หูอวิ๋นเสียงรู้ดีว่าตนเองเป็นฝ่ายไม่มีเหตุผล แต่เขาต้องเอากระดานค่ายกลกลับคืนมาให้ได้ “ข้าไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับสำนักของท่านไม่ใช่หรือ? ข้าศึกษาค่ายกลที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าของท่านไม่ได้หรือไร? ผู้แข็งแกร่งระดับกำเนิดวิญญาณอย่างท่านควรอับอายที่ถือสากับระดับสร้างฐานปราณอย่างข้าใช่หรือไม่?” “ข้าไม่ถือสาเจ้า ย่อมมีคนถือสาเจ้า” ตั้งแต่ต้นจนจบหลิ่วชางหลานเอาแต่จดจ่ออยู่กับมู่เชียนเจวี๋ยที่อยู่ในค่ายกล เมื่อเห็นลมปราณของอีกฝ่ายมั่นคงก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก“ข้ามีพลังบำเพ็ญเพียรแค่ระดับสร้างฐานปราณเท่านั้น พวกท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการรังแกผู้อื่นหรือ?” หูอวิ๋นเสียงรู้ว่าทำเช่นนี้จะยั่วโทสะหลิ่วชางหลานได้แต่กระดานค่ายกลก็คือชีวิตของเขา เขาต้องเอากลับมาให้ได้กลิ่นอายของหลิ่วชางหลานเย็นยะเยือกลงโดยสิ้นเชิง “เมื่อเจอคนที่อ่อนแอกว่าเจ้า ก็เรียกร้องว่าผู้แข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพ เมื่อเจอคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า ก็เรียกความยุติธรรมอีก”องครักษ์เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “คุณชายอย่าเอ่ยอีกเลยขอรับ ท่านอยากให้ทุกคนตายไปพร้อมกับท่านหรือ?”ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นกลัวหูอวิ๋นเสียงยั่วโทสะหลิ่วชางหลานเช
เขตชิงอวิ๋นงานชุมนุมสำนักเฟิ่งชิงหร่านรู้สึกปวดหัวกับเสียงจ้อกแจ้กจอแจ เหล่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกบำเพ็ญเซียนในอนาคตกลุ่มนี้ ไม่นึกเลยว่าตอนเด็กๆ จะเป็นพวกช่างจ้อถึงเพียงนี้ทันใดนั้น——เฟิ่งชิงหร่านรู้สึกว่ามีคนกำลังดึงแขนเสื้อของนาง พอก้มลงมองก็เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กน่ารักคนหนึ่ง เด็กผู้หญิงตัวเล็กน่ารักเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน “พี่หญิง ท่านอยากเข้าร่วมสำนักกระบี่สวรรค์หรือไม่?”หืม?เฟิ่งชิงหร่านเหม่อลอยไปในชั่วพริบตา พลันตระหนักได้ว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นนางเอก——ซูเยียนหรานอย่างแน่นอน สามวันก่อน เมื่อนางตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองทะลุมิติเข้ามาในนิยายเสียแล้ว และกลายเป็นนางร้ายตัวประกอบในนิยาย——เฟิ่งชิงหร่านในนิยายต้นฉบับ เฟิ่งชิงหร่านเข้าร่วมการทดสอบของสำนักเมื่ออายุสิบเอ็ดปี แต่ถูกคัดออกเนื่องจากพรสวรรค์ธรรมดา ซูเยียนหรานผู้มีจิตใจงดงามจึงใช้อภิสิทธิ์ของผู้ที่ได้อันดับหนึ่ง พานางเข้าสู่สำนักกระบี่สวรรค์หลังจากเข้าสำนักกระบี่สวรรค์แล้ว นางกลับไม่รู้จักบุญคุณ มิหนำซ้ำยังอิจฉาริษยานางเอก ต่อหน้าแสดงออกว่ารักใคร่สนิทสนมกับนางเอกดุจพี่น้อง แต่ลับหลังกลับคอยใส่ร้ายป้ายสีนา
