เมื่อไทเฟยกลับมาจากวัง นางก็เดินตรงผ่านห้องโถงดอกไม้ เงยหน้าขึ้นและไม่มองดูสตรีที่กำลังพูดอยู่ข้างในสตรีคนหนึ่งถึงกับตะโกนว่า "เสด็จแม่ ท่านกลับมาแล้วเหรอ?"นางเพิกเฉยและเดินต่อไปโดยเชิดหัวขึ้นสตรีอีกคนวิ่งไปคว้าของนาง "เสด็จแม่ ดูสิว่าข้ากับพี่สะใภ้ซื้ออะไรมาให้ท่านบ้าง มาเลย!""ฮึ" สนมฮุ่ยไทเฟยเหลือบมองเซียนหนิงอย่างเย็นชา "คิดว่าข้าจะสนใจหรือ?"เซียนหนิงแสดงสีหน้าผิดหวังขึ้นมา "อ๊ะ? ท่านไม่สนใจเหรอ? พี่สะใภ้อุตส่าห์เลือกให้ตั้งนานเลย""ฮึ่ม อุตส่าห์เลือกให้ตั้งนาน" สนมฮุ่ยไทเฟยมองซ่งซีซีอย่างเย็นชาซึ่งยืนอยู่ที่ประตู ภายใต้การจ้องมองที่ยิ้มแย้มของซ่งซีซี นางเงยคางขึ้น "ดูหน่อยก็ได้ แต่ข้าจู้จี้จุกจิกมาก"ซ่งซีซียิ้มแล้วพูดว่า "เสด็จแม่ มาเร็วเข้า"เสิ่นว่านจือรีบให้คนใช้ไปเตรียมชาผลไม้ และในขณะที่นางรับชมเครื่องประดับนั้นก็เล่าเรื่องสนุกของวันนี้ให้นางฟังด้วยไทเฟยเอาปิ่นระย้าพู่ปะการังสีแดงปักเข้าไปทรงผม จากนั้นเขย่ามันเล็กน้อย นางได้ยินเสียงพู่ รู้สึกไพเราะมาก นางรู้สึกปลื้มใจมาก ต้องยอมรับว่าซีซีเก่งจริงๆ ที่รู้รสนิยมของนางแต่เรื่องสนุกนี้นางแค่ฟังเฉยๆ ก็พอ หากอยู่ใน
ณ จวนแม่ทัพคืนนี้มีโคมไฟเพียงดวงเดียวที่จุดอยู่ตรงหน้าระเบียง และที่ลานบ้านหลักมีโคมไฟสองดวงจุดไว้โดยมีโป๊ะโคมผลึกแก้วคลุมไว้ ซึ่งเป็นของที่ซ่งซีซีลืมเอากลับไปหลังหย่าห้องโถงด้านข้างไม่ได้จุดโคมไฟไว้ เลยมืดสนิท และมียุงบินไปทั่วเด็กบริการจากร้านจินจิงยังไม่กลับ เขานั่งอยู่รอในห้องโถงด้านข้างของลานหลัก เขารออยู่อย่างใจจดใจจ่อมาก ไม่มีผู้ใดส่งน้ำชาให้และไม่มีใครจุดไฟด้วย รอตั้งแต่ฟ้ายังสว่างจนถึงฟ้ามืดเขามาเก็บเงิน แต่หลังจากเข้ามาในจวนแม่ทัพ เขาถูกเรียกให้รออยู่ตรงนั้น จากนั้นก็ได้โวยวายจากห้องโถงหลัก พร้องเสียงร้องห่มร้องไห้อย่างหนักด้วยหลังจากทะเลาะกันไปตั้งครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็สงบลง มีคนเข้ามาบอกให้เขารอต่อ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาอีกเลยเนื่องจากเขามีวรยุทธ์ เพราะงั้นที่ผ่านมาทุกครั้งที่ลูกค้าไปร้านจินจิงและมีเงินติดตัวไม่พอก็มักจะให้เขาตามลูกค้ากลับจวนหรือโรงฝากเงินไปรับเงินบางครั้งก็ต้องรอ แต่เวลาที่รอมานานที่สุดก็ไม่เกินครึ่งชั่วยาม นั่นเป็นเพราะว่าจวนมีขนาดใหญ่เกินไป และบวกกับเจ้าของบ้านเป็นคนใจดีกระตือรือร้นกับแขก ให้น้ำชาและขนมดีๆ แก่เขา รอให้ของกินเสร็จค่อยเอ
