คำพูดนี้หลุดออกมา ทุกคนล้วนตกตะลึงครอบครัวที่นางเหลียงพามาต่างก็ไม่รู้จักเด็กที่กล่าวถึง แม้แต่อวิ๋นเซียงเยว่ก็ไม่รู้ ดังนั้นคนที่ตกตะลึงมากที่สุดก็คือนาง นางไม่กล้าเชื่อจนเดินถอยหลังไปสองเจ้า แทบจะแตกสลายแล้วความจริงตอนแรกนางเหลียงไม่แน่ใจ แต่หลังร้านขายยาเย่าหวังเกิดเรื่อง ตอนที่นางส่งคนไปสืบหวังชิงหลู หาหมอท่านนั้นเจอ หมอท่านนั้นและสามีนางมีมิตรไมตรีต่อกันพอดีเมื่อถามว่าเหตุใดหวังชิงหลูอยู่ที่ตระกูลจ้านจึงรักษาเด็กเอาไว้ไม่ได้ ท่านหมอบอกสาเหตุกับนาง หนึ่งในการคาดเดา เป็นเพราะหวังชิงหลูเคยตกเลือดจนทำให้เกิดการบาดเจ็บท่านหมอไม่รู้ว่าภายในมีเรื่องราวมากมาย คิดว่าสตรีรักษาเด็กในครรภ์ไม่ได้เป็นเรื่องปกติทั่วไป อาการตกเลือดหารักษาไม่ดี ก็จะทำร้ายร่างกายแต่นางเหลียงไม่รู้ว่าหวังชิงหลูเคยมีลูกกับเจ้าสิบเอ็ดฝางหรือไม่ มือของนางยื่นเข้าไปไม่ถึงตระกูลฝาง จึงไม่อาจตรวจสอบได้ดังนั้นเรื่องทั้งหมดเป็นแค่การคาดเดาของนางนางเห็นท่าทางหวังชิงหลูกำเริบเสินสานเพียงนี้ ดังนั้นจึงพูดสิ่งที่นางคาดเดาทำเหมือนเป็นเรื่องจริงออกมา เพียงเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้นาง เพื่อไม่ให้นางพูดพร่ำไปเรื่อยเปื่อย อ
ซ่งซีซีส่งคนไปร้านขายยาเย่าหวังเชิญหงเชวี่ยมาบาดแผลที่หน้าผาไม่ลึกมา เลือดหยุดไหลอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ก่อให้เกิดผลร้ายแรงใดแต่นางก็ยังเป็นไข้ตัวร้อนอยู่หลายวัน เดิมทีร่างกายอ่อนแอมากอยู่แล้ว โมโหอีก ตอนนี้ไฟเข้าแทรกหัวใจ อาเจียนเลือดสดออกมา คนก็หมดสติไปมุมหางตานางมีน้ำตาไหลออกมาตลอด ซ่งซีซีช่วยเช็ดให้นาง ไม่ว่าจะเช็ดอย่างไร น้ำตานั้นก็เหมือนกับไหลไม่หมด“หงเชวี่ย อาการเป็นเช่นไร?” ซ่งซีซีถามหลังจากหงเชวี่ยตรวจชีพจรหงเชวี่ยถอนหายใจ “ฮูหยินไข้สูงมาหลายวัน เมื่อครู่ลูบหลังให้นาง ปอดมีปัญหา อีกทั้งนางลมปราณตับติดขัด เลือดลมติดชะงัก ยาก่อนหน้านี้เบาเกินไป เดิมควบคุมไม่อยู่ ขั้นแรกให้กินยาที่มีฤทธิ์แรงเพื่อล้างตับและดับไฟ ปรับลมในปอด รอให้หายดีแล้ว ค่อยๆ บำรุงกลับมา แต่ห้ามกังวลมากเกินไปอีก”กล่าวจบ หงเชวี่ยเรียกนางออกไป กระซิบกล่าว “ลมปราณตับติดขัดรุนแรงมาก นี่เกิดจากอารมณ์โกรธ ไม่รู้นางซ่อนเรื่องใดไว้ ไม่ยอมพูด ตัวเองเก็บเอาไว้จนอึดอัด”ซ่งซีซีรู้ว่ากังวลใจเรื่องหวังเบียวเกี่ยวข้องกับคดีสมรู้ร่วมคิด ส่งผลกระทบต่อครอบครัว ตอนที่นางส่งเซียนเกอเอ๋อร์ออกไปฝึกยุทธกับกุ้นเอ๋อร์ ศิษย์น้อ
