ทันทีที่ซ่งซีซีเห็นยาทำหมัน นางก็รู้สึกตระหนกในใจ เอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาททรงระแวงเจ้าอีกแล้วหรือ?”เซี่ยหลูโม่ส่ายหน้า “ตอนนี้ไม่ระแวงแล้ว กลับกัน พระองค์ทรงไว้เนื้อเชื่อใจอย่างมาก บรรดาราชฎีกาส่วนใหญ่ก็ต้องผ่านมือข้ากับท่านเจ้ากรมก่อนถึงโต๊ะทรงพระอักษรของพระองค์เสียอีก”“เช่นนั้นแล้วไยต้องคิดถึงเรื่องนี้?” ซ่งซีซีไม่เข้าใจ“พิจารณาอยู่สามข้อ” เซี่ยหลูโม่วางยาเม็ดนั้นลงเบาๆ แล้วจับมือนางไว้แน่น “ข้อแรก ฝ่าบาทที่ไว้ใจข้าในยามนี้ ก็เพราะเพิ่งผ่านเรื่องราวมากมายมา อีกทั้งพระอาการก็ทรงทรงตัว จึงปลอดโปร่งจากความระแวง แต่หากวันใดพระอาการทรุด ข้ากลับมีอำนาจล้นมือ แล้วยังมีบุตรชายอีก... เช่นนั้น ข้าจะกลายเป็นภัยคุกคามในสายพระเนตรแน่นอน”ซ่งซีซีพยักหน้าเข้าใจ “เช่นนั้นเราก็รอสักสองสามปีก็ได้ไม่ใช่หรือ? เดิมทีท่านก็เคยกินยาครั้งหนึ่ง มันควบคุมได้ถึงห้าปีมิใช่หรือ? ตอนนี้ก็ครบห้าปีแล้ว กินอีกเม็ดก็อยู่ได้อีกห้าปีมิใช่หรือ?”เซี่ยหลูโม่กำมือแน่นขึ้น “ยานี่ก็คือเม็ดที่สอง ครั้งแรกกินแล้วคุมได้ห้าปี แต่ครั้งที่สอง... จะเป็นหมันถาวร ชิงเชวี่ยบอกว่า หากข้าไม่กิน... เจ้าต้องดื่มยาคุมกำเนิด ยานั้นทำร้
ฝนฤดูใบไม้ผลิชุ่มฉ่ำดั่งน้ำมัน แม้เป็นฝนเดือนสี่ ก็ไม่ถือว่ามาสายจักรพรรดิ์ซูชิงยืนอยู่ที่หน้ามุขนอกห้องทรงพระอักษร ทอดพระเนตรโคมลมพลิ้วไหวท่ามกลางสายฝนยามราตรี สิ่งที่ทอดพระเนตรดูประหนึ่งความฝัน ประหนึ่งความจริง เงาร่างของเซี่ยหลูโม่เลือนหายไปในสายฝนเนิ่นนานแล้ว มองก็ไม่เห็นอีกต่อไป พระทัยของพระองค์เต็มไปด้วยความขมขื่น ระลึกถึงภาพที่เขากลืนโอสถนั้นลงไปอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ มิได้มีแม้แต่เสี้ยววินาทีของความลังเล ขณะเดียวกันที่พระองค์รู้สึกวางพระทัย ก็กลับเจ็บปวด เป็นพระองค์เองที่บีบบังคับพระอนุชาให้ถึงจุดนี้ ทั้งเขาและภรรยาก็ยังหนุ่มสาวนัก ไม่จำเป็นต้องมีอนุ ก็สามารถให้กำเนิดบุตรชายหญิงได้สามถึงห้าคน แต่เมื่อกินโอสถนั้นลงไปแล้ว สายโลหิตของเขาก็ขาดสะบั้น แม้จะสามารถรับบุตรบุญธรรม แต่ถึงอย่างไรก็หาใช่สายเลือดของตนเอง จะไม่ให้นับเป็นความอาลัยได้อย่างไร? ในฐานะพี่ชาย พระองค์รู้สึกเสียดายและเจ็บปวดอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ในฐานะฮ่องเต้ พระองค์ก็สามารถวางพระทัยได้อย่างแท้จริง ความรู้สึกขัดแย้งนี้ ทำให้พระองค์ทอดถอนพระทัยเบาๆ ตรัสว่า “ในใต้หล้า จะมีหนทางใดเล่าที่สมบูรณ์