จ้านเส้าฮวนนั่งอยู่ขอบเตียง นางสบถขึ้นมาเบา "ข้าจะไม่ไปยุ่งกับนางหรอก ก่อนที่นางจะแต่งเข้ามาข้ายังคิดว่านางมากความสามารถ สามารถเทียบสินเดิมกับซ่งซีซีด้วยซ้ำ แต่บัดนี้เงินแค่ไม่กี่หมื่นก็เอาออกมาไม่ได้ น่าเหลือเชื่อจริงๆ แต่ดีกว่ายี่ฝางสักหน่อย ยามที่พี่ชายรองแต่งยี่ฝางนั้นต้องออกเงินไปมากเท่าไร แต่สินเดิมที่นำกลับมาก็นิดเดียวเอง น่าอับอายเหลือเชื่อจริงๆ ยังพระราชทานอภิเษกสมรสจากฮ่องเต้นี่น่ะ"นางหาว่าพี่สะใภ้ทั้งสองเสร็จก็ตำหนินางหมินต่อ "พอพี่สะใภ้ใหญ่ป่วยก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แม้แต่สินเดิมของข้ายังไม่ได้จัดเตรียม ไม่รู้ว่านางจะเตรียมอะไรให้ข้า ข้าว่าอย่าไปตั้งความหวังกับนางมากไปจะดีกว่า นางขี้เหนียวกว่าผู้ใดเสียอีก"ลูกสะใภ้ทั้งสามคนไม่มีคนไหนได้เรื่อง ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านฟังดูก็รำคาญใจ "เอาล่ะ หุบปากไปเลย"จ้านเส้าฮวนปิดปาก และแสงก็ส่องไปที่ใบหน้าของนาง หน้าไม่ได้กลมเหมือนเมื่อก่อน ทำให้นางดูดุร้ายกว่าเก่ามากยามเวลานี้นางหมินกำลังตัวสั่นอยู่ในห้องนางได้ยินคนใช้มารายงานว่าหวังชิงหลูยังไม่ได้กลับมา เด็กบริการคนนั้นยังรออยู่ นางก็กังวลแทบแย่นางกลัวว่าหวังชิงหลูไม่สามารถหาเงินจำนว
ภายใต้แสงสลัว มีร่างหนึ่งรีบเข้ามาที่ประตูและประคองนาง "เกิดอะไรขึ้น"หวังชิงหลูเห็นใบหน้าของจ้านเป่ยว่าง สามีของตนเองท่ามกลางน้ำตาที่พร่ามัว นางซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา ร้องไห้ยิ่งดังขึ้นและเสียใจมากขึ้นจ้านเป่ยว่างไม่เคยเห็นนางนั่งบนพื้นและร้องไห้อย่างเสียท่าขนาดนี้ เขาคิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นมาเลยรีบถามว่า "เป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้น?"จินเอ๋อร์เล่าเรื่องวันนี้ด้วยน้ำตาคลอเบ้า แต่ในขณะที่นางกำลังจะบอกว่าได้ใช้เงินทำขวัญของเจ้าสิบเอ็ดฝางนั้นก็โดนหวังชิงหลูคำรามใส่อย่างกะทันหัน "หุบปาก!"จินเอ๋อร์ตกใจมากจนเงียบไปอย่างรวดเร็วแต่จินเอ๋อร์ได้พูดถึงชื่อของเจ้าสิบเอ็ดฝาง แค่ไม่ได้บอกมันเป็นเงินทำขวัญเท่านั้น ต่อให้จ้านเป่ยว่างจะโง่มากแค่ไหนก็พอจะเดาได้แล้วนางใช้เงินบำนาญมรณะของเจ้าสิบเอ็ดฝางไปซื้อสินเดิมให้กับจ้านเส้าฮวน สินเดิมชิ้นนั้นมีมูลค่าสามหมื่นหกพันแปดร้อยตำลึง"คืนของ!" จ้านเป่ยว่างปล่อยนางไปด้วยใบหน้าบูดบึ้ง "พรุ่งนี้เจ้าจะไปที่ร้านจินจิง แล้วคืนชุดเครื่องประดับทับทิมบนศีรษะไปซะ"เงาร่างสูงของเขาบังหวังชิงหลูเอาไว้ หวังชิงหลูปาดน้ำตาออกและเงยหน้าขึ้น เพียงเห็นใบหน้
ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าจ้านพร่ามัว นางก็พุ่งตัวไปข้างหน้าจนเกือบจะเป็นลมจ้านเป่ยว่างรีบกอดนางเอาไว้ และไม่มีอารมณ์จะโกรธอีก เขาก็ตะโกนอย่างเร่งด่วน "คนใช้ ไปตามหาหมอ ไปตามหาหมอ"จ้านเส้าฮวนร้องไห้ต่อหน้าหวังชิงหลู "เจ้าจะทำอะไร? เจ้าอยากให้ท่านอารมณ์เสียจนตายหรือไง ชุดเครื่องประดับบนศีรษะนี้เป็นเจ้าที่อยากทำหน้าใหญ่ใจโตเลยซื้อมา บัดนี้กลับอยากกลับคำ"หวังชิงหลูถอยหลังและมองดูฉากนี้อย่างทำอะไรไม่ถูก นางรู้สึกจนใจมาก ทั้งน้อยใจและกลุ้มใจ นางออกเงินสามหมื่นหกพันแปดร้อยตำลังซื้อชุดเครื่องประดับบนศีรษะให้นาง กลับแลกกับคำตำหนิของพวกนาง นางกลับเป็นฝ่ายผิดหรือ?