เสิ่นว่านจือวันนี้ไปตระกูลฝาง ลุงลู่ป่วยแล้ว แล้วก็เชิญชิงเชวี่ยแห่งร้านขายยาเย่าหวังไปด้วยค่ำแล้วนางยังไม่ได้จากไป เรื่องของหวังชิงหลูจากข้างนอกลอยเข้ามาเช่นกัน แต่ฮูหยินของฝางเทียนสวีแยกันแล้ว ห้ามบอกให้อาสะใภ้รองรู้แต่ก็ซ่อนไว้ได้ช่วงเวลาเดียวเท่านั้นดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพงก็ช่างเถอะ ยังต้องท้องลูกนอกสมรสด้วย ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางไม่ได้เป็นสามีของหวังชิงหลูอีกต่อไป ได้รับผลกระทบหนักมากถึงเช่นไร เรื่องก็เกิดขึ้นตอนอยู่ที่ตระกูลฝางมีคนบอกว่า เจ้าสิบเอ็ดฝางไม่ได้เรื่องด้านทางนั้นใช่หรือไม่ จึงตัดใจให้หวังชูหลูมีชู้? มิฉะนั้นเวลานั้นเหตุใดอยู่บนสนามรบไม่นาน ก็เกิดเรื่องเช่นนี้แล้วมีคนบอกว่าหวังชิงหนูไม่อยู่กับเย้าเฝ้ากับเรือน ควรไปขังไว้ในกรงหมูยังมีคนบอกว่าลู่ซื่อชินไร้ยางอาย ลูกพี่ลูกน้องไม่สนใจเรื่องความรัก ตระกูลฝางใจดีเก็บเขาไว้ เขายังไม่รู้จักยางอาย เรียกง่ายๆ ว่าไม่ใช่คนคำพูดเหล่านี้พูดไปพูดมา ลู่ซื่อชินและหวังชิงหลูเป็นผู้สมควรโดนลงโทษ เจ้าสิบเอ็ดฝางเป็นเหยื่อผู้บริสุทธิ์หลังจากจ้านเป่ยว่างถูกคนกล่าวถึงสองสามครั้ง คิดว่าครอบครัวพวกเขาต่อให้เกิดเร
น้ำตาของหวังชิงหลูไหลไม่หยุด “แต่เขาไม่มีอนาคต เขาไปเป็นทหารตัวเล็กๆ ต่อไปข้าจะพบผู้คนได้เช่นไร? ข้าไม่อยากให้ตัวเองน้อยเนื้อต่ำใจ ตอนนั้นซ่งซีซีกับเขาแยกทางกัน ยังขอราชโองการโดยเฉพาะ เห็นได้ว่าตัดสินใจแยกทางแล้ว ข้าจะแพ้นางได้เช่นไร?”หงเอ๋อร์ในใจนางคิดว่าเจอหน้าผู้คนไม่ได้เช่นนี้ กลับไม่กล้ากล่าวออกมา เพียงกล่าวว่า “เรื่องเหล่านี้จะมาเปรียบเทียบกันได้เช่นไร? แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนแย่กว่าพระชายาเป่ยจิ้งอ๋อง แต่ก็มีคนที่ดีกว่านางมาก เทียบกับนางได้ แต่เทียบกับคนอื่นได้หารือ?”หวังชิงหลูน้ำท่วมปาก “ก่อนหน้านี้เหตุใดเจ้าไม่บอกเช่นนี้กับข้า?”“ก่อนหน้านี้บ่าวพูด ท่านก็ฟังไม่เข้าหู” หงเอ๋อร์ปิดผ้าม่าน กล่าว “คนขับ ไปเถอะ”หวังชิงหลูพิงเก้าอี้ผ้าปักสีแดง ภายในใจเกิดความหวาดกลัวขึ้นประหลาด จู่ๆ นางก็นึกได้ว่า ต่อจากนี้ไปคงไม่มีใครต้องการนางแล้วจริงๆนางไม่อาจเป็นเหมือนซ่งซีซี ผ่านการหย่าร้างแล้ว ยังสามารถได้สามีอย่างชินอ๋องที่หน้าตาหล่อเหลาและเก่งสงครามทันใดนั้นนางก็จับมือของหงเอ๋อร์เอาไว้ ถามด้วยใบหน้าซีดเผือด “หงเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าจากนี้ไปจ้านเป็นว่างจะถูกเขาผสมความดีความชอบกองทัพด้