วันที่สองเดือนสอง มังกรเงยหัวขึ้น หมอมหัศจรรย์ดันกลับมาจากสำนักเทพโอสถแล้ว เดินทางเหน็ดเหนื่อยฝ่าลมฝุ่นมาตลอดทาง พอเข้าเมืองหลวงได้ก็รีบเข้าวังทันที ยังมิได้กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียด้วยซ้ำ ขณะนั้นจักรพรรดิ์ซูชิงกำลังทรงหารือราชกิจในห้องทรงพระอักษร เมื่อทรงได้ยินว่าหมอมหัศจรรย์ดันมาขอเข้าเฝ้า ก็ทรงให้ขุนนางออกไปทั้งหมด เหลือเพียงเซี่ยหลูโม่ แล้วเชิญหมอมหัศจรรย์ดันเข้าตำหนัก หมอมหัศจรรย์ดันออกจากเมืองหลวงไปหนึ่งปีกับหนึ่งเดือนแล้ว รูปกายดูแก่ลงมาก ผมข้างหูขาวโพลน จักรพรรดิ์ซูชิงเสด็จลงมาประคองเขาที่ยังมิทันได้คำนับ การรอคอยตลอดหนึ่งปีนี้ บัดนี้ใกล้ได้รับคำตอบแล้ว แต่พระองค์กลับทรงรู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมา “วางใจเถิด” หมอมหัศจรรย์ดันกล่าวคำสองคำก่อนเป็นอันดับแรก ทำให้พระทัยของจักรพรรดิ์ซูชิงกับเซี่ยหลูโม่ที่แขวนอยู่ค่อยๆ วางลง เมื่อเชิญหมอมหัศจรรย์ดันนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็ทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า “เดิมทีเคยเขียนจดหมายมาบอกว่าอาการทรงตัว ไร้ภัยถึงชีวิต แต่ยังไม่ทันได้ส่งจดหมายนานก็เกิดอาการป่วยไอเป็นเลือดขึ้นมา โรครุนแรงฉับพลัน ข้าคิดว่าเขาคงทนไม่ไหวเสียแล้ว คนแทบจะสิ้นใจไปแ
ปลายฤดูใบไม้ร่วงเดือนสิบ เป็นฤกษ์มงคลแต่งงานของหวังเยว่จางกับเสิ่นว่านจือ แท้จริงแล้วเมื่อปีที่แล้วในคืนเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง เสิ่นว่านจือก็ตอบรับคำขอแต่งงานของหวังเยว่จางแล้ว ตลอดเส้นทางที่เคียงข้างกันมานี้ นางรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่คู่ควรให้นางมอบหัวใจให้โดยแท้จริง ตอนที่นางตอบตกลง นางก็ตั้งใจจริงอย่างที่สุดว่าจะแต่งงาน จึงให้อารมณ์ในห้วงขณะนั้นเป็นผู้ตัดสิน ผ่านมาหนึ่งปีเต็มกว่าจะจัดพิธีแต่งงานได้ มิใช่เพราะต้องเตรียมของหมั้นหรือของสินเดิมมากมายอย่างไรเสีย ของเวืยเดืใของเสิ่นว่านจือ ทางตระกูลเสิ่นก็เริ่มจัดเตรียมตั้งแต่ปีที่นางถือกำเนิด ทุกปีก็เติมเพิ่มเข้าไป บัดนี้ถึงกับซื้อบ้านและเรือนสวนในเมืองหลวงไว้ให้แล้ว ส่วนของหมั้น ทางภูเขาเหม่ยชานก็เตรียมไว้ตั้งนานแล้ว ที่เรื่องแต่งงานล่าช้าออกมาจนถึงตอนนี้ เป็นเพราะความเห็นไม่ลงรอยกัน ทั้งตระกูลเสิ่น สถาบันชื่อเยียน สถาบันว่านซงเหมิน รวมทั้งตัวเสิ่นว่านจือเอง ต่างก็มีความเห็นไม่ตรงกัน เสิ่นว่านจืออยากออกเรือนจากจวนอ๋อง แล้วให้หวังเยว่จางมารับตนกลับไปที่บ้านเรือนของเขา วิธีนี้สะดวกยิ่ง ไม่ต้องเดินทางไกลกลับไปถึงเจียงหนาน
