หวังเชียงชี้หน้าเขาแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้ามาพูดเรื่องไร้สาระอะไรที่นี่? ท่านแม่ทอดทิ้งลูกชายแท้ๆ ของตัวเองไปเมื่อไหร่กัน ข้ากับพี่ใหญ่ยังอยู่สบายดีทั้งคู่”“พวกเจ้าสบายดี แล้วข้าล่ะ?” หวังเยว่จางคำรามด้วยความโกรธ พอใช้แรงมากเกินไป ก็รู้สึกแสบร้อนท้องและลำคอ กุมท้องทรุดตัวลงนั่ง ใช้กำลังภายในระงับฤทธิ์สุราที่อยู่ในกระเพาะทันทีที่เขาพูดคำเหล่านี้ หวังเชียงก็ตกตะลึงก่อน จากนั้นก็มองเขาทันทีราวกับว่าจำอะไรบางอย่างได้ ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อนางจีก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา นางเพิ่งรู้เมื่อตอนที่แต่งเข้าจวน ท่านแม่ให้กำเนิดลูกชายทั้งหมดสามคน ลูกชายคนเล็กเนื่องจากอาการป่วยรักษาไม่หาย จึงถูกส่งตัวไปเลี้ยงที่วัด ผลก็คือวัดถูกไฟไหม้ ท่านแม่ได้แต่มองดูเขาถูกไฟคลอกตายโดยช่วยอะไรไม่ได้หรือว่า หรือว่าเขาไม่ได้ถูกไฟคลอกตาย?“เจ้าชื่ออะไร” หวังเชียงถามด้วยน้ำเสียงสะอึก ริมฝีปากสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ เบิกตามองไปที่หวังเยว่จาง“ถามนาง ถามนาง” หวังเยว่จางกุมท้อง นั่งลงอย่างไม่สบายตัว ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ ประโยคที่พูดออกมานี้แทบไม่มีพลังงานเหลืออยู่นางจีเข้ามาใกล้ ดูตื่นเต้นเล็กน้อย “ข
ไม่รู้ว่าเป็นพลังแบบไหนที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเดินเร็วราวกับบิน แม้แต่จินซิ่วและแม่ก็ตามนางไม่ทันในหูของนางไม่ได้ยินเสียงใดๆ นอกจากเสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเอง สิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่ทิวทัศน์ในลานบ้าน แต่เป็นกองเพลิงที่แผดเผาในใจนางมานานหลายปี ในกองเพลิงนั้นมีเสียงร้องโหยหวนดังออกมา ในตอนนั้นนางถูกคนอื่นจับเอาไว้และลากตัวออกมา นางทำได้เพียงเฝ้าดูเปลวเพลิงกลืนกินทุกสิ่งลูกชายของนางถูกไฟคลอกตายอยู่ข้างในมีศพมากมายถูกนำตัวออกมาจนนางไม่รู้ว่าใครคือลูกของนางนางร้องไห้จนเป็นลมไปหลายครั้งแต่นางไม่เคยคิดเลยว่าลูกชายของนางจะยังไม่ตาย นางจะกล้าคิดแบบนั้นได้อย่างไร? ในเวลานั้นลูกชายของนางป่วยหนักมาก ต้องมีคนคอยพยุงเวลาเดิน แล้วจะหนีจากทะเลเพลิงได้อย่างไร? เมื่อนางมาถึงที่ลานหลัก สายตาของนางก็มองแค่คนคนเดียว ส่วนคนอื่นๆ ล้วนไม่อยู่ในสายตาทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม นางมองไม่เห็นใครอีกต่อไป แค่เดินเข้าไปหาเงาที่พร่ามัวนั่นนางเอียงศีรษะเล็กน้อย ขณะที่เสียงของนางฟังดูเหมือนจะอู้อี้ แฝงไปด้วยความอ่อนแอและไม่แน่ใจ “เจ้าคือลูกชายของข้าหรือ?”หวังเยว่จางจำนางได้ ในใจนั้นรู้สึกรำคาญนางมา