ซูเยียนหรานอย่างไรเสียก็เป็นเพียงเด็กอายุสิบกว่าขวบ เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงหร่านเอ่ยเช่นนี้ ก็ตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าวเฟิ่งชิงหร่านกำมือเล็กๆ ของตนแน่น พยายามอย่างยิ่งที่จะระงับอารมณ์ที่ปั่นป่วนพลุ่งพล่าน นางตกใจกับความเกลียดชังอันท่วมท้นในใจของตนเองนางเป็นเพียงคนที่ทะลุมิติเข้ามาในหนังสือเท่านั้น ต่อให้ตัวประกอบหญิงในหนังสือกับซูเยียนหรานจะมีความแค้นใหญ่หลวงต่อกัน แต่เรื่องเหล่านี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวนางเอง นางไม่ควรจะมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงเช่นนี้สิ?หรือว่าเป็นเพราะนางอินกับตัวละครในหนังสือไปแล้ว?เฟิ่งชิงหร่านตัดสินใจว่าจะอยู่ให้ห่างจากซูเยียนหราน อย่างไรเสีย แต่ไหนแต่ไรมาตัวประกอบหญิงกับนางเอกก็ล้วนเป็นศัตรูโดยธรรมชาติ การพบเจอกันของทั้งสองคนย่อมไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแน่นอนนางหันหลังเดินออกไปยังนอกลานกว้าง ในเมื่อตนเป็นศิษย์ที่ถูกคัดออกแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่เพื่อเสียเวลาพูดจาไร้สาระกับซูเยียนหรานไม่คาดคิดว่านางเพิ่งเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว น้ำเสียงที่เจือความหวาดหวั่นของซูเยียนหรานก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “พี่หญิง ระหว่างพวกเรามีความเข้าใจผิดอันใดกันหรือไม่เจ้าคะ?”เฟิ่
เฟิ่งชิงหร่านยื่นมือออกไปรับป้ายคำสั่งมา ด้านหน้าของป้ายคำสั่งสลักอักษร ‘สวัสติกะ’ ไว้ตัวหนึ่ง รอบๆ เป็นวงสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนนางมองไปยังอีกด้านของป้ายคำสั่ง พบว่าด้านบนนั้นสลักรูปดอกพลับพลึงแมงมุมไว้ดอกหนึ่งจริงๆดอกพลับพลึงแมงมุมนั้นงดงามเจิดจรัส สะกดวิญญาณให้ลุ่มหลง ทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างไม่รู้ตัวเฟิ่งชิงหร่านไม่ได้สืบค้นที่มาของความรู้สึกคุ้นเคยนั้นให้ลึกซึ้ง แต่กลับสงสัยว่าป้ายคำสั่งอันนี้ใช่อันเดียวกับที่ซูเยียนหรานได้รับในภายหลังหรือไม่?ในนิยายเคยบรรยายไว้ว่า ในมือของซูเยียนหรานมีป้ายคำสั่งสีทองอยู่อันหนึ่ง บนป้ายคำสั่งนั้นสลักรูปดอกพลับพลึงแมงมุมแห่งแม่น้ำลืมเลือน ภายในนั้นแฝงไว้ด้วยพลังอันลึกลับซูเยียนหรานอาศัยพลังนี้ ปราบสัตว์เทวะงูเหินได้สำเร็จหลังจากนั้น ด้วยความช่วยเหลือของงูเหิน ซูเยียนหรานก็หลอมรวมพลังลึกลับภายในป้ายคำสั่ง เลื่อนขั้นสู่ระดับกำเนิดวิญญาณได้เมื่ออายุยี่สิบห้าปีต้องรู้ว่า มหาเซียนอู๋จี๋ผู้เก่งกาจที่สุดในโลกบำเพ็ญเซียน ก็ยังทะลวงสู่ระดับกำเนิดวิญญาณได้เมื่ออายุสองร้อยปีแต่พลังภายในป้ายคำสั่งนี้ กลับสามารถทำให้ซูเยียนหรานเลื่อนขั้นสู่ระดับกำ
เมื่อพวกเขาเดินออกมาจากลานกว้าง ก็เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ที่นั่นคนผู้นั้นมีใบหน้าสดใสเปล่งปลั่ง ท่าทางสบายๆ ไม่เหมือนกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่เลยแม้แต่น้อยหรงจั๋วฝานเจ้าสำนักควบคุมสัตว์อสูรเป็นคนจำเย่เวิ่นเทียนได้เป็นคนแรก เขาแสดงสีหน้าตกตะลึง เจ้านี่ออกมาได้อย่างไรตอนนี้ ยังไม่ถึงกำหนดร้อยปีมิใช่หรือ?“หยุดนะ!——” ตามด้วยเสียงตะโกนดังลั่น เย่เวิ่นเทียนยกมือขึ้น กระบี่ก็ปรากฏออกมาในชั่วพริบตา พลังกระบี่อันน่าเกรงขามสายหนึ่งก็พุ่งออกมา ปรากฏเส้นแบ่งเขตเส้นหนึ่งขึ้นบนพื้นตรงหน้าปลายเท้าของทุกคนทุกคนที่ไม่ทันตั้งตัวก็ตกใจ ต่างถอยหลังไปหนึ่งก้าวพร้อมกันหรงจั๋วฝานตะโกนอย่างฉุนเฉียว “เย่เวิ่นเทียน เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!”