แต่ว่า รายงานของพ่อบ้านทำให้นางประหลาดใจกิจการที่นางขายทิ้ง มีคนรับช่วงต่ออย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังให้ราคาสูง ถึงขั้นสูงกว่าราคาตลาดหนึ่งถึงสองส่วนนางดูแลครอบครัวมาตั้งหลายปี เรื่องซื้อขายกิจการเคยทำมาหลายต่อหลายครั้ง โดยพื้นฐานแล้วมักเดินไปตามแนวโน้ม มีหนึ่งถึงสองห้องที่เคยทดลองได้ราคาสูงเล็กน้อย แต่ทุกอย่างที่ขายไปเมื่อเร็วๆ นี้กลับได้ราคาสูงขึ้นมา นางจึงรู้สึกสงสัยอย่างมากนางถึงขั้นสงสัย พระชายารู้ว่านางขายเปลี่ยนกิจการใช่หรือไม่ นึกว่านางร้อนเงิน ดังนั้นจึงให้ราคาสูงนางถามสัญญาการซื้อขายจากพ่อบ้าน เห็นชื่อของผู้ซื้อบ้านคือกู่เสี้ยวเฟิง นางไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน“จวนเป่ยหมิงอ๋องมีพ่อบ้านชื่อกู่เสี้ยวเฟิงหรือไม่?” นางจีถามพ่อบ้าน“ไม่เคยได้ยินมาก่อน”“แล้วผู้ซื้อรายนี้คือใคร?” นางจีกังวลในใจ ซื้อกิจการที่นางขายในราคาสูงกว่าตลาดนี้ เกรงว่าจะมีปัญหาตามทีแต่คิดให้ละเอียด ทุกอย่างล้วนเป็นโฉนดสีชาด ลงทะเบียนเรียบร้อย มีพยาน สัญญาถูกต้อง จะมีปัญหาใดตามมาได้เล่า?”“เอาล่ะ อย่าเพิ่งสนใจเลย ที่เหลือก็ไม่ต้องขายแล้ว ป้องกันท่านแม่ตกใจ” นางจีกล่าวเรื่องขายกิจการ นางปิดบังฮูหยิน
หลังจากอาจารย์หยูกับผู้จัดการลู่ไปเยี่ยมเยียนและตรวจสอบ ก็ได้รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายขนาดนั้นตามที่เสิ่นชิงเหอกล่าว สิ่งที่อาจารย์ตรวจสอบในตอนแรกคือ หวังจั่นรู้สึกว่าเด็กคนนั้นนำโชคมาให้เขา แต่เพียงทำร้ายตัวเองทำให้สุขภาพไม่ดี เชิญหมอในเมืองหลวงมารักษาหลายคน แต่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ จึงต้องส่งไปที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งจุดนี้สามารถแสดงให้เห็นว่า หวังจั่นมีความรักแบบพ่อต่อเด็กคนนี้ และโดยทั่วไปแล้วลูกคนสุดท้องจะได้รับความเอ็นดูมากกว่าอยู่แล้วอย่างไรก็ตาม ตามคำกล่าวของหัวหน้าลู่และเหล่าผู้ดูแลเรือนสายข้างของจวนป๋อผิงซี ทำให้ได้รู้ว่า ในตอนแรกหวังจั่นรู้สึกรังเกียจเด็กที่ตายไปแล้วคนนั้นมาก ตอนแรกมีท่าทีอย่างไรนั้นพวกเขาก็ลืมไปหมดแล้ว แต่ภายหลังก็ไม่ได้ดีจริงๆพวกเขายังยกตัวอย่างอีกด้วยในช่วงวันเกิดของนายท่านผู้เฒ่า หวังเจียวเจียวซึ่งปัจจุบันคือหวังเยว่จางถูกนายท่านผู้เฒ่าพาไปงานเลี้ยงวันเกิดด้วย ในเวลานั้นสุขภาพของนายท่านผู้เฒ่าดีขึ้นมาก เดินเหินรวดเร็วราวกับบินได้แต่หลังจากนั้นหวังจั่นก็ลากหวังเจียวเจียวออกไปตบหลายสิบครั้ง โดยอ้างว่าหวังเจียวเจียวไม่รู้ความทำให้ปู่ต้องเหนื่อยเรื่อ
