เมื่อได้ยินว่านามสกุลคือหลี่ หลี่ฮูหยินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้ามากยิ่งขึ้นมีโลงศพบางๆ และเสื้อผ้าสองชิ้น ชุดหนึ่งใส่ในตัวหลี่ฮุ่ยซิน และอีกชุดหนึ่งสำหรับฝังศพไปด้วยหลี่ฮูหยินมีเมตตา ไปตามหาร้านเสื้อผ้าที่นางเคยทำงานอยู่ จึงไปซื้อเสื้อผ้าที่นั่น เจ้าของร้านบอกว่าเสื้อผ้าสองตัวที่นางสวมใส่นั้นเป็นชิ้นงานของนางเองหลี่ฮุ่ยซินเกิดเมื่อเดือนมีนาคมสามสิบสี่ปีที่แล้ว และถูกฝังในเดือนมีนาคมปีนี้ วันเกิดและวันตายแค่ห่างกันเพียงแปดวันการตายของหญิงที่ถูกหย่าก็เหมือนกับก้อนหินที่ถูกโยนลงไปในทะเลสาบ มันเพียงแต่สร้างคลื่นเล็กๆ จากนั้นก็ไม่มีการกล่าวถึงอีกเลยทว่ามีนักเล่าเรื่องคนหนึ่งได้เล่าเรื่องที่ทางโรงงานเย็บปักซู่เจินช่วยฝังศพหลี่ฮุ่ยซินออกไป รวมถึงเรื่องใจร้ายใจดำของครอบครัวพ่อแม่และสามีของหลี่ฮุ่ยซินด้วยแขกรับน้ำชาที่ฟังเรื่องราวอย่างนั้นได้สาปแช่งสองสามคำ พอผ่านไปแป๊บเดี๋ยวก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะพวกเขายอมรับและสนับสนุนกฎเกณฑ์เจ็ดข้อที่ว่าการไม่มีบุตรก็จะถูกไล่ออกจากบ้าน เพียงแต่ครอบครัวของสามีใจร้ายจริงๆ พวกเขาแต่งงานกันมาหลายปีแล้ว ไม่แม้แต่ช่วยเก็บศพด้วยซ้ำ แต่เมื่อเทียบกับค
ซ่งซีซีขมวดคิ้ว "ทำไมนางถึงไปที่นั่นได้เล่า"โรงงานเย็บปักซู่เจินเคยประกาศต่อโลกภายนอก เป็นสถานที่รับผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้งและไม่มีที่ไป ทั้งยังไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ระยะหนึ่ง แม้ว่าเจียอี้จะถูกหย่าแล้ว แต่นางก็ไม่ถึงขั้นเลี้ยงตนเองไม่ได้ เท่าที่ซ่งซีซีรู้ เจียอี้มีบ้านพักและร้านค้าหลายแห่งและแม้จะหย่าร้างแล้ว นางก็ยังสามารถมีชีวิตที่หรูหราต่อไปได้คนใช้ของตระกูลหลี่กล่าวว่า "นางบอกว่าไม่มีที่ไป เอะอะโวยวายจะเข้าไปให้ได้ ยังด่าฮูหยินด้วย โดยบอกว่าตั้งโรงงานไว้เพื่อรับผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้ง งั้นนางก็ตรงตามเงื่อนไข ถ้านางไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปละก็ งั้นที่ก่อตั้งโรงงานนั้นไว้ก็แค่เสแสร้ง แกล้งทำเป็นมีเมตตา ฮูหยินถูกยั่วให้โมโหเลยสั่งข้าน้อยมาบอกพระชายาและคุณหนูเสิ่นสักหน่อยเจ้าค่ะ"เมื่อเสิ่นว่านจือได้ยินว่าหลี่ฮูหยินถูกรังแก นางจะยอมทนได้ยังไง และพูดขึ้นทันทีว่า "ข้าจะไปเดี๋ยวนี้"เจ้ากรมหลี่มักจะพูดเสมอว่าหลี่ฮูหยินเป็นผู้หญิงห้าวๆ แต่หลี่ฮูหยินมีเหตุผล เมื่อเจอกับเจียอี้ที่ชอบเอาแต่ใจงี่เง่าก็รับมือยากเช่นกัน โดยเฉพาะตอนนี้เจียอี้ถูกไล่ออกจากบ้าน นางก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้ว แต่หลี่
