เสิ่นว่านจือยืนกรานในความคิดของตนเอง "แต่ถ้าขับไล่เจียอี้ออกไป เราจะไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเนเรื่องวุ่นวายนี้อีกเลย""แล้วอนาคตล่ะ หากอนาคตจะเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้อีกล่ะ จริงๆ แล้วข้าคิดว่าเหตุการณ์ของเจียอี้นี้ก็ดีเช่นกัน มันจะให้โอกาสเราฝึกซ้อมก่อน หากเจอเรื่องเดียวกันในอนาคตก็มีประสบการณ์กฎเกณฑ์ด้วย ควรจะทิ้งอคติไปก่อนและสอบสวนมันให้ชัดเจน ถ้าเป็นจริงก็ไล่นางออก ถ้าไม่ก็ให้โอกาสนาง เป็นไง"นางกล่าวเสริมว่า "จือจือ การทิ้งอคติมันสำคัญมาก เพราะผู้หญิงทุกคนที่ถูกหย่านั้นอาจถูกตั้งข้อหาต่างๆ ถ้าเราตัดสินคนอื่นด้วยคำพูดภายนอกงั้นก็ไม่มีใครจะมา"เสิ่นว่านจือกล่าวอย่างหดหู่ "ข้ารู้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นมีเหตุผล หากมองจากมุมมองของโรงงานเราจำเป็นต้องทำเช่นนี้ แต่โดยส่วนตัวข้าแล้ว มันยากสำหรับข้าที่จะยอมรับเจียอี้ อีกอย่างนางเรื่องไม่ดีมาเยอะจริงๆ ให้ไล่ออกไปตรงๆ จะไม่ดีหรือ หรือว่าเจ้าไม่เกลียดเจียอี้เหรอ?""เกลียด" ซ่งซีซีตอบอย่างเด็ดขาด"งั้นเกลียดก็จบเรื่องแล้วนี่ ขนาดตนเองก็เกลียด แล้วทำไมโรงงานต้องไปรับนางเล่า ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดถึงสถานการณ์โดยรวมและอยากจะตรวจสอบเรื่องทั้งหมดนี
เป่าจูไม่ได้คิดลึกซึ้งมากนัก แค่คิดว่าด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้พวกนางทั้งสองเกิดความบาดหมางขึ้นมามันจะไม่คุ้มเอาเสีย "ข้าน้อยแค่คิดว่าที่ผ่านมา ไม่ว่าท่านจะทำอะไรคุณหนูเสิ่นก็สนับสนุนท่านตลอด ข้าน้อยรู้สึกว่าไม่งั้นก็ทำตามที่นางบอกสักครั้งหนึ่งจะดีไหม ซ้ำยังไม่มีหลักฐานได้พิสูจน์ว่านอกจากคนรับใช้ของจวนโหวผิงหยางแล้วยังมีคนอื่นสร้างปัญหาให้นี่เจ้าคะ""เรื่องบางเรื่องเราต้องกันไว้ดีกว่าแก้นะ เป่าจู ข้ารู้ว่าตนเองทำอะไรอยู่ เจ้าไม่ต้องห่วง" ซ่งซีซีเท้าคาง แล้วครุ่นคิด "อีกหน่อยเดี๋ยวข้าไปจะโรงงาน"หงเซียวก็ยืนอยู่ข้างๆ ยังไม่ได้ออกไป จริงๆ แล้วนางเห็นด้วยกับความคิดของพระชายา เพิ่งจะก่อตั้งแรกๆ ก็เกิดวุ่นวายเช่นนี้ โรงงานต้องมีกฎเกณฑ์ของมันถึงจะถูก "พระชายา ให้ข้าไปเป็นเพื่อนท่านเถอะ"ซ่งซีซีเงยหน้าขึ้นมองหงเซียว แล้วพูดว่า "หงเซียว เจ้าไม่จำเป็นต้องไปกับข้า เจ้าตรวจสอบต่อไปและดูว่าเป็นเพราะมีใครถูกจ้างให้เผยแพร่ข่าวลือหรือไม่""เจ้าค่ะ!" หงเซียวรับคำสั่งแล้วออกไปซ่งซีซีเชิญหัวหน้าลู่เข้ามาและขอให้เขาไปถามไถ่กับพ่อบ้านเฟินดูว่าคนใช้ที่โดนเจียอี้ทรมานนั้นมีเท่าไร คนที่ก่อกวนอย่างรุนแรงนั้