ตามหาหมอในท่ามกลางดึกๆ ก็สร้างความวุ่นวายได้พักใหญ่ หวังชิงหลูต้องปาดน้ำตาออกและหยิบผ้าเช็ดหน้าทำความสะอาดใบหน้าและมือของฮูหยินผู้เฒ่าหมอบอกว่าเป็นเพราะภาวะสะเทือนใจอย่างรุนแรงเลยทำให้หน้ามืดเป็นลม แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง แค่กินยาสักหน่อยเดี๋ยวก็หายดีเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าจ้านตื่นขึ้นมา ความโกรธของจ้านเป่ยว่างก็หายไปจนหมด เขาเพียงคุกเข่าอยู่หน้าเตียงและกล่าวขอโทษท่านแม่ว่า "ข้าไม่ควรพูดจารุนแรง ทำให้ท่านแม่เป็นลม ข้ามีความผิด"ฮูหยิ
มันเป็นเสียงเยาะเย้ยของยี่ฝางที่ดังมาจากข้างนอก "เจ้ากลายเป็นตัวตลกไปแล้ว!""เจ้า..." หวังชิงหลูเอามือจับหน้าอกของตนเอง "เจ้ากล้าดียังไงล่ะ ภรรยาเท่าเทียมกันคนหนึ่ง... เป็นแค่อนุคนหนึ่งก็กล้ามาหัวเราะเยาะข้าเหรอ?""เฮอะ อนุภรรยาอย่างข้าก็ได้สินสอดจากจวนแม่ทัพไม่น้อยเลยน่ะ" ยี่ฝางหัวเราะออกมาดังๆ "ตั้งแต่ข้าแต่งเข้ามา ข้ากินของดีใช้ของดี ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกข้า ข้าก็ไม่เคยออกเงินแม้แต่เบี้ยเดียวมาอุดหนุนด้วยซ้ำเลย"หลังจากที่นางพูดจบ ขณะที่หวังชิงหลูหายใจถี่อย่างโกรธแค้นนั้น นางก็จากไปอย่างเฉยเมยในทั้งจวนแม่ทัพ มีนางเพียงคนเดียวที่สามารถดูเรื่องตลกอย่างกับไม่เกี่ยวข้องกับนางอย่างไรอย่างนั้น ให้จัดสินเดิมให้จ้านเส้าฮวนงั้นหรือ? ถ้านางกล้ามาถาม นางก็กล้าจะตบหน้านางมีแต่หวังชิงหลู...เอาเรือเข้าไปขวางน้ำเชี่ยว!หลังจากเยาะเย้ยหวังชิงหลูแล้ว ยี่ฝางก็กลับมาที่เรือน ตรวจสอบกลไกความปลอดภัยทั้งหมด จากนั้นสั่งไม่ให้สาวใช้เข้าไปในห้องก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้านอนนางเคยได้ยินเรื่องที่รัชทายาทเมืองซีจิงเปลี่ยนคนแล้ว และสามารถยืนยันตัวตนที่แท้จริงของชายที่ถูกนางจับตัวไปในเมืองลู่เปินเอ่อร์
ณ จวนองค์หญิงใหญ่!องค์หญิงใหญ่ถามชายวัยกลางคนอย่างเคร่งขรึมโดยก้มศีรษะลงต่อหน้านางว่า "ได้ยังไง ทำไมซ่งซีซีจะค้นพบตัวตนของนางหวู่ได้? ใช่นังตัวดีคนนั้นไปบอกซ่งซีซีเองหรือเปล่า"ชายคนนั้นมีรูปร่างเพรียว และใบหน้าที่หล่อเหลากลับดูหดหู่ เมื่อได้ยินองค์หญิงใหญ่พูดเช่นนั้น เขารีบส่ายหัว "เป็นไปไม่ได้ ชิงหวู่จะไม่มีทางริเริ่มที่ไปบอกซ่งซีซี อีกอย่างชิงหวู่ก็เชื่อฟังคำสั่งของท่านเสมอ สิ่งที่ท่านสั่งให้นางทำนั้นนางไม่เคยกล้าฝ่าฝืน""ปล่อยให้นางทำนางก็ไม่กล้า" ดวงตาขององค์หญิงใหญ่เต็มไปด้วยความโกรธและความอำมหิต "แม่ของนางยังคงถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินของจวนองค์หญิง หากอยากให้นางออกมา นางย่อมต้องเชื่อฟังเท่านั้น""ขอรับ นางต้องเชื่อฟัง"องค์หญิงใหญ่มองดูคนตรงหน้าอย่างเย็นชา และเมื่อเห็นท่าทางของคนนั้นนางก็โกรธขึ้นมา "เจ้าไปถามนางสักหน่อย แล้วบอกคนอื่นๆ ให้สงบเสงี่ยมเจียมตัวด้วย อย่าถูกคนนอกรู้ตัวตนด้วย ข้าคาดว่าซ่งซีซีแค่รู้ตัวตนของนางคนเดียวก็พูดโวยวาย ต่อสาธารณะ อยากให้ข้าลูบหน้าปะจมูก ทำอะไรไม่ถูก ข้าไม่มีทางติดกับดักนาง""ขอรับ รับทราบขอรับ ข้าจะไปบอกพวกนาง"เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีอะไรอย่าง
สีหน้าของกู้ชิงหวู่นั้นเรียบเฉย บ่งบอกถึงการเสียดสีอยู่เสมอ แม้แต่ต่อหน้าพ่อของนางก็ตามนางพูดว่า "ลูกไปที่จวนเฉิงเอินป๋อเป็นอนุภรรยา จะไปติดต่อกับพระชายาเป่ยหมิงอ๋องอย่างเป็นการส่วนตัวได้อย่างไร ถ้าท่านแม่ใหญ่องค์หญิงไม่เชื่อใจลูก ก็สามารถให้ยาพิษหนึ่งแก้วแก่ลูกได้"ฝู้หม่ากู้ขมวดคิ้ว "เจ้าพูดอะไรเหลวไหล ให้ยาพิษแก่เจ้า ทำไมต้องเสียเงินเสียแรงไปอบรมเจ้าล่ะ เจ้าอย่าลืมภารกิจของตนเอง แม่แท้ๆ ของเจ้ายังอยู่ในมือของนาง"ดวงตาจของกู้ชิงหวู่ยิ่งฉายแววความเยาะเย้ยและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง "ถ้าท่านพ่อชอบท่านแม่ของข้ามาก ทำไมท่านไม่กล้าต่อต้านนาง แต่ปล่อยให้ลูกถูกคนอื่นทำร้ายตามอำเภอใจเพื่อแลกกับให้ท่านแม่ไปอยู่กับท่านหรื?"ใบหน้าของฝู้หม่ากู้ดูไม่สบอารมณ์ "เจ้าทำให้จวนเฉิงเอินป๋อเกิดความวุ่นวายไปหมด ท่านแม่ใหญ่ของเจ้าก็ดีใจกับเรื่องนี้ แต่ถูกค้นพบตัวตนทำให้นางโกรธน้ดหน่อย น้องสาวของเจ้าออกเดินทางแล้ว นางจะไปพบเป่ยหมิงอ๋องในระหว่างทาง น้องสาวของเจ้าทั้งงดงามและเป็นสตรีที่มีวรยุทธ์เป็นแนวที่เป่ยหมิงอ๋องชอบ เป่ยหมิงอ๋องน่าจะให้ความสนใจกับนาง ขอแค่นางแต่งเข้าจวนเป่ยหมิงอ๋อง งั้นแผนของเรา
ในสถานการณ์เช่นนี้ ปกติแล้วทุกคนมักจะไม่มีความอยากอาหารมากนัก อาหารแต่ละจานมักจะถูกชิมเพียงคำเดียวก่อนจะให้คนยกออกไปแต่สำหรับคนของเป่ยถัง พวกเขาดูเหมือนให้ความเคารพต่ออาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าอาหารจะเป็นอะไร พวกเขากินจนหมดสิ้น ไม่มีการเหลือทิ้ง แม้แต่จอกสุราที่รินเต็ม ก็หมดลงในพริบตา ข้ารับใช้ที่ดูแลพวกเขาคงจะเหนื่อยไม่น้อยเสิ่นว่านจือนึกถึงมื้ออาหารที่หอชุนหม่าน วันนั้นพวกเขาก็กินจนเกลี้ยงจาน ไม่มีแม้แต่เศษอาหารเหลืออยู่นางอยากพูดอะไรกับซ่งซีซี แต่ในห้องโถงแห่งนี้นอกจากเสียงเคี้ยวอาหารแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย นางจึงพูดออกไปไม่ได้ทว่า เพียงสบตากันหนึ่งครั้ง พวกนางก็เข้าใจความคิดของกันและกันเสิ่นว่านจืออยากจะบอกว่า การที่คนของเป่ยถังปรากฏตัวในที่นี้ อาจเกี่ยวข้องกับการเจรจาสงบศึกซ่งซีซีเองก็คิดเช่นนั้นแต่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือมาเพื่อช่วยฝ่ายซีจิง หากเป็นอย่างแรก การเจรจาก็คงสำเร็จลุล่วงได้โดยง่าย และอาจลงนามข้อตกลงกันได้ในเวลาไม่นานแต่หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่านี่จะกลายเป็นศึกยืดเยื้อ เพราะหากเป่ยถังหนุนหลังซีจิงอยู่ แคว้นซางก็