นางจีให้นางดื่มซุปโสม แล้วนั่งลงข้างหวังเยว่จางเพื่อฟังนาง“ในตอนนั้นข้าถูกหลอกจริงๆ ข้าคิดเสมอว่าสิ่งที่นักพรตเต๋าฉางชิงบอกกับเขาคือ เจียวเอ๋อร์ของพวกเราจะเจริญรุ่งเรืองและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ในเวลานั้นดูเหมือนว่าเขาจะรักเจียวเอ๋อร์มาก เมื่อเจียวเอ๋อร์ป่วย เขาก็แสดงท่าทางกระวนกระวาย และไปขอคำแนะนำจากหมอทุกที่ แต่สุขภาพของเจียวเอ๋อร์ก็แย่ลงทุกวัน หลังจากวันเกิดปีที่ 5 ของเจ้า เจ้าก็แทบจะลุกจากเตียงไม่ได้ ”นี่คือความเจ็บปวดของฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อนางพูดถึงเรื่องนี้ นางก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดจนหายใจลำบาก“นักพรตเต๋าฉางชิงบอกว่า หากไม่พบวิธีแก้ปัญหา เกรงว่าเจียวเอ๋อร์อาจจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงหนึ่งเดือน จะต้องส่งไปสวดมนต์ขอพรพระโพธิสัตว์ที่วัดสือซานเท่านั้น จึงจะสามารถมีชีวิตอยู่เกินอายุสิบแปดได้ ตราบใดที่เจ้าอายุครบสิบแปด ชีวิตต่อจากนี้จะราบรื่นตลอดไป”“แต่ปู่เจ้าไม่เห็นด้วย เขาบอกว่าเรื่องผีสางเทวดาล้วนเป็นเรื่องโกหก แต่พ่อของเจ้าพานักพรตเต๋าฉางชิงไปพบปู่ของเจ้า ไม่รู้ว่าพูดอะไร แต่ปู่ของเจ้าก็ยอมตกลงในที่สุด นอกจากนี้ ปู่ของเจ้ายังถวายเงินให้ลัทธิเต๋าปีละสามพันตำลึงทุกปี โดยบอกว่าจะจุดโ
ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงจมดิ่มอยู่ในความสุขทุกข์ของคนเอง จับแขนเสื้อของหวังเยว่จางไว้ไม่ยอมปล่อย คอยจ้องมองอย่างละโมบ มองเท่าใดก็ไม่พอ น้ำตาก็ไหลไม่หยุด “เจ้าอภัยให้แม่ได้หรือไม่? แม่ไม่รู้เรื่องจริงๆ แม่เองก็ได้แก้แค้นแทนเจ้าแล้ว เจ้าให้อภัยแม่ ได้หรือไม่?” แต่หวังเยว่จางนิ่งเงียบอีกเพียงครู่ จากนั้นกลับส่ายหัว “ฮูหยินผู้เฒ่า หวังเจียวเจียวตายไปแล้วก็จริง แต่ไม่ได้ตายอยู่ในกองเพลิงใหญ่นั่น ไม่นานหลังจากที่เขาถูกส่งตัวไปที่สือซานก็ถูกทรมานจนตาย นักพรตปีศาจฉางชุนนั่นให้เขาทำงานหนักต่างๆ ดุด่า ลงไม้ลงมือ สุดท้ายลมหายใจโรยริน ถูกจับโยนไปที่บ่อหมาป่า”“เป็นไปไม่ได้!” ฮูหยินผู้เฒ่าเบิกตาโตจ้องมองเขา “ตอนแรกเจ้าเปิดปากยอมรับแล้ว เหตุใดตอนนี้จึงบอกว่าไม่ใช่อีก? เจ้ายังคงเคียดแค้นใจแม่ใช่หรือไม่?”หวังเยว่จางดึงมือของตนเองกลัว สีหน้าเรียบนิ่ง “ตอนนั้นข้าเป็นนักพรตน้อยที่อยู่ด้วยกันในตอนแรก ข้ากับเขาสนิทกัน ดังนั้น ข้าจึงรู้เรื่องราวของเขา แต่ข้าไม่ใช่เขาจริงๆ”“เจ้าดูใบหน้าของเจ้านี่สิ…”“ท่านแม่!” สมองของนางจีก็ทำงาน พูดว่า “เขาเป็นเพียงเพื่อนของน้องเล็ก ไม่ใช่น้องเล็กเจ้าค่ะ”ฮูหยินผู้เฒ่าม
