เขาเงียบไปสักพัก แล้วหันกลับมาสั่งคนเข้าไปทำความสะอาดนี่คือผู้หญิงที่เขาสู่ขอมาด้วยผลงาน งานแต่งงานในคืนนี้ดูไม่เหมาะจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นความผิดของใครก็ตาม ก็นางข้องใจจริงๆเขาอดทนไว้เขาไม่อาจปล่อยให้ตัวเองรู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย เพราะเขายังต้องเห็นซ่งซีซีเสียใจอีกเฮอะ ถ้าซ่งซีซีรู้ว่างานแต่งงานของเขากับยี่ฝางล้มไม่เป็นท่าเช่นนี้ นางคงจะหัวเราะเยาะกระมังณ จวนเสนาบดีเจิ้นกั๋วกง คืนนี้ซ่งซีซีเหงื่อออกมากหลังจากฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้ นางเลยอาบน้ำร้อน และให้เป่าจูนำหม้อเหล้ามา นางจะดื่มคนเดียวเดือนที่ผ่านมา นางใช้ชีวิตเกือบแบบนี้ทุกวัน อ่านหนังสือตอนกลางวันและฝึกศิลปะการต่อสู้ตอนกลางคืน หลังจากแต่งงานเข้าจวนแม่ทัพได้หนึ่งปี นางก็ไม่ได้ฝึกฝนแม้แต่ท่าเดียว แม้ว่าไม่ถึงขั้นลืมท่าไป แต่ท่าบางท่าก็ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนนางต้องการฝึกฝนให้ดีกว่าเดิมนางไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของจ้านเป่ยว่างและยี่ฝาง แม่นมฮวงและแม่นมเหลียงควบคุมคนรับใช้อย่างเข้มงวดมาก เรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับจวนแม่ทัพไม่อนุญาตให้พูดคุยเลยแม้แต่น้อยหลังจากเมานิดหนึ่ง เป่าจูก็เปิดม่านแล้วรีบเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยถือ
จดหมายทหารที่ท่านตาส่งกลับมานางไม่มีโอกาสได้อ่าน จดหมายทหารนั้นต้องส่งไปที่กระทรวงกลาโหมก่อน และกระทรวงกลาโหมจะทำสำเนาไว้แล้วค่อยส่งต่อให้ฮ่องเต้ดังนั้น กระทรวงกลาโหมน่าจะมีจดหมายทหารและหนังสือแจ้งชัยชนะที่ท่านตาส่งให้ นางต้องแอบเข้าไปในกระทรวงกลาโหมสักครั้งที่กระทรวงกลาโหมในตอนกลางคืนจะไม่มีใครอยู่ เพราะสำนักหกกระทรวงอยู่ทั้งสองฝั่งของถนนเชียนปู้ ติดกับพระราชวัง กองทัพจักรวรรดิจะไม่ลาดตระเวนถนนถนนเชียนปู้ แต่ผู้คนจากค่ายลาดตระเวนจะลาดตระเวนที่นั่นแน่แต่นางต้องการอ่านจดหมายรายงานสงครามครั้งนี้ และอนุสรณ์หลังสงครามที่ท่านตาของนางมอบให้ สิ่งหนึ่งที่นางยืนยันได้คือ ท่านตายอมรับผลงานของยี่ฝาง มิฉะนั้น กระทรวงกลาโหมจะไม่ตัดสินผลงานเช่นนี้ชาวเมืองซีจิงเป็นคนประเภทมีแค้นก็ต้องชำระ หาก ยี่ฝางสังหารหมู่บ้านและผู้ถูกจับ ไม่ว่าพวกเขายอมจำนนด้วยเหตุผลใด พวกเขาจะไม่มีทางยอมให้อย่างง่ายๆ มีความเป็นไปได้สูงมากคือพวกเขาสร้างพันธมิตรกับแคว้งซา และปรากฏตัวบน สนามรบเขตหนานเจียงนางหาแผนที่มาตรวจดู หากผู้คนจากเมืองซีจิงปรากฏตัวในสนามรบเขตหนานเจียง โดยไม่ผ่านแคว้งซาง พวกเขาจะต้องไปที่แคว้งซาก่อน จ
ในคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว ซ่งซีซีแอบเข้าไปในห้องสมุดของกระทรวงกลาโหมได้สำเร็จไม่จำเป็นต้องค้นหาอย่างหนัก จดหมายทหารทั้งหมดเกี่ยวกับสงครามชายแดนเฉิงหลิงถูกวางไว้ที่ด้านซ้ายบนของชั้นวาง นางหยิบไข่มุกราตรีที่นางพกตัวออกมาแล้วคลุมด้วยผ้าเพื่อบังแสงบางส่วน ซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องแล้วหยิบจดหมายทหารออกมาอ่านดูหลังจากอ่านเสร็จแล้ว ร่างกายของนางก็หนาวเย็นไปหมด และน้ำตาของนางก็ไหลไม่หยุดจ้านเป่ยว่างและยี่ฝางไปเป็นกำลังเสริม หลังจากที่พวกเขามาถึงชายแดนเฉิงหลิง ก็เข้าร่วมการออกศึก แต่พวกเขาไม่มีประสบการณ์มากนักในสนามรบ ดังนั้นในการต่อสู้ครั้งแรก ท่านลุงสามเพื่อช่วยเขาได้หักแขนไปข้างหนึ่งท่านลุงเจ็ด ซึ่งในความทรงจำของนาง เขายังคงเป็นชายหนุ่มที่มีออร่าแข็งแกร่งกลับได้เสียชีวิตในสนามรบก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึงท่านตาของนางก็ได้รับบาดเจ็บจากลูกธนูก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึง ดังนั้น จ้านเป่ยว่างจึงเป็นผู้นำในการต่อสู้ต่อไปในที่สุด จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางเป็นผู้พลิกสถานการณ์จริงๆ พวกเขานำกองทหารบุกเข้าไปในเขตลู่เอ๋อร์ของเมืองซีจิง จ้านเป่ยว่างรับผิดชอบในการเผาคลังเสบียงทหารของเมืองซีจิง รวมถึงธัญพืชแล
ณ ห้องหนังสือจักรพรรดิ์ซูชิงมองไปยังซ่งซีซีที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นหินอ่อนสีขาวทรงสวมชุดสีขาวเรียบๆ และเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ไม่ได้มัดทรงผมซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหญิงแต่งงานแล้วไว้เหมือนครั้งล่าสุดที่นางเข้าวัง แต่มัดเป็นหางม้าสูง และใช้ผ้าขาวมัดไว้แน่นใบหน้าของนางดูซีดเผือด ดวงตาของนางเป็นสีแดงอ่อน และมีรอยคล้ำด้วย ราวกับว่านางไม่ได้นอนมาทั้งคืน และขนตาที่โค้งงอเล็กน้อยของนางดูเหมือนจะเปื้อนไปด้วยน้ำตานางมีหน้าตาที่งดงาม อยู่ในสภาพน่าสงสาร แต่กลับไม่มีความรู้สึกอ่อนแอ เผยให้เห็นความเเข้มแข็งและความอุตสาหะในดวงตาของนาง"หม่อมฉันคารวะฝ่าบาทเพคะ!" เสียงของนางฟังดูแหบแห้ง เมื่อคืนหลังจากเป่าจูออกไป นางก็ร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มเป็นเวลานาน"เคยร้องไห้มาหรือ?" จักรพรรดิ์ซูชิงขมวดคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูไม่พอใจเล็กน้อย "เป็นเพราะงานแต่งงานระหว่างจ้านเป่ยว่างกับยี่ฝางหรือเปล่า?"ซ่งซีซีส่ายหัว และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จักรพรรดิ์ซูชิงก็พูดต่อว่า "เจ้าเป็นคนเข้าวังเพื่อขอพระราชโองการให้หย่าโดยสันติ ในเมื่อหย่ากันแล้ว ต่อไปต่างคนก็ต่างไปเลย เหตุใดเจ้าต้องไปเสียใจเรื่องอดีต หากเจ้าปล่อยวางไ