“ทุกคนยืนอยู่ตรงนั้นอย่าขยับ! ใครก็ตามที่ส่งผลกระทบต่อการชักนำลมปราณเข้าร่างกายของศิษย์ข้า ต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา!” ทั่วร่างของเย่เวิ่นเทียนแผ่พลังกดดันอันแข็งแกร่งออกมาหลายคนเพิ่งสังเกตเห็นว่า ด้านหลังของเย่เวิ่นเทียน มีเด็กหญิงตัวน้อยอายุราวสิบขวบผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่“เย่เวิ่นเทียน เจ้าหลอกใครอยู่! แค่การชักนำลมปราณเข้าร่างกายไม่จำเป็นต้องใช้พลังลมปราณมากมายข
ในชั่วพริบตา รากวิญญาณห้าธาตุที่เดิมทีมีสีหม่นหมองภายในร่างของเฟิ่งชิงหร่านก็พลันสว่างวาบขึ้น ห้าสีรวมกัน หลอมรวมเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นแท่นวิญญาณที่กว้างใหญ่ดุจมหาสมุทรพลังลมปราณเหล่านั้นที่อัดแน่นอยู่ในเส้นลมปราณของนางหลั่งไหลเข้าสู่แท่นวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง ความเจ็บปวดตึงแน่นบริเวณเส้นลมปราณหายไปเฟิ่งชิงหร่านเพ่งจิตมองสำรวจภายในแท่นวิญญาณ อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงนางจำได้ว่าในนิยายเคยเขียนไว้ ตอนที่ซูเยียนหรานชักนำลมปราณเข้าร่างกาย แท่นวิญญาณของนางเป็นเหมือนสระน้ำเล็กๆ แต่ก็ถือว่าสูงส่งฝืนลิขิตสวรรค์แล้วเช่นนั้นแล้วอย่างนางมิใช่ว่าจะทะลุทะลวงสวรรค์แล้วหรือ?เฟิ่งชิงหร่านยังไม่รีบดีใจ นางสงบจิตรวบรวมสมาธิ รักษาจิตให้เป็นหนึ่ง กลั่นกรองพลังลมปราณภายในแท่นวิญญาณ ส่งไปยังรากวิญญาณนางประหลาดใจที่พบว่าความสัมพันธ์ที่ข่มกันของรากวิญญาณห้าธาตุได้หายไปแล้ว เปลี่ยนเป็นส่งเสริมซึ่งกันและกันแทนนางอดใจไว้ไม่อยู่ชั่วขณะ ทะลวงสู่ระดับระดับฝึกปราณขั้นห้าโดยตรง เฟิ่งชิงหร่านจึงรีบหยุดการบำเพ็ญเพียรทันทีถึงแม้นางอยากจะทำต่อไป แต่นางก็เข้าใจหลักการที่ว่าหากโดดเด่นมักจะเป็นภัยนางจำได้อย่างชัด
และในชั่วพริบตาที่จิตสำนึกนั้นแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของเฟิ่งชิงหร่าน ก็ถูกพลังสายหนึ่งลบล้างไปตามด้วยเสียง ‘อั่ก’ หนึ่งครั้งเจ้าสำนักหั่วอวิ๋นกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง มองไปยังเฟิ่งชิงหร่านด้วยความตกตะลึงจิตสำนึกของเขาซึ่งอยู่ระดับหลอมเทพขั้นสูงสุด กลับถูกคนระดับฝึกปราณขั้นห้าลบล้างไปได้ เฟิ่งชิงหร่านต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน!เย่เวิ่นเทียนหยุดการเผชิญหน้ากับเซียวหงอวี่ ในใจพลันเดือดดาลขึ้นมา การใช้จิตสำนึกสอดแนมนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้บำเพ็ญเพียรที่ยังไม่ถึงระดับสร้างฐานปราณ กรณีเบาที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ หนักที่สุดก็จะก่อเกิดเป็นมารในใจ ทำให้ระดับการบำเพ็ญไม่อาจก้าวหน้าได้“ท่านอาจารย์ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เมื่อครู่จิตสำนึกนั่นถูกใครก็ไม่รู้ลบล้างไปแล้ว” เฟิ่งชิงหร่านกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสาเย่เวิ่นเทียนพลันวางใจ ดึงเฟิ่งชิงหร่านไปปกป้องไว้ด้านหลัง ก่อนจะเอ่ยขึ้นพลางยิ้มเยาะ “พวกตาเฒ่าใช้ลูกไม้เช่นนี้กับผู้น้อย ช่างหน้าไม่อายเสียจริง!”“ข้าเย่เวิ่นเทียนยืนหยัดอย่างสง่าผ่าