรกันแน่ แค่ตามพวกเรากลับจวนรับเงินก็พอ พูดอะไรไร้สาระมากความ"หัวหน้าร้านเป็นคนผ่านโลกมมาเยอะ ลูกค้าแบบนี้ที่ร้านจินจิงมี แต่ไม่เคยพบที่ชั้นสามเท่านั้นแค่มองดูคร่าวๆ ก็รู้ว่าเป็นแม่ลูกสองคนอยากให้ลูกสะใภ้ออกเงินมาซื้อสินเดิม แต่ครอบครัวนี้ดูแปลกๆ ไปหน่อย ฮูหยินผู้เฒ่าดูอายุไม่ได้มาก ตามหลักแล้วน่าจะเป็นนายหญิงดูแลเรื่องราวของจวน งั้นคนที่ออกเงินก็ควรเป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่ออกให้นี่ แต่ทำไมฮูหยินที่มีอายุน้อยกว่าที่อยู่ข้างๆ ถึงทำท่าอยากจะร้องไห้
ประโยคคำว่ารับความนับถือและการระลึกได้บ่งบอกข้อมูลมากมายสามีต่างก็เสียชีวิตในสนามรบเช่นกัน และเป็นคนหัวอกเดียวกัน ดังนั้นฮูหยินน้อยจึงต้องการช่วยหวังชิงหลูด้วยความเมตตา แต่ไม่คาดคิดว่าหวังชิงหลูจะไม่รับน้ำใจ ดังนั้นทำให้ฮูหยินน้อยเช่นกัน เขินอายมากพอซ่งซีซีได้ยินตัวตนของอีกฝ่ายก็รู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแล้วแต่นางไม่ได้พูดที่นี่ แต่เปลี่ยนเรื่องหัวข้อและถามเซียนหนิงว่าได้เลือกอะไรไปบ้าง และนางต้องการซื้อของขวัญให้แม่สามีที่ซื่อๆ อีกชิ้นหนึ่งด้วย วันนี้ไม่ได้พานางออกมาคงต้องโกรธแน่เหตุผลที่ไม่พานางมาที่นี่ก็เพราะว่าแม่สามีเคยเปิดร้านจินร่วมกับท่านหญิงเจียอี้มาก่อน และรูปแบบก็คัดลอกมาจากที่นี่หมด เพื่อป้องกันไม่ให้แม่สามีต้องร้อนตัวและกระดากใจชุดเครื่องประดับบนศีรษะไข่มุกหนานจูได้ระบุบรูปแบบแล้ว ยังเลือกสิ่งของโปรดหลายชิ้น เซียนหนิงกอดพี่สะใภ้และตะโกนว่าชอบพี่สะใภ้มากที่สุดเถ้าแก่น้อยยิ้มอยู่ข้างๆ เมื่อเปรียบเทียบกับพี่สะใภ้และน้องสามีคู่เมื่อกี้ที่อยู่ข้างนอกนั้น สองพี่น้องนี้รักกันมากจริงๆแม้ว่าเขาจะเป็นนักธุรกิจ แต่เขาก็ยังชื่นชมทหารผู้จงรักภักดีต่อประเทศ ครอบครัวของเส
เมื่อไทเฟยกลับมาจากวัง นางก็เดินตรงผ่านห้องโถงดอกไม้ เงยหน้าขึ้นและไม่มองดูสตรีที่กำลังพูดอยู่ข้างในสตรีคนหนึ่งถึงกับตะโกนว่า "เสด็จแม่ ท่านกลับมาแล้วเหรอ?"นางเพิกเฉยและเดินต่อไปโดยเชิดหัวขึ้นสตรีอีกคนวิ่งไปคว้าของนาง "เสด็จแม่ ดูสิว่าข้ากับพี่สะใภ้ซื้ออะไรมาให้ท่านบ้าง มาเลย!""ฮึ" สนมฮุ่ยไทเฟยเหลือบมองเซียนหนิงอย่างเย็นชา "คิดว่าข้าจะสนใจหรือ?"เซียนหนิงแสดงสีหน้าผิดหวังขึ้นมา "อ๊ะ? ท่านไม่สนใจเหรอ? พี่สะใภ้อุตส่าห์เลือกให้ตั้งนานเลย""ฮึ่ม อุตส่าห์เลือกให้ตั้งนาน" สนมฮุ่ยไทเฟยมองซ่งซีซีอย่างเย็นชาซึ่งยืนอยู่ที่ประตู ภายใต้การจ้องมองที่ยิ้มแย้มของซ่งซีซี นางเงยคางขึ้น "ดูหน่อยก็ได้ แต่ข้าจู้จี้จุกจิกมาก"ซ่งซีซียิ้มแล้วพูดว่า "เสด็จแม่ มาเร็วเข้า"เสิ่นว่านจือรีบให้คนใช้ไปเตรียมชาผลไม้ และในขณะที่นางรับชมเครื่องประดับนั้นก็เล่าเรื่องสนุกของวันนี้ให้นางฟังด้วยไทเฟยเอาปิ่นระย้าพู่ปะการังสีแดงปักเข้าไปทรงผม จากนั้นเขย่ามันเล็กน้อย นางได้ยินเสียงพู่ รู้สึกไพเราะมาก นางรู้สึกปลื้มใจมาก ต้องยอมรับว่าซีซีเก่งจริงๆ ที่รู้รสนิยมของนางแต่เรื่องสนุกนี้นางแค่ฟังเฉยๆ ก็พอ หากอยู่ใน