เสิ่นชิงเหอวิ่งตามออกมา หวังเยว่จางโบกมือซ้ำๆ พลางเดินตรงไปข้างหน้า “ไม่ต้องพูดอะไร ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง”“ศิษย์น้องห้า นี่เป็นเพียงการเดาของเรา มันอาจไม่จริงก็ได้” เสิ่นชิงเหอรู้จักศิษย์น้องคนนี้ดีมาก ในใจมีเรื่องอัดอั้นตันใจอะไรก็ไม่เคยเอ่ยออกมา เพียงแต่ปลีกตัวออกไปอยู่อย่างสงบ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้าจะไปดื่มสุราแล้ว” หวังเยว่จางพูดด้วยรอยยิ้ม “หาได้ยากที่ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมา อากาศสดชื่น ควรมีสาวงามมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว”เสิ่นว่านจือก้าวออกไปจับข้อมือของเขา “ไป ข้าจะไปดื่มกับเจ้า”จนถึงตอนนี้เสิ่นว่านจือก็เพิ่งได้รู้ว่า เขาไม่มีแม่เล็กอะไรหรอก เขาเป็นลูกของป๋อผิงซีฮูหยิน เป็นลูกท้องแม่เดียวกันกับหวังเบียวกับหวังชิงหลู“ที่ที่ข้าจะไปไม่เหมาะกับเจ้า” หวังเยว่จางไม่ต้องการให้เสิ่นว่านจือตามไปด้วยเสิ่นว่านจือดึงตัวเขาไว้อย่างไม่ฟังเหตุผล “ข้าจะเป็นคนจ่ายเงินให้เจ้า”“ข้ามีเงิน เจ้าอย่าตามข้ามา” หวังเยว่จางสะบัดมือของนางออก จู่ๆ ก็หันมาพูดจาแดกดัน “เจ้าคิดว่าข้ายากจนจริงๆ หรือ? ต้องให้เจ้าเลี้ยงค่าสุราอาหาร? ข้าทำแบบนี้ก็เพื่อไม่ให้เจ้าต้องมาระลึกถึงบุญคุณที่ช่วยชีวิตอยู่ตลอดเวลา
ไม่นานหลังจากนั้น คนเมาสองคนก็มาถึงจวนป๋อผิงซี เนื่องจากรู้ตัวตนของเสิ่นว่านจือ พวกเขาจึงเปิดประตูต้อนรับในยามกลางคืน เพราะนางจียังรักษาอาการป่วยอยู่ เหล่าคนรับใช้จึงไปรายงานกับหวังเชียงและนางหลานหวังเชียงและนางหลานต่างก็ตกใจเล็กน้อย คุณหนูเสิ่นมามืดค่ำป่านนี้ไม่รู้ว่านางมีธุระอะไร“ยังพาผู้ชายมาด้วยหรือ? ผู้ชายคนนี้คือใคร?” หวังเชียงถามนายประตูกล่าวว่า “เรียนนายท่านรอง ไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน แต่ท่าทางของคนผู้นี้ดูไม่ดีนัก พอเข้าประตูมาก็สอดส่ายสายตามองไปทั่ว แถมยังเตะเก้าอี้พังไปสองตัว พูดด่าทอสาปแช่ง อย่างเช่นคำว่ารังแกกันมากเกินไปอะไรเทือกนี้”หวังเชียงขมวดคิ้ว “มาหาเรื่องหรืออย่างไร? หรือว่าน้องสามไปล่วงเกินใครมาอีก?”หวังเชียงก็เริ่มกลัวขึ้นมา เมื่อใดที่มีคนมาหาเรื่อง สิ่งแรกที่คิดในใจก็คือหวังชิงหลูไปหาเรื่องคนเขามาหรือไม่“คงไม่ใช่ขอรับ” นายประตูลังเล พูดอย่างระมัดระวัง “คนนั้นด่าฮูหยินผู้เฒ่าและ...และนายท่านใหญ่ที่ตายไปแล้ว”หวังจั่นไม่ได้สืบทอดบรรดาศักดิ์ ดังนั้นจึงไม่สามารถเรียกว่าท่านป๋อได้ คนรับใช้ในจวนต่างก็เคารพเขาในฐานะนายท่านใหญ่หวังเชียงเป็นลูกกตัญญู เมื่อ