เช้าวันต่อมาเซี่ยหลูโม่ก็เข้าวัง ได้รับคดีที่ได้พิจารณาแล้วกลับมา พร้อมกับพูดขึ้นว่า "ได้ยินซีซีพูดว่า กล้วยไม้ในจวนอ๋องเยี่ยนกำลังบานสะพรั่ง และมีหลากหลายพันธุ์ ในจวนก็มีคนมีความสามารถมากมาย บ่าวแต่ละคนก็มีวรยุทธติดกาย"จักรพรรดิ์ซูชิงตกตะลึง อู๋เยว่ได้แอบสืบจวนอ๋องเยี่ยนมาเป็นเวลานานแล้ว แม้แต่คนที่อ๋องเยี่ยนซ่อนไว้ในเมืองหลวงนานขนาดนี้สืบไม่เจอ แต่พวกเขาไปครั้งเดียวก็สามารถสืบได้แล้วหรือ?อู๋เยว่เพียงพูดว่า ไม่พบองครักษ์อะไรในจวนอ๋องเยี่ยนเลย เขากังวลว่านักรบสิ้นหวังเหล่านั้นจะซุ่มซ่อนอยู่รอบๆ อู๋เยว่คิดว่าวรยุทธของนักรบสิ้นหวังเหล่านั้นเก่งกล้า ดังนั้นจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปจักรพรรดิ์ซูชิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง "นักรบสิ้นหวัง? "เมื่อคำถามนี้ถูกพูดออกมา เซี่ยหลูโม่ยิ้มให้ "ไม่ใช่"จักรพรรดิ์ซูชิงมองเขา และพูดขึ้นด้วยความโกรธว่า : "เจ้าหัวเราะอะไร? สนุกอะไร? "รอยยิ้มของเซี่ยหลูโม่ยิ่งสะดุดตามากขึ้น "ช่วงนี้กระหม่อมชอบยิ้มโดยไม่มีความหมาย"จักรพรรดิ์ซูชิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วยิ้ม "บ้า"สองพี่น้องมองหน้ากัน จากนั้นก็หันกลับมายิ้ม รอยยิ้มนี้มีพลังที่บอกไม่ถูก ทำให้กำแพงป้อง
วันที่สองหลังจากเจียอี้เข้ามาอยู่ในโรงงานเย็บปัก ทั่วทั้งเมืองหลวงก็มีข่าวลือแพร่สะพัดเกี่ยวกับต้นสายปลายเหตุของเรื่องที่เจียอี้ถูกหย่า เล่าลือว่าวางแผนฆ่าทายาทของจวนโหวผิงหยาง ไม่ยอมรับอนุ ผลักอนุตกน้ำเพื่อจะเอาชีวิตนางเมื่อเล่าลือไปเรื่อยๆ ก็มีคนพูดเรื่องที่นางปล่อยเงินดอกเบี้ยสูงออกมาคนที่ชั่วร้ายเช่นนี้ จวนโหวผิงหยางกลับไม่ส่งนางให้กับทางการ แต่เพียงจัดการง่ายๆ แค่ไล่นางออกไปจากจวน และโรงงานเย็บปักซู่เจินก็ยิ่งกว่า กล้ารับคนแบบนั้นกลับไป แล้วยังจัดหาที่พักอาหารให้นางอีกซ่งซีซีได้เริ่มเก็บกวาดภารกิจตรวจสอบค่ายลาดตระเวนแล้ว นางไม่รู้เรื่องที่โรงงานเย็บปักซู่เจินถูกด่าอีกครั้งจนไม่เหลือดีด้วยซ้ำนางเพิ่งรู้เรื่องนี้ในวันที่เก็บกวาดภารกิจตรวจสอบวันสุดท้าย เมื่อกลับไปถามเสิ่นว่านจือ เสิ่นว่านจือก็ร้อนใจมากเช่นกัน นางพูดขึ้นว่า "หงเซียวได้ไปสืบมาแล้ว ไม่ใช่ข่าวที่นางเสิ่นเผยแพร่ออกมา ข้าดูจากจวนโหวผิงหยางแล้ว เพราะเจียอี้ถูกหย่า จวนโหวผิงหยางไม่ได้พูดออกไป มีเพียงคนที่รู้ในจวนโหวผิงหยางที่พูดออกไป คนๆ นี้ต้องการฆ่าเจียอี้ให้ตาย"ซ่งซีซีพูดขึ้นว่า : "ทำแบบนี้ไม่เพียงฆ่าเจียอี้เท่า