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็
งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็
พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั
ฉินอ๋องได้รับความหวาดกลัว จึงให้หมอหลวงจ่ายยาบำรุงประสาทเพื่อบรรเทาอาการซ่งซีซีไปเยี่ยมดูอาการของเขา หน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ไร้สีเลือด ริมฝีปากยังสั่นระริก เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกมือสังหารไปหมดแล้วหรือยัง?”ซ่งซีซีบอกเขาว่า มือสังหารจากไปแล้ว เขาถึงค่อยหยุดสั่นไปบ้างที่จริง คนรอบตัวเขาต่างบอกไปแล้วว่าศัตรูถูกขับไล่ไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่เชื่อ ต้องให้ซ่งซีซีเป็นคนพูดเองถึงจะรู้สึกปลอดภัยซ่งซีซีกำชับให้เขาพักผ่อนดีๆ แล้วจึงออกมาหลี่เต๋อฮวยกำลังปลอบขวัญผู้คนอื่นๆ ในฐานะเสนาบดีกรมทหาร เขาผ่านประสบการณ์มามาก ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอันใด เขาเชื่อมั่นในตัวพระชายาและกองทัพซวนเจีย มิได้เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไรนัก อย่างมากก็แค่เสียหัวหนึ่งขณะเดียวกัน กลุ่มคนจากภูเขาเหม่ยชานรวมตัวกันสนทนา เริ่มสงสัยว่ากลุ่มคนชุดดำที่พบเจอที่ชายแดนเฉิงหลิง อาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับมือสังหารในคืนนี้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเสิ่นว่านจือที่กล่าวขึ้นมา นางคิดว่าพวกเขาหายตัวไปได้อย่างลึกลับเกินไป น่าจะมีเส้นทางลับที่ใช้หนีออกไป และพวกนั้นต้องมีแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้ายิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองกลุ่มล้
เช้าตรู่ กองคณะทูตออกเดินทางไปยังซีจิงซ่งซีซีมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากนัก เพราะขากลับก็ยังต้องผ่านชายแดนเฉิงหลิงอยู่ดี นางยังมีโอกาสได้พบกับครอบครัวของท่านตาอีกหลังจากออกจากชายแดนเฉิงหลิง เส้นทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น หลายจุดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือไม่ก็ถูกทำลายโดยเจตนา ทำให้รถม้าวิ่งไปได้ยากทว่าฉินอ๋องกลับไม่ต้องการขี่ม้าอีกแล้ว แม้จะได้พักฟื้นอยู่หลายวัน แต่บาดแผลที่ต้นขาของเขาก็ยังเจ็บอยู่มาก ถึงแม้จะเดินได้ แต่เมื่อต้องนั่งบนอานม้า ความเจ็บปวดยังคงสร้างความลำบากให้แก่เขาดังนั้น ฉินอ๋องผู้ที่เพิ่งสร้างความดีความชอบในชายแดนเฉิงหลิง และเป็นผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ก็เอ่ยปากว่าเขาจะนั่งรถม้าเมื่อรถม้าติดหล่ม กองทัพซวนเจียก็ลงจากหลังม้าช่วยกันเข็นอย่างยากลำบากดีที่ว่าตอนนี้เส้นทางระหว่างสองแคว้นเปิดให้สัญจร ไม่มีการปิดกั้น ดังนั้นจึงสามารถเดินทางไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ได้หากต้องปีนข้ามภูเขาสูงลิบลิ่ว เกรงว่าบั้นท้ายอันสูงศักดิ์ของฉินอ๋องคงต้องรับเคราะห์ไปอีกมากเมื่อเข้าสู่เขตแดนของซีจิง ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ซึ่งมีขุนนางและทหารของซีจิงมาคอยต้