หวังเยว่จางและเสิ่นว่านจือจูงม้าเดินไปในถนนที่กว้างขวาง สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน พัดเอากลิ่นสุรามลายหายไปสิ้น“คืนนี้วู่วามเกินไปแล้ว” เสิ่นว่านจือรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “ไม่ควรลากเจ้ามาด้วย”“ก็ดีเหมือนกัน” หวังเยว่จางกล่าว“ในใจเจ้าคิดอย่างไร? คืนดีกันแล้ว?”“ไม่” หวังเยว่จางหัวเราะ ผ่อนคลายลงไปมาก “นางเรียกข้ากับฮูหยินจีเข้าไปในห้อง พูดพล่ามมากมาย แต่นางไม่เคยถามข้าสักคำว่าหลายปีมานี้ข้ามีชีวิตอยู่อย่างไรบ้าง หลังจากที่ข้าถูกนำตัวไปแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางเพียงแต่อธิบาย ลบล้างความผิดพลาดของตัวเองในอดีต”“อย่างนั้นหรือ?”ผมของหวังเยว่จางยุ่งเล็กน้อย กลับมามีท่าทีไร้กังวลอีกครั้ง “ข้าจำได้ ครั้งแรกที่ลงเขานั้น อยู่ด้านนอกหนึ่งเดือน หลังจากกลับไป ทั้งอาจารย์และศิษย์อาต่างล้อมข้าไว้แล้วถามว่า กินอะไรบ้าง พบเจอใครบ้าง พักอยู่โรงเตี๊ยมไหน ได้ชกต่อยกับใครหรือไม่ ถูกคนหลอกเอาเงินไปหรือไม่ พบเจอเรื่องราวใหญ่ๆ อะไรบ้าง”“อาจารย์ข้าเองก็ด้วย” เสิ่นว่านจือพยักหน้า “เช่นนี้สิถึงจะปกติ”“ใช่แล้ว” หวังเยว่จางหัวเราะ “ดังนั้น ข้าเป็นคนที่ถูกความรักโอบล้อมมาแต่เด็ก ข้ามีบ้าน”เสิ่นว่านจือเองก็ไ
พวกซ่งซีซีรอจนหวังเยว่จางกับเสิ่นว่านจือกลับมา หลังจากได้รู้ว่าพวกเขากลับจวนป๋อผิงซี ทั้งยังจะพูดทุกอย่างอย่างเปิดเผย ซ่งซีซีเป็นกังวลเล็กน้อยสถานการณ์ตอนนี้ของจวนป๋อผิงซีนั้นไม่ค่อยสดใสนัก“วางใจได้ ไม่ได้กลับไปคืนดีกัน” หวังเยว่จางตบบ่าของซ่งซีซี แล้วยิ้มให้นาง “ตอนแรกก็รู้สึกซึ้งดี แต่ตอนหลังรู้สึกว่าจอมปลอมยิ่งนัก”ตลอดทางที่กลับมา เขานึกถึงฉากที่ฮูหยินผู้เฒ่าเล่านั้น ในสมองก็กระจ่างแจ้งมากขึ้นเมื่อเทียบกับความจริงใจชัดเจนของหวังเชียงแล้ว คำพูดทุกคำของฮูหยินผู้เฒ่านั้นราวกับว่านางพูดเพื่อตนเองเช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดนางจึงไม่ได้ถามว่าเขาเป็นอยู่ดีหรือไม่ เพราะสิ่งที่นางเป็นกังวลคือเขาและฮูหยินจีจะเชื่อคำพูดของนางหรือไม่ แต่ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงตัวเขาเองซ่งซีซีไม่เข้าใจ มองไปทางเสิ่นว่านจือ เสิ่นว่านจือส่ายหัวเพื่อเป็นการของว่าไม่รู้แน่ชัด“ไปนอนกันเถอะ ง่วงแล้ว” หวังเย่วจางเอามือไพล่หลังแล้วกลับออกไป เมื่อทุกคนเห็นว่าเขามีท่าทางผ่อนคลาย ไม่เหมือนกับว่าถูกเรื่องพวกนี้ผูกมัด ก็รู้สึกโล่งใจแทนเขาเหมือนกันเสิ่นว่านจืออยู่ต่อแล้วพูดกับพวกเขาว่าหวังเชียงและฮูหยินผู้เ