ซ่งซีซีกระโดดไปด้านนอกศาลาเก็บดอกกุหลาบดอกหนึ่งแล้วกัดเข้าปาก จากนั้นกระโดดสามครั้งติดต่อกันก็แล้วปีนขึ้นจากราวบันไดและนั่งข้างๆ เสิ่นว่านจือเขากางแขนออก หันหน้าให้เสิ่นว่านจือ และดันดอกกุหลาบที่กัดในปากไปให้เสิ่นว่านจือ มีรอยยิ้มในดวงตา และหน้าผากมีเม็ดเหงื่อออกเสิ่นว่านจือรับดอกไม้ด้วยมือข้างเดียวแล้วพูดด้วยความโกรธว่า "เอาล่ะ เป็นถึงพระชายานี่น่ะ การตีลังกาแบบนี้ไม่อายคนอื่นเหรอ? ยังจะเอาชื่อเสียงอีกไหมเนี่ย?""ใครใช้ให้ข้าไปทำให้คุณหนูเสิ่นผู้แสนดีของเราไม่พอใจเข้าเล่า" แก้มของซ่งซีซีแดงเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มอย่างสดใส "แล้วคุณหนูเสิ่นยกโทษให้ข้าหรือเปล่าเนี่ย""ข้าไม่ได้โกรธเจ้าจริงๆ ไปเถอะ ไปหาเจียอี้ที่โรงงาน" เสิ่นว่านจือบีบแขนของนางอย่างแรงและจ้องมองกุ้นเอ๋อร์อีกครั้ง "ยังหัวเราะอยู่เหรอ? ขากรรไกรจะผิดปกติแล้ว"กุ้นเอ๋อร์ไม่สามารถระงับหัวเราะได้ และปาดน้ำตาขณะหัวเราะ "น่าขำจริงๆ ดูเหมือนลิงเลย"ซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเพิกเฉยต่อเขาและเดินออกจากศาลาติดๆ กันเสิ่นว่านจือเดินตามหลัง พอเดินไปไม่นานก็เอาเท้าเตะก้นของซ่งซีซี และสาปแช่งว่า "ไอ้สารเลว"ซ่งซีซีหันหน้ากลับมาและแลบลิ้น
ในห้องโถงด้านข้าง ป้าซุนเตรียมนำชาเอาไว้แล้ว และเจียอี้ดื่มชาไปหนึ่งขวดรวดเดียว นางทั้งหิวข้าวและหิวน้ำด้วย แต่นางไม่กล้าออกมาเพราะกลัวคนเหล่านั้นจะบุกเข้ามาเมื่อเห็นนางอยู่ในสภาพเช่นนี้ ป้าซุนจึงพูดว่า "เห็นแก่สองวันก่อนที่เจ้าทำงานขยันอยู่ เดี๋ยวข้าไปต้มปะหมี่ให้กิน""ขอบคุณ" เจียอี้กระซิบด้วยเสียงร้องไห้เบาๆ มองดูป้าซุนเดินจากไปดวงตาของนางบวมมาก เพราะแต่เดิมก็ดูซีดเซียวมากแล้ว บัดนี้มองออกไปก็ดูน่าสงสารบ้าง"จำนำทุกอย่างที่จำนำได้เพื่อชำระหนี้" ดวงตาของนางฉายแววหดหู่ขึ้นมา "ข้ายังเป็นหนี้คนอื่นอยู่มากมาย ข้ายอมรับว่าข้าไม่น่าสงสาร ข้าไม่ใช่คนดี แต่พวกเจ้าคิดว่า ท่านหญิงอย่างข้าจะทำเรื่องชั่วที่จวนโหวผิงหยางได้อย่างไร แม่สามีไม่ชอบข้า สามีก็รังเกียจข้า ข้าไม่มีแม้แต่อำนาจบริหารบ้าน เมื่อท่านแม่ยังอยู่ ข้าจะอาศัยอยู่ที่จวนองค์หญิงเกือบยี่สิบวันต่อเดือน หลังจากเกิดเรื่องกับท่านแม่ ตระกูกู้ก็จบแห่ ส่วนข้าถูกปลดตำแหน่งให้เป็นสามัญชน ข้าพยายามอดทนในจวนโหว ต่อให้อึดอัดมากแค่ไหนก็ไม่กล้าพูดอะไรเลย"นางน้ำตาอาบแก้ม "ที่อนุจาวคนนั้นแต่งเข้ามา ข้าไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด และข้าก็ไม่มัสิท
เสิ่นว่านจือไม่รู้จะบรรยายเจียอี้คนนี้ยังไรดีจริงๆ นางย่อมใจร้ายแต่ก็โง่จริงๆ เลยคาดว่าความโง่เขลาของนาง ได้รับการยืนยันจากเซี่ยอวี้นแม่ของนาง มิฉะนั้นทำไมแผนการที่เซี่ยอวี้นทำมาตั้งนานนั้นจะไม่บอกนางด้วยเล่าเมื่อนึกถึงเช่นนี้ เสิ่นว่านจือก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า "เรื่องแม่ของเจ้า เจ้ารู้อะไรมาบ้าง""ทำไม" เจียอี้มองนางอย่างตื่นตัวทันที "อย่าคิดจะใส่ร้ายข้า ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้นเลย"เมื่อเห็นนางทำตัวเหมือนเม่น เสิ่นว่านจือก็ไม่ต้องการที่จะยั่วยุนาง และถามนางเกี่ยวกับสาวใช้ในจวน นางคิดว่าสาวเท้าไม่มีปัญหา ต่างก็ภักดีต่อนาง"หลังจากที่ข้าถูกหย่าก็ไม่ได้พาพวกนางออกไป ทางจวนโหวจะไม่ใจร้ายกับพวกนางแน่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนใจดี เหตุใดต้องออกมาทนทุกข์กับข้าด้วย"ซ่งซีซีถามว่า "เจ้าไม่เคยคิดหรือว่าจ้านเส้าฮวนอาจทำร้ายเจ้า แล้วยานั้นจะถูกสลับอย่างง่ายๆ ได้ยังไง""นางไม่กล้า" เจียอี้พูดอย่างหนักแน่น "นางจะพึ่งพาข้าทุกอย่างหลังจากแต่งเข้ามา แล้วนางกล้าทำร้ายข้าได้ยังไง""นางไม่กล้าทำร้ายเจ้า แต่ยังเปิดโปงเจ้าหรือ?"เจียอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง และช่วยแก้ตัวให้จ้านเส้าฮวนด้วยจิตใต้สำนึก "นาง กลัว
เจียอี้หวนนึกถึงเรื่องคับข้องใจที่นางมีกับนางซูในตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางรู้ว่านางซูตายแล้ว และพอคนตายไปก็ดั่งกับไฟดับ พอคิดดูเรื่องที่ทำให้นางโมโหนั้นส่วนมางเป็นความผิดของตนเอง นางเป็นคนหาเรื่องอีกฝ่ายหลังจากนั้นไม่นาน นางก็พูดอย่างเรียบๆ ว่า "จริงๆ แล้วนางเป็นคนดีมาก กตัญญูและใจกว้าง ให้กำเนิดลูกชายคนโตให้ท่านโหว และดูแลจวนโหวมาหลายปี หากมิใช่แท้งลูกในปีที่แล้ว สุขภาพของนางคงไม่ย่ำแย่เร็วขนาดนี้""นางแท้งบุตรเมื่อปีที่แล้วเหรอ?" เสิ่นว่านจือถาม"ใช่ นางมีสุขภาพไม่ดี หมอบอกแล้วว่าไม่เหมาะกับการตั้งครรภ์ แต่น่าเสียดายนางดันไปท้อง เด็กคนนี้บกพร่อง ไม่สามารถช่วยชีวิตได้ หลังจากแท้งบุตรแล้วก็ส่งผลเสียต่อร่างกาย หากไม่มีเหตุการณ์แท้งบุตร นางคงไม่จากไปอย่างเร็วขนาดนี้'ซ่งซีซีจำได้ว่าตอนที่หัวหน้าลู่ไปถามพ่อบ้านเฟิน ดูเหมือนว่าพ่อบ้านเฟินไม่ได้พูดเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เลย เขาแต่บอกว่าตอนมีลูกคนที่สองได้ทิ้งโรคประจำไว้แสดงว่าพ่อบ้านเฟินอาจจะรู้เรื่องมามาก แต่เขาไม่ได้บอกหัวหน้าลู่ แค่พูดไปบางส่วนเท่านั้นเองเสิ่นว่านจือรู้สึกเศร้าขึ้นมา เห็นๆ อยู่ว่านางซูย่อมเป็นคนดีแน่ๆ แม้แต่คนร้ายกา
หัวหน้าลู่ก็กลับมาหลังจากพูดคุยกับพ่อบ้านเฟินเสร็จ โดยบอกว่าเจียอี้รังแกและทุบตีคนรับใช้จริงๆหัวหน้าลู่กล่าวว่าเมื่อเขาพูดถึงนางซู ก็ได้ร้องไห้มารอบหนึ่ง โดยบอกว่าทุกคนในจวนโหวผิงหยางต่างก็ชอบนางซู ถ้าไม่ใช่เพราะมีเจียอี้อยู่ นางก็อาจจะเป็นภรรยาเอกส่วนหงเซียวก็กลับมา ยังไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมอะไรในขณะนี้ นางยังพยายามถามคนรับใช้ของจวนโหวผิงหยาง แต่พวกเขาไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือนอกจะคนกลุ่มนั้นที่บอกว่าโดนเจียอี้ทุบตี และต้องการแก้แค้นเจียอี้แล้ว