เนื่องจากจวนโหวผิงหยางกำลังจัดงานศพ ซ่งซีซีไม่สามารถส่งจดหมายขอพบอีก เพียงแต่ข่าวลือข้างนอกได้สร้างกระแสรุนแรงมาก นางต้องการยุติมันแต่ไม่รู้ว่าความจริงมันเป็นอย่างไรจึงไม่สามารถชี้แจงให้จึงทำอะไรไม่ได้ทางหงเซียวสอบสวนกลับมา โดยบอกว่าข่าวดังกล่าวมาจากจวนโหวผิงหยางจริงๆ หงเซียวได้สอบสวนอย่างรอบคอบ ค้นหาอย่างละเอียด แถมยัใช้เงินเพื่อสอบถามด้วย จากนั้นก็พบแหล่งที่มาของข่าวเหล่านั้นคือคนรับใช้ของจวนโหวผิงหยางเนื่องจากเจียอี้เคยใจจืดใจดำและโหดร้ายกับคนรับใช้มาก่อน พวกเขาจึงต้องการแก้แค้นเจียอี้ฃผู้เล่าเรื่องยังกล่าวก็มีท่าทีโกรธเกรี้ยว โดยบอกว่าหลังจากทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว เขาจะต้องเผยแพร่ข่าวออกไปอย่างกว้างขวางเพื่อให้ผู้คนทราบเกี่ยวกับความชั่วร้ายของเจียอี้ให้เยอะๆหงเซียวยังถามพวกเขาว่า "ในเมื่อเล่าเรื่องเพื่อคืนความยุติธรรม แล้วพวกเจ้าแน่ใจหรือว่ามันคือความจริง"นักเล่าเรื่องหลายคนมองดูนางด้วยความประหลาดใจ "มันย่อมเป็นความจริงสิ นางคือผู้ใด นางเป็นลูกสาวของเซี่ยอวี้น ถูกฝ่าบาทปลดออกจากตำแหน่งท่านหญิง เห็นได้ชัดว่านางต้องมีความเกี่ยวข้องกับคดีกบฏ กล้าก่อกบฏ งั้นทำร้ายคนในเรือนไม่
เสิ่นว่านจือยืนกรานในความคิดของตนเอง "แต่ถ้าขับไล่เจียอี้ออกไป เราจะไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเนเรื่องวุ่นวายนี้อีกเลย""แล้วอนาคตล่ะ หากอนาคตจะเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้อีกล่ะ จริงๆ แล้วข้าคิดว่าเหตุการณ์ของเจียอี้นี้ก็ดีเช่นกัน มันจะให้โอกาสเราฝึกซ้อมก่อน หากเจอเรื่องเดียวกันในอนาคตก็มีประสบการณ์กฎเกณฑ์ด้วย ควรจะทิ้งอคติไปก่อนและสอบสวนมันให้ชัดเจน ถ้าเป็นจริงก็ไล่นางออก ถ้าไม่ก็ให้โอกาสนาง เป็นไง"นางกล่าวเสริมว่า "จือจือ การทิ้งอคติมันสำคัญมาก เพราะผู้หญิงทุกคนที่ถูกหย่านั้นอาจถูกตั้งข้อหาต่างๆ ถ้าเราตัดสินคนอื่นด้วยคำพูดภายนอกงั้นก็ไม่มีใครจะมา"เสิ่นว่านจือกล่าวอย่างหดหู่ "ข้ารู้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นมีเหตุผล หากมองจากมุมมองของโรงงานเราจำเป็นต้องทำเช่นนี้ แต่โดยส่วนตัวข้าแล้ว มันยากสำหรับข้าที่จะยอมรับเจียอี้ อีกอย่างนางเรื่องไม่ดีมาเยอะจริงๆ ให้ไล่ออกไปตรงๆ จะไม่ดีหรือ หรือว่าเจ้าไม่เกลียดเจียอี้เหรอ?""เกลียด" ซ่งซีซีตอบอย่างเด็ดขาด"งั้นเกลียดก็จบเรื่องแล้วนี่ ขนาดตนเองก็เกลียด แล้วทำไมโรงงานต้องไปรับนางเล่า ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดถึงสถานการณ์โดยรวมและอยากจะตรวจสอบเรื่องทั้งหมดนี
เป่าจูไม่ได้คิดลึกซึ้งมากนัก แค่คิดว่าด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้พวกนางทั้งสองเกิดความบาดหมางขึ้นมามันจะไม่คุ้มเอาเสีย "ข้าน้อยแค่คิดว่าที่ผ่านมา ไม่ว่าท่านจะทำอะไรคุณหนูเสิ่นก็สนับสนุนท่านตลอด ข้าน้อยรู้สึกว่าไม่งั้นก็ทำตามที่นางบอกสักครั้งหนึ่งจะดีไหม ซ้ำยังไม่มีหลักฐานได้พิสูจน์ว่านอกจากคนรับใช้ของจวนโหวผิงหยางแล้วยังมีคนอื่นสร้างปัญหาให้นี่เจ้าคะ""เรื่องบางเรื่องเราต้องกันไว้ดีกว่าแก้นะ เป่าจู ข้ารู้ว่าตนเองทำอะไรอยู่ เจ้าไม่ต้องห่วง" ซ่งซีซีเท้าคาง แล้วครุ่นคิด "อีกหน่อยเดี๋ยวข้าไปจะโรงงาน"หงเซียวก็ยืนอยู่ข้างๆ ยังไม่ได้ออกไป จริงๆ แล้วนางเห็นด้วยกับความคิดของพระชายา เพิ่งจะก่อตั้งแรกๆ ก็เกิดวุ่นวายเช่นนี้ โรงงานต้องมีกฎเกณฑ์ของมันถึงจะถูก "พระชายา ให้ข้าไปเป็นเพื่อนท่านเถอะ"ซ่งซีซีเงยหน้าขึ้นมองหงเซียว แล้วพูดว่า "หงเซียว เจ้าไม่จำเป็นต้องไปกับข้า เจ้าตรวจสอบต่อไปและดูว่าเป็นเพราะมีใครถูกจ้างให้เผยแพร่ข่าวลือหรือไม่""เจ้าค่ะ!" หงเซียวรับคำสั่งแล้วออกไปซ่งซีซีเชิญหัวหน้าลู่เข้ามาและขอให้เขาไปถามไถ่กับพ่อบ้านเฟินดูว่าคนใช้ที่โดนเจียอี้ทรมานนั้นมีเท่าไร คนที่ก่อกวนอย่างรุนแรงนั้
ซ่งซีซีกระโดดไปด้านนอกศาลาเก็บดอกกุหลาบดอกหนึ่งแล้วกัดเข้าปาก จากนั้นกระโดดสามครั้งติดต่อกันก็แล้วปีนขึ้นจากราวบันไดและนั่งข้างๆ เสิ่นว่านจือเขากางแขนออก หันหน้าให้เสิ่นว่านจือ และดันดอกกุหลาบที่กัดในปากไปให้เสิ่นว่านจือ มีรอยยิ้มในดวงตา และหน้าผากมีเม็ดเหงื่อออกเสิ่นว่านจือรับดอกไม้ด้วยมือข้างเดียวแล้วพูดด้วยความโกรธว่า "เอาล่ะ เป็นถึงพระชายานี่น่ะ การตีลังกาแบบนี้ไม่อายคนอื่นเหรอ? ยังจะเอาชื่อเสียงอีกไหมเนี่ย?""ใครใช้ให้ข้าไปทำให้คุณหนูเสิ่นผู้แสนดีของเราไม่พอใจเข้าเล่า" แก้มของซ่งซีซีแดงเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มอย่างสดใส "แล้วคุณหนูเสิ่นยกโทษให้ข้าหรือเปล่าเนี่ย""ข้าไม่ได้โกรธเจ้าจริงๆ ไปเถอะ ไปหาเจียอี้ที่โรงงาน" เสิ่นว่านจือบีบแขนของนางอย่างแรงและจ้องมองกุ้นเอ๋อร์อีกครั้ง "ยังหัวเราะอยู่เหรอ? ขากรรไกรจะผิดปกติแล้ว"กุ้นเอ๋อร์ไม่สามารถระงับหัวเราะได้ และปาดน้ำตาขณะหัวเราะ "น่าขำจริงๆ ดูเหมือนลิงเลย"ซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเพิกเฉยต่อเขาและเดินออกจากศาลาติดๆ กันเสิ่นว่านจือเดินตามหลัง พอเดินไปไม่นานก็เอาเท้าเตะก้นของซ่งซีซี และสาปแช่งว่า "ไอ้สารเลว"ซ่งซีซีหันหน้ากลับมาและแลบลิ้น
ในห้องโถงด้านข้าง ป้าซุนเตรียมนำชาเอาไว้แล้ว และเจียอี้ดื่มชาไปหนึ่งขวดรวดเดียว นางทั้งหิวข้าวและหิวน้ำด้วย แต่นางไม่กล้าออกมาเพราะกลัวคนเหล่านั้นจะบุกเข้ามาเมื่อเห็นนางอยู่ในสภาพเช่นนี้ ป้าซุนจึงพูดว่า "เห็นแก่สองวันก่อนที่เจ้าทำงานขยันอยู่ เดี๋ยวข้าไปต้มปะหมี่ให้กิน""ขอบคุณ" เจียอี้กระซิบด้วยเสียงร้องไห้เบาๆ มองดูป้าซุนเดินจากไปดวงตาของนางบวมมาก เพราะแต่เดิมก็ดูซีดเซียวมากแล้ว บัดนี้มองออกไปก็ดูน่าสงสารบ้าง"จำนำทุกอย่างที่จำนำได้เพื่อชำระหนี้" ดวงตาของนางฉายแววหดหู่ขึ้นมา "ข้ายังเป็นหนี้คนอื่นอยู่มากมาย ข้ายอมรับว่าข้าไม่น่าสงสาร ข้าไม่ใช่คนดี แต่พวกเจ้าคิดว่า