ซ่งซีซีคิดว่าวันนี้ยังมีเวลาได้พูดคุยกับเสิ่นว่านจืออย่างเต็มที่ แต่กลับลืมเสียสนิทว่าวันแต่งงานนั้น มีเรื่องจุกจิกมากมายเพียงใด สาวช่างแต่งเจ้าสาวที่เชิญมาโดยเฉพาะได้มาถึงแล้ว ลงมือแต่งหน้า จัดแต่งผมให้ นับได้เพียงชั่วยามเดียวก็ผ่านไปแล้ว เสิ่นว่านจือหน้าตางดงามสดใสอยู่แล้ว ยิ่งอยู่ใต้ฝีมือของช่างที่เชี่ยวชาญ ก็ยิ่งงามจนบุปผายังอาย กลางวันทานเพียงอาหารง่ายๆ พอเสร็จแล้ว แขกผู้ร่วมส่งตัวเจ้าสาวก็ค่อยๆ ทยอยกันมาถึง เดิมทีภรรยาของพี่ชายคนโตของฝ่ายเจ้าบ่าวคือสตรีสกุลจี ไม่ควรจะมาที่นี่ แต่จีซูเซิ่นกลับยืนกรานจะมา นางบอกว่า นางก็เป็นคนฝ่ายเจ้าบ่าว และก็เป็นฝ่ายเจ้าสาวด้วย ไม่ขัดแย้งกันสักหน่อย อย่างไรก็เป็นวันมงคล จะอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่ทุกคนมีความสุขก็พอแล้ว ตอนที่สวมชุดเจ้าสาว เสิ่นว่านจือกลับรู้สึกประหม่าอย่างไร้สาเหตุ นางจะแต่งงานจริงๆ แล้วหรือ? แต่งงานหมายถึงต้องดูแลบ้าน มีลูก ไม่อาจใช้ชีวิตอิสระเสรีได้เหมือนเดิมอีกต่อไป เป่าจูยังเคยพูดว่าแต่งงาน แต่ตอนนี้นางก็ยังไม่แต่งเลยนี่นา นางหันขวับไปมองเป่าจู “ทำไมเจ้าถึงไม่แต่งงานกันล่ะ” เป่าจูถึงกับอึ้
หัวหน้าตระกูลเสิ่นรอจนเสิ่นว่านจือคำนับครบสามครั้ง ถึงได้กลั้นสะอื้นเอาไว้ได้ “ลุกขึ้นเถิด เจ้าเด็กไร้หัวใจ” เสิ่นว่านจือค่อยๆ ลุกขึ้น ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำใส นางเงยหน้าขึ้น บีบไล่น้ำตากลับคืน ในชั่วขณะนั้นจู่ๆ นางก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา เสียใจที่ตัวเองดื้อดึงเกินไป ไม่ยอมให้ญาติพี่น้องมาร่วมงาน ดันเลือกความสะดวกสบาย อยากจัดงานแต่งที่เมืองหลวง “ท่านพ่อ วันนี้เมื่อจัดงานมงคลเสร็จแล้ว พวกเราจะติดตามท่านกลับบ้าน ไปจัดงานเลี้ยงที่บ้านอีกครั้ง รอจัดงานที่บ้านเสร็จแล้ว ค่อยกลับไปจัดอีกครั้งที่สำนัก ดีหรือไม่เจ้าคะ?” หัวหน้าตระกูลเสิ่นย่อมรู้สึกยินดีเป็นธรรมดา เพียงแต่ก็อดสงสารลูกสาวที่จะต้องเดินทางไปมาลำบากไม่ได้ “เจ้าเคยพูดมิใช่หรือว่า เจียงหนานไม่มีสหาย ไม่อยากกลับไปจัดงานที่นั่น?” “ลูกไม่มีมากก็จริง แต่ท่านพ่อมี ท่านปู่ก็มี ลูกจะเห็นแก่ตัวเพียงลำพังไม่ได้ ทำให้ท่านต้องเสียหน้าไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” หัวหน้าตระกูลเสิ่นมองลูกสาวอย่างทั้งปลื้มใจและปวดร้าวในใจ พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ลูกสาวที่รู้ความถึงเพียงนี้ วันนี้จะต้องออกเรือน เป็นสะใภ้บ้านอื่นเสียแล้ว” เสิ่นว่านจือเดินเข้า