ก็ไม่มีคนอื่นออกหน้ามาพูดอะไรสักคำจะเห็นได้ว่าทางจวนโหวได้ควบคุมคนรับใช้และรักษาความเป็นส่วนตัวฝ่ายในจวนไว้เป็นความลับได้ดีมาก พอมองดูเช่นนี้แล้ว คนกลุ่มนั้นดูเหมือนจงใจมาทำลายชื่อเสียงของเจียอี้"ใช่แล้ว ไม่พบเบาะแสใดๆ ที่จวนโหวผิงหยาง แต่ใช้โอกาสนี้ได้พบว่าสาเหตุที่ข่าวลือข้างนอกได้สร้างกระแสมากก็เป็นเพราะมีคนเขียนบทความเพื่อร้องเรียนโรงงาน และระบุข้อหาที่ทางโรงงานฝ่าฝืนกับกฎระเบียบที่บรรพบุรุษตั้งไว้""ผู้เขียนบทความมีตัวตนอะไรบ้าง? ได้สืบสวนมายัง"หงเซียวพยักหน้า "พบว่าผู้เขียนบทความเหล่านี้ล้วนเป็นนักเรียนของเจ้า
แม้ว่าตอนนี้จะดึกแล้วแต่เขายังสั่งคนไปส่งจดหมายขอพบที่จวนเจ้ากรม "จะต่อต้านศิษย์พี่ของข้า คืนนี้เขาอย่าคิดจะนอนหลับฝันดีเลย"ซ่งซีซียกมุมปากขึ้น "พรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่าน ไปเยี่ยมฉีฮูหยินใหญ่สักหน่อย""ได้" เซี่ยหลูโม่กอดนางไว้ในอ้อมแขนแล้วจูบนางที่หน้าผาก เสียงแหบแห้งเล็กน้อย "นี่มันเดือนเมษายนแล้ว เรายังไม่ได้ออกไปเที่ยวเลยแม้แต่วันเดียว แต่งงานกับข้ายังไม่ได้ใช้เจ้าใช้ชีวิตสบายๆ เลย"ซ่งซีซีเอาหัวพิงหน้าอกของเขา เมื่อนึกถึงตอนที่เขากลิ้งลงมาจากภูเขา และอดไม่ได้ที่จะพูดล้อเล่นขึ้นมาว่า "เจ้ายังอยากเล่นการเลื่อนหินมะไหมล่ะ บัดนี้คงไม่มีหิมะแล้วนะ""เปล่า เปล่านะ" เซี่ยหลูโม่รู้สึกเขินอายมากจนก้มศีรษะลงเพื่อจูบนางอย่างแรงพอป้าหยินเดินเข้ามาพร้อมกับอาหารมื้อเย็นก็เห็นเป่าจูวิ่งออกไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ และเกือบจะชนเข้ากับนาง นางจึงดุว่า "เจ้าทำอะไรบุ่มบ่ามขนาดนี้"ป้าหยินก้าวเข้าไปสองก้าว พอเปิดม่านออกก็รีบหันหลังทันที เกือบจะทำให้เอวเจ็ดขึ้นมา จากนั้นเดินออกไปพร้อมอาหารกำลังนัวเนียกันอยู่ แล้วจะมาสนใจอาหารธรรมดาเช่นนี้ได้อย่างไร?ป้าหยินปิดประตูอย่างมีรู้ความ นางเงยหน้าขึ้นมองดว
จีซูเซิ่นสอบถามอย่างละเอียดว่านางพบเขาได้อย่างไร ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพไหน และเขาพาเด็กมาด้วยหรือไม่ หวังชิงหรูกล่าวว่า “เมื่อวานข้าออกไปซื้อหม้อตุ๋น ตั้งใจจะทำยาบำรุงให้ท่านแม่ พอซื้อเสร็จออกมา เขาก็เดินเข้ามา ตอนนั้นข้าตกใจมาก คิดว่าเป็นคนร้าย เขาเรียกข้าว่าน้องสาม พอได้ยินเสียงข้าก็จำได้ทันที ใบหน้าของเขาดำคล้ำ คิ้วก็ถูกโกนจนหมด ทั้งตัวผอมจนแทบจำไม่ได้ ถ้าไม่เพ่งดูดีๆ ข้าคงไม่เชื่อว่าเป็นพี่ใหญ่” หวังชิงหรูนึกย้อนถึงเมื่อวาน และคำพูดของพี่สะใภ้ใหญ่เมื่อครู่ ก็ยังรู้สึกใจสั่น “เขาไม่ได้พาเด็กมาด้วย มาเพียงลำพัง เขาบอกว่าตอนนั้นถูกบังคับให้หนี ตอนนี้ทุกที่มีหมายจับเขา ติดตัวไม่มีเงิน แถมยังมีลูกต้องเลี้ยง จึงลำบากมาก เขาให้ข้ากลับไปคุยกับท่านแม่เพื่อช่วยหาเงินสามพันตำลึงให้” “ถ้าหาเงินมาได้ จะส่งให้เขาอย่างไร?” จีซูเซิ่นรีบถาม “เขาไม่ได้บอก เพียงแต่ให้ข้าหาเงินมาให้ได้ก่อน แล้วเขาจะหาทางมาหาข้าเอง” หวังชิงหรูกล่าว จีซูเซิ่นด่าในใจว่า เขาไม่ได้ระวังตัวกับคนอื่น แต่กลับใช้ความระมัดระวังทั้งหมดกับคนในครอบครัวตัวเอง นางคิดครู่หนึ่งก่อนถามว่า “เขาไม่มีคิ้วแล้ว?” “ใช่ คงโก