ท่านหญิงอย่างข้าจะทำเรื่องชั่วที่จวนโหวผิงหยางได้อย่างไร แม่สามีไม่ชอบข้า สามีก็รังเกียจข้า ข้าไม่มีแม้แต่อำนาจบริหารบ้าน เมื่อท่านแม่ยังอยู่ ข้าจะอาศัยอยู่ที่จวนองค์หญิงเกือบยี่สิบวันต่อเดือน หลังจากเกิดเรื่องกับท่านแม่ ตระกูกู้ก็จบแห่ ส่วนข้าถูกปลดตำแหน่งให้เป็นสามัญชน ข้าพยายามอดทนในจวนโหว ต่อให้อึดอัดมากแค่ไหนก็ไม่กล้าพูดอะไรเลย"นางน้ำตาอาบแก้ม "ที่อนุจาวคนนั้นแต่งเข้ามา ข้าไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด และข้าก็ไม่มัสิท
เสิ่นว่านจือไม่รู้จะบรรยายเจียอี้คนนี้ยังไรดีจริงๆ นางย่อมใจร้ายแต่ก็โง่จริงๆ เลยคาดว่าความโง่เขลาของนาง ได้รับการยืนยันจากเซี่ยอวี้นแม่ของนาง มิฉะนั้นทำไมแผนการที่เซี่ยอวี้นทำมาตั้งนานนั้นจะไม่บอกนางด้วยเล่าเมื่อนึกถึงเช่นนี้ เสิ่นว่านจือก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า "เรื่องแม่ของเจ้า เจ้ารู้อะไรมาบ้าง""ทำไม" เจียอี้มองนางอย่างตื่นตัวทันที "อย่าคิดจะใส่ร้ายข้า ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้นเลย"เมื่อเห็นนางทำตัวเหมือนเม่น เสิ่นว่านจือก็ไม่ต้องการที่จะยั่วยุนาง และถามนางเกี่ยวกับสาวใช้ในจวน นางคิดว่าสาวเท้าไม่มีปัญหา ต่างก็ภักดีต่อนาง"หลังจากที่ข้าถูกหย่าก็ไม่ได้พาพวกนางออกไป ทางจวนโหวจะไม่ใจร้ายกับพวกนางแน่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนใจดี เหตุใดต้องออกมาทนทุกข์กับข้าด้วย"ซ่งซีซีถามว่า "เจ้าไม่เคยคิดหรือว่าจ้านเส้าฮวนอาจทำร้ายเจ้า แล้วยานั้นจะถูกสลับอย่างง่ายๆ ได้ยังไง""นางไม่กล้า" เจียอี้พูดอย่างหนักแน่น "นางจะพึ่งพาข้าทุกอย่างหลังจากแต่งเข้ามา แล้วนางกล้าทำร้ายข้าได้ยังไง""นางไม่กล้าทำร้ายเจ้า แต่ยังเปิดโปงเจ้าหรือ?"เจียอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง และช่วยแก้ตัวให้จ้านเส้าฮวนด้วยจิตใต้สำนึก "นาง กลัว
ดูสีหน้าของคนตระกูลเส้าหลังจากข้าพูดจบแต่ละคำ…แต่ละคนเหมือนถูกสาปกลายเป็นท่อนไม้ ยืนนิ่งไม่ไหวติง ก็รู้แล้วว่าเหล่าขุนนางใหญ่โตในเมืองหลวงล้วนไม่ให้ตระกูลเส้าเข้าสมาคมด้วย แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำข้าฉวยจังหวะที่เส้าฮูหยินยังตกตะลึง กล่าวเย็นชาต่อว่า “ใครไม่รู้ว่านายท่านสามบ้านข้ารักเสี่ยวอวี่ที่สุด? นางถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้ นายท่านสามของข้าก็เสียใจแทบคลั่ง ข้าต้องพูดทั้งปลอบทั้งเตือน จึงห้ามเขาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น วันนี้เขาคงไปฟ้องไทเฮาไปแล้ว ในเมื่อข้ามาแล้ว เช่นนั้นใครเป็นคนลงมือ ก็ออกมายอมรับโทษเสีย”หวังเยว่จางมีหลายสถานะในเมืองหลวง แต่ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุด ก็คือสามีของข้าเสิ่นว่านจือ ศิษย์แห่งสถาบันว่านซงเหมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายคลังยุทโธปกรณ์แห่งกรมทหาร อีกทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการหลายแห่งของว่านซงเหมินในเมืองหลวงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลหวัง ถูกจงใจทำให้ดูเลือนราง แต่ในยามจำเป็น ก็ย่อมนำมาใช้งานได้ในบรรดาสถานะทั้งจริงทั้งเท็จเหล่านี้ ต่อให้มีผู้สงสัยว่ามีความเกี่ยวพันกับไทเฮา ก็ย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธ เพราะไทเฮานั้นเคารพอาจารย์เหรินแห่งว่านซงเหมินอย่างย
ข้าชื่อเสิ่นว่านจือ เรื่องอื่นไว้ทีหลัง ข้าขอระบายเรื่องหนึ่งก่อนเถิดมันช่างเกินจะทนได้แล้ว!ตระกูลเส้าเป็นเพียงจวนป๋อเจวี๋ยเล็กๆ เท่านั้น ฮูหยินตระกูลเส้ากลับกล้าโอหังถึงเพียงนี้ ข้าเสิ่นว่านจือมีชีวิตอยู่มานาน ปากมากปากจัดก็เห็นมาหลายคน แต่พวกสตรีที่ปากมากในหมู่ผู้มีอำนาจ ข้ายังได้พบเพียงไม่กี่คนพอรู้ว่าเสี่ยวอวี่ถูกลากออกไปตบหน้า แล้วถูกกล่าวหาว่าไร้ยางอายไปยั่วยวนบุรุษ ข้าก็แทบอยากจะพังประตูตระกูลเส้าไปเตะใครสักคน ลากคนออกมาแล้วตบกลับให้สาสมใจซีซีเองก็โกรธ แต่เตือนข้าว่าเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว อย่าเพิ่งเอาแต่ระบายอารมณ์ ให้รีบไปดูเสี่ยวอวี่กับหวังชิงหรูก่อน เผื่อว่าทั้งสองจะทำเรื่องไม่คาดฝันต้องยอมรับว่าซีซีเป็นขุนนางมาหลายปี ย่อมมีวิจารณญาณในการแยกแยะเรื่องเร่งด่วนกับเรื่องสำคัญข้าจึงรีบเร่งไปยังตระกูลหวัง แล้วก็ได้รู้ว่าเสี่ยวอวี่กรีดข้อมือ ส่วนหวังชิงหรูก็ไล่สาวใช้ในเรือนออก ข้าจึงรู้สึกทันทีว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่จริงอย่างที่คาด หิมะยังไม่ทันตก หวังชิงหรูก็คิดจะแขวนคอตัวเองให้เป็นหมูตากแห้ง ข้าโกรธจนฟาดหน้านางไปหนึ่งฉาดที่จริงช่วงหลังมานี้ข้าเป็นคนอารมณ์ดีมาก
ข้ารู้ตัวอย่างแท้จริงว่าตนเองผิดมหันต์นั้น...เกิดขึ้นเมื่อใดกันนะ?มิใช่ตอนที่เจ้าสิบเอ็ดฝางกลับมา มิใช่ตอนที่หย่าขาดกับจ้านเป่ยว่าง และก็ไม่ใช่ตอนที่ตระกูลหวังประสบเคราะห์กรรมแต่เป็นตอนที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะออกเรือนตอนที่ตระกูลหวังตกอับ ข้าอยู่ในคุก เกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีต ข้าก็รู้ว่าตัวเองมีเรื่องผิด ข้ายินดีจะขัดเกลาความแข็งกร้าว เปลี่ยนแปลงตนเองแต่ในตอนนั้น ข้ายังไม่อาจเรียกได้ว่าได้สำนึกอย่างแท้จริง เพราะข้ายังคิดว่าทั้งหมดคือเรื่องของตนเอง ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด ก็เป็นข้าเองที่รับกรรม ใครอื่นล้วนไม่มีสิทธิ์มาตัดสินข้ารู้ดีว่าพี่สะใภ้ใหญ่ต้องลำบากวุ่นวายเพราะความเอาแต่ใจของข้า ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว ข้าอาจเคยชินกับการที่นางดูแลข้าเช่นนี้ จึงมีทั้งความรู้สึกขอบคุณและเคารพนางแต่เรื่องราวในอดีตของข้า ข้ามิเคยอยากย้อนกลับไปคิด เพราะนั่นคือการทำร้ายตนเอง เป็นความทุกข์ทรมานกระทั่งวันที่อวี่เจี่ยเอ่อร์กำลังจะหมั้นหมาย ข้าจึงเริ่มพลิกดูตัวเองทุกแง่ทุกมุม ให้ความเสียใจแทรกซึมกัดกินหัวใจทุกลมหายใจอวี่เจี่ยเอ่อร์กับคุณชายเส้าหมิ่นแห่งจวนป
ซ่งซีซีหยุดฝีเท้า หันกลับมากล่าวว่า “คนในครอบครัวของนางปฏิบัติต่อนางค่อนข้างดี เพียงแต่ตอนที่หลานสาวของนางจะออกเรือน เกิดเรื่องสะดุดอยู่บ้าง โชคดีที่ท้ายที่สุดก็แต่งกับบุรุษที่ดี นางคงกลัวว่าตนเป็นหญิงโสดสูงวัย เคยแต่งงานมาแล้วถึงสองครั้ง จะถูกผู้คนติฉินนินทา พลอยทำให้หลานๆ เดือดร้อน และไม่อยากให้พี่สะใภ้ใหญ่ของนางเป็นกังวลด้วย”ข้าตอบรับในลำคอ พลางนึกถึงฮูหยินจีผู้เด็ดเดี่ยวแต่จิตใจดีงามฮูหยินจีมีบุตรชายหนึ่ง บุตรหญิงหนึ่ง ด้านหลังยังมีลูกอนุอีกหลายคน เรือนรองก็เช่นกัน บัดนี้คงยังมีบางคนที่ยังไม่ได้ออกเรือนข้านึกถึงตอนที่ฮูหยินจีจะต้องไปเจรจาสู่ขอให้พวกเขา คงยากลำบากไม่น้อย ต้องเผชิญกับเสียงนินทานานัปการจากภายนอกข้าเห็นนางเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ด้วยใจจริง และรู้สึกสงสารในสิ่งที่นางต้องพบเจอ“เจ้าลองคิดดูเถิด” ซ่งซีซีกล่าวข้าพยักหน้า แล้วเหลือบมองภายนอก เห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่แถบนั้น จึงอดถามไม่ได้ว่า “เจ้ามาอยู่กับข้าสองต่อสองเช่นนี้ มิกลัวเนี่ยเจิ้งอ๋องหึงหรือ? เขาไม่รู้หรือไร?”ซ่งซีซีมีท่าทีตกใจเล็กน้อย ดูเหมือนนึกไม่ถึงว่าข้าจะถามเรื่องเช่นนี้นางอาจไม่คิดจะตอบ เพราะนางก้าวเท้า
เมื่อแม่ทัพใหญ่เซียวได้ฉลองวันเกิดอายุครบแปดสิบปี ข้าก็ได้พบกับซ่งซีซีอีกครั้งก่อนหน้านี้ ข้าก็เคยพบนางหลายครั้ง นางเคยมาที่ชายแดนเฉิงหลิงข้ากับนางดูเหมือนคนแปลกหน้า ไม่มีการพูดคุยกัน เพียงแต่ทุกครั้งที่นางจากไปจากชายแดนเฉิงหลิง ข้าก็มักจะแอบตามส่งนางอยู่ห่างๆใจลึกๆ ที่ทำเช่นนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไปเพื่อสิ่งใดข้ามักรู้สึกผิดกับนางอยู่เสมอกับยี่ฝางและหวังชิงหรู ข้าก็มีสิ่งที่รู้สึกผิดอยู่เช่นกัน แต่ระหว่างข้ากับพวกนางต่างฝ่ายต่างบาดหมาง โต้เถียงกัน พวกนางเคยทำร้ายข้า ข้าก็เคยทำร้ายพวกนางแต่กับซ่งซีซี มีเพียงข้ากับคนในครอบครัวที่ทำร้ายนาง นางไม่เคยแม้แต่จะทำร้ายพวกเราเลยสักครั้ง แม้แต่หลังจากหย่าขาดกันแล้ว นางจะไม่สนใจอาการป่วยของท่านแม่ก็ได้ แต่นางกลับสอนพี่สะใภ้ใหญ่ให้รู้วิธีขอยาดันเสวี่ยเมื่อข้าได้พบกับนางในงานฉลองวันเกิดแปดสิบปีของแม่ทัพใหญ่เซียว นางได้กลายเป็นพระชายาของเนี่ยเจิ้งอ๋องแล้ว เรื่องราวในราชสำนักนั้น พวกทหารชายแดนอย่างพวกข้าไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่เสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ครบครัน แม้แต่เงินเดือนที่เราได้รับก็เพิ่มขึ้น นี่คือผลประโยชน์ที่เห็นได้ชัด