จักรพรรดิ์ซูชิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าเป็นจดหมายจากเสิ่นชิงเหอ ศิษย์พี่ของนาง เลยรีบสั่งให้อู๋ต้าปั้นส่งจดหมายให้เขาเขาอ่านข้อความในจดหมาย และมันเป็นลายมือของคุณชายชิงเหอจริงๆ เมื่อเขาเป็นรัชทายาท เขาโชคดีที่ได้รับหนังสือเขียนโดยคุณชายชิงเหอเอง ดังนั้นเขาจึงจำลายมือของคุณชายชิงเหอได้ข้อความที่เขาเขียนในจดหมายส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องราวที่เขาเห็นระหว่างการเดินทาง แต่ย่อหน้าสุดท้ายกล่าวว่า "เมื่อปีนขึ้นไปบนภูเขาลั่วเซีย ก็เห็นทหารของเมืองซีจิงตั้งหลายแสนคนสวมชุดทหารของแคว้งซา และมีข้าวสารพกตัวด้วย องค์ชายสามแห่งแคว้งซาเป็นคนไปต้อนรับพวกเข้าเข้าชายแดนเอง พี่งงมาก ไม่รู้ว่าเมืองซีจิงกับแคว้งซาได้เป็นพันธมิตรกันหรือเปล่า แต่หากเป็นพันธมิตรกัน ทำไมพวกเขาถึงต้องรับทหารตั้งสามแสนเข้าเมือง พี่เลยติดตามพวกเขาอย่างเงียบๆ และพบว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปที่สนามรบเขตหนานเจียง เกรงว่าพวกเขาอาจจะลงมือกับเขตหนานเจียง เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เจ้าคอยพิจารณาดูว่าต้องรายงานกับฝ่าบาทหรือไม่..."ซ่งซีซียังคงก้มหัวตลอด นางรู้สึกใจคอไม่ดีมาก เพราะกลัวว่าฮ่องเต้จะมองออกอะไรหลังจากที่จักรพรร
มันเป็นไปไม่ได้ที่นางจะลงไม้ลงมือกับกองทัพจักรวรรดิ ไม่เช่นนั้น ฮ่องเต้จะคิดว่า นางกำลังจงใจสร้างเรื่องเพราะเรื่องการแต่งงานของจ้านเป่ยว่างและยี่ฝางนางมองดูแผ่นหลังของฮ่องเต้ขณะที่เขาเดินจากไป และรีบตะโกนว่า "ฝ่าบาท ท่านพ่อของหม่อมฉันเป็นแม่ทัพระดับแนวหน้าในแคว้งซาง พี่ชายก็เป็นแม่ทัพน้อยที่ทำให้ศัตรูในสนามรบหวาดกลัว แม้ว่าหม่อมฉันไม่ดีเท่าพวกเขา แต่หม่อมฉันจะไม่หัวดื้อกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไม่ยอมเลิก ในเมื่อตัดขาดกับจ้านเป่ยว่างแล้ว หม่อมฉันจะไม่เอาเรื่องความรักมาข้องเกี่ยวกับนเมืองแน่นอน โปรดฝ่าบาทเชื่อใจหม่อมฉันสักครั้งเพคะ"จักรพรรดิ์ซูชิงยืนนิ่งโดยไม่หันกลับมามอง และพูดอย่างเย็นชาว่า "ในเมื่อเจ้ารู้ว่าท่านซ่งและพวกแม่ทัพน้อยเป็นวีรบุรุษที่ไม่ย่อท้อ เจ้าก็อย่าทำอะไรที่น่าละอายที่ทำลายชื่อเสียงของพวกเขา ข้าให้เกียรติได้ แต่ก็สามารถยึดกลับมาได้ กลับไปซะ ข้าจะทำเป็นว่าเจ้าไม่ได้มาที่นี่ในวันนี้ เจ้าต้องสำนึกตัวเองบ้าง"หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกไปซ่งซีซีวางมือลงอย่างจนใจ เรื่องน่าละอายเหรอ?ในสายตาของผู้อื่น แม้แต่ในสายตาของฮ่องเต้ นางเป็นคนที่ไม่แยกแยะระหว่างสิ่งถูกและผิด และเป็น