จีซูเซิ่นกำลังเย็บเสื้อผ้าให้ลูกสาว เมื่อตัดเย็บเสร็จ นางก็ปักลวดลายตกแต่งลงไป ทุกวันนี้ลูกสาวของนางอาศัยอยู่ในจวนเป่ยหมิงอ๋อง จึงไม่สมควรให้ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดมาจากจวนอ๋อง ความคิดของนางยุ่งเหยิง คำพูดของพระชายาอ๋องที่พูดกับนาง นางเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้น หากหวังเบียวจนตรอก เขาย่อมกลับมายังเมืองหลวง แต่หลังจากเขากลับมาแล้ว เขาจะมาหานางทันทีหรือไม่ ก็ยังไม่แน่นอน เขาน่าจะพยายามหาฮูหยินผู้เฒ่าก่อน และเมื่อรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีความสามารถช่วยเหลือเขาได้ จึงจะมาหานาง แต่ฮูหยินผู้เฒ่ารักลูกชายมาก นางย่อมพยายามทุกวิถีทาง วันนี้แม้จะเพียงติดตามพวกนางตลอดทางโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าวันพรุ่งนี้หรือวันถัดไปจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น การที่หวังเบียวกลับมายังเมืองหลวง ก็เพียงเพราะต้องการเงิน เขาไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงได้เป็นเวลานาน ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีเงินติดตัว แต่การอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี ทำให้นางมีเครือข่ายอยู่บ้าง ยืมจากตรงนั้นเล็กน้อย ตรงนี้เล็กน้อย ก็เท่ากับลากคนอื่นให้ลำบากไปด้วย อย่างไรก็ตาม นางป่วยหนักออกไปไหนไม่ได้ และคงไม่กล้าหน้าห
นางไม่ได้ไปหา หวังเยว่จาง ในอดีตนางอาจหน้าหนาพอที่จะคิดว่า เขาอย่างไรก็เป็นสายเลือดของจวนป๋อผิงซี เมื่อครอบครัวหรือญาติเกิดปัญหา การช่วยเหลือย่อมเป็นหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้นางจะไม่ทำเช่นนั้นอีก นางเข้าใจความจริงบางประการว่า ในวันที่จวนป๋อผิงซีรุ่งเรือง เขาไม่เคยได้สัมผัสแม้เศษเสี้ยวของเกียรติยศนั้น แต่พอถึงวันที่ล่มจม กลับต้องการให้เขายื่นมือช่วยเหลือ นางทำเช่นนั้นไม่ได้ ส่วนเรื่องว่าจะไปหาพี่สะใภ้ใหญ่เพื่อพูดเรื่องนี้หรือไม่ นางลังเลใจยิ่งนัก เพราะอย่างไรเสีย นางก็ไม่อยากให้พี่ใหญ่ตาย นางนั่งอยู่ใต้ต้นไหว มองเหม่อลอยอยู่นาน พอดีศิษย์พี่ซือโซยกตะกร้าไหมเดินผ่านมา เมื่อเห็นนางก็รีบเลี้ยวหลบไปทางอื่น ท่าทางเหมือนไม่อยากเผชิญหน้ากับนาง หวังชิงหรูนึกถึงเรื่องเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ รีบเรียกนางไว้ “ศิษย์พี่ซือโซ ขอโทษเรื่องเมื่อครู่นี้ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ศิษย์พี่ซือโซเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “อืม” พูดจบ นางก็เตรียมเดินจากไป หวังชิงหรูคิดถึงนิสัยของหญิงสาวในยุทธภพเหล่านี้ ที่มักซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ไม่คิดอะไรซับซ้อน จึงถามว่า “ศิษย์พี่ซือโซ ข้าขอพูดคุย