นายท่านเซียวแปดออกคำสั่งให้ไปสืบหาเรื่องนี้ โดยมอบหมายให้จ้านเป่ยว่างเป็นผู้นำกำลังไปสืบข่าวตามที่ต่างๆเรื่องที่ซ่งซีซีเดินทางมายังชายแดนเฉิงหลิงนั้น จ้านเป่ยว่างรู้ดี วันนั้นตอนที่คณะทูตเดินทางมาถึงเขตเมือง เขายืนดูอยู่ห่างๆ แต่ไม่ได้เข้าไปต้อนรับเขายืนอยู่ไกลมาก ถึงขั้นที่ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน เห็นเพียงเงารางๆ คล้ายกับเป็นนางเท่านั้นเขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองช่างทำเรื่องเปล่าประโยชน์ นางกับเขายังมีความเกี่ยวข้องอันใดกันอีก? เรื่องราวของเมืองหลวง เขาสมควรอยู่ให้ห่างที่สุดในระหว่างที่คณะทูตพักอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิง พวกเขาต่างก็ใช้เวลาหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์การเจรจา รวมถึงจำลองสถานการณ์หลายครั้งทุกคนต่างเข้าใจดีว่าการเจรจาครั้งนี้ แม้จะง่ายกว่าครั้งก่อน แต่ก็มิใช่เรื่องง่ายอย่างแท้จริงนี่คือเรื่องที่จักรพรรดิ์นีใส่พระทัยเป็นอย่างยิ่ง นางจะไม่ยอมประนีประนอมง่ายๆ แน่นอนทางตระกูลเซียวเองก็เป็นกังวลว่าฝ่ายตรงข้ามอาจส่งคนเข้ามาสืบความลับเกี่ยวกับกลยุทธ์ของคณะทูต หากพวกเขาล่วงรู้แผนการ ก็สามารถรับมือได้ทันการณ์ ซึ่งจะทำให้แคว้นซางเสียเปรียบดังนั้น นายท่านเซียวแปดจึงสั่
หอชุนหม่านในวันนี้เต็มแน่นไปหมดเดิมทีโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก ปกติก็มีแขกมารับประทานอยู่บ้าง แต่เมื่อสตรีผู้นั้นพาคนชุดดำเข้ามา พวกเขาก็จับจองที่นั่งที่เหลือทั้งหมดซ่งซีซี เสิ่นว่านจือ และกุ้นเอ๋อร์ทั้งสามคน ถูกเจ้าของร้านเรียกให้ไปนั่งที่โต๊ะเล็กๆ ซึ่งตั้งขึ้นมาเป็นการชั่วคราว แยกออกจากพวกเขาเสียงของบุรุษผู้นั้นดังขึ้นข้างหูนาง แฝงแววขอโทษเล็กน้อย ทั้งยังฟังดูอบอุ่นน่าฟังยิ่งนัก “พวกเขาทั้งหมดเป็นสหายของข้า เช่นเดียวกับข้า ยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อคืนเลย หากแม่นางไม่สบายใจ ข้าจะให้พวกเขารออยู่ที่หน้าประตู แล้วแต่ละคนรับหมั่นโถวไปคนละลูกก็พอ”เสิ่นว่านจือถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว “ไม่จำเป็นหรอก นั่งตามสบาย อยากกินอะไรก็สั่งมาเถิด”บุรุษคนนั้นเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “แม่นางทั้งงดงามและมีจิตใจเมตตานัก เช่นนั้นพวกข้าก็จะสั่งอาหารตามสบายแล้วกัน ขอมากหน่อย”“ได้…ได้สิ” เสิ่นว่านจือพยักหน้า แล้วกวาดตามองคนชุดดำที่เต็มร้าน พวกเขาสวมเสื้อผ้าที่มีเครื่องหมายบางอย่างที่แขนเสื้อ ดูเหมือนจะเป็นตัวอักษร แต่เพราะเสื้อเหล่านั้นยับย่นและเปรอะเปื้อนจนมองแทบไม่อ