เจียอี้ ผู้ซึ่งเย่อหยิ่งไม่หยุดนั้น จู่ๆ ก็เงียบบลงเมื่อเห็นซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือนางจับชายเสื้อผ้า ยกคางขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าอยู่ในสภาพตกอับก็ไม่ยอมก้มศีรษะ มีต่างหูผีเสื้อทองคู่เล็กห้อยอยู่บนหูของนาง ซึ่งไม่เข้ากับการแต่งตัวของนาง ราวกับว่ายังรักษาศักดิ์ศรีและความเป็นคนมีหน้ามีตาอยู่เล็กน้อยนางมาคนเดียวโดยไม่มีแม้แต่สาวใช้อยู่ข้างกายเลย"พระชายา คุณหนูเสิ่น พวกเจ้ามาพอดี" หลี่ฮูหยินโกรธมากจนหน้าแดง "ข้าเคยเห็นคนงี่เง่าและไร้เหตุผลมาเยอะแล้ว แต่ข้าไม่เคยเห็นคนมาทำเกะกะระรานขนาดนี้มาก่อน ไม่เพียงแต่จะเข้ามาโรงงาน ยังเรียกร้องให้เราเปลี่ยนชื่อด้วย พอถามนางว่าเหตุผลที่ถูกหย่า กลับนิ่งเงียบไม่ยอมบอก"ที่หลี่ฮูหยินโกรธก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อก่อตั้งโรงงานแรกๆ ซ่งซีซีและหลี่ฮูหยินก็ตั้งกฎขึ้นมาแล้ว หากมีคนถูกไล่ออกเนื่องจากทำสิ่งเลวร้ายหรือเป็นอันตรายต่อคนอื่น ทางโรงงานจะไม่รับดังนั้นพอเจียอี้มาก็ต้องถามต้นสายปลายเหตุก่อนแล้วค่อยทำการสอบสวนอีกทีตอนนี้นางพูดอ้อมแอ้มไม่บอกเหตุผล และยังคงเย่อหยิ่งและกำเริบเสิบสาน แล้วจะให้หลี่ฮูหยินไม่โกรธได้อย่างไร?ซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือนั่งลง เจียอ
เมื่อเจียอี้เห็นซ่งซีซีและคนอื่ๆ ขยิบตาให้กัน นางก็ใจร้อนขึ้นมาทันที โดยไม่สนว่าซ่งซีซีจะเป็นคนที่นางจะไปมีเรื่องได้หรือไม่ ก็ตะโกนเสียงดังว่า "พวกเจ้าต่างก็จอมปลอมจริงๆ ไม่อยากรับผู้หญิงที่ถูกรังแกและทอดทิ้งอย่างแท้จริงด้วยซ้ำ มาแกล้งทำเป็นใจดี ข้าจะไปเปิดโปงพวกเจ้าเดี๋ยวนี้"นางตะโกนแบบนี้ แต่กลับไม่ได้ลุกขึ้น ยังนั่งจ้องมองหลี่ฮูหยินด้วยความโกรธซ่งซีซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นการกระทำของอีกฝ่าย ในตอนแรกที่ได้ยินสาวใช้ของหลี่ฮูหยินมารายงาน นางคิดว่าเจียอี้มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาแต่พอเห็นสภาพของนางที่โรงงาน ก็รู้สึกว่ามันคงไม่ใช่อย่างที่คิดตอนนี้เห็นนางเอาแต่อาละวาด แต่ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่แม้แต่ขยับก้น มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ? คงไม่ใช่นางถูกไล่ออกจากบ้าน และใช้ชีวิตอย่างยากลำบากจริงๆ เหรอ"ได้ยินว่าเจ้าวางแผนที่จะเปลี่ยนชื่อโรงงานเย็บปักซู่เจินของเราเหรอ" เสิ่นว่านจือก็รู้สึกถึงว่ามีบางอย่างผิดปกติ และน้ำเสียงของนางก็ไม่ได้ก้าวร้าวนัก หลักๆ คือเมื่อเห็นนางอยากจะทำตัวกำเริบเสิบสานแต่ทำไม่ได้ก็รู้สึกน่าขันเจียอี้เบะปาก "ข้าแค่คิดว่ามันเป็นลางร้ายที่จะตั้งชื่อด้วยชื่อของคนตาม
การสอบสวนเรื่องนี้ ก็ไม่ต้องให้ซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือออกโรงเองหัวหน้าลู่และพ่อย้านของจวนโหวผิงหยางเป็นเพื่อนเก่ามาหลายปีแล้ว ในวันรุ่งขึ้นทั้งสองคนนัดกินข้าวกัน แล้วทุกอย่างก็ชัดเจนแล้วปรากฎว่าเมื่อปีที่แล้วได้แต่งอนุคนใหม่ อนุคนนั้นแซ่จาว พ่อของนางเป็นซิ่วไฉ ส่วนนางเองก็เรียนหนังสือมา ได้หมั้นหมายกันมาแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าคู่หมั้นได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อน และนางถูกหาว่ามีดวงกินสามี และถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดไม่รู้ว่าได้พบกับโหวผิงหยางอย่างไร แต่โหวผิงหยางก็ถูกใจนางเข้าแล้ว และแต่งนางเป็นอนุตามที่พ่อบ้านเฟิงบอกว่าที่รับอนุจาวคนนี้มาก็เพราะอยากให้นางช่วยดูแลบ้านด้วย เนื่องจากฮูหยินรองป่วยมานานแล้ว และเมื่อฤดูหนาวที่แล้วนางเกือบเสียชีวิต บัดนี้อากาศเริ่มอุ่นขึ้น อาการของนางถึงดีขึ้นมาหน่อยอนุจาวคนนี้ดูแลบ้านได้ดีมาก หลังจากที่แต่งเข้ามาก็ตอยช่วยฮูหยินผู้เฒ่าบริหารฝ่ายใน และฮูหยินผู้เฒ่าก็ชอบนางมากแน่นอนว่าเจียอี้จะไม่ชอบอนุจาว เพราะงั้นเจียอี้เลยเล่นงานนางทั้งเปิดเผยและลับหลัง โดนฮูหยินผู้เฒ่าดุมาหลายครั้งสดท้ายถึงยอมสงบเสงี่ยมเจียมตัวบ้างเมื่อสามเดือนก่อ
เมื่อซ่งซีซีเห็นเขาวันนี้ได้กลับมาเร็ว ก็ยิ้มหวาน และเลิกคิ้ว "คดีจัดการเสร็จแล้วหรือ?""เปล่า แต่ไม่อยากอยู่ดึกคืนนี้" ดวงตาของเซี่ยหลูโม่สบกับนาง และมีสีหน้าอ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว เขาเดินไปนั่งลงข้างๆ ซ่งซีซีด้วยรอยยิ้มอาจารย์หยูสั่งให้คนใช่ชงชา "คอจะลุกไฟอยู่แล้ว ไปทำน้ำชารี่ มาชงน้ำมะนาวมาให้หน่อย""วันนี้อาจารย์หยูยุ่งอะไรมาเหรอ? ถึงขั้นเสียงแหบแห้งไปด้วย" เสิ่นว่านจือถามด้วยรอย"ไปซื้อร้านค้าแล้วต่อรองราคาด้วย" หลังจากที่อาจารย์หยูคารวะซ่งซีซีเสร็จก็นั่งลงนางไม่สนใจเรื่อวซื้อร้านค้า ดังนั้นเสิ่นว่านจือจึงรีบถามเซี่ยหลูโม่ว่า "เมื่อกี้ท่านอ๋องบอกว่ารู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของเจียอี้ มันยังไงกันเหรอ?"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "แต่เดิมนางก็ไม่มีเงินมากนักอยู่แล้ว ตอนที่สืบสวนคดีกบฏของเซี่ยอวี้นและพบว่าเงินทั้งหมดที่ทำโดยร้านค้าของเจียอี้นั้นเป็นของเซี่ยอวี้น และร้านค้ที่ร่วมกับพวกฮูหยินและฉีกุ้ยไทเฟย เต๋อกุ้ยไทเฟยนั้นก็ถูกพันพัวด้วย ก่อนหน้านี้เคยสอบสวนมารอบหนึ่งแล้ว แต่ตราบใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับดคีนี้ก็ถูกปิดร้านหมด นางยังมีร้านส่วนตัวสองแห่ง แต่น่าเสียดายมันอยู่ใต้ชื่อฝู้หม่ากู้ ห
ซ่งซีซีนึกถึงเงินไม่กี่เบี้ยนั้นนางยังเก็บไปด้วย เห็นได้ชัดว่าจนตรอกไปจริงๆทว่าเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่เข้า แม้ว่าเดิมทีนางแค่ต้องกันเล่นงานท่านแม่ของอนุจาว แต่สุดท้ายกลับทำให้อนุจาวแท้งลูก จากนั้นยังผลักจ้านเส้าฮวนลงไปในทะเลสาบ ที่จ้านเส้าฮวนว่ายน้ำไม่เป็นนางก็รู้เรื่องด้วย เท่ากับว่านางจงใจจะสังหารจ้านเส้าฮวน"ข้ารู้ว่ามันไม่ควร" เสิ่นว่านจือพูดด้วยสีหน้าจริงจัง "แต่เมื่อจ้านเส้าฮวนถูกผลักลงไปในทะเลสาบ ข้าอยากจะหัวเราะจริงๆ"เมื่อพูดจบแล้วก็กล่าวขอโทษเบาๆ ราวกับชดเชยกับเสียงหัวเราะได้ซ่งซีซีขมวดคิ้วเล็กน้อย "สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจคือทำไมนางยังโง่ขนาดนี้ นางไม่ใช่ท่านหญิงอีกแล้ว และทางจวนโหวผิงหยางก็ไม่ชอบนาง ท่านแม่ถูกกักบริเวณ และท่านพ่อของนางถูกประหารชีวิต นางยังก่อเรื่องอะไรกัน ไม่อยากมีชีวิตต่อใช่ไหม""ถ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วจะขอความช่วยเหลือจากโรงงานเย็บปักได้อย่างไร" อาจารย์หยูกล่าวซ่งซีซีหันศีรษะมองไปที่เซี่ยหลูโม่ "ท่านคิดว่ายังไง"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "อาจมีเรื่องแอบแฝงก็ได้ พ่อบ้านเฟินไม่ทราบต้นสายปลายเหตุทั้งหมด เรื่องอื้อฉาวบางเรื่องในตระกูลใหญ่มักจะถูก
ยังไม่ทันที่ซ่งซีซีจะไปหาฮูหยินผู้เฒ่าโหวผิงหยาง ในวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวลือเกี่ยวกับโรงงานที่ข้างนอกหมดว่ากันว่าพระชายาเป่ยหมิงอ๋องและหลี่ฮูหยินต่างก็เป็นคนจอมปลอม แกล้งทำเป็นคนดี เมื่อมีผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้งไปขอความช่วยเหลือ พวกนางไม่เพียงแต่ปฏิเสธและยังหาเรื่องด้วยเดิมทีก็มีผู้คนจำนวนมากไม่ชอบโรงงานนั้น โดยคิดว่าพวกนางรับผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้งคือท้าทายจริยธรรม ในเมื่อถูกทอดทิ้งก็ย่อมสมควรได้รับมัน ต่อให้เป็นเพราะอิจฉาหรือไม่มีบุตรก็เป็นบาปขณะนี้เกิดข่าวลือขึ้นมาเป็นกระแส เมื่อมีข่าวลือผู้คนก็รุมกันกระทืบซ้ำ ในเวลานั้นประชาชนก็ด่าทอโรงงานยกใหญ่ไปทั่ว มีหาว่าจอมปลอมบ้าง โดนหาว่ามีเจตนาแอบแฝงบ้าง และมีคนหาว่าอยากโกงเงินด้วยในตอนเย็น เสิ่นว่านจือโกรธมากจนทุบโต๊ะแล้วพูดเสียงดังว่า "เจียอี้คนเดียวจะสร้างกระแสเช่นนี้ได้เหรอ ข้าไม่เชื่อหรอก"หลังจากพูดอย่างนั้น ก็วิ่งออกไปราวกับลมกระโชกแรง ซ่งซีซีถามอยู่ข้างหลังว่า "เจ้าจะไปไหน""ตึกว่างจิง หาคนไปสอบสวน" เสิ่นว่านจือจากไปโดยไม่หันกลับมามองนางโกรธมากจนตัวสั่นไปทั้งตัว นางทุ่มเทความพยายามอย่างมากในโรงงาน และมีเจตนาที่ดี นางเห็นอกเห็นใจก
จีซูเซิ่นสอบถามอย่างละเอียดว่านางพบเขาได้อย่างไร ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพไหน และเขาพาเด็กมาด้วยหรือไม่ หวังชิงหรูกล่าวว่า “เมื่อวานข้าออกไปซื้อหม้อตุ๋น ตั้งใจจะทำยาบำรุงให้ท่านแม่ พอซื้อเสร็จออกมา เขาก็เดินเข้ามา ตอนนั้นข้าตกใจมาก คิดว่าเป็นคนร้าย เขาเรียกข้าว่าน้องสาม พอได้ยินเสียงข้าก็จำได้ทันที ใบหน้าของเขาดำคล้ำ คิ้วก็ถูกโกนจนหมด ทั้งตัวผอมจนแทบจำไม่ได้ ถ้าไม่เพ่งดูดีๆ ข้าคงไม่เชื่อว่าเป็นพี่ใหญ่” หวังชิงหรูนึกย้อนถึงเมื่อวาน และคำพูดของพี่สะใภ้ใหญ่เมื่อครู่ ก็ยังรู้สึกใจสั่น “เขาไม่ได้พาเด็กมาด้วย มาเพียงลำพัง เขาบอกว่าตอนนั้นถูกบังคับให้หนี