เฉินฟูขี่ม้าออกไปพร้อมกับกล่องสองสามใบ ตามที่คาดไว้ องครักษ์ไม่ได้ถามเขาว่าเขากำลังจะไปไหน ถึงยังไงตราบใดที่คุณหนูซ่งไม่ออกไปก็คงไม่เป็นไร ฮ่องเต้แค่สั่งให้กักขังนางไว้ และไม่เกี่ยวอะไรกับคนอื่นในจวน จวนเสนาบดีกั๋วกงใหญ่ขนาดนั้น แต่ละวันต้องมีคนเข้าออกเพื่อซื้อของอยู่แล้วเฉินฟูมาถึงจวนอ๋องฮว ยและบอกว่าคุณหนูจากจวนเสนาบดีกั๋วกงมาขอมอบของขวัญแต่งงานให้ท่านหญิงด้วยคนเฝ้าประตูเข้าไปรายงาน หลังจากนั้นไม่นาน พ่อบ้านเจิงของพระชายาอ๋องฮวยก็เดินออกมา คารวะกันแล้ว เขาพูดว่า "คารวะพ่อบ้านเฉินขอรับ พระชายาบอกว่าคุณหนูจากจวนเสนาบดีกั๋วกงกลับจวนหลังหย่า กำลังต้องการเงินอยู่ ไม่จำเป็นต้องมาเสียเงินกับท่านหญิงเลย ของขวัญไม่จำเป็นหรอก แต่ขอรับน้ำใจไว้ พ่อบ้านเฉินกลับไปเถอะ หากไม่มีอะไรก็ไม่ต้องมาหาหรอก"เฉินฟูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อมองดูสีหน้าที่ไม่แยแสของพ่อบ้านเจิง เขาก็เข้าใจทันทีพระชายาอ๋องฮวยรังเกียจคุณหนูที่เป็นแม่ม่าย การรับของขวัญแต่งงานจากนางคิดว่าเป็นโชคร้าย ดังนั้นจวนอ๋องฮวยจึงไม่ต้องการเฉินฟูมีความโกรธในใจ แต่การอบรมสั่งสมที่ดีจากตระกูลชั้นสูงสอนให้เขาต้องรักษาสุภาพเอาไว้ "ในเมื
ประตูของจวนเสนาบดีกั๋วกงปิดลง ปิดกั้นนางหมินอยู่ข้างนอกทุกอย่างที่เกี่ยวกับจวนแม่ทัพ แม่นมเหลียงไม่ต้องการแสดงความคิดเห็นแต่อย่างใดเลยแต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเฉินฟู นางก็ถามว่า "พ่อบ้านเฉิน เกิดอะไรขึ้นหรือ?"เฉินฟูยื่นแส้ม้าให้คนดูแลม้า แล้วขยับขาซ้ายของเขา วันนี้เขาขี่ม้าไปหลายแห่ง ดังนั้นขาที่เคยบาดเจ็บนั้นจึงรู้สึกบวมและเจ็บปวดเล็กน้อย"พระชายาอ๋องฮวยไม่ได้รับของขวัญท่คุณหนูมอบให้ท่านหญิง" เฉินฟูพูดอย่างเบาเสียงมาก กลัวว่าคนอื่นจะได้ยินเข้าแม่นมเหลียงสะดุ้ง "พระชายากับฮูหยิงของเราเป็นพี่น้องกัน และปกติพวกนางก็ดูใกล้ชิด...จ้า เข้าใจแล้ว"แม้ว่าฮ่องเต้จะแต่งตั้งตำแหน่งเสนาบดีกั๋วกงให้เขา แต่คุณหนูกลับจวนเพราะหย่ากัน คนอื่นคนนอกลือกันอย่างไม่น่าฟังเช่นนั้น บวกกับฮูหยิงก็ไม่อยู่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างน้ากับหลานเลยหมดไปในสายตาของตระกูลชนชั้นสูง พวกเขามักจะคิดว่าคุณหนูได้รับการหนุนหลังจากท่านพ่อและพี่ชาย ถึงได้รับความสนใจจากฮ่องเต้ ดังนั้นไม่มีใครไม่ดูถูกคุณหนูเลยเฉินฟูกล่าวว่า "ของขวัญนั้นข้าเก็บไว้ในห้องข้างๆ ของเรือนนั้น คืนนี้คุณหนูไปรับม้า คงไม่พบมัน อย่าให้นางรู้
สุดท้าย พระสนมเต๋อเฟยก็ทนไม่ไหว... นางจากไปแล้วตั้งแต่ที่รู้ว่าองค์ชายรองกลายเป็นคนปัญญาอ่อน และถูกส่งไปอยู่วัดใช้ชีวิตที่เหลือ นางก็ดูเหมือนจะหมดแรงใจความเจ็บปวดเหมือนหนามที่ฝังแน่นในกระดูก ทรมานนางทุกลมหายใจ กระทั่งคืนหนึ่งที่เหน็บหนาว นางก็จากไปอย่างเงียบงันไทเฮาออกคำสั่งด้วยตนเอง จัดการส่งข้ารับใช้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดออกจากวัง ส่วนจัดการอย่างไร ซ่งซีซีและผู้อื่นก็ไม่มีใครล่วงรู้ได้ในวังหลัง... ชั่วพริบตาเดียว ฮองเฮากับสองพระสนมผู้มีอำนาจต่างสิ้นชีพ ไทเฮาเองก็สุขภาพไม่ดี จึงให้พระสนมกงเฟยรับหน้าที่ดูแลวังหลังชั่วคราวจักรพรรดิ์ซูชิงไม่คิดจะตั้งฮองเฮาขึ้นใหม่อีก วังหลังเรียบง่ายหน่อย ย่อมลดปัญหาตามมาได้แต่พระสนมกงเฟยกลับไร้ความสามารถ ทำให้เกิดปัญหาขึ้นแทบทุกสามวัน สองวัน แค่เรื่องจัดสรรเบี้ยหวัดค่าอาหารเครื่องนุ่งห่มของพระสนมฝ่ายใน รวมถึงเงินเดือนของข้าราชบริพารในวัง ก็ทำให้เกิดความวุ่นวายกันทั้งตำหนักนางต้องการชื่อเสียงว่าเป็นหญิงผู้รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ ลดค่าใช้จ่ายในวัง จึงลดเงินเดือน ลดเครื่องแต่งกายฤดูใบไม้ผลิของฝ่ายใน ให้ตัดเพียงชุดเดียว ประหยัดเงินไปได้ไม
กล้ามเนื้อทั่วร่างของฮองเฮาเกร็งตึง เหงื่อไหลชุ่มนางมองผ้าขาวที่กำลังจะคล้องคอลงมา พลางตะโกนอย่างลนลาน “ไม่... ยังไม่สาย! ฝ่าบาททรงรักองค์ชายใหญ่ จะปล่อยให้เขาไร้มารดาได้อย่างไร? ข้าต้องไปดูแลเขาด้วยตัวเอง! พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์แย่งสิทธิ์ของข้าในฐานะมารดา!”“อีกอย่าง ซ่งซีซีเคยกล่าวไว้ นางว่าองค์ชายใหญ่รักข้ามาก เป็นเขาพูดด้วยปากของเขาเอง! ตอนนี้เขาบาดเจ็บสาหัส โดดเดี่ยวไร้คนดูแล จะปล่อยให้เขาไปสำนักเทพโอสถเพียงลำพังได้อย่างไร? ข้าต้องอยู่ข้างเขา... ข้าต้องไปอยู่กับเขา!”ผ้าขาวคล้องคอเข้าพอดี ฮองเฮากรีดร้องเสียงแหลม “ฝ่าบาท! ฝ่าบาท พระองค์จะใจร้ายปานนี้ไม่ได้! หม่อมฉันผิดอะไร? พระสนมเต๋อเฟยวางแผนฆ่าองค์ชายใหญ่ยังไม่ถูกประหาร แต่พระองค์กลับจะฆ่าหม่อมฉัน! หม่อมฉันก็แค่เอาแต่ใจ ไม่เคยฆ่าใครสักคน!”อู๋ต้าปั้นหยุดมือลง คำบางคำ เขาไม่ควรพูด แต่เมื่อนึกถึงองค์ชายใหญ่ที่บาดเจ็บสาหัส เขาก็อดไม่ได้ เอ่ยเสียงเย็นชา “ฮองเฮาจะบอกว่าตนไม่เคยทำร้ายใครหรือ? เรื่องของฝูเจาอี๋ กระหม่อมจะยังไม่พูดถึง แต่กับองค์ชายใหญ่ที่ตกม้าเช่นนั้น ฮองเฮาก็มีส่วนไม่น้อยเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”ฉีฮองเฮาเบิกตากว้าง มือกำผ้าขาวแน
เสียงร่ำไห้ของฉีฮองเฮาชะงักทันที นางชะงักนิ่งไป ก่อนเอ่ยถามเสียงสั่น “ฝ่าบาทตรัสว่าอะไรนะ? เจิ้งเอ่อร์ยังไม่ตายหรือ?”เป็นไปได้อย่างไร? มิใช่ว่าจัดพิธีศพแล้วหรือ? ขุนนางทั่วทั้งราชสำนักล้วนรู้กันทั้งนั้นจักรพรรดิ์ซูชิงมองนาง พลางกล่าวว่า “เขายังไม่ตาย แต่บาดเจ็บสาหัส ขาทั้งสองหัก ต่อให้รักษาหาย ก็ไม่มีทางยืนขึ้นได้อีก หมอมหัศจรรย์ดันส่งเขาไปยังสำนักเทพโอสถ ถ้ารักษาหาย เขาก็จะใช้ชีวิตอย่างไม่เปิดเผยนาม ถ้ารักษาไม่หาย สำนักเทพโอสถ ก็ถือเป็นที่พำนักที่ดีอยู่แล้ว”ฮองเฮามองดูพระองค์ ไม่เหมือนตรัสล้อเล่น ความหวังและความยินดีพุ่งพล่านขึ้นในใจ แต่แล้วก็ตามมาด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ “หากเขายังไม่ตาย เหตุใดต้องจัดพิธีศพ? เหตุใดไม่รักษาที่เมืองหลวง? บางทีบาดแผลของเขาอาจไม่ร้ายแรงถึงเพียงนั้น ฝ่าบาททรงถูกหมอมหัศจรรย์ดันหลอกก็เป็นได้ หมอผู้นี้เป็นลุงของซ่งซีซี ซ่งซีซีอยากผลักดันองค์ชายสามขึ้นเป็นรัชทายาทมาโดยตลอด!”จักรพรรดิ์ซูชิงถามกลับทันควัน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าซ่งซีซีต้องการผลักดันองค์ชายสามขึ้นเป็นรัชทายาท?”ฉีฮองเฮารีบพูดเสียงร้อนรน “ตอนก่อตั้งโรงงานทอผ้า มารดาของหม่อมฉันให้หม่อมฉันอ
จักรพรรดิ์ซูชิงไม่ได้สั่งประหารพระสนมเต๋อเฟยในทันที แต่กลับให้คนลงโทษด้วยการทุบกระดูกขาทั้งสองทีละท่อน จนเนื้อหนังฉีกขาด เลือดแดงฉานเผยให้เห็นกระดูกขาวโพลน นางเจ็บปวดจนหมดสติไปหลายครั้ง แล้วจึงถูกโยนเข้าไปในตำหนักเย็นพระองค์ทรงนำองค์ชายรองไปที่ตำหนักเย็นด้วยพระองค์เอง ชี้ไปยังพระสนมเต๋อเฟยที่ขดร่างทรมานอยู่กับพื้น ส่งเสียงโหยหวนไม่หยุด ตรัสเย็นชา “หลังจากพี่ใหญ่ของเจ้าตกม้า เขาเจ็บปวดยิ่งกว่านางเสียอีก... เขาต้องทรมานจนตายทั้งเป็น”ใบหน้าองค์ชายรองเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาและความเสียใจ เขาทรุดตัวลงกับพื้น ปิดหูแน่น ไม่กล้าฟังเสียงร้องครวญของมารดาจักรพรรดิ์ซูชิงยังให้โบยชิงหลัน แล้วส่งนางเข้าไปอยู่ด้วย ให้ดูแลพระสนมเต๋อเฟยไม่ให้ตาย หากนางตาย ชิงหลันก็ต้องตายตามต่อให้ชิงหลันเคยติดตามพระสนมเต๋อเฟยแล้ววางแผนร้าย ลอบทำเรื่องดำมืดมาไม่น้อย แต่ฉากนองเลือดเช่นนี้ นางก็เคยเห็นเพียงครั้งเดียวในอุปทยานบุปผาหลวง นั่นคือตอนที่องค์ชายใหญ่ตกม้าครั้งนั้นรู้สึกสะใจ ทว่าตอนนี้... เหลือเพียงความเจ็บปวดที่ตำหนักฉางชุน ฮองเฮาฉีแทบตกใจไปทั้งร่างเป็นพระสนมเต๋อเฟย?เป็นพระสนมเต๋อเฟย!นางยังไม่ทันได
ในดวงตาขององค์ชายรองฉายชัดด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัว ราวกับเพิ่งตื่นจากฝันร้าย เขาหายใจหอบถี่ ปิดหูแล้วร้องตะโกนออกมา “ไม่... เสด็จแม่ ข้าไม่เอา! ข้าไม่อยากให้พี่ใหญ่ตาย ข้าไม่เอา...”พระสนมเต๋อเฟยทรุดลงคุกเข่าอย่างหมดแรง ตั้งแต่วินาทีที่ฮ่องเต้หยิบหนามเหล็กออกมา นางก็รู้สึกเหมือนแรงทั้งหมดในร่างถูกดูดไปจนสิ้นแต่จักรพรรดิ์ซูชิงหาได้ทรงสนใจนางไม่ สายพระเนตรยังจับจ้ององค์ชายรอง น้ำเสียงเย็นเฉียบ “สายไปแล้ว... พี่ใหญ่ของเจ้า... ตายแล้ว เจ้าเป็นคนฆ่าเขา”องค์ชายรองพลันหันกลับมาชนเข้าไปที่หน้าท้องของพระสนมเต๋อเฟยอย่างแรง ปากก็ร้องตะโกนเสียงโหยหวน “ท่านหลอกข้า! ท่านบอกว่าพี่ใหญ่ไม่ตาย แค่ขาหัก ท่านหลอกข้า! หลอกข้า! อ๊า ท่านหลอกข้า! ข้าฆ่าพี่ใหญ่ไปแล้ว...”พระสนมเต๋อเฟยถูกชนจนเครื่องในแทบเคลื่อนที่ นางอดทนต่อความเจ็บ รีบโผเข้าไปหมายจะปิดปากองค์ชายรอง แต่เขาราวกับเสียสติ กระโดดชนผนัง ตะโกนเสียงหลงไม่หยุดเขากระแทกจนเลือดอาบศีรษะ อู๋ต้าปั้นจึงเข้าจับไว้ ใช้สันมือฟาดจนหมดสติ แล้วเรียกคนมาพาตัวไปพันแผลเมื่อประตูตำหนักปิดลง อู๋ต้าปั้นมายืนข้างกายจักรพรรดิ์ซูชิง ด้านล่างคือพระสนมเต๋อเฟยกับช
สำหรับการเสด็จมาถึงของจักรพรรดิ์ซูชิง พระสนมเต๋อเฟยราวกับตกอยู่ในภาวะเผชิญหน้ากับศัตรูช่วงนี้ นับแต่ซ่งซีซีขุดคุ้ยลึกขึ้นเรื่อยๆ นางก็หวาดกลัวจนสุดใจแต่ในใจยังมีความหวังริบหรี่... องค์ชายใหญ่ตายไปแล้ว องค์ชายสามยังเยาว์วัย สุขภาพก็ไม่แข็งแรง ที่เหลือมีเพียงองค์ชายรองที่เฉลียวฉลาด พรสวรรค์เลิศล้ำ ทั้งบุ๋นและบู๊ก็เริ่มแสดงฝีมือให้เห็น เขาเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นองค์รัชทายาทหากไม่ใช่เขา จะเป็นองค์ชายสามหรือ?หากสุดท้ายเลือกองค์ชายรองขึ้นมา นางก็จะไม่ต้องถูกลงโทษ ฮ่องเต้ไม่มีทางแต่งตั้งพระมารดาขององค์รัชทายาทโดยมีมลทินได้บัดนี้ฮ่องเต้เสด็จมายังตำหนักไฉหลิง หัวใจนางเต้นระรัว ด้วยเหตุที่ฮ่องเต้เสด็จมาด้วยพระองค์เอง มีเพียงสองความเป็นไปได้หนึ่ง คือมาดูอาการขององค์ชายรอง เพื่อจะยืนยันสถานะองค์รัชทายาทสอง คือหลักฐานปรากฏชัดแล้ว และพระองค์มาเอาความไม่ว่าจะเป็นอย่างไร วันนี้ย่อมต้องมีผลลัพธ์แน่นอนนางนำข้าราชบริพารออกมากราบทูลต้อนรับ ก้มหน้าก้มตา สายตามองเห็นเพียงรองพระบาทแพรไหมสีเหลืองปักมังกรเลื้อยของฮ่องเต้แล้วนางก็เห็นฝ่าพระหัตถ์ที่ยื่นมาตรงหน้า พร้อมเสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นว่า
ระหว่างที่ซ่งซีซีทำการสืบสวน นางได้รับเบาะแสจากขันทีน้อยคนหนึ่งว่า หนามเหล็กขององค์ชายสามที่หายไปนั้น แท้จริงแล้วมีนางกำนัลคนหนึ่งเก็บไปขันทีน้อยผู้นั้นเป็นผู้เห็นกับตา ว่าหนามเหล็กถูกเก็บไปโดยนางกำนัลชื่อจู๋อวิ๋น ซึ่งรับใช้ใกล้ชิดอยู่ข้างกายพระสนมกงเฟยพระสนมกงเฟยไม่ได้มีเหตุใดที่จะปองร้ายองค์ชายใหญ่ ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับพระสนมเต๋อเฟยและพระสนมซูเฟยก็เพียงธรรมดาเท่านั้น ดังนั้นซ่งซีซีจึงทูลขออนุญาตไทเฮา เพื่อตรวจสอบวังหลัง ว่าจู๋อวิ๋นนั้นแท้จริงแล้วอยู่ข้างใครผลปรากฏว่า เมื่อตรวจสอบประวัติ จู๋อวิ๋นตอนเข้าวังครั้งแรก เป็นเพียงนางกำนัลล้างผ้าในฝ่ายซักรีด ชีวิตลำบากยากเข็ญนางเป็นคนบ้านเดียวกับชิงหลัน นางกำนัลคนสนิทของพระสนมเต๋อเฟย ชิงหลันจึงช่วยเจรจากับหมัวมัวผู้ดูแล ให้จู๋อวิ๋นได้ไปอยู่ตำหนักพระสนมกงเฟย เป็นเพียงสาวรับใช้ทำความสะอาดจู๋อวิ๋นเป็นคนหัวไว ฉลาดปราดเปรียว เพียงไม่กี่ปีก็ได้รับความไว้วางใจจากพระสนมกงเฟย กลายเป็นคนใกล้ชิดที่พระสนมกงเฟยพึ่งพามากที่สุดส่วนสมุดทะเบียนของนางกำนัลในกรมมหาดเล็ก เมื่อตรวจสอบพบว่า ตอนจู๋อวิ๋นถูกส่งไปตำหนักพระสนมกงเฟยนั้น ได้เปลี่ยนถิ่นกำเ