งานเลี้ยงในวังในวันรุ่งขึ้นเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง โดยซูลันจีเป็นผู้มารับพวกเขาเข้าไปในวังด้วยตนเองเช่นเคยดังที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ พิธีราชาภิเษกได้จัดขึ้นไปนานแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อการเจรจาที่แนวชายแดนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัง ก็ไม่ได้พบเห็นทูตจากอาณาจักรอื่นๆภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะทูตจากแคว้นซาง แต่ท่าทีของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรนักทว่า ในสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีล่ามแปลภาษา ดังนั้นการสนทนาของทุกฝ่ายจึงไม่ได้มากไปกว่าการทักทายทั่วไปพวกเขานึกว่าคงไม่มีทูตจากอาณาจักรอื่นแล้ว ทว่าในขณะเข้าที่ประทับ จักรพรรดิ์หยวนซินก็ตรัสกับคณะทูตจากแคว้นซางว่า “วันนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติจากเป่ยถัง พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว เราเชื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะเข้ากันได้ดี”หลี่เต๋อฮวยถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาทันที “แขกจากเป่ยถังหรือ? ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด?”เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะอาวุธอย่างปืนหกตาของเหรินหยางอวิ๋น รวมถึงปืนตาหกนัดและเกวียนระเบิดล้วนเป็นอาวุธที่ดัดแปลงมาจากต้นแบบของเ
จักรพรรดิ์หยวนซินกล่าวต่อ “น่าขันนัก ในอดีตเราคือองค์หญิงใหญ่ จึงสามารถประกาศเรียกร้องให้สตรีเข้าสู่วงราชการได้ แต่บัดนี้เราคือฮ่องเต้ กลับต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อถ่วงดุลอำนาจทุกฝ่าย ลดความเป็นปรปักษ์และความหวาดระแวงที่มีต่อเรา อีกทั้งภาระที่เราต้องพิจารณาก็มีมากขึ้น บางคราใจร้อนจนอยากจะตัดศีรษะพวกที่ต่อต้านให้หมดสิ้น”ซ่งซีซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้เป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เป้าหมายของฝ่าบาทล้วนเหมือนกัน ท้ายที่สุดก็เพื่อความสงบสุขมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เมื่อแผ่นดินรุ่งเรือง ปราศจากศึกสงคราม เมื่อนั้นฝ่าบาทจะทรงปฏิรูปเช่นไร ก็มิใช่เรื่องยากเกินไปนัก ส่วนตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือฝ่าบาทต้องทรงมั่นคงเสียก่อน”คำพูดนั้นคลุมเครือ ทว่าจักรพรรดิ์หยวนซินเข้าใจความหมายของนาง บัดนี้แผ่นดินยังคงวุ่นวาย มีกลุ่มอำนาจมากมายขวางกั้น แค่รักษาความมั่นคงของราชสำนักก็ยากเย็นยิ่งแล้วหากนางปฏิรูปอย่างหุนหัน องค์จักรพรรดิ์เองก็คงไม่อาจประคองราชบัลลังก์ให้มั่นคง ต่อให้คิดถึงอนาคตก็คงไร้ประโยชน์เสิ่นว่านจือเห็
