เพื่อที่จะแต่งงาน นางทำเสื้อผ้าใหม่มากมายบวกกับของขวัญหมั้นจากจวนเป่ยหมิงอ๋องแล้ว ยังมีผ้าชั้นดีอีกมากมายในกล่องเสื้อผ้าของนางเต็มไปด้วยเสื้อตามฤดูกาล มีเป็นกองเลย หลากสีสันและงานปักอันประณีตขนสุนัขจิ้งจอกและเสื้อคลุมตัวใหญ่ถูกใส่ไว้ในกล่องต่างหากเมื่อมองดูของขวัญหมั้นและสินเดิมเหล่านั้นแล้ว นางแค่รู้สึกว่ามันเพียงพอให้นางสวมใส่ไปตลอดชีวิตส่วนชุดที่นางใส่ตอนนี้และชุดที่นางเพิ่งเก็บใส่ตู้ก็เป็นชุดที่นางจะใส่ในช่วงนี้ ล้วนเป็นสีสดใส ไม่ดูล้าสมัยนอกจากนี้ นางยังเหมาะกับการสวมชุดสีแดงอีกด้วยโดยเฉพาะตอนนี้ที่นางสวมชุดสีม่วงแดง ไม่ใช่สีม่วงเข้ม แต่เป็นสีม่วงที่มีสีแดงตอนที่ดอกทอบานเต็มที่ สะท้อนผิวของนางให้ดูขาวยิ่งขึ้น เติมเต็มความสวยให้ไฝ่หางตาเสื้อผ้าชั้นนอกมีน้ำหนักเบาและนุ่มเป็นพิเศษ และพื้นผิวผ้าแวววาวเรียบๆเพียงว่านางแต่งตัวน้อยชิ้น แต่ดีที่มีเครื่องทำความร้อน เลยไม่เป็นไรซ่งซีซีรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว เมื่อกี้เพิ่งร้องไห้ไปจนทำให้จมูกถูกปิดกั้น หลังจากอาบน้ำเสร็จ จมูกของนางก็หายใจได้เลยมีข่าวจากลานหลักว่า ท่านอ๋องเมาแล้ว อาจจะอีกเดี๋ยวก็คงกลับเรือนหอแล้วตอนนี้
เป่าจูพยักหน้าบอกว่ารับทราบแล้ว จากนั้นรีบร้อนวิ่งออกไปเพื่อให้คนเตรียมน้ำร้อน เอามาให้ท่านเขยล้างหน้าล้างตาซ่งซีซีพยุงเขาให้นอนลงที่เก้าอี้ พอวางเขาให้เรียบร้อย เป่าจูเข้ามาแล้วพูดว่า "ถูกอาจารย์และพวกศิษย์พี่มอมสุรา รองผู้บัญชาการจางบอกว่าเขาไม่กล้าไม่ดื่ม ถูกมอมหนักเลย พร้อมกับคนจากนิกายอื่นๆ ด้วย สุราที่ดื่อคือสุราดอกทอ"ซ่งซีซีขมวดคิ้ว "ท่านอาจารย์ยังมอมสุราเขาหรือ"นี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้งชัดๆ งั้นเหรอ? มีผู้คนมากมายจากนิกายมา คนละแก้วก็พอที่จะให้เขาหมดสติเลย“ใช่ ดื่มไปเยอะมาก สุราดอกพีชของนิกายกู่เยว่ไม่ใช่ว่าเบาๆ เหรอ? ทำไมมันถึงแรงขนาดนี้?”“เกรงว่าเป็นสุราที่อาจารย์ปรุงเอง ไม่ใช่ของที่นิกายกู่เยว่ที่มอบให้ข้าเป็นของขวัญ” ซ่งซีซีมองไปยังเซี่ยหลูโม่ที่หน้าแดงไปหมดเนื่องจากถูกมอมสุรา การดื่มสุราแลกแก้วกันในคืนนี้คงทำไม่ได้แล้ว แล้วอาหารเต็มโต๊ะนี้ก็คงมีแต่นางคนเดียวที่กินตามลำพังเดิมทีนางมีหลายเรื่องที่จะถามเขา เรื่องที่แม่นมเหลียงบอกกับนางในคืนนี้ นางอยากถามรายละเอียดเพิ่มเติมอย่าว่าแต่ถามเลย ขนาดยังปลุกเขาให้ตื่นก็ไม่ได้แล้วหมิงจูนำน้ำร้อนมา และซ่งซีซีพูดว่า "พวกเจ้