ตอนนี้ทุกที่มีหมายจับเขา ติดตัวไม่มีเงิน แถมยังมีลูกต้องเลี้ยง จึงลำบากมาก เขาให้ข้ากลับไปคุยกับท่านแม่เพื่อช่วยหาเงินสามพันตำลึงให้” “ถ้าหาเงินมาได้ จะส่งให้เขาอย่างไร?” จีซูเซิ่นรีบถาม “เขาไม่ได้บอก เพียงแต่ให้ข้าหาเงินมาให้ได้ก่อน แล้วเขาจะหาทางมาหาข้าเอง” หวังชิงหรูกล่าว จีซูเซิ่นด่าในใจว่า เขาไม่ได้ระวังตัวกับคนอื่น แต่กลับใช้ความระมัดระวังทั้งหมดกับคนในครอบครัวตัวเอง นางคิดครู่หนึ่งก่อนถามว่า “เขาไม่มีคิ้วแล้ว?” “ใช่ คงโก
จีซูเซิ่นกำลังเย็บเสื้อผ้าให้ลูกสาว เมื่อตัดเย็บเสร็จ นางก็ปักลวดลายตกแต่งลงไป ทุกวันนี้ลูกสาวของนางอาศัยอยู่ในจวนเป่ยหมิงอ๋อง จึงไม่สมควรให้ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดมาจากจวนอ๋อง ความคิดของนางยุ่งเหยิง คำพูดของพระชายาอ๋องที่พูดกับนาง นางเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้น หากหวังเบียวจนตรอก เขาย่อมกลับมายังเมืองหลวง แต่หลังจากเขากลับมาแล้ว เขาจะมาหานางทันทีหรือไม่ ก็ยังไม่แน่นอน เขาน่าจะพยายามหาฮูหยินผู้เฒ่าก่อน และเมื่อรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีความสามารถช่วยเหลือเขาได้ จึงจะมาหานาง แต่ฮูหยินผู้เฒ่ารักลูกชายมาก นางย่อมพยายามทุกวิถีทาง วันนี้แม้จะเพียงติดตามพวกนางตลอดทางโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าวันพรุ่งนี้หรือวันถัดไปจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น การที่หวังเบียวกลับมายังเมืองหลวง ก็เพียงเพราะต้องการเงิน เขาไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงได้เป็นเวลานาน ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีเงินติดตัว แต่การอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี ทำให้นางมีเครือข่ายอยู่บ้าง ยืมจากตรงนั้นเล็กน้อย ตรงนี้เล็กน้อย ก็เท่ากับลากคนอื่นให้ลำบากไปด้วย อย่างไรก็ตาม นางป่วยหนักออกไปไหนไม่ได้ และคงไม่กล้าหน้าห
นางไม่ได้ไปหา หวังเยว่จาง ในอดีตนางอาจหน้าหนาพอที่จะคิดว่า เขาอย่างไรก็เป็นสายเลือดของจวนป๋อผิงซี เมื่อครอบครัวหรือญาติเกิดปัญหา การช่วยเหลือย่อมเป็นหน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้นางจะไม่ทำเช่นนั้นอีก นางเข้าใจความจริงบางประการว่า ในวันที่จวนป๋อผิงซีรุ่งเรือง เขาไม่เคยได้สัมผัสแม้เศษเสี้ยวของเกียรติยศนั้น แต่พอถึงวันที่ล่มจม กลับต้องการให้เขายื่นมือช่วยเหลือ นางทำเช่นนั้นไม่ได้ ส่วนเรื่องว่าจะไปหาพี่สะใภ้ใหญ่เพื่อพูดเรื่องนี้หรือไม่ นางลังเลใจยิ่งนัก เพราะอย่างไรเสีย นางก็ไม่อยากให้พี่ใหญ่ตาย นางนั่งอยู่ใต้ต้นไหว มองเหม่อลอยอยู่นาน พอดีศิษย์พี่ซือโซยกตะกร้าไหมเดินผ่านมา เมื่อเห็นนางก็รีบเลี้ยวหลบไปทางอื่น ท่าทางเหมือนไม่อยากเผชิญหน้ากับนาง หวังชิงหรูนึกถึงเรื่องเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ รีบเรียกนางไว้ “ศิษย์พี่ซือโซ ขอโทษเรื่องเมื่อครู่นี้ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ศิษย์พี่ซือโซเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “อืม” พูดจบ นางก็เตรียมเดินจากไป หวังชิงหรูคิดถึงนิสัยของหญิงสาวในยุทธภพเหล่านี้ ที่มักซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ไม่คิดอะไรซับซ้อน จึงถามว่า “ศิษย์พี่ซือโซ ข้าขอพูดคุย
หวังชิงหรูรู้ว่าศิษย์พี่ซือโซเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้รีบอธิบาย เพราะในใจยังว้าวุ่น นางปิดประตู ยกยาเข้าไปแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ดื่มยาก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยคิดหาวิธีแก้ทีหลัง” ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้า มองหน้านางพลางกล่าวว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าลองถามใจตัวเองดูว่าพี่ชายของเจ้าเคยปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร?” หวังชิงหรูขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านแม่ พวกเราไม่มีความสามารถจะช่วยเขาได้ พวกเรายังอาศัยอยู่ในโรงงาน เงินที่ใช้ซื้อยาของท่านยังเป็นของแม่นางเสิ่นเลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “เจ้าคิดผิด เงินเหล่านี้ล้วนเป็นของเยว่จาง เขาแม้จะไม่ได้ยอมรับพวกเรา แต่ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้หยุดช่วยเหลือเราเลย” หวังชิงหรูกล่าวว่า “แม้ว่าเงินจะเป็นของเขา พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์จะขอให้เขาเอาเงินไปช่วยพี่ใหญ่ของเรา” “เงินเหล่านั้น” ฮูหยินผู้เฒ่ากัดฟัน กล่าวความจริงออกมาว่า “ไม่ใช่ของเขา ในตอนนั้นที่เขากลับมา พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าแนะนำให้ชดเชยเขา จึงโอนที่ดินและร้านค้าให้เขาบางส่วน” “ในเมื่อโอนให้เขาไปแล้ว และเขาก็ช่วยเหลือพวกเราอย่างลับๆ เสมอมา ยังจะให้เขาคืนกลับมาอีกหรือ? ท่านแม่ เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย” ฮู
จีซูเซิ่นไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังชิงหรู ในวันรุ่งขึ้นขณะที่พวกนางออกไปตรวจที่ร้านขายยาเย่าหวัง นางแปลงตัวเป็นชาวนาและแอบตามไป เพียงแต่ตลอดทางจากไปจนกลับ ไม่มีใครเข้ามาใกล้รถลาของพวกนาง และระหว่างทางรถลานั้นก็ไม่ได้หยุดเลย หลังจากกลับมาถึงโรงงาน หวังชิงหรูก็เริ่มต้มยา ในโรงงานไม่มีใครคอยรับใช้ ทุกคนต้องผลัดกันทำอาหาร ตอนแรกหวังชิงหรูทำอะไรไม่เป็นเลย แม้แต่การก่อไฟยังต้องใช้เวลาฝึกถึงสามวัน อาหารมื้อแรกที่นางทำถึงกับกินไม่ได้เลย คนในโรงงานช่วยเหลือกัน แต่ก็ล้อกันด้วย พวกเขาหัวเราะเยาะว่านางมีร่างกายเหมือนฮูหยิน แต่โชคชะตาไม่ใช่ฮูหยินตอนแรกนางโกรธและรู้สึกน้อยใจ คิดว่าทำไมต้องมาเจอกับความลำบากเช่นนี้ นางถึงขั้นคิดว่าพวกเขาตั้งใจกลั่นแกล้ง จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเจียอี้มาที่โรงงานเพื่อเยี่ยม นางลงมือทำอาหารเอง มันอาจจะไม่เลิศรส แต่ก็รสชาติกลมกล่อมพอดี นางนิ่งเงียบไป หวังชิงหรูรู้ดีว่าเจียอี้เคยเป็นคนอย่างไร อดีตท่านหญิงที่หยิ่งยโส แต่หลังจากถูกหย่าแล้วได้รับการพากลับมา นางยังสามารถลดตัวเองลงและลงมือทำอาหารให้กลุ่มสตรีที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้ได้ ที่สำค
สถานการณ์ของหวังเบียวทำให้ซ่งซีซีแปลกใจไม่น้อย นางคิดว่าเขาจะพาคนสนิทหนีไปซ่อนได้อย่างน้อยสองสามปี ใครจะคาดคิดว่า ระหว่างทางเขาจะถูกปล้นทรัพย์สิน แม้แต่อนุที่รักก็ยังทอดทิ้งเขา ไม่รู้ว่าในเวลานั้น เขาเคยเสียใจต่อความโง่เขลาของตัวเองบ้างหรือไม่ คนวัยกลางคน กลับยังหลงเชื่อในความรักแท้ คิดจะทิ้งภรรยาที่อยู่เคียงข้างและดูแลเขามากว่าสิบปี สุดท้ายกลับถูกคนอื่นทิ้งเสียเอง นับว่าเป็นกรรมที่ตามสนอง แต่กรรมที่เขาได้รับยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ด้วยนิสัยของกู้ชิงหวู่ ตอนที่จากไปนางต้องเคยดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่นางเคยดูถูกเหลียงเส้า กู้ชิงหวู่ใช้ความงามของตัวเองเป็นเครื่องมือ แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดชังชายที่หลงใหลในความงามของนางอย่างยุติธรรม ในความเป็นจริง ซ่งซีซีคิดว่าหวังเบียวอาจไม่ได้อยู่ที่อำเภอหยง เพราะด้วยสถานะของเขาในฐานะผู้หลบหนี เขาไม่สามารถปรากฏตัวด้วยหน้าตาที่แท้จริง และไม่กล้าพำนักในที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ได้แต่หนีซุกซ่อน เขายังพาลูกไปด้วยอีก ซ่งซีซีคิดว่า หากเขาจนตรอก เขาอาจจะแอบกลับเมืองหลวงหรือไม่?แม้เขาจะโง่ แต่ก็ไม่ถึงกับโง่สิ้นดี เขารู
กู้ชิงหวู่กำหมัดแน่น ดวงตาเปล่งประกายแห่งความโกรธ "ดังนั้นข้าถึงบอกว่า สวรรค์ไม่ยุติธรรม ไยต้องเป็นเช่นนี้?" "เจ้าพูดเอง ด้วยชาติกำเนิดที่ดีของข้า รวมถึงสตรีหน้าเหลืองที่เจ้ากล่าวถึง นางก็เป็นสตรีผู้สูงศักดิ์" ซ่งซีซีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่เต็มไปด้วยท่าทีเหนือกว่า กู้ชิงหวู่เกลียดชังท่าทางเช่นนี้ที่สุด มันเหมือนกับอดีตองค์หญิงใหญ่ที่อยู่บนหอคอยสูง ในขณะที่ตนต้องก้มต่ำอยู่ในโคลนตม นางโกรธจัด หน้าอกสะท้อนขึ้นลง "ถึงจะเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์แล้วอย่างไร? ก็ยังถูกสามีรังเกียจอยู่ดีมิใช่หรือ?" "หวังเบียวหรือ? นางไม่เคยใส่ใจเขาเลย มีแต่เจ้าที่มองเขาเหมือนสมบัติ" ซ่งซีซีตอบอย่างไม่ใส่ใจ "สำหรับข้า เขาก็ไม่ใช่สมบัติอะไร แค่ขยะชิ้นหนึ่ง" กู้ชิงหวู่ตอบด้วยแววตาดุดัน ซ่งซีซีหัวเราะเยาะ "ข้ารู้ว่าไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าถึงกับให้กำเนิดบุตรให้เขา ทั้งที่รู้ว่าการหนีจากสนามรบเป็นความผิดร้ายแรง เจ้ากลับไม่สนใจและหนีตามเขาไป ข้าเคยเจอคนปากไม่ตรงกับใจเช่นเจ้ามานักต่อนัก" "ไร้สาระ!" กู้ชิงหวู่ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ใบหน้าแดงก่ำ แต่ไม่นานก็หัวเราะเยาะ "ฮะ คิดจะหลอกข้าหรือ? ใช่ ข้ารักเขาจนถ