หวังชิงหรูรู้ว่าศิษย์พี่ซือโซเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้รีบอธิบาย เพราะในใจยังว้าวุ่น นางปิดประตู ยกยาเข้าไปแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ดื่มยาก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยคิดหาวิธีแก้ทีหลัง” ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้า มองหน้านางพลางกล่าวว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าลองถามใจตัวเองดูว่าพี่ชายของเจ้าเคยปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร?” หวังชิงหรูขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านแม่ พวกเราไม่มีความสามารถจะช่วยเขาได้ พวกเรายังอาศัยอยู่ในโรงงาน เงินที่ใช้ซื้อยาของท่านยังเป็นของแม่นางเสิ่นเลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “เจ้าคิดผิด เงินเหล่านี้ล้วนเป็นของเยว่จาง เขาแม้จะไม่ได้ยอมรับพวกเรา แต่ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้หยุดช่วยเหลือเราเลย” หวังชิงหรูกล่าวว่า “แม้ว่าเงินจะเป็นของเขา พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์จะขอให้เขาเอาเงินไปช่วยพี่ใหญ่ของเรา” “เงินเหล่านั้น” ฮูหยินผู้เฒ่ากัดฟัน กล่าวความจริงออกมาว่า “ไม่ใช่ของเขา ในตอนนั้นที่เขากลับมา พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าแนะนำให้ชดเชยเขา จึงโอนที่ดินและร้านค้าให้เขาบางส่วน” “ในเมื่อโอนให้เขาไปแล้ว และเขาก็ช่วยเหลือพวกเราอย่างลับๆ เสมอมา ยังจะให้เขาคืนกลับมาอีกหรือ? ท่านแม่ เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย” ฮู
จีซูเซิ่นไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหรู ในวันรุ่งขึ้นขณะที่พวกนางออกไปตรวจที่ร้านขายยาเย่าหวัง นางแปลงตัวเป็นชาวนาและแอบตามไป เพียงแต่ตลอดทางจากไปจนกลับ ไม่มีใครเข้ามาใกล้รถลาของพวกนาง และระหว่างทางรถลานั้นก็ไม่ได้หยุดเลย หลังจากกลับมาถึงโรงงาน หวังชิงหรูก็เริ่มต้มยา ในโรงงานไม่มีใครคอยรับใช้ ทุกคนต้องผลัดกันทำอาหาร ตอนแรกหวังชิงหรูทำอะไรไม่เป็นเลย แม้แต่การก่อไฟยังต้องใช้เวลาฝึกถึงสามวัน อาหารมื้อแรกที่นางทำถึงกับกินไม่ได้เลย คนในโรงงานช่วยเหลือกัน แต่ก็ล้อกันด้วย พวกเขาหัวเราะเยาะว่านางมีร่างกายเหมือนฮูหยิน แต่โชคชะตาไม่ใช่ฮูหยินตอนแรกนางโกรธและรู้สึกน้อยใจ คิดว่าทำไมต้องมาเจอกับความลำบากเช่นนี้ นางถึงขั้นคิดว่าพวกเขาตั้งใจกลั่นแกล้ง จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเจียอี้มาที่โรงงานเพื่อเยี่ยม นางลงมือทำอาหารเอง มันอาจจะไม่เลิศรส แต่ก็รสชาติกลมกล่อมพอดี นางนิ่งเงียบไป หวังชิงหรูรู้ดีว่าเจียอี้เคยเป็นคนอย่างไร อดีตท่านหญิงที่หยิ่งยโส แต่หลังจากถูกหย่าแล้วได้รับการพากลับมา นางยังสามารถลดตัวเองลงและลงมือทำอาหารให้กลุ่มสตรีที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้ได้ ที่สำค