ในขณะที่ฮองเฮาวิ่งวุ่นคิดจะรับองค์ชายสามมาเลี้ยงดูที่ตำหนักฉางชุน ซ่งซีซีก็ปรากฏตัวขึ้นนางกล่าวกับฉีฮองเฮาว่า “จริงๆ แล้ว หม่อมฉันรออยู่ตลอด ว่าฮองเฮาจะถามหรือไม่ว่า ก่อนองค์ชายใหญ่สิ้นใจได้พูดอะไรไว้บ้าง แต่ฮองเฮากลับมิได้ถามเลย”ฉีฮองเฮาเงยหน้าขึ้นทันใด สีหน้าเต็มไปด้วยการปฏิเสธ “ไม่ต้องพูด เขาย่อมต้องโทษข้า เขาโกรธข้ามาโดยตลอด”ซ่งซีซีกล่าวว่า “กลับตรงกันข้าม เขาบอกว่า... เขารักท่านมาก”ฉีฮองเฮาหัวเราะเยาะเย้ยอย่างแสนเศร้า ไม่เชื่อแม้แต่น้อย “คนตายไปแล้ว เจ้าจะกุเรื่องอะไรขึ้นมาอีกเพื่อให้ข้ายิ่งเศร้าใจ?”ซ่งซีซีมองดูรอยฝ่ามือที่ปรากฏชัดบนใบหน้านาง รวมถึงดวงตาที่บวมแดงจากการร่ำไห้ ความเจ็บปวดจากการเสียบุตรควรจะเป็นความทุกข์ที่กัดกินถึงกระดูก แต่สิ่งที่นางคิดกลับเป็นเรื่องจะรับองค์ชายสามมาเลี้ยงดูไม่รู้ว่านั่นเป็นเพื่อการล้างแค้น หรือเพื่อให้มีหมากในมือ นางหวังจะผลักดันองค์ชายสามขึ้นเป็นองค์รัชทายาท ตัดขาดความหวังของพระสนมเต๋อเฟยโดยสิ้นเชิง“หม่อมฉันเป็นเพียงผู้ส่งสาร จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ฮองเฮาจะพิจารณา” ซ่งซีซีว่าจบ ก็ล่าถอยออกไปเมื่อซ่งซีซีจากไป ฮองเฮาก็ยกมือปิดหน้า ร
เมื่อไทเฮาได้ฟัง ก็อดมิได้ที่จะน้ำตาคลอ เด็กคนนี้เป็นคนกตัญญู แต่เสียดายที่ฮองเฮาไม่รู้จักรักษาบุญวาสนาฟ้าค่ำลงอย่างสิ้นเชิง พวกเขาออกเดินทางแล้วเสิ่นชิงเหอและหวังเยว่จาง พร้อมกับศิษย์ของหมอมหัศจรรย์ดันร่วมกันอารักขา ตลอดทางมีเซี่ยหลูโม่จัดการเตรียมการอย่างรัดกุม ล้อเกวียนได้ดัดแปลงใหม่ ด้านในปูด้วยเบาะนุ่มหลายชั้นหมอมหัศจรรย์ดันได้จัดการตรึงร่างเขาไว้เช่นกัน พันร่างไว้หลายชั้น แต่ละชั้นรองด้วยสำลี ทั้งช่วยกันหนาว ทั้งลดแรงกระแทกที่อาจทำอันตรายแก่ร่างกายเขาอากาศหนาวเย็นจนแทงกระดูก ถนนหนทางว่างเปล่าไร้ผู้คนหิมะโปรยปรายลงมาเบาๆ บนถนนหินสีเขียวมีเกล็ดขาวบางเบาตกกระจาย เกวียนบดผ่าน เกิดเสียงเบาๆ แผ่วแผ่วจักรพรรดิ์ซูชิงทอดพระเนตรอยู่นานนับนาน ขบวนรถหายลับไปนานแล้ว พระองค์ก็ยังหนาวจนตัวสั่น แต่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น คิดเพียงขออยู่อีกสักครู่ ก่อนจะเสด็จกลับพระราชวังหิมะเกาะบนพระเศียรและพระอังสา เซี่ยหลูโม่ช่วยปัดออก กล่าวเสียงแผ่วว่า “เสด็จพี่ อากาศหนาวเย็นแล้ว พวกเรากลับวังเถอะ”“ไทเฮาเล่า?” จักรพรรดิ์ซูชิงถอนสายตากลับมาถามไทเฮามิได้เสด็จออกมาส่ง ด้วยว่าทรงชราแล้ว การร่ำลาเช่นน