แม่นมเหลียงมองดูอยู่ข้างๆ รู้แล้ว ไม่ต้องไปยุ่งจากนั้นก็พาทุกคนถอยออกไป แล้วปล่อยให้ทั้งคู่ได้จัดการเอง จะด่าหรือทะเลาะกัน แล้วแต่พวกเขาเลย ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงคุณหนูโกรธแล้ว หากพูดโน้มน้าวอยู่ข้างๆ กลัวว่าจะทำเอาความโกรธนี้เพื่มขึ้น เดิมทีคุณหนูก็ไม่ได้โกรธท่านอ๋องอยู่แล้ว แต่โกรธอาจารย์ของนางมากกว่าดังนั้นทิ้งทั้งสองอยู่ตามลำพัง นางถึงกับไม่ได้เป็นห่วงท่านอ๋องหลังจากเช็ดหน้า ล้างมือเสร็จแล้ว และบ้วนปากด้วยชาอุ่นๆ บนโต๊ะ จากนั้นเขาก็รู้สึกมีสติได้มากขึ้นสร่างเมาแล้วก็จริง แต่กลับพบว่าซีซีโกรธแล้วเขารู้ว่าไม่ได้โกรธเขา เพียงแต่เวลาที่นางโกรธ ใบหน้าที่สวยงามของนางก็เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง และงดงามมากทีเดียวแสงของเทียนมงคลส่องสว่างทุกสิ่งในเรือนหอ และแถบผ้าแพรไหมที่ผูกเป็นรูปหัวใจนั้นมีติดไว้ทุกที่ ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจมากเขาไอเล็กน้อยแล้วถามว่า "รูปหัวใจพวกนี้ ส่วนมากเป็นฝีมือของข้า สวยไหม?"ซ่งซีซีตักแกงให้เขา เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปรอบๆ หากเขาไม่ได้บอก นางยังไม่ได้สังเกตเห็นแถบผ้าแพรไหมที่ผูกเป็นรูปหัวใจพวกนั้น มิใช่ว่ารูปหัวใจไม่มากพอ เพียงแต่คืนนี้ อารมณ์ของกระสับกระส่า
เซี่ยหลูโม่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตาของนาง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า "ข้าไม่ได้โง่สักหน่อยเลย การมีอำนาจทหารจะมีประโยชน์อะไร? อำนาจทางทหารจะเทียบกับเจ้าได้ยังไง บัดนี้ ในประเทศไม่มีสงครามแล้ว ข้ายังกุมอำนาจทางทหารเอาไว้ก็จะทำให้คนอื่นอิจฉา เดี๋ยวจะเป็นเรื่องได้ ต่อให้เขาไม่ได้บังคับข้า ข้าก็ต้องคืนอำนาจทางทหารให้อยู่ดี"ขนาดเขายังยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "หากเขาไม่บังคับข้าแบบนี้ ข้าก็ยังคงปวดหัวอยู่ว่าจะเอ่ยปากมาสู่ขอเจ้ายังไง พอมีกฤษฎีกาจากฮ่องเต้ ข้าเชื่อระหว่างข้ากับการเป็นนางสนม เจ้าจะต้องเลือกข้า เขาช่วยข้าแล้ว"ซ่งซีซีจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ "ท่านนี่ยังรู้สึกปลื้มใจเสียอีก จริงๆ เลย คนโง่ที่ถูกหลอกลวงแล้วยังขอบคุณอีกฝ่ายเสียอีก ท่านนี่และก็เป็นคนแบบนั้น"สาวสวยออดอ้อน จนเขาใจอ่อนระทวยทุกราย ซึ่งอ่อนราวกับเมฆฝ้ายที่โรยด้วยน้ำตาลเขาพูดว่า "ไม่เป็นไร ข้าสมหวังแล้ว"ซ่งซีซีหรี่ตาลง แต่ใจของนางก็ยังรู้สึกหวานชื่น สมหวังแล้ว นางเองก็เช่นกันมิใช่หรือ?ปรากฎว่าการมีใจให้นกันและกัน จะทำให้คนเรามีความสุขขนาดนี้เขาตักอาหารให้นาง และคีบให้อย่างละนิด "คืนนี้คงหิวแย่สินะ
ชุดนอนของเซี่ยหลูโม่ถูกวางไว้ในห้องอาบน้ำมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชุดนอนก็เป็นสีแดงเช่นกัน แต่วัสดุก็นุ่นมาก มีเพียงลายเมฆดำและไม่มีลายปักแบบอื่น เป็นชุดแบบเดียวกันกับซ่งซีซีไม่ใช่ว่าไม่มีลายปักแบบอื่นเลย ที่แขนข้างหนึ่งมีคำว่า "ครองรักนิรันดร์" ส่วนอีกข้างหนึ่งได้ปักคำว่า "มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง" เพื่อเป็นอวยพรเซี่ยหลูโม่แค่อาบน้ำแบบลวกๆแต่ไม่แช่น้ำนาน เขารู้ว่าคืนนี้อาจจะต้องยุ่งจนถึงดึก เลยสระผมไปแล้วเมื่อคืนนี้เขาออกมาจากห้องอาบน้ำ ก่อนจะสวมชุดนอนสีแดงดูสะอาดและหล่อเหลาหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาระยะหนึ่ง ผิวของเขาก็ขาวขึ้นมากซ่งซีซียังจำได้ว่าตอนที่นางพบเขาครั้งแรกในสนามรบ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเครา และมันเรียกได้ว่าสกปรกมาก มันยากที่จะจินตนาการว่าเขาเป็นคนเดียวกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านางแสงเทียนมงคลสะท้อนให้เห็นผ้าห่มสีแดงสด และปลาบม่านเตียงก็ไปถึงพื้น เขาจับมือนาง แล้วเดินช้าๆ ไปยังเตียงขนาดใหญ่หัวใจของซ่งซีซีเต้นเร็วขึ้น และฝ่ามือของนางเริ่มมีเหงื่อออก นางไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นเช่นนี้กับใครในชีวิตมาก่อนเลยแต่สิ่งที่นางไม่รู้คือ เซี่ยหลูโม่รู้สึกตื่นเต้นมากก
ในปลายยามเหม่า แม่นมเหลียงก็เคาะประตูอยู่ข้างนอกเนื่องจากห้องนอนแบ่งออกเป็นภายในและภายนอก ประตูห้องนอนจึงอยู่ห้องด้านนอก ส่วนด้านในและด้านนอกถูกกั้นด้วยม่านเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีก็ลืมตาขึ้นและลุกขึ้นนั่งเกือบจะพร้อมกันซ่งซีซีลุกขึ้นนั่งและเห็นว่าเซี่ยหลูโม่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลย นางสะดุ้งอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นนางก็ตระหนักว่าตนเองก็ไม่ได้สวมเสื้อผ้าเช่นกัน นางก็คว้าผ้าห่มแล้วคลุมให้ตนเองทันทีใบหน้าของนางรู้สึกร้อนวูบวาบ และนางเดาว่าตนเองหน้าแดงแล้วแน่ๆเซี่ยหลูโม่คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ และรู้สึกว่าตนเองทำได้ไม่ดีนัก เลยไม่กล้ามองหน้านาง สำหรับการเปลือยกายเช่นนี้ เขาก็ยังไม่ชินในตอนนี้ จึงคว้าชุดนอนมา แล้วสวมใส่มันโดยใช้ผ้าห่มกันไว้หลังจากที่เขาสวมเสร็จแล้ว เขาก็ไอคำหนึ่ง แล้วพูดว่า "ข้าจะลุกขึ้นก่อน เจ้า... เจ้าใส่ชุดนอนก่อน แล้วค่อยให้คนใช้มาเปลี่ยนเสื่อให้"อ๊ะ ทำไมถึงรู้สึกน่าเขินอายขนาดนี้? แม้แต่ดวงตาของนางก็ไม่กล้าที่จะมองเลยแต่ขอแอบมองแวบนึงเถอะนะ ที่แท้สภาพเพิ่งตื่นนอนของนางเป็นแบบนี้ ดูซื่อๆ และเฉื่อยชานิดหน่อย แต่สวยงามและสดชื
เซี่ยหลูโม่ก็ต้องสวมเครื่องยศเช่นกัน แต่เขาสวมเองไม่ได้ เพราะมันก็ยุ่งยากมาก ดังนั้นในที่สุดเขาก็นำเครื่องยศออกจากห้องแล้วเรียกหัวหน้าลู่และเด็กรับใช้มาสวมให้เขาเขาสวมพระมาลาจิ่วเฉียวเมี่ยน และชเครื่องยศระดับชั้นห้าสีเขียว มีลายมังกรปักอยู่ที่ไหล่ทั้งสองข้าง และเอวของเขาผูกด้วยขอบสีแดง มีจี้หยกที่ด้านซ้ายและด้านขวา ฝั่งละชิ้น ลายเมฆสีทองและมังกรพร้อมลูกปัดหยก บนจี้หยกมีมีตะขอสีทอง เสริมด้วยสายสะพายเล็กสี่สีสายสะพายใหญ่ทอเป็นสี่สี แดง ขาว กำมะหยี่ และเขียว เขามีรูปร่างสูงและเพรียวอยู่แล้ว และการสวมเครื่องยศหรูหราชุดนี้ ดูทรงพลังและสง่างามมากยิ่งขึ้นซ่งซีซียังคงต้องแต่งหน้าแต่งตาสักหน่อย ไม่ว่านางจะสวยแค่ไหนก็ตาม เมื่อต้องไปเข้าเฝ้าก็ไม่เหมาะที่ไปแบบหน้าสดหลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว ซ่งซีซีก็เดินออกไปโดยมีแม่นมเหลียงและพวกเป่าจูล้อมรอบข้างกาย ซ่งซีซีถามถึงรุ่ยเอ๋อร์ก่อน และรู้ว่าเขายังไม่ได้ตื่น อีกอย่างมีรุ่ยจูค่อยดูแลอยู่ นางก็รู้สึกโล่งใจเมื่อสบตากับเซี่ยหลูโม่ที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จอยู่ห้องข้างนอก อาจเป็นเพราะวันนี้ทุกคนต่างก็แต่งตัวอย่างหรูหราแลพเรียบร้อย จึงลืมเรื่องความใกล้ชิดเ
ฉากนี้ช่างสบายตาสบายใจยิ่งนัก ลูกชายหล่อเหลา ซ่งซีซีก็งดงาม และทั้งคู่ก็มีสีหน้าเยือกเย็น หน้าคลายกันมากเป็นคู่รักกันจริงๆเมื่อสักครู่นี้ แม่นมเกามารายงานอย่างเร่งรีบ ได้ยืนยันว่าซ่งซีซีเป็นผู้บริสุทธิ์ และเมื่อคืนนี้นางได้มอบตัวให้กับท่านอ๋องอย่างแท้จริงสนมฮุ่ยไทเฟยพอใจกับสิ่งนี้มาก แต่ก็แค่พอใจที่นางเป็นผู้บริสุทธิ์เท่านั้น ส่วนเรื่องที่ซ่งซีซีได้แต่งงานครั้งที่สองนั้น นางยังไม่ได้ยอมรับไปทั้งหมดนางนั่งตัวตรง ทัศนคติของนางยังดูกำเริบ และดวงตาของนางเต็มไปด้วยแววเคร่งขรึมเซี่ยหลูโม่ระงับความโกรธเคืองเอาไว้ จับมือของซ่งซีซี แล้วเดินเข้าไปคุกเข่าลงและกราบไหว้เพื่อเป็นการคารวะ"ลูกสะใภ้มาถวายน้ำชาให้ไทเฟยเจ้าค่ะ" แม่นมเกายืนข้างๆพร้อมถือถาดแล้วกล่าวซ่งซีซีหยิบถ้วยชา แล้วยื่นให้สนมฮุ่ยไทเฟยด้วยมือทั้งสองข้าง "เสด็จแม่ โปรดดื่มชาเจ้าคะ"สนมฮุ่ยไทเฟยยังคงรออยู่สักพักหนึ่ง ในขณะที่ดวงตาของเซี่ยหลูโม่เกือบจะระเบิดความโกรธออกมานั้น นางถึงค่อยๆ เอื้อมมือออกไปรับถ้วยชา จิบไปคำหนึ่งก็วางไว้ข้างๆ"ให้รางวัล!" เสียงของนางช้าๆ แฝงไปด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยองแม่นมเกาวางถาดลง หยิบสร้อยข้อมือม
ฮองเฮา ยังมีหยาดน้ำตาเกาะบนใบหน้า ดวงตาทั้งสองข้างบวมแดงจากการร่ำไห้เมื่อได้ยินประโยคแรกที่ฮ่องเต้ตรัสหลังฟื้นคืนสติ กลับเป็นคำสั่งให้นางถอยออกไป นางถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่พอฟื้นคืนสติ นางก็สะอื้นพลางเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่ไปเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฮ่องเต้เพคะ”ไทเฮา เอ่ยด้วยสุรเสียงแหบพร่า ทว่ามีอำนาจล้นเหลือ “ประคองฮองเฮาออกไป”ฮองเฮาอยู่เฝ้าที่นี่นานเท่าใดไทเฮาก็อยู่เฝ้าที่นี่นานเท่านั้น ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะฟื้นคืนสติเสียที รอคอยมาจนใจแทบขาด ทว่ากลับต้องฝืนรักษาความสงบเพื่อมิให้เหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่นอกตำหนักต้องขาดหลักยึดเดิมทีขุนนางทั้งหมดคุกเข่าอยู่ภายนอกตำหนัก ทว่าความหนาวเหน็บเกินทน พอไทเฮามาถึงก็ทรงให้พวกเขาเข้าไปคอยด้านในตำหนัก แต่พวกเขากลับยังยืนกรานจะคุกเข่าต่อไปฮ่องเต้สิ้นสติไปนานเท่าใด พวกเขาก็คุกเข่าอยู่อย่างนั้นตลอดมาไทเฮาคอยให้หมอหลวงตรวจชีพจรเสร็จก่อนจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ แล้วตรัสห้ามไม่ให้หมอหลวงเอ่ยสิ่งใดก่อนจะกล่าวด้วยสุรเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”นางกำมือของบุตรชายแน่น พระหัตถ์เย็นเฉียบจนจับข่มไว้สุดแรงก็ยังสั่นระริกอย่างห้ามมิได้จัก
จักรพรรดิ์ซูชิงกลับไม่รู้เลยว่าความวุ่นวายในครั้งนี้จะลุกลามใหญ่โตถึงเพียงนี้ ช่วงหลายวันที่ผ่านมา พระองค์ทรงให้ความร่วมมือกับหมอหลวงในการทดลองสูตรยารักษาใหม่ ทรงมอบหมายกิจการราชการสำคัญให้แก่เสนาบดีใหญ่ ตำรับยารักษาใหม่นี้เป็นผลจากการวิจัยอย่างหนักของหมอหลวงหลายคน ซึ่งใช้การบำบัดด้วยความร้อนเป็นหลัก ร่วมกับการฝังเข็ม และเสริมด้วยยาต้มเพื่อบำรุงร่างกาย ผ่านไปปหลายวัน มีผลดีอยู่บ้าง อาการปวดศีรษะลดลง และไม่ทรงมีเหงื่อออกในเวลากลางคืน ดังนั้น ในวันนี้ที่เสด็จมาร่วมประชุมราชการ พระพักตร์ของพระองค์ดูสดใสขึ้นกว่าหลายวันที่ผ่านมา เจ้ากรมฉีแม้จะได้ไปพบอวี้ฉื่อสวี่แล้ว แต่ความคิดของอวี้ฉื่อสวี่กลับไม่เปลี่ยนแปลง เขารู้สึกผิดหวังในตัวฮ่องเต้ เพราะทรงทำตัวโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์ และไม่สนใจสถานการณ์สงคราม เป็นการกระทำที่ดูไร้ความรับผิดชอบเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เชื่อคำกล่าวของเจ้ากรมฉีที่ว่า การเลือกพระชายารองให้เป่ยหมิงอ๋องเป็นความคิดของฮองเฮา โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ ตามที่เขารู้มา ฮองเฮาเพิ่งถูกปลดจากการกักบริเวณได้ไม่นาน หลังจากได้รับอิ
ฉีฮองเฮายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านแม่พูดอะไรเช่นนี้ เรื่องนี้จะไปเกี่ยวอะไรกับฮ่องเต้ได้? ฮ่องเต้มีงานราชกิจล้นมือ จะมายุ่งเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? ส่วนอวี้ฉื่อสวี่นั่น ข้าจะไปทำให้เขาตายได้อย่างไร?” อวี้ฉื่อสวี่ เป็นพ่อตาขององค์หญิงใหญ่หมินฉิง ฉีฮองเฮาเห็นว่าไม่มีเหตุผลที่จะไปขัดแย้งกับตระกูลนี้ ฉีฮูหยินใหญ่ถอนหายใจ “เจ้านี่ช่างโง่เขลาเสียจริง เป่ยหมิงอ๋องกำลังออกรบ เจ้ากลับไปยุ่งเรื่องหา พระชายารองให้เขา ไหนจะเรื่องที่ฮ่องเต้เคยให้พระชายาเป่ยหมิงอ๋องอยู่ในห้องทรงพระอักษรคนเดียวหลายวัน แล้วเสด็จไปเยี่ยมกลางดึก เรื่องนั้นยังไม่ได้รับการชี้แจงให้กระจ่าง เจ้ายังจะสร้างเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมาอีก จะไม่ให้คนเขาคิดมากได้อย่างไร?” “นั่นมันพวกเขาคิดมากไปเองทั้งนั้น เป็นการคาดเดาแบบไม่มีมูล” ฉีฮองเฮากล่าวด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ ฉีฮูหยินใหญ่เห็นสีหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อนของนางก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความผิดหวัง “อย่าว่าแต่เรื่องร้อยเรียงที่ผู้คนเขาคาดเดากันเลย แค่ฮ่องเต้ขมวดคิ้วหรือพูดอะไรออกมา ขุนนางก็ยังตีความกันไปต่างๆ นานา เจ้าจะพูดว่าไม่เกี่ยว แต่แม้แต่ในวังหลัง ฮ่องเต้ทำสีหน้ากับเจ้า เจ้าจะไม่
เมื่อการคาดเดาเช่นนี้แพร่กระจายออกไป บรรดาขุนนางบางคนก็เริ่มยุยงให้เจ้ากรมฉีไปสอบถาม ฮองเฮาเพื่อขอคำชี้แจง ถ้าข่าวลือนี้เป็นความจริง จะเป็นเรื่องร้ายแรงมาก!เป่ยหมิงอ๋อง กำลังออกรบที่หนานเจียงอย่างเต็มกำลัง แต่ถ้าข่าวลือว่าสตรีของเขาถูกคนอื่นเล็งไว้แพร่ไปถึงที่นั่น จะทำให้เสียขวัญและกำลังใจจนส่งผลกระทบต่อการรบได้! แม้แต่หลี่เต๋อฮวย เสนาบดีกรมทหาร ยังวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้จนต้องเข้าพบเจ้ากรมฉีด้วยตัวเองเพื่อชี้แจงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เขากล่าวว่า "เป่ยหมิงอ๋องกำลังเสี่ยงชีวิตอยู่ในสนามรบ ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ จะเกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ไม่ได้!" จากนั้นเขายังเสริมว่า "ข้าได้ยินมาว่าอวี้ฉื่อสวี่มีแผนจะยื่นฎีกาคัดค้านในท้องพระโรงอย่างแข็งขัน" เจ้ากรมฉีตกใจจนหน้าซีด "เรื่องนี้ยังไม่มีการสอบสวนชัดเจน แล้วจะถึงขั้นยื่นฎีกาได้อย่างไร? อวี้ฉื่อสวี่จะไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่นเช่นนั้นหรอก!" หลี่เต๋อฮวยตอบกลับ "เขาต้องการให้ฮ่องเต้ชี้แจงเรื่องนี้ หากปล่อยให้คนคาดเดาต่อไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วข่าวลือเหล่านี้จะไปถึงหนานเจียงและเมืองเฉิงหลิง แล้วคราวนี้ความวุ่นวายจะบังเกิด!" แม
หลานเจี่ยนกูกูลังเลไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “แต่หากปล่อยให้เรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงของคุณหนูเจ็ดจะเสียหายไปด้วย และอาจกระทบถึงชื่อเสียงของบุตรสาวคนอื่นในจวนผิงหนานป๋อด้วยเพคะ” ฮองเฮามองด้วยสายตาเย็นชา “นางเป็นเพียงลูกสาวอนุ ใจสูงเกินตัว มองใครก็ไม่คู่ควร คงอยากแต่งงานสูงส่งเท่านั้น สตรีเช่นนี้ที่หวังเกินความสามารถ หากต้องพังพินาศก็เป็นเพราะตัวนางเอง และข้ายังได้ยินว่านางนิสัยดุร้าย ใครก็ไม่กลัว ถ้าหากนางกล้าไปก่อเรื่องกับซ่งซีซีให้เกิดความวุ่นวาย ข้าจะยิ่งดีใจ เพราะจะมีเรื่องให้นินทากันแทน เรื่องฮ่องเต้ก็จะถูกลืมไปเอง” หลานเจี่ยนกูกูเงียบไป ไม่กล้าพูดอะไร ฮองเฮาจึงโกรธขึ้นมา “ตอนนี้ข้าพูดอะไร เจ้ามีแต่จะคัดค้าน บอกว่าไม่เหมาะสม เจ้าก็ลองบอกข้าสิว่าจะทำอย่างไรให้เรื่องนี้สงบลงได้ หรือเจ้าจะให้ฮ่องเต้ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปตลอด?” หลานเจี่ยนกูกูอยากจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเกี่ยวโยงกันได้เลย แม้คุณหนูเจ็ดจะไปก่อเรื่องจริง แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงเรื่องของหญิงสาวบ้านเล็กบ้านน้อย ไม่น่าจะกลบเรื่องของฮ่องเต้ได้ แต่เห็นฮองเฮาโกรธจัด นางจึงไม่กล้าพูดและจำต้องรับคำสั่งไป ช่วงนี้ใกล
ซ่งซีซีกำลังอยู่ในอารมณ์ขุ่นเคือง แต่เมื่อเสิ่นว่านจือพูดหยอกล้อเช่นนั้น นางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ปล่อยมือ ลงมาแช่ด้วยกันเถอะ” เสิ่นว่านจือหัวเราะพลางรับคำ “ข้าน้อยปฏิบัติตามคำสั่ง!” พูดจบก็จัดการถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้ข้างบ่ออย่างรวดเร็ว แล้วลงไปแช่ในบ่อน้ำพุร้อน ทั้งสองเล่นน้ำหยอกล้อกันสักพัก จากนั้นก็วางคางลงบนหมอนนุ่มริมบ่อ เสิ่นว่านจือพูดขึ้น “ฮองเฮาคนนั้น เหมือนคนโง่จริงๆ เจ้าจะไปสนใจนางทำไม? โกรธเพราะนางไม่คุ้มเสียหรอก” “นางเหมือนมีอะไรผิดปกติจริงๆ ไม่เหมือนคนที่ได้รับการอบรมมาจากตระกูลฉี” ซ่งซีซีหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ “เอาเถอะ ตระกูลฉีก็มีไม่น้อยที่ไม่เอาไหน” “ใช่หรือไม่ล่ะ? เจ้ากรมฉีเองยังเลี้ยงเมียน้อยไว้เลย ส่วนเรื่องของราชครูฉีก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีแต่ฮูหยินเสนาบดีที่ดูปกติหน่อย แต่น่าสงสารนัก” ซ่งซีซีประสานมือใต้คาง นางวางคางลงบนมือที่พับซ้อนกัน ดวงตาฉายแววหม่น “ใช่แล้ว… จือจือ เจ้ารู้ไหมว่าตอนข้าได้ยินสิ่งที่หลานเจี่ยนกูกูกล่าวมา ข้ารู้สึกอย่างไร?” “โกรธสิ” เสิ่นว่านจือตอบขณะวางคางลงบนมือเหมือนกัน “จะรู้สึกอะไรอีก?”“โกรธน่ะโกรธแน่” ซ่งซีซียกมื
หลานเจี่ยนกูกูถูก ‘ส่ง’ ออกจากจวนอ๋องด้วยท่าทีที่ไม่เป็นมิตรจากคนในจวน แม้กระทั่งตอนเดินออกไปยังถูกส่งสายตาเหยียดหยามจากทุกทิศทาง ระหว่างทางกลับวัง นางยังคงไม่แน่ใจว่าพระชายาอ๋องจะเข้าวังหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าพระชายาอ๋องไม่ได้ตอบรับและไม่ได้ปฏิเสธอย่างชัดเจน ฮองเฮาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะหาพระชายารองให้ท่านอ๋องจริงๆ สิ่งที่นางพูดไปเป็นเพียงการกดดันพระชายาอ๋อง เพื่อใช้เป็นข้ออ้างให้พระชายาอ๋องลาออกจากตำแหน่ง ถึงแม้พระชายาอ๋องจะไม่ลาออก ฮองเฮาก็ไม่ได้คิดจะส่งพระชายารองหรือสนมใดๆ เข้าไปในจวนอ๋องจริงๆ แต่หลานเจี่ยนกูกูไม่คาดคิดว่าพระชายาอ๋องจะโกรธถึงเพียงนี้ ถึงขนาดไม่สนใจรักษามารยาทหรือเก็บอารมณ์ และไล่ตนออกมาทันที หากพระชายาอ๋องไม่เข้าวัง เรื่องเข้าใจผิดนี้ก็คงไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจน แต่… หลานเจี่ยนกูกูถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมตั้งคำถามในใจว่านี่เป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิดจริงหรือ? ความจริงแล้ว นางเองก็คิดว่าการมีสตรีเป็นขุนนางในราชสำนักนั้นเป็นเรื่องดี หากพระชายาอ๋องต้องลาออก นางกลับรู้สึกเสียดายเสียด้วยซ้ำ คิดเช่นนี้แล้ว หลานเจี่ยนกูกูก็รู้สึกผิดที่ตัวเองดูเหมือน