สถานการณ์ของหวังเบียวทำให้ซ่งซีซีแปลกใจไม่น้อย นางคิดว่าเขาจะพาคนสนิทหนีไปซ่อนได้อย่างน้อยสองสามปี ใครจะคาดคิดว่า ระหว่างทางเขาจะถูกปล้นทรัพย์สิน แม้แต่อนุที่รักก็ยังทอดทิ้งเขา ไม่รู้ว่าในเวลานั้น เขาเคยเสียใจต่อความโง่เขลาของตัวเองบ้างหรือไม่ คนวัยกลางคน กลับยังหลงเชื่อในความรักแท้ คิดจะทิ้งภรรยาที่อยู่เคียงข้างและดูแลเขามากว่าสิบปี สุดท้ายกลับถูกคนอื่นทิ้งเสียเอง นับว่าเป็นกรรมที่ตามสนอง แต่กรรมที่เขาได้รับยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ด้วยนิสัยของกู้ชิงหวู่ ตอนที่จากไปนางต้องเคยดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่นางเคยดูถูกเหลียงเส้า กู้ชิงหวู่ใช้ความงามของตัวเองเป็นเครื่องมือ แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดชังชายที่หลงใหลในความงามของนางอย่างยุติธรรม ในความเป็นจริง ซ่งซีซีคิดว่าหวังเบียวอาจไม่ได้อยู่ที่อำเภอหยง เพราะด้วยสถานะของเขาในฐานะผู้หลบหนี เขาไม่สามารถปรากฏตัวด้วยหน้าตาที่แท้จริง และไม่กล้าพำนักในที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ได้แต่หนีซุกซ่อน เขายังพาลูกไปด้วยอีก ซ่งซีซีคิดว่า หากเขาจนตรอก เขาอาจจะแอบกลับเมืองหลวงหรือไม่?แม้เขาจะโง่ แต่ก็ไม่ถึงกับโง่สิ้นดี เขารู
กู้ชิงหวู่กำหมัดแน่น ดวงตาเปล่งประกายแห่งความโกรธ "ดังนั้นข้าถึงบอกว่า สวรรค์ไม่ยุติธรรม ไยต้องเป็นเช่นนี้?" "เจ้าพูดเอง ด้วยชาติกำเนิดที่ดีของข้า รวมถึงสตรีหน้าเหลืองที่เจ้ากล่าวถึง นางก็เป็นสตรีผู้สูงศักดิ์" ซ่งซีซีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่เต็มไปด้วยท่าทีเหนือกว่า กู้ชิงหวู่เกลียดชังท่าทางเช่นนี้ที่สุด มันเหมือนกับอดีตองค์หญิงใหญ่ที่อยู่บนหอคอยสูง ในขณะที่ตนต้องก้มต่ำอยู่ในโคลนตม นางโกรธจัด หน้าอกสะท้อนขึ้นลง "ถึงจะเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์แล้วอย่างไร? ก็ยังถูกสามีรังเกียจอยู่ดีมิใช่หรือ?" "หวังเบียวหรือ? นางไม่เคยใส่ใจเขาเลย มีแต่เจ้าที่มองเขาเหมือนสมบัติ" ซ่งซีซีตอบอย่างไม่ใส่ใจ "สำหรับข้า เขาก็ไม่ใช่สมบัติอะไร แค่ขยะชิ้นหนึ่ง" กู้ชิงหวู่ตอบด้วยแววตาดุดัน ซ่งซีซีหัวเราะเยาะ "ข้ารู้ว่าไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าถึงกับให้กำเนิดบุตรให้เขา ทั้งที่รู้ว่าการหนีจากสนามรบเป็นความผิดร้ายแรง เจ้ากลับไม่สนใจและหนีตามเขาไป ข้าเคยเจอคนปากไม่ตรงกับใจเช่นเจ้ามานักต่อนัก" "ไร้สาระ!" กู้ชิงหวู่ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ใบหน้าแดงก่ำ แต่ไม่นานก็หัวเราะเยาะ "ฮะ คิดจะหลอกข้าหรือ? ใช่ ข้ารักเขาจนถ