สถานที่อันเป็นมงคลนี้ถูกเลือกโดยสำนักโหรหลวง เป็นสถานที่ที่งดงามด้วยภูเขาและสายน้ำ มีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ สองแห่ง แม้จะเรียกว่าด้านข้างพระราชสุสาน แต่ความจริงแล้วห่างจากพระราชสุสานถึงสามสิบลี้ หลังจากงานศพ กู้ชิงหยิงมาพบซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือเพื่อกล่าวลา บอกว่าจะไปสร้างกระท่อมเล็กๆ อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อเฝ้าสุสานของบิดาบุญธรรม เสิ่นว่านจือถามว่านางต้องการความช่วยเหลือเรื่องเงินหรือไม่ นางตอบว่าไม่จำเป็น เพราะนางจะขายเครื่องประดับที่เคยซื้อไว้ ก็เพียงพอจะกลายเป็นคนมีฐานะเล็กๆ ได้ วันที่นางจากไปพอดีกับวันที่เจ้าสิบเอ็ดฝางคุมตัวอ๋องเยี่ยนและคนอื่นๆ กลับเมืองหลวง นางยืนอยู่ที่ประตูเมือง มองเข้าไปในรถนักโทษที่มีอ๋องเยี่ยนและอ๋องฮวย ความเกลียดชังพลันผุดขึ้นในใจ แต่เมื่อเห็นชาวบ้านต่างด่าทอและโยนใบไม้เน่าใส่พวกเขา นางก็รู้สึกคลายความโกรธ เพราะคิดว่าคนชั่วได้กรรมของตนเองแล้ว สำหรับนาง นับจากนี้ก็เป็นอิสระแล้ว ไม่มีใครหรือสิ่งใดมาผูกมัดนางได้อีก ในการคุมตัวครั้งนี้ ยังมีข้าราชการของหนิงโจวและชิวเหมิงถูกนำตัวกลับมาด้วย สิ่งที่ทำให้ซ่งซีซีประหลาดใจคือ นางยังเห็นกู้ชิงหวู่ด
ใช้เวลาห้าวันกว่าจะกวาดล้างเศษซากกบฏได้หมดสิ้น เจ้าสิบเอ็ดฝางและมู่ฉงกุยส่งข่าวชัยชนะมาว่าได้จับชิวเหมิงกบฏตัวสำคัญเป็นเชลย พร้อมนำตัวอ๋องเยี่ยน อ๋องหวย และอู๋เซียงผู้ทรยศกลับมายังเมืองหลวง ซึ่งอีกไม่นานจะมาถึง ยกเว้นเพียงหวังเบียวที่ยังคงหลบหนี นอกนั้นกบฏส่วนใหญ่ล้วนถูกจับกุมได้หมดแล้ว วันที่ 25 เดือนเจ็ด สำนักราชวังจัดพิธีศพให้ท่านอ๋องฮุย เพราะเหตุการณ์กบฏของเซี่ยทิงเหยียน พิธีศพจึงจัดอย่างเรียบง่าย และจักรพรรดิ์ซูชิงทรงเรียกขุนนางมาหารือว่าท่านอ๋องฮุยควรได้ฝังในสุสานอ๋องหรือไม่ แม้ว่าท่านอ๋องฮุยจะบริสุทธิ์ แต่ความผิดของเซี่ยทิงเหยียนเป็นโทษที่เกี่ยวพันถึงทั้งตระกูล ซ่งซีซีไม่ได้รับการเรียกตัวให้เข้าร่วมพิธี นางจึงพาผู้คนจากจวนเป่ยหมิงอ๋องมาร่วมงานศพของอ๋องฮุย พิธีศพจัดอย่างเรียบง่าย ไม่มีขุนนางมาร่วมงาน นอกจากจักรพรรดิ์จะทรงอนุญาตให้อ๋องฮุยฝังในสุสานอ๋อง มิฉะนั้นจะไม่มีใครกล้าเข้าร่วม กู้ชิงหยิงสวมชุดไว้ทุกข์คุกเข่าเผากระดาษหน้าโลงศพ ศพของอ๋องฮุยถูกบรรจุในโลงแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดฝา เมื่อซ่งซีซีและเสิ่นว่านจือมาถึง ยังสามารถไปดูหน้าศพครั้งสุดท้ายได้ มีโลงศพสา