เจียอี้หวนนึกถึงเรื่องคับข้องใจที่นางมีกับนางซูในตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางรู้ว่านางซูตายแล้ว และพอคนตายไปก็ดั่งกับไฟดับ พอคิดดูเรื่องที่ทำให้นางโมโหนั้นส่วนมางเป็นความผิดของตนเอง นางเป็นคนหาเรื่องอีกฝ่ายหลังจากนั้นไม่นาน นางก็พูดอย่างเรียบๆ ว่า "จริงๆ แล้วนางเป็นคนดีมาก กตัญญูและใจกว้าง ให้กำเนิดลูกชายคนโตให้ท่านโหว และดูแลจวนโหวมาหลายปี หากมิใช่แท้งลูกในปีที่แล้ว สุขภาพของนางคงไม่ย่ำแย่เร็วขนาดนี้""นางแท้งบุตรเมื่อปีที่แล้วเหรอ?" เสิ่นว่านจือถาม"ใช่ นางมีสุขภาพไม่ดี หมอบอกแล้วว่าไม่เหมาะกับการตั้งครรภ์ แต่น่าเสียดายนางดันไปท้อง เด็กคนนี้บกพร่อง ไม่สามารถช่วยชีวิตได้ หลังจากแท้งบุตรแล้วก็ส่งผลเสียต่อร่างกาย หากไม่มีเหตุการณ์แท้งบุตร นางคงไม่จากไปอย่างเร็วขนาดนี้'ซ่งซีซีจำได้ว่าตอนที่หัวหน้าลู่ไปถามพ่อบ้านเฟิน ดูเหมือนว่าพ่อบ้านเฟินไม่ได้พูดเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เลย เขาแต่บอกว่าตอนมีลูกคนที่สองได้ทิ้งโรคประจำไว้แสดงว่าพ่อบ้านเฟินอาจจะรู้เรื่องมามาก แต่เขาไม่ได้บอกหัวหน้าลู่ แค่พูดไปบางส่วนเท่านั้นเองเสิ่นว่านจือรู้สึกเศร้าขึ้นมา เห็นๆ อยู่ว่านางซูย่อมเป็นคนดีแน่ๆ แม้แต่คนร้ายกา
หัวหน้าลู่ก็กลับมาหลังจากพูดคุยกับพ่อบ้านเฟินเสร็จ โดยบอกว่าเจียอี้รังแกและทุบตีคนรับใช้จริงๆหัวหน้าลู่กล่าวว่าเมื่อเขาพูดถึงนางซู ก็ได้ร้องไห้มารอบหนึ่ง โดยบอกว่าทุกคนในจวนโหวผิงหยางต่างก็ชอบนางซู ถ้าไม่ใช่เพราะมีเจียอี้อยู่ นางก็อาจจะเป็นภรรยาเอกส่วนหงเซียวก็กลับมา ยังไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมอะไรในขณะนี้ นางยังพยายามถามคนรับใช้ของจวนโหวผิงหยาง แต่พวกเขาไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือนอกจะคนกลุ่มนั้นที่บอกว่าโดนเจียอี้ทุบตี และต้องการแก้แค้นเจียอี้แล้ว ก็ไม่มีคนอื่นออกหน้ามาพูดอะไรสักคำจะเห็นได้ว่าทางจวนโหวได้ควบคุมคนรับใช้และรักษาความเป็นส่วนตัวฝ่ายในจวนไว้เป็นความลับได้ดีมาก พอมองดูเช่นนี้แล้ว คนกลุ่มนั้นดูเหมือนจงใจมาทำลายชื่อเสียงของเจียอี้"ใช่แล้ว ไม่พบเบาะแสใดๆ ที่จวนโหวผิงหยาง แต่ใช้โอกาสนี้ได้พบว่าสาเหตุที่ข่าวลือข้างนอกได้สร้างกระแสมากก็เป็นเพราะมีคนเขียนบทความเพื่อร้องเรียนโรงงาน และระบุข้อหาที่ทางโรงงานฝ่าฝืนกับกฎระเบียบที่บรรพบุรุษตั้งไว้""ผู้เขียนบทความมีตัวตนอะไรบ้าง? ได้สืบสวนมายัง"หงเซียวพยักหน้า "พบว่าผู้เขียนบทความเหล่านี้ล้วนเป็นนักเรียนของเจ้า
แม้ว่าตอนนี้จะดึกแล้วแต่เขายังสั่งคนไปส่งจดหมายขอพบที่จวนเจ้ากรม "จะต่อต้านศิษย์พี่ของข้า คืนนี้เขาอย่าคิดจะนอนหลับฝันดีเลย"ซ่งซีซียกมุมปากขึ้น "พรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่าน ไปเยี่ยมฉีฮูหยินใหญ่สักหน่อย""ได้" เซี่ยหลูโม่กอดนางไว้ในอ้อมแขนแล้วจูบนางที่หน้าผาก เสียงแหบแห้งเล็กน้อย "นี่มันเดือนเมษายนแล้ว เรายังไม่ได้ออกไปเที่ยวเลยแม้แต่วันเดียว แต่งงานกับข้ายังไม่ได้ใช้เจ้าใช้ชีวิตสบายๆ เลย"ซ่งซีซีเอาหัวพิงหน้าอกของเขา เมื่อนึกถึงตอนที่เขากลิ้งลงมาจากภูเขา และอดไม่ได้ที่จะพูดล้อเล่นขึ้นมาว่า "เจ้ายังอยากเล่นการเลื่อนหินมะไหมล่ะ บัดนี้คงไม่มีหิมะแล้วนะ""เปล่า เปล่านะ" เซี่ยหลูโม่รู้สึกเขินอายมากจนก้มศีรษะลงเพื่อจูบนางอย่างแรงพอป้าหยินเดินเข้ามาพร้อมกับอาหารมื้อเย็นก็เห็นเป่าจูวิ่งออกไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ และเกือบจะชนเข้ากับนาง นางจึงดุว่า "เจ้าทำอะไรบุ่มบ่ามขนาดนี้"ป้าหยินก้าวเข้าไปสองก้าว พอเปิดม่านออกก็รีบหันหลังทันที เกือบจะทำให้เอวเจ็ดขึ้นมา จากนั้นเดินออกไปพร้อมอาหารกำลังนัวเนียกันอยู่ แล้วจะมาสนใจอาหารธรรมดาเช่นนี้ได้อย่างไร?ป้าหยินปิดประตูอย่างมีรู้ความ นางเงยหน้าขึ้นมองดว
ซ่งซีซีรู้ว่านางไม่ได้พูดอย่างขอไปที การขอไปทีกับความจริงใจนางมองออกได้"ฮูหยินใหญ่คือมารดาของฮองเฮา หากโรงงานเย็บปักซู่เจินมีฮองเฮาเป็นผู้นำทางคงจะดีที่สุด"ฉีฮูหยินใหญ่สะดุ้งเล็กน้อย "พระชายา หากโรงงานเย็บปักซู่เจินประสบความสำเร็จได้ ก็จะมีชื่อเสียงที่ดีตลอดกาล เจ้าได้เริ่มแล้ว แม้ว่าจะมีอุปสรรค แต่เชื่อว่ามันจะไม่ได้ยากเกินไปสำหรับพระชายา"ซ่งซีซีกล่าวว่า "จะบอกว่าง่ายแต่ก็ไม่ง่ายเลย ถึงยังไงมันเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนคิดอยู่เลย"ฉีฮูหยินใหญ่พยักหน้าเล็กน้อยและเดินไปข้างหน้าช้าๆ "เป็นเรื่องยากที่จะจัดหารจริงๆ แต่พระชายาก็โดนด่าไปแล้ว ทำไมต้องแบ่งผลงานให้ฮองเฮาด้วยเล่า?"ซ่งซีซียิ้มและกล่าวว่า "ข้าเชื่อว่ามาพูดถึงเรื่องผลงานกับเรื่องนี้มันคงใจแคบไปหน่อย สามารถนำไปทำต่อถึงเป็นสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน"ฉีฮูหยินใหญ่ไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจได้ และผ่านไปพักใหญ่ถึงชมเชยว่า "ที่พระชายามีความคิดและใจกว้างเช่นนี้ได้หายากจริงๆ""ไม่งั้นฮูหยินใหญ่ลองไปคุุยกับฮองเฮาดีไหม" ซ่งซีซีมาที่นี่ก็มีจุดประสงค์ของนางเอง เรื่องสถาบันการศึกษาสตรีได้รับการสนับสนุนจากไทเฮา หากโรงงานมีฮองเฮาเ
เซี่ยหลูโม่พูดช้าๆ "ถ้ามีจุดอ่อนอยู่ในมือของคนอื่น ก็จะถูกคนอื่นควบคุมจริงๆ ข้าไม่ได้เอาเรื่องของเจ้าเผยแพร่ออกไป เป็นเพราะจุดอ่อนต้องใช้ประโยชน์กับโอกาสที่เหมาะสม ถึงเวลาแล้ว ไม่พูดมากความอีก หากไม่ได้มอบบทความให้อาจารย์หยูภายในสองวัน งั้นใต้เท้าฉีก็ให้พวกเขาเขียนบทความเยอะๆ เพื่อช่วยชี้แจงให้เจ้าก็แล้วกัน"ได้ นี่ก็คือการขู่ชัดๆ เจ้ากรมฉีโกรธจัดจนหน้าอกนั้นกระเพื่อม แต่ก็ทำได้เพียงจ้องมองเฉยๆเซี่ยหลูโม่ยังคงทำตัวนิ่งๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้พูดอะไรที่รุนแรง และค่อยๆ ลิ้มรสชาดีๆ จากจวนตระกูลฉี เขาเป็นคนจู้จี้จุกจิกมาโดยตลอด แต่ชาจากตระกูลฉีไม่เลวเลย พวกเขาค่อนข้างมีรสนิยมและมักจะคิดว่าตนเองมีศีลธรรมอันสูงส่งผู้สูงศักดิ์เหล่านี้มักจะทำตัวไม่เห็นหัวผู้ใด แต่จริงๆ แล้วก็จัดการได้ง่าย โดยเฉพาะคนอย่างเจ้ากรมฉีที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตนแต่ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ตนเองทำก็ยิ่งจัดการได้มากกว่าหลังจากจิบชาอยู่พักหนึ่งแล้ว ซ่งซีซีและฉีฮูหยินใหญ่ก็เดินกลับมาด้วย เซี่ยหลูโม่ยืนขึ้นและพูดกับเจ้ากรมฉี ซึ่งยังมีสีหน้าไม่สู้ดีว่า "วันนี้ยังมีธุระต้องจัดการ ไม่รบกวนแล้ว หวังว่าจะไม่ต้องให้ข้ามาครั้ง
จวนตระกูลฉีเจ้ากรมฉีเหวี่ยงแขนเสื้อแล้วพูดว่า "ฮูหยินช่างไร้เดียงสา จะเชื่อคำหลอกลวงของซ่งซีซีได้อย่างไร ถ้าฮองเฮาออกหน้าสนับสนุนโรงงานจริงๆ นางจะไม่ถูกพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นด่ายกใหญ่หรือ ต่อให้ฮองเฮาไม่ทำอะไร องค์ชายใหญ่ต้องได้ตำแหน่งแน่ๆ เขาเป็นบุตรชายของฮองเฮา และเป็นบุตรคนโตด้วย นอกจากเขาแล้วยังมีใครได้อีกเล่า?"ฉีฮูหยินใหญ่นั่งอย่างสงบและถามว่า "ในเมื่อเช่นนี้ ทำไมใต้เท้าถึงต้องเล่นงานโรงงานเล่า"นับตั้งแต่เหตุการณ์ของกู้ชิงเมี่ยว ฉีฮูหยินใหญ่ก็ไม่ได้เรียกเขาว่าท่านสามีอีกเลย เป็นคู่สามีภรรยามาตั้งนาน สุดท้ายก็เกิดความบาดหมางเข้าเจ้ากรมฉีเม้มปากและไม่พูดอะไร แต่สีหน้าดูจริงจังขึ้นมามากฉีฮูหยินใหญ่รู้เหตุผล แต่เมื่อเขาไม่พูดอะไร จึงพูดโดยตรงว่า "ตอนนี้ฝ่าบาทอายุยังน้อยยังแข็งแกร่งอยู่ การแต่งตั้งราชทายาทจึงเป็นเรื่องแสนไกล มีพระสนมมากมายในพระราชวังและในอนาคตจะมีองค์ชายเพิ่มขึ้นมากมาย หากมีคนฉลาดและมีความสามารถมากกว่าองค์ชายใหญ่ แล้วฝ่าบาทจะเลือกคนอื่นหรือไม่ บัดนี้ที่ฝ่าบาทไม่ยอมแต่งตั้งราชทายาทสักที มีเหตุผลอะไรบ้าง เกรงว่าใต้เท้าจะรู้ชัดเจนกว่าข้านะ แต่มีข้อหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่
นักวิชาการเหล่านั้นได้ส่งบทความไป อาจารย์หยูไม่จำเป็นต้องส่งส่งให้ท่านอ๋องอ่านก่อน เขาก็ปฏิเสธบทความเหล่านั้น ดูเหมือนถูกบังคับ ยังมีอคติต่อโรงงาน และขนาดคำชี้แจงยังดูฝืนใจมาก"พรุ่งนี้มาส่งให้ใหม่ ถ้ายังเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องมาอีก" อาจารย์หยูพูดอย่างใจเย็นหนึ่งในนั้นที่มีนามสกุลเฉินพูดอย่างขมขื่นว่า "ท่านก็เป็นนักวิชาการด้วย เหตุใดพอมีอำนาจแล้วก็มาเล่นงานนักวิชาการเล่า"อาจารย์หยูใช้คำพูดที่ทั้งสั้นและตรงที่สุดเพื่อแย้งความคิดไม่เอาไหนของพวกเขา "แค่เสียใจที่พวกเจ้าไม่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิง และไม่สามารถเข้าใจความยากลำบากของแม่ของพวกเจ้าได้""โรงงานมันเกียวอะไรกับผู้หญิง? นั่นมันสถานที่รับหญิงที่ถูกทอดทิ้ง"อาจารย์หยูพูดอย่างเคร่งขรึม "ถ้าหากมีผู้ชายที่ถูกทอดทิ้งก็ไปได้"พวกเขาต่างตกใจกันว่า "จะมีผู้ชายที่ถูกทอดทิ้งได้อย่างไร คำพูดเช่นนี้น่าขำสิ้นดี"อาจารย์หยูแสดงสายตาดูถูก "ใช่ จะมีผูู้ชายที่ถูกทอดทิ้งได้อย่างไร หรือว่าผู้ชายทุกคนในโลกที่มีศีลธรรมอันสูงส่ง ดีกว่าผู้หญิงมากหรือ?""ผู้ชายก็ยากลำบาก ต้องประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน เลี้ยงดูภรรยาและบุตร มีหรือที่ไม่ได้…"อาจารย์หยูถ
ซ่งซีซีขมวดคิ้ว มันเกี่ยวข้องกับนางซูจริงๆนางไม่อยากให้เป็นนางซูมากที่สุด เพราะรู้ว่าที่ผ่านมานางใช้ชีวิตยากลำบากในจวนโหวด้วย ต้องดูแลบ้านก็ต้องมีลูกและอบรมสั่งสอนลูกๆ ด้วย เจียอี้มักจะวิพากษ์วิจารณ์นางอย่างรุนแรง แม้ว่านางจะเป็นหลานสาวของฮูหยินผู้เฒ่า แต่ว่าไปก็ไม่ใช่ภรรยาเอก ดูแลฝ่ายใน ไปสุงสิงคนภายนอก แต่ก็ยังไม่เหมาะสมสักเท่าไรเสิ่นว่านจือก็ปวดหัวเช่นกัน "ทำอย่างไรดี อย่าบอกนะว่าเป็นนางจริงๆ ถ้าเป็นนางละก็... คนๆ นี้ก็ตายไปแล้ว เมื่อผลออกมาแล้วโหวผิงหยางและฮูหยินผู้เฒ่าจะเชื่อเหรอ อีกอย่างตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นแผนการของนางซูก่อนตาย แค่คำสารภาพของสาวใช้คนหนึ่งก็ไม่เพียงพอ เรียกได้ว่าสาวใช้คนนั้นถูกข้าบังคับเลย"ซ่งซีซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "งั้นให้หัวหน้าลู่ไปชวนพ่อบ้านเฟินมาอีกครั้ง ครั้งนี้ให้เรามาถามเอง""ก็ต้องทำเช่นนี้แล้วแหละ เพราะทุกอย่างได้ถูกจัดการโดยพ่อบ้านเฟิน เขาคงไม่เล่นงานเจียอี้อย่างไร้เหตุผลแน่นอน ข้าคิดว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง"ซ่งซีซีเรียกตัวหัวหน้าลู่มาก่อน จากนั้นทำความเข้าใจพ่อบ้านเฟินให้ดีก่อน พอจะคาดเดาได้บางส่วนแล้วเมื่อหัวหน้าลู่ได้ยิ
จักรพรรดิ์ซูชิงทรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนสีพระพักตร์จะค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น "หมอมหัศจรรย์ดันบอกว่า ข้ายังมีชีวิตอยู่ได้อีกสามปี แต่ก่อนหน้านี้ หมอหลวงเคยบอกว่า ข้าน่าจะอยู่ได้หนึ่งปี ทว่าผ่านไปไม่นาน กลับเหลือเพียงแค่หกเดือน ข้าคิดว่า คำของหมอทั้งหลาย เมื่อมาถึงตัวข้า ก็ควรจะต้องลดลงครึ่งหนึ่งเสมอ เช่นนั้น หนึ่งปีครึ่งที่เหลือ อาจจะไม่ได้มีจริงด้วยซ้ำ" "เสด็จพี่ อย่าทรงคิดในแง่ร้าย..." จักรพรรดิ์ซูชิงยกพระหัตถ์ขึ้นปราม "เจ้าฟังข้าก่อน บัดนี้ ข้ามีสติแจ่มชัด มิได้เลอะเลือน เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ต้องรีบจัดการ แต่ปัญหาคือ ข้าไม่กล้าตั้งใคร ยังเหลือเวลาอีกหลายปีกว่าพระจักรพรรดิ์องค์ใหม่จะเติบโตขึ้นปกครองแผ่นดิน มหาเสนาบดีแก่ชราลงแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะฝากบ้านเมืองไว้ในมือใครได้ นอกจากเจ้า" เซี่ยหลูโม่มิได้เอ่ยสิ่งใด เพราะเขารู้ดีว่า ความไว้วางใจและความระแวงของเสด็จพี่ล้วนเกิดขึ้นโดยไร้หลักการ มันมักมาเป็นระยะๆ "ข้า มีพระโอรสสามองค์ เดิมทีมีองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาทโดยธรรมชาติ ตำแหน่งรัชทายาทจึงไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่องค์ชายใหญ่ เขาธรรมดาเกินไป ธรรมดาก็ไม่เป็นไรนัก แต่เขา ขี้เกียจ หยิ่งยะโส
ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นกลับต้องพบว่า ดูหรือไม่ดู ก็ไม่ต่างกันเลย เพียงเห็นว่าหมอมหัศจรรย์ดันคีบเข็มไว้ในซอกนิ้วทั้งห้า แล้วในพริบตาเดียว เข็มสี่เล่ม ก็ปักลงจุดได้อย่างแม่นยำ พวกเขาแทบมองเห็นเพียงแค่ภาพลวงตาของมือหนึ่งข้างเท่านั้น แต่ผลลัพธ์กลับแม่นยำและมั่นคง ราวกับว่าทุกอย่างจบลงในพริบตาเดียว ทั้งสี่จุด แม้จะอยู่ไม่ไกลกันนัก แต่การจะหา จุดฝังเข็ม ให้ถูกต้อง และปักเข็มลงไปอย่างแม่นยำโดยไม่ลังเลนั้น ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย แต่หมอมหัศจรรย์ดันกลับทำได้ในพริบตาเดียว หลังจากฝังเข็มแล้ว เขาจึงให้จักรพรรดิ์ซูชิงเสวยซูซื่อตันเพื่อบรรเทาอาการปวด ผลของยาระงับปวดชัดเจนมาก สีพระพักตร์ของจักรพรรดิ์ซูชิงดีขึ้นทันตา ไม่ซีดเผือดเหมือนก่อนหน้านี้ หมอมหัศจรรย์ดันถอนเข็มออก ก่อนจะเขียนตำรับยา จากนั้นจึงหยิบยาดันเสวี่ยออกมาจากหีบยา แล้วกล่าวว่า "ทุกคนต่างคิดว่ายาดันเสวี่ย ใช้เพียงเพื่อบำรุงชีพจร แต่แท้จริงแล้ว มันช่วยฟื้นฟูร่างกายและบำรุงอวัยวะทั้งห้า ได้ด้วย ต่อไป ฮ่องเต้ต้องใช้ยาที่แรงขึ้น ยานี้จึงจำเป็นต้องช่วยคุ้มครอง ตับและไต โดยปกติ ควรเสวยทุกเจ็ดวันหนึ่งเม็ด แต่บัดน
จักรพรรดิ์ซูชิง ทรงเงียบอยู่ชั่วขณะ ก่อนมีพระบัญชาให้จัดเตรียมห้องพักในตำหนักข้างเคียงของตำหนักเฉียนหยาง พร้อมทั้งส่งแพทย์จากสำนักหมอหลวงมาคอยดูแลหมอมหัศจรรย์ดัน พร้อมกันนั้น ทรงมีพระบัญชาให้จางฉีเหวินและฉีกุ้ยเป็นองครักษ์ส่วนตัวของหมอมหัศจรรย์ดัน คอยติดตามดูแลเขาตลอดเวลา พระองค์ทรงทราบดีว่าจางฉีเหวินเป็นศิษย์ของเสิ่นว่านจือ การให้เขาคุ้มครองหมอมหัศจรรย์ดัน ก็เพื่อให้หมอมหัศจรรย์ดันรู้สึกวางใจ แต่เพื่อให้พระองค์เองก็วางใจได้เช่นกัน จึงทรงส่งฉีกุ้ยไปด้วยอีกคน ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังมีพระบัญชาให้สำนักหมอหลวงปฏิบัติตามคำสั่งของหมอมหัศจรรย์ดันเป็นอันดับแรก อำนาจนี้ยิ่งใหญ่ไม่น้อย แต่แท้จริงแล้ว พระองค์หวังให้สำนักหมอหลวงเป็นฝ่ายจัดหายา หมอมหัศจรรย์ดันมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ ขอเพียงมีคนทำตามคำสั่งก็เพียงพอแล้ว แต่จากการที่จักรพรรดิ์ซูชิงทรงส่งจางฉีเหวินและฉีกุ้ยไป อาจมองออกได้ว่า พระองค์มิได้ไว้วางพระทัยผู้คนจากฝ่ายใน บัดนี้ พระองค์และหมอมหัศจรรย์ดัน มีชะตาเดียวกัน หากหมอมหัศจรรย์ดันตาย พระองค์ก็ตาย หากหมอมหัศจรรย์ดันมีชีวิตอยู่ พระองค์ก็อาจอยู่ได้อีกอย่างน้อยสามปี สามปีไม่ยาว
ณ ตำหนักเฉียนหยาง อู๋ย่วนเจิ้งและหมอหลวงหลินยืนอยู่ด้านข้างเซี่ยหลูโม่กับอู๋ต้าปั้นก็อยู่ข้างเตียง ต่างเฝ้ารอให้หมอมหัศจรรย์ดันตรวจชีพจร หลังจากตรวจชีพจรแล้วหมอมหัศจรรย์ดันถามถึงบันทึกชีพจรในอดีตและสูตรยาที่ใช้รักษาก่อนหน้านี้ หมอหลวงหลิน นำบันทึกมาให้เขา พลางกล่าวด้วยท่าทีเคารพ “หมอดัน โปรดตรวจดูเถิด” ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าเรียกเขาว่าหมอมหัศจรรย์อีกแล้ว เพราะสำนักหมอหลวงก็เคยผ่านการกวาดล้างครั้งใหญ่เช่นกัน หมอมหัศจรรย์ดันรับบันทึกมา เปิดดูทีละหน้า ภายในตำหนักเงียบสนิท มีเพียงเสียงกระดาษที่เขาพลิกเท่านั้นที่ดังขึ้น ทุกคนกลั้นหายใจ นี่คือความหวังสุดท้าย หากหมอมหัศจรรย์ดันบอกว่าพระอาการมีเวลาเพียงสามเดือน เช่นนั้นก็เหลือเวลาเพียงสามเดือนจริงๆ จักรพรรดิ์ซูชิงดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ดวงตาหดเล็กลง ฝ่าพระหัตถ์ชื้นไปด้วยเหงื่อ พระองค์กำลังรอคอยคำพิพากษาครั้งสุดท้าย หมอมหัศจรรย์ดัน ไม่พลาดแม้แต่คำเดียว อ่านจนครบทุกหน้า จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยถาม “บันทึกชีพจรระบุว่ามีอาการปวดต่อเนื่องกว่าหนึ่งเดือน กลางคืนมิอาจข่มพระเนตร และแทบไม่อาจเสวยได้เลย” นี่เป็นเพียงการกล่าวยืนย
ซ่งซีซีกล่าว “หากหมอมหัศจรรย์ดันยอมเข้าวังมา ก็ย่อมจะทำเต็มกำลังแน่นอนเพคะ” ไทเฮาทรงนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นน้ำพระเนตรก็ร่วงเงียบๆ “แม้จะทำสุดความสามารถ แต่ก็ยากจะรักษาชีวิตไว้ได้ ขอเพียงสามารถยืดเวลาออกไปอีกหน่อย ให้จัดการเรื่องรากฐานแผ่นดินให้เรียบร้อย” เห็นพระนางหลั่งน้ำตาซ่งซีซีก็พลอยรู้สึกหดหู่ไปด้วย ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเสด็จแม่กล่าวว่า ไทเฮาเป็นสตรีที่มีจิตใจเข้มแข็งนัก หยาดน้ำตาของพระองค์มีค่ามาก ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่เพียงใด ก็ไม่เคยยอมหลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว นางไม่รู้ว่าควรปลอบพระทัยอย่างไร และก็นึกได้ว่า สิ่งที่ไทเฮาต้องการตอนนี้ คงไม่ใช่คำปลอบโยน นางจึงทำได้เพียงเฝ้าอยู่เคียงข้างอย่างเงียบๆ เซี่ยหลูโม่เดินทางไปยังร้านขายยาเย่าหวัง และได้พบกับหมอมหัศจรรย์ดัน วันนี้หลังจากมีพระบัญชาเรียกเข้าวัง อาจารย์หยูก็มาที่ร้านขายยาเย่าหวังเพื่อแจ้งข่าว ดังนั้นหมอมหัศจรรย์ดันจึงเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว ครั้งนี้ เขาไม่ได้พาศิษย์ไปด้วย แต่เดินทางกับเซี่ยหลูโม่เพียงลำพัง ชิงเชวี่ยและหงเชวี่ยอยากตามไปด้วย แต่ถูกเขาดุไล่ให้กลับไป บนรถม้าเซี่ยหลูโม่รับปากกับเขาว่าจะปกป้องท่านให้ปลอด
ซ่งซีซีคุกเข่าอยู่เพียงชั่วครู่ แต่กลับรู้สึกเหมือนผ่านไปชั่วชีวิต ในที่สุด ก็ได้ยินเสียงถอนพระปัสสาสะเบาๆ ของจักรพรรดิ์ซูชิง ก่อนที่พระองค์จะแย้มพระสรวล “เจ้าเด็กนี่ เหตุใดถึงกลายเป็นคนเอาแต่ใจไปเสียแล้ว?” ซ่งซีซีรู้สึกคลายความกังวลลงเล็กน้อย แรกเริ่มนั้น นางทั้งโกรธและรู้สึกอัดอั้น จึงกล่าวคำนั้นออกไปโดยไม่ยั้งคิด แต่หลังจากนั้น สิ่งที่กล่าวไปมีส่วนที่เหมือนเป็นการเดิมพัน นางหวาดกลัวอยู่ในใจ เพราะไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า เมื่อจักรพรรดิ์ที่ใกล้สิ้นพระชนม์แล้วตัดสินใจอย่างโหดเหี้ยม จะเป็นเช่นไร เพียงแต่ เมื่อจักรพรรดิ์ซูชิงตรัสถามคำนั้นออกมา ไม่ว่านางจะชี้แจงอย่างไร ก็คงไร้ความหมาย มีเพียงการใช้วิธีดื้อรั้นเอาแต่ใจเช่นนี้เท่านั้น ที่อาจจะได้ผล “ลุกขึ้นเถิด” จักรพรรดิ์ซูชิง ตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นมาก ใบหน้าซูบซีดเหลืองซีดนั้นมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏ “เจ้านี่นะ ยังเหมือนตอนเด็กไม่มีผิด ปากเจ้าไม่เคยยอมเสียเปรียบเลย ถามเพียงคำเดียว กลับเล่นงานข้าเสียยกใหญ่ จริงๆ แล้ว ข้าก็จนใจจะทำอย่างไรกับเจ้าได้” พระองค์ทอดพระเนตรมองซ่งซีซีแววพระเนตรล้ำลึก “เจ้าล่ะ ไปถือสากอะไรกับคนใกล้ตาย? ไ
ซ่งซีซีไม่ชอบให้นำบิดาของนางมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นัก เพราะไม่ว่าฮ่องเต้จะตรัสสิ่งใด ก็ล้วนไม่เกี่ยวกับบิดาของนางเลย ไม่มีความจำเป็นต้องเน้นย้ำถึงความจงรักภักดีของบิดาต่อแผ่นดิน เพื่อนำมาเป็นกรอบบังคับคำตอบที่นางจะกล่าวต่อไป แต่เห็นได้ชัดว่า นางจะชอบหรือไม่ ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่ฮ่องเต้จะใส่พระทัย นางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฮ่องเต้มีเรื่องใดจะถามก็ตรัสเถิด หม่อมฉันฟังอยู่” ความเจ็บปวดเสียดลึกถึงกระดูก ทำให้จักรพรรดิ์ซูชิงไม่เลือกที่จะลองหยั่งเชิงเหมือนเคย แต่รับสั่งตรงไปตรงมาแทน “เจ้าน่าจะเป็นผู้ที่รู้จักเซี่ยหลูโม่ดีที่สุด เจ้าคิดว่า หากข้าสวรรคต แล้วเขาได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน จะสังหารฮ่องเต้องค์เยาว์แล้วตั้งตนเป็นจักรพรรดิ์หรือไม่?” ซ่งซีซีใจหายวาบ โทสะพลันแล่นขึ้นมาปรากฏในดวงตาเซี่ยหลูโม่ผ่านพ้นจากความเป็นความตายในหนานเจียงกลับมาอย่างยากลำบาก มิควรถูกกล่าวหาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ นางรู้สึกเจ็บแทนเขา น้ำเสียงจึงเย็นเยียบขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และพูดเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ฮ่องเต้ ข้ากับเซี่ยหลูโม่เป็นสามีภรรยากันเพียงสามปี จะนับได้อย่างไรว่าเป็นผู้ที่รู้จักเขาดีที่สุด? ผู้ที่รู้
จักรพรรดิ์ซูชิงได้ส่งอู๋ต้าปั้นไปร้านขายยาเย่าหวังเพื่อหาหมอมหัศจรรย์ดันเมื่อห้าวันก่อน ตอนนั้น คนของร้านขายยาเย่าหวังบอกว่าหมอมหัศจรรย์ดันได้ออกจากเมืองไปแล้ว และไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด อู๋ต้าปั้นกลับมารายงาน จักรพรรดิ์ซูชิงจึงเข้าใจได้ทันทีว่าสาเหตุนั้นมาจากเรื่องในอดีต เมื่อครั้งที่เสด็จพ่อของพระองค์ทรงสังหารหมอชื่อดังในหมู่ประชาชน ทำให้หมอมหัศจรรย์ดันไม่ต้องการเข้าวังมารักษา พระองค์เคยคิดจะส่งคนไปพาตัวหมอมหัศจรรย์ดันมา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด บนผืนแผ่นดินนี้ล้วนเป็นดินแดนของจักรพรรดิ์ ย่อมหาวิธีตามหาเขาเจอแน่นอน แต่หากหมอมหัศจรรย์ดันไม่เต็มใจ ต่อให้พาตัวเขามา ก็คงไร้ประโยชน์ แน่นอนว่าจักรพรรดิ์ซูชิงทรงทราบดีว่ายังมีผู้ที่สามารถเชิญเขามาได้ นั่นคือซ่งซีซี เพียงแต่พระองค์ยังทรงปิดบังอาการประชวร ไม่ต้องการให้เหล่าขุนนางทั้งหลายล่วงรู้เร็วจนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่อยากให้เซี่ยหลูโม่รู้เร็วจนเกินไป เขาเพิ่งสร้างผลงานจากสนามรบกลับมา เป็นที่เลื่อมใสของประชาชน หากได้รู้เรื่องพระอาการประชวรของพระองค์ และเตรียมการแต่เนิ่นๆ การกระทำของเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะประสบความสำ
งานเลี้ยงฉลองชัยชนะในวันรุ่งขึ้นถูกยกเลิก ทางวังส่งคนมาแจ้งว่า ฮ่องเต้ทรงเป็นหวัด ไอหนักมาก แม้ว่างานเลี้ยงฉลองจะไม่ได้จัดขึ้น แต่ราชโองการว่าด้วยการปูนบำเหน็จแก่ผู้มีความชอบก็ถูกประกาศออกมาอย่างรวดเร็ว ฝางเทียนสวี ได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ของหนานเจียง เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพผู้พิทักษ์แผ่นดินชั้นเอก ฉีหลิน และแม่ทัพท่านอื่นๆ ได้รับเลื่อนยศเป็นขุนนางฝ่ายทหารชั้นสามและชั้นรองสาม ยังคงประจำการที่หนานเจียง มีการจัดสรรเงินทุนเพื่อสร้าง จวนแม่ทัพ ที่หนานเจียง พร้อมอนุญาตให้นำครอบครัวไปอยู่ด้วย สำหรับทหารที่เสียชีวิตในการรบ ทางการจัดสรรเงินเยียวยาให้ครอบครัว ทหารที่บาดเจ็บได้รับเงินปลอบขวัญคนละสิบตำลึงเงิน ทุกคนที่มีความชอบล้วนได้รับการจัดสรรรางวัลอย่างชัดเจน เว้นแต่ เซี่ยหลูโม่ ที่ยังไม่มีการกำหนดรางวัลแน่นอน ในเบื้องต้น พระองค์ได้รับ ทองคำพันตำลึง ผ้าไหมห้าสิบพับ และยังคงดำรงตำแหน่ง ต้าหลี่ซื่อชิง เช่นเดิม ในราชโองการประกาศยกย่องเซี่ยหลูโม่เป่ยหมิงอ๋องว่าได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อแผ่นดิน พรรณนาความดีความชอบด้วยถ้อยคำสละสลวย แต่ก็ยังเป็นเพียง วาจาชื่นชมที่ไร้เนื้