พระราชวังแห่งซีจิงตระการตาโอ่อ่าหรูหรา ตั้งตระหง่านท่ามกลางรัตติกาล แผ่รัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์และสงบน่าเกรงขามเมื่อผ่านประตูพระราชวังชั้นแรก รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนภายในวังที่กว้างขวาง ไม่ได้คับแคบนักทว่าที่นี่ใช้ตะเกียงน้ำมันราวกับไม่ต้องเสียเงิน ที่ใดที่หนึ่งล้วนจุดไฟส่องสว่างไสว เมื่อก้าวลงจากรถม้าแล้วเดินไปตามระเบียงทางเดิน ค่ำคืนที่มืดมิดกลับสว่างราวกับกลางวัน บนต้นไม้ใหญ่สองข้างทางแขวนโคมไฟลมไว้มากมาย หากใครคิดซ่อนตัวอยู่บนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงปรายตาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนซูลันจีเดินนำอยู่เบื้องหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง นางกำนัลในวังสองนางก้าวออกมา พูดคุยกับซูลันจีเป็นภาษาซีจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางค้อมกายคารวะซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือซูลันจีกล่าวว่า “ใต้เท้าซ่ง แม่นางเสิ่น ฝ่าบาททรงเชิญทั้งสองท่านเข้าสู่ตำหนัก”นางกำนัลทั้งสองเดินนำไปข้างหน้า พาซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเข้าไปภายในภายในตำหนักโอ่อ่าตระการตา เสาสลักลวดลายสองต้นขนาบข้าง หนานแน่นจนดูเหมือนพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ให้ความรู้สึกหนักแน่นกดดันจักรพรรดิ์หยวนซิน ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ไม้จันทน์ส
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหลวงของซีจิง ก็เป็นวันที่สิบสามเดือนแปดแล้ว ระยะเวลานับจากที่พวกเขาออกจากแคว้นซาง ผ่านไปครบหนึ่งเดือนพอดียามบ่าย แสงแดดอบอุ่นกำลังดีฉินอ๋องนอนเอนอยู่ในรถม้า ขณะเข้าสู่ตัวเมืองนับตั้งแต่เข้าสู่เขตแดนซีจิง พวกเขาถูกลอบสังหารถึงเจ็ดครั้ง ครั้งสุดท้ายมาอย่างดุดัน ควรเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ถูกฝึกมาเพื่อสละชีพ กองทัพซวนเจียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แม้แต่เสิ่นว่านจือเองก็ถูกฟันเข้าที่ไหล่ เคราะห์ดีที่ไม่ได้ลึกถึงเส้นเอ็นฉินอ๋องตกใจแทบสิ้นสติ ก็เพราะตอนที่กลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามา เขาเพิ่งจะออกจากห้องส้วมได้ไม่นาน ดาบของนักฆ่าพุ่งเข้าปักอกเขาไปแล้ว และกำลังจะทะลุเข้าไปอีก ทว่า…ซ่งซีซีพบเห็นทัน นางพลิกกายคว้าหอกยาว ตวัดแทงเข้ากลางอกของนักฆ่าก่อน จากนั้นใช้ตะขอที่ปลายหอกพาดเกี่ยวแล้วกระชากร่างของนักฆ่าล้มไปด้านหลัง ฉินอ๋องจึงรอดชีวิตมาได้เขาบาดเจ็บเพียงผิวเผิน ทว่ากลับทำราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่ำร้องโอดครวญอยู่ครึ่งคืนกว่าจะสงบลงซูลันจีนำข้าราชบริพารมาออกต้อนรับ บัดนี้ เขาเป็นเสนาบดีแห่งซีจิงทันทีที่มองเห็นซ่งซีซี เขาก็จำได้ในทันที ค้อมกายคารวะแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ทั