แต่ที่ไม่คาดคิดก็คือ หวังเบียวรู้ว่าเขามาถึงเขตหนานเจียงแล้ว และแต่งตั้งให้เขาเป็นทหารประจำจวนของจวนผู้บังคับบัญชาด้วยตัวเองทหารประจำจวนของจวนผู้บังคับบัญชามีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการเดินทางทั้งหมดของหวังเบียวและปกป้องความปลอดภัยของเขา เนื่องจากนักฆ่าของศัตรูจะลอบเข้าไปสังหารแม่ทัพ แน่นอนว่าตอนที่หวังเบียวอยู่นั้น สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย เมื่อก่อนช่วงที่ซ่งฮวยอันหรือเซี่ยหลูโม่อยู่ มีนักฆ่าเช่นนี้มากมายจากจดหมายที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งมาจากเมืองหลวง ทำให้หวังเบียวรู้เรื่องการหย่าของจ้านเป่ยว่างกับหวังชิงหลูแล้วยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขารู้สึกอย่างไรกับน้องสาวคนนี้ แค่พิจารณาจากสถานะปัจจุบันของเขา ถ้าจ้านเป่ยว่างกล้าที่จะปฏิบัติต่อน้องสาวของเขาแบบนี้ ก็หมายความว่าก็กำลังท้าทายเขาและดูหมิ่นอำนาจของเขาดังนั้น จ้านเป่ยว่างจึงถูกเรียกตัว ตอนแรกให้เขาไปทำงานต่างๆ เช่น ตักน้ำ สับฟืน กวาดพื้นและรดน้ำดอกไม้ ถึงแม้จะเป็นงานในครัวที่ทำหน้าที่ยกอาหารขึ้นโต๊ะก็ยังเรียกเขาจ้านเป่ยว่างก้มหน้าทำตามคำสั่งทุกอย่างโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาได้ถูกทำให้ต่ำต้อยลงจนถึงขั้นสุดแล้ว ไม่มีศักดิ์ศรีใดๆ ให้เหยียบย่ำ
อาจเป็นเพราะหวังเบียวให้จ้านเป่ยว่างเห็นความน่าเกรงขามที่มีคนห้อมล้อมคอยรับใช้ของเขามามากพอแล้ว ถึงได้เรียกเขาเข้ามาอยู่ที่เขตหนานเจียงไม่ถึงสองปี หวังเบียวก็มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาก แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นอ้วนท้วนสมบูรณ์เหมือนหมู เมื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ที่บุหนังเสือ ก็เผยให้เห็นคางสองชั้นออกมาเขาสูงส่งเหนือกว่า มองลงมาที่จ้านเป่ยว่างด้วยสายตาเหยียดหยาม“เรื่องเจ้ากับน้องสาม ข้าได้ยินมาแล้วนะ” หวังเบียวพูดช้าๆ ด้วยความสง่างามของผู้บังคับบัญชา “ก็ดี คนธรรมดาๆ อย่างเจ้าไม่คู่ควรกับน้องสามของข้าแต่แรกแล้ว”จ้านเป่ยว่างมองปลายจมูก ควบคุมอารมณ์และความคิด ตอบรับเพียงคำเดียวแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อหวังเบียวแค่นเสียงเหอะ แล้วสั่งสอนอีกว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไร้ประโยชน์ขนาดนี้ เป็นรองผู้บัญชาการขององครักษ์ซวนเท่แต่ถูกไล่ออก ทั้งจวนแม่ทัพไม่มีใครมีความสามารถสักคน ปู่เจ้าที่อยู่ปรโลกหากได้เห็นเศษสวะไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้าเหล่านี้ คงตายตาไม่หลับ”จ้านเป่ยว่างไม่ได้พูดอะไร แต่บนหน้าผากปรากฏเส้นเลือดปูดโปน“อย่าเถียง ดูสิ่งที่คนจวนแม่ทัพของพวกเจ้าทำแต่ละอย่างสิ? แล้วมองดูตัวเองสิ ถูกผู้หญิงคนหนึ่งทำ