สถานที่อันเป็นมงคลนี้ถูกเลือกโดยสำนักโหรหลวง เป็นสถานที่ที่งดงามด้วยภูเขาและสายน้ำ มีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ สองแห่ง แม้จะเรียกว่าด้านข้างพระราชสุสาน แต่ความจริงแล้วห่างจากพระราชสุสานถึงสามสิบลี้ หลังจากงานศพ กู้ชิงหยิงมาพบซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเพื่อกล่าวลา บอกว่าจะไปสร้างกระท่อมเล็กๆ อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อเฝ้าสุสานของบิดาบุญธรรม เสิ่นว่านจือถามว่านางต้องการความช่วยเหลือเรื่องเงินหรือไม่ นางตอบว่าไม่จำเป็น เพราะนางจะขายเครื่องประดับที่เคยซื้อไว้ ก็เพียงพอจะกลายเป็นคนมีฐานะเล็กๆ ได้ วันที่นางจากไปพอดีกับวันที่เจ้าสิบเอ็ดฝางคุมตัวอ๋องเยี่ยนและคนอื่นๆ กลับเมืองหลวง นางยืนอยู่ที่ประตูเมือง มองเข้าไปในรถนักโทษที่มีอ๋องเยี่ยนและอ๋องฮวย ความเกลียดชังพลันผุดขึ้นในใจ แต่เมื่อเห็นชาวบ้านต่างด่าทอและโยนใบไม้เน่าใส่พวกเขา นางก็รู้สึกคลายความโกรธ เพราะคิดว่าคนชั่วได้กรรมของตนเองแล้ว สำหรับนาง นับจากนี้ก็เป็นอิสระแล้ว ไม่มีใครหรือสิ่งใดมาผูกมัดนางได้อีก ในการคุมตัวครั้งนี้ ยังมีข้าราชการของหนิงโจวและชิวเหมิงถูกนำตัวกลับมาด้วย สิ่งที่ทำให้ซ่งซีซีประหลาดใจคือ นางยังเห็นกู้ชิงหวู่ด
ใช้เวลาห้าวันกว่าจะกวาดล้างเศษซากกบฏได้หมดสิ้น เจ้าสิบเอ็ดฝางและมู่ฉงกุยส่งข่าวชัยชนะมาว่าได้จับชิวเหมิงกบฏตัวสำคัญเป็นเชลย พร้อมนำตัวอ๋องเยี่ยน อ๋องหวย และอู๋เซียงผู้ทรยศกลับมายังเมืองหลวง ซึ่งอีกไม่นานจะมาถึง ยกเว้นเพียงหวังเบียวที่ยังคงหลบหนี นอกนั้นกบฏส่วนใหญ่ล้วนถูกจับกุมได้หมดแล้ว วันที่ 25 เดือนเจ็ด สำนักราชวังจัดพิธีศพให้ท่านอ๋องฮุย เพราะเหตุการณ์กบฏของเซี่ยทิงเหยียน พิธีศพจึงจัดอย่างเรียบง่าย และจักรพรรดิ์ซูชิงทรงเรียกขุนนางมาหารือว่าท่านอ๋องฮุยควรได้ฝังในสุสานอ๋องหรือไม่ แม้ว่าท่านอ๋องฮุยจะบริสุทธิ์ แต่ความผิดของเซี่ยทิงเหยียนเป็นโทษที่เกี่ยวพันถึงทั้งตระกูล ซ่งซีซีไม่ได้รับการเรียกตัวให้เข้าร่วมพิธี นางจึงพาผู้คนจากจวนเป่ยหมิงอ๋องมาร่วมงานศพของอ๋องฮุย พิธีศพจัดอย่างเรียบง่าย ไม่มีขุนนางมาร่วมงาน นอกจากจักรพรรดิ์จะทรงอนุญาตให้อ๋องฮุยฝังในสุสานอ๋อง มิฉะนั้นจะไม่มีใครกล้าเข้าร่วม กู้ชิงหยิงสวมชุดไว้ทุกข์คุกเข่าเผากระดาษหน้าโลงศพ ศพของอ๋องฮุยถูกบรรจุในโลงแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดฝา เมื่อซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมาถึง ยังสามารถไปดูหน้าศพครั้งสุดท้ายได้ มีโลงศพสา