วันแรกที่หิมะแรกโปรยปรายลงมา จักรพรรดิ์ซูชิงพลันเกิดความคิดประหลาดขึ้นมา ทรงมิได้เสด็จออกว่าราชการมานาน แต่กลับเสด็จประทับบนบัลลังก์มังกร ทรงประกาศว่าจะเสด็จออกตรวจตราด้วยพระองค์เอง เพื่อทอดพระเนตรแผ่นดินแคว้นซางอันงดงาม ส่วนราชกิจนั้นเดิมทีเนี่ยเจิ้งหวางเป็นผู้ดูแลอยู่แล้ว บัดนี้ก็ให้เขารับผิดชอบต่อไป จักรพรรดิ์ซูชิงทรงมีพระพักตร์อิดโรย ผอมซูบ ขุนนางทั้งหลายพากันทูลทัดว่าไม่ควรเสด็จไป แต่พระองค์ทรงตั้งพระทัยไว้แล้ว จึงให้ซ่งซีซีกับชี่กุ้ยคุมคนติดตาม พร้อมพาหมอมหัศจรรย์ดันและหมอหลวงจินร่วมทางด้วย แล้วในวันถัดจากที่ประกาศ ก็ออกเดินทางทันที การเสด็จออกตรวจครั้งนี้ของจักรพรรดิ์ซูชิง มิใช่การตัดสินใจชั่ววูบ แต่ได้ปรึกษาเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมานานแล้ว แม้หมอมหัศจรรย์ดันจะไม่เห็นด้วย แต่เมื่อพระองค์ยืนกรานจะไป เขาก็ทำได้เพียงติดตามร่วมเดินทาง แผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ จักรพรรดิ์ซูชิงย่อมอยากทอดพระเนตรอีกสักครั้ง แต่จุดหมายที่แท้จริงของพระองค์คือ สำนักเทพโอสถพระองค์ต้องการพบลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย หมอมหัศจรรย์ดันก็เคยบอกกับเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีไว้เป็นการส่วนตัวแล้ว ว่าการเสด็จไป
ก่อนจักรพรรดิ์ซูชิงจะเสด็จออกจากเมืองหลวง เซี่ยหลูโม่ก็ดำรงตำแหน่งเนี่ยเจิ้งอ๋อง และรับหน้าที่ว่าราชการแทนพระองค์แล้วเขามีผลงานการศึกอันเกรียงไกร ขุนนางทั้งราชสำนักเดิมทีก็มิได้มีผู้ใดไม่ยอมรับฟังคำสั่งเขา ตรงกันข้ามยังเคารพนับถือเขาไม่น้อยแต่บัดนี้ฮ่องเต้แม้ประชวรกลับปลอมกายออกจากวัง ร่ำลือในราชสำนักกลับเริ่มกล่าวถึงเนี่ยเจิ้งอ๋องด้วยความระแวงที่ระแวงเขา ก็เพียงเพราะหวั่นเกรงว่าองค์รัชทายาทยังเยาว์วัย เนี่ยเจิ้งอ๋องจะฉวยโอกาสข่มเหงและคิดชิงราชบัลลังก์ในภายภาคหน้าแต่เดิม เรื่องทำนองนี้ ล้วนเป็นเรื่องที่คนพูดมากเข้าก็กลายเป็นความจริง คำพูดของคนมากมายมีพลังยิ่งกว่าทองคำ ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนไม่น้อยที่มิได้ให้ความเคารพเซี่ยหลูโม่ดั่งเดิม ต่อราชโองการของเขาก็รับเพียงเปลือกนอก หาได้ทำตามจริงไม่ กระทำการลวกๆ เพียงขอไปทีหลี่เต๋อฮวยเห็นบรรดาขุนนางบางคนมีพฤติการณ์เยี่ยงนี้ ก็กระวนกระวายใจนัก จึงไปพบกับเจ้ากรมอาญาหลี่ลี่เป็นอันดับแรก เพราะหลี่ลี่คือท่านตาขององค์รัชทายาท เป็นบิดาของพระสนมซูเฟยผู้ล่วงลับ ยามนี้เมื่อเกิดข่าวลือว่าร้ายต่อเนี่ยเจิ้งอ๋อง หลี่ลี่ควรจะออกหน้าแก้ต่างให้เนี่ยเจิ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า