ฉีฮองเฮากลับไปยังตำหนักฉางชุนด้วยสภาพเหมือนคนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ประโยคที่ฮ่องเต้ตรัสว่า ‘สละตำแหน่งฮองเฮา’ ยังคงดังก้องในหัวของนาง ทุกคำล้วนเหมือนสายฟ้าฟาดที่กระแทกใจนางอย่างหนัก ความคิดของนางชะงักงัน มือเท้าอ่อนล้าไปหมด "ฮองเฮาเพคะ ฝ่าบาทคงเพียงตรัสด้วยความโกรธ โปรดอย่าใส่พระทัยนักเลยเพคะ" หลานเจี่ยนกูกูเห็นว่านางหน้าซีดเซียวเหมือนคนไร้ชีวิต ก็พูดปลอบด้วยความเป็นห่วง ฉีฮองเฮารู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก กดหน้าอกไว้ น้ำตาไหลพรากไม่หยุด "เพียงคำพูดด้วยความโกรธ แต่สามารถกล่าวถึงการปลดข้าจากตำแหน่งได้อย่างนั้นหรือ? ฝ่าบาทไม่เคยพูดคำใดด้วยความโกรธ นั่นแสดงว่าพระองค์ทรงตั้งใจจริง" "เป็นไปไม่ได้เพคะ ฝ่าบาทจะให้เสิ่นว่านจือ สตรีจากตระกูลพ่อค้า ขึ้นเป็นฮองเฮาได้อย่างไร?" หลานเจี่ยนกูกูที่อยู่ด้านนอกก็ได้ยินเสียงของฮ่องเต้เช่นกัน จึงกล่าวอย่างหนักแน่น ฉีฮองเฮาน้ำตาไหลเปื้อนทั่วใบหน้า "เจ้ามองไม่ออกหรือ? ไม่ใช่เสิ่นว่านจือหรอก แต่เป็นซ่งซีซีต่างหาก" หลานเจี่ยนกูกูอุทาน "นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ซ่งซีซีเป็นพระชายาเป่ยหมิงอ๋อง ฝ่าบาทต่อให้ทรงเลอะเลือนเพียงใด ก็ไม่มีวันยกตำแหน่งฮอง
ฮองเฮาตกพระทัย รีบก้มหน้าลง ดวงตาที่หม่นหมองฉายแววไม่พอใจ นางไม่คาดคิดว่าหลังจากที่ผู้คนในวังหลังพูดถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้กลับปกป้องซ่งซีซีก่อน และความพิโรธของพระองค์นั้นมีเพื่อซ่งซีซีเพียงผู้เดียว หากเรื่องนี้มิได้เกิดจากความคิดที่ไม่เหมาะสมของซ่งซีซี ก็ย่อมเป็นฮ่องเต้ที่ทรงกระทำเอง พระองค์จึงรับความผิดทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว ฮองเฮารู้สึกสับสน เพราะฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของพระองค์เองเป็นที่สุด เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เหตุใดพระองค์จึงไม่ฉวยโอกาสผลักความผิดไปที่ซ่งซีซี เพื่อรักษาพระเกียรติของตน? เหตุใดจึงต้องปกป้องซ่งซีซีก่อน? หากพระองค์ตรัสแบบเดียวกันนี้ต่อเหล่าขุนนางในราชสำนัก ก็ย่อมจะถูกกล่าวหาว่าฮ่องเต้ทรงกระทำการอันเหลวไหล ความคิดหลากหลายประการถาโถมเข้าสู่จิตใจของฉีฮองเฮา นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องในอดีตที่ฮ่องเต้เคยตรัสว่าอยากให้ซ่งซีซีเข้าวัง หรือว่าฮ่องเต้จะมีใจให้ซ่งซีซีจริง? หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ถือว่าน่าหัวเราะสิ้นดี ตั้งแต่วันที่นางแต่งงานกับฮ่องเต้ นางก็รู้ว่า ผู้ชายคนนี้จะไม่มีวันเป็นของนางเพียงผู้เดียว ความรักหรือความชื่นชอบล้วนไม่สำคั