ฉินอ๋องได้รับความหวาดกลัว จึงให้หมอหลวงจ่ายยาบำรุงประสาทเพื่อบรรเทาอาการซ่งซีซีไปเยี่ยมดูอาการของเขา หน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ ไร้สีเลือด ริมฝีปากยังสั่นระริก เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกมือสังหารไปหมดแล้วหรือยัง?”ซ่งซีซีบอกเขาว่า มือสังหารจากไปแล้ว เขาถึงค่อยหยุดสั่นไปบ้างที่จริง คนรอบตัวเขาต่างบอกไปแล้วว่าศัตรูถูกขับไล่ไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่เชื่อ ต้องให้ซ่งซีซีเป็นคนพูดเองถึงจะรู้สึกปลอดภัยซ่งซีซีกำชับให้เขาพักผ่อนดีๆ แล้วจึงออกมาหลี่เต๋อฮวยกำลังปลอบขวัญผู้คนอื่นๆ ในฐานะเสนาบดีกรมทหาร เขาผ่านประสบการณ์มามาก ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอันใด เขาเชื่อมั่นในตัวพระชายาและกองทัพซวนเจีย มิได้เห็นว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอะไรนัก อย่างมากก็แค่เสียหัวหนึ่งขณะเดียวกัน กลุ่มคนจากภูเขาเหม่ยชานรวมตัวกันสนทนา เริ่มสงสัยว่ากลุ่มคนชุดดำที่พบเจอที่ชายแดนเฉิงหลิง อาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับมือสังหารในคืนนี้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเสิ่นว่านจือที่กล่าวขึ้นมา นางคิดว่าพวกเขาหายตัวไปได้อย่างลึกลับเกินไป น่าจะมีเส้นทางลับที่ใช้หนีออกไป และพวกนั้นต้องมีแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้ายิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองกลุ่มล้
เช้าตรู่ กองคณะทูตออกเดินทางไปยังซีจิงซ่งซีซีมิได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากนัก เพราะขากลับก็ยังต้องผ่านชายแดนเฉิงหลิงอยู่ดี นางยังมีโอกาสได้พบกับครอบครัวของท่านตาอีกหลังจากออกจากชายแดนเฉิงหลิง เส้นทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น หลายจุดเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือไม่ก็ถูกทำลายโดยเจตนา ทำให้รถม้าวิ่งไปได้ยากทว่าฉินอ๋องกลับไม่ต้องการขี่ม้าอีกแล้ว แม้จะได้พักฟื้นอยู่หลายวัน แต่บาดแผลที่ต้นขาของเขาก็ยังเจ็บอยู่มาก ถึงแม้จะเดินได้ แต่เมื่อต้องนั่งบนอานม้า ความเจ็บปวดยังคงสร้างความลำบากให้แก่เขาดังนั้น ฉินอ๋องผู้ที่เพิ่งสร้างความดีความชอบในชายแดนเฉิงหลิง และเป็นผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก ก็เอ่ยปากว่าเขาจะนั่งรถม้าเมื่อรถม้าติดหล่ม กองทัพซวนเจียก็ลงจากหลังม้าช่วยกันเข็นอย่างยากลำบากดีที่ว่าตอนนี้เส้นทางระหว่างสองแคว้นเปิดให้สัญจร ไม่มีการปิดกั้น ดังนั้นจึงสามารถเดินทางไปตามเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นมาใหม่ได้หากต้องปีนข้ามภูเขาสูงลิบลิ่ว เกรงว่าบั้นท้ายอันสูงศักดิ์ของฉินอ๋องคงต้องรับเคราะห์ไปอีกมากเมื่อเข้าสู่เขตแดนของซีจิง ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ซึ่งมีขุนนางและทหารของซีจิงมาคอยต้