หลายปีที่ข้าประจำการอยู่ชายแดนเฉิงหลิง ข้าได้รับการเลื่อนตำแหน่งถึงสองครั้ง บัดนี้ข้ามียศเป็นแม่ทัพ ดูแลทหารนับพันนายข้าไม่เคยกลับเมืองหลวงอีกเลย เมื่อประจำอยู่ที่ชายแดนเฉิงหลิง หากไม่มีพระราชโองการ ย่อมมิอาจกลับได้ตามอำเภอใจข้ายังคงโดดเดี่ยว ไร้ภรรยา ไม่มีใครอยู่เคียงข้างลมทรายแห่งเฉิงหลิงพัดผ่านปีแล้วปีเล่า ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าข้า จนข้าดูแก่กว่าอายุจริงไปหลายปีข้าเป็นโรคนอนไม่หลับมาหลายปี ต้องพึ่งยาเพื่อระงับจิตใจจึงจะหลับได้บางครั้ง ข้าก็อดไม่ได้ที่จะคิด...หากวันนั้นข้าไม่ก่อเรื่องกับยี่ฝาง ชีวิตของข้าในวันนี้จะเป็นเช่นไร?ข้ากับซ่งซีซี อาจได้เป็นสามีภรรยาที่เปี่ยมด้วยความรัก เป็นที่อิจฉาของผู้คนกระมัง?พวกเราอาจมีลูกที่น่ารัก ข้าทุ่มเทอยู่ในกองทัพ ส่วนซีซีก็ดูแลบ้าน เฝ้ารับใช้พ่อแม่ ดูแลลูกๆ แม้ว่าข้าจะไม่เจริญก้าวหน้าในตำแหน่ง คงเป็นเพียงแม่ทัพชั้นผู้น้อยตลอดชีวิต...แต่นางก็คงจะไม่จากข้าไปแต่ก่อน ข้าไม่รู้เลยว่านางคืออินทรีที่โผบินบนฟากฟ้า ทว่าเต็มใจหักปีกเพื่อข้าคนเดียว คอยดูแลมารดาที่ป่วยหนัก จัดการทุกเรื่องจุกจิกในจวนแม่ทัพของข้าเมื่อข้ารู้ตัว...ข้าจะเสียใจหรื
ข้าขอร้องท่านแม่ไม่สำเร็จ ก็หันไปพึ่งท่านพ่อ แต่กลับได้รับการตำหนิที่รุนแรงยิ่งกว่ามิใช่เพียงเท่านั้น พวกท่านเห็นว่าข้าคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ เพราะยังไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับเหลียงจือชุน จึงตัดสินใจให้เขาพาข้าออกไปเที่ยว เพื่อให้เราได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นข้าไม่เต็มใจจะไป แต่ก็ถูกคุณนางข้างกายท่านแม่บังคับให้ขึ้นรถม้าไป อีกทั้งยังกำชับสาวใช้ให้จับตาข้าไว้ อย่าให้พูดจาเสียหายเหลียงจือชุนหน้าตามันเยิ้ม ตอนแรกก็แสดงความเคารพต่อข้าบ้างเล็กน้อยแต่ไม่นานก็เผยนิสัยแท้ วิจารณ์หน้าตาข้าอย่างไร้มารยาท บอกว่าหากข้ามิใช่หญิงงามเช่นนี้ และมิใช่บุตรีตระกูลเสิ่น เขาคงไม่ยอมรับข้าเป็นภรรยาแน่นอนท่าทางอวดดีของเขาทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง หากมีแค่เพียงเท่านี้ ข้าอาจไม่ถึงขั้นคิดทำสิ่งร้ายแรงนักแต่ระหว่างทางกลับ เขาอ้างว่าจะช่วยพาข้าขึ้นรถ แล้วแอบหยิกก้นข้าเข้าอย่างหนึ่งในขณะนั้น เลือดทั้งร่างข้าพุ่งขึ้นหัวเมื่อสบตากับสายตาหยอกล้อของเขา น้ำตาข้าก็พรั่งพรูออกมา ความอัปยศทำให้ข้าทั้งตัวสั่นเทิ้ม เอ่ยวาจาใดไม่ออกเลยสักคำสาวใช้กับสารถีไม่เห็นเหตุการณ์นั้น กลับคิดว่าเขาเป็นสุภาพบุรุ