นายท่านเซียวแปดออกคำสั่งให้ไปสืบหาเรื่องนี้ โดยมอบหมายให้จ้านเป่ยว่างเป็นผู้นำกำลังไปสืบข่าวตามที่ต่างๆเรื่องที่ซ่งซีซีเดินทางมายังชายแดนเฉิงหลิงนั้น จ้านเป่ยว่างรู้ดี วันนั้นตอนที่คณะทูตเดินทางมาถึงเขตเมือง เขายืนดูอยู่ห่างๆ แต่ไม่ได้เข้าไปต้อนรับเขายืนอยู่ไกลมาก ถึงขั้นที่ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน เห็นเพียงเงารางๆ คล้ายกับเป็นนางเท่านั้นเขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองช่างทำเรื่องเปล่าประโยชน์ นางกับเขายังมีความเกี่ยวข้องอันใดกันอีก? เรื่องราวของเมืองหลวง เขาสมควรอยู่ให้ห่างที่สุดในระหว่างที่คณะทูตพักอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิง พวกเขาต่างก็ใช้เวลาหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์การเจรจา รวมถึงจำลองสถานการณ์หลายครั้งทุกคนต่างเข้าใจดีว่าการเจรจาครั้งนี้ แม้จะง่ายกว่าครั้งก่อน แต่ก็มิใช่เรื่องง่ายอย่างแท้จริงนี่คือเรื่องที่จักรพรรดิ์นีใส่พระทัยเป็นอย่างยิ่ง นางจะไม่ยอมประนีประนอมง่ายๆ แน่นอนทางตระกูลเซียวเองก็เป็นกังวลว่าฝ่ายตรงข้ามอาจส่งคนเข้ามาสืบความลับเกี่ยวกับกลยุทธ์ของคณะทูต หากพวกเขาล่วงรู้แผนการ ก็สามารถรับมือได้ทันการณ์ ซึ่งจะทำให้แคว้นซางเสียเปรียบดังนั้น นายท่านเซียวแปดจึงสั่
หอชุนหม่านในวันนี้เต็มแน่นไปหมดเดิมทีโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก ปกติก็มีแขกมารับประทานอยู่บ้าง แต่เมื่อสตรีผู้นั้นพาคนชุดดำเข้ามา พวกเขาก็จับจองที่นั่งที่เหลือทั้งหมดซ่งซีซี เสิ่นว่านจือ และกุ้นเอ๋อร์ทั้งสามคน ถูกเจ้าของร้านเรียกให้ไปนั่งที่โต๊ะเล็กๆ ซึ่งตั้งขึ้นมาเป็นการชั่วคราว แยกออกจากพวกเขาเสียงของบุรุษผู้นั้นดังขึ้นข้างหูนาง แฝงแววขอโทษเล็กน้อย ทั้งยังฟังดูอบอุ่นน่าฟังยิ่งนัก “พวกเขาทั้งหมดเป็นสหายของข้า เช่นเดียวกับข้า ยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อคืนเลย หากแม่นางไม่สบายใจ ข้าจะให้พวกเขารออยู่ที่หน้าประตู แล้วแต่ละคนรับหมั่นโถวไปคนละลูกก็พอ”เสิ่นว่านจือถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว “ไม่จำเป็นหรอก นั่งตามสบาย อยากกินอะไรก็สั่งมาเถิด”บุรุษคนนั้นเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “แม่นางทั้งงดงามและมีจิตใจเมตตานัก เช่นนั้นพวกข้าก็จะสั่งอาหารตามสบายแล้วกัน ขอมากหน่อย”“ได้…ได้สิ” เสิ่นว่านจือพยักหน้า แล้วกวาดตามองคนชุดดำที่เต็มร้าน พวกเขาสวมเสื้อผ้าที่มีเครื่องหมายบางอย่างที่แขนเสื้อ ดูเหมือนจะเป็นตัวอักษร แต่เพราะเสื้อเหล่านั้นยับย่นและเปรอะเปื้อนจนมองแทบไม่อ