ข้าสะดุ้งเฮือก หันหลังกลับไปทันที ก็เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนักใต้เงาไม้ เขาสวมเสื้อผ้าผ้าหยาบสีขาวทั้งชุด ผอมแห้งทรุดโทรม ดวงตายังมีรอยคล้ำอยู่ใต้เบ้าตาเป็นเขา...บัณฑิตที่ขายภาพวาดอยู่ริมสะพานในวันนั้น คนเดียวกับที่ผู้ดูแลสถาบันขงจื้อว่าเป็นศิษย์ที่ไม่เอาถ่าน เลี้ยงหญิงคณิกาแล้วขอลาออกจากสำนัก“เจ้าพูดมั่วแล้ว” ข้าถลึงตาใส่เขา คิดถึงสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่ ใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้ “ข้าไม่เคยได้ยินว่าทะเลสาบนี้มีผี เจ้าหลอกข้า!”ข้าไม่กลัวตาย แต่ข้ากลัวผี ยิ่งกลัวการถูกจมอยู่ใต้โคลนเลนนั่น“ข้ามิได้หลอกเจ้า” เขาเดินออกมา ในลมหนาวทำให้เขาดูบอบบางยิ่งขึ้น “เจ้าดูสิ บริเวณริมทะเลสาบนี้ไม่มีใครเลย มิแปลกหรือ? ทั้งที่ทิวทัศน์ดีถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่มีใครมา?”“นั่นเพราะคนที่มาวัดล้วนมาสักการะ มิใช่มาชมทิวทัศน์ พวกเขากราบพระเสร็จก็จากไป” ข้ากล่าว แต่พลางถอยไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว ความรู้สึกเหมือนในทะเลสาบลึกนั้นมีบางสิ่งซ่อนอยู่เขาหยุดยืน กล่าวว่า “ผู้ที่มีใจสักการะ ล้วนเคารพฟ้าดินและธรรมชาติ ทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ ใยจะไม่มาชมเล่า? ที่แห่งนี้สมควรจะเปี่ยมด้วยพลังแห่งสวรรค์ กลับกลาย
ลูกพี่ลูกน้องกับสาวใช้กลับมาตามหาข้า ข้าก็ให้สาวใช้นับเงินสามร้อยอีแปะมอบให้เขา เขายิ้มพลางกล่าวคำขอบคุณข้าเคยคิดว่าเป็นเพียงการพบกันโดยบังเอิญ ไม่อาจเกี่ยวข้องกันอีก คาดไม่ถึงว่าผ่านไปหนึ่งเดือน วันฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่านย่า ครอบครัวจัดงานเลี้ยงรับรอง ผู้ดูแลสถาบันขงจื้อก็นำศิษย์คนโปรดของตนมาร่วมงานด้วย...เขาก็อยู่ในกลุ่มนั้นกฎเกณฑ์ธรรมเนียมแห่งเจียงหนานนั้นไม่เคร่งครัดเหมือนเมืองหลวง ยามจัดงานเลี้ยง สตรีก็สามารถออกไปที่เรือนหน้าได้เขาเห็นได้ชัดว่าไม่จำข้าได้...ตอนนั้นข้าคลุมหน้าด้วยผ้าบาง เหลือเพียงดวงตาให้เห็น ไม่จำได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกทว่า เขามิได้อยู่ร่วมงานเลี้ยง เพียงนำภาพหมากู๋ถวายพรอายุวัฒนะมามอบให้ท่านย่า แล้วกล่าวว่ามีธุระที่บ้าน จากนั้นก็ขอลาไปหลังจากเขาไปแล้ว ผู้ดูแลสถาบันก็กล่าวถึงเขาด้วยน้ำเสียงแฝงความเสียดายว่า “เขาเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่น่าเสียดายที่ไม่มุ่งมั่นใฝ่ดี ดื้อรั้นจะลาออกจากสำนัก ข้าคิดจะพาเขามาวันนี้ให้รู้จักกับคนดีมีปัญญา เขากลับไม่เห็นคุณค่า น่าผิดหวังนัก ช่างเถอะ หากอยากลาออกก็ให้ลาไปเถอะ”บิดาข้าปลอบว่า “อย่าได้โกรธเลย ท่านมีศิษย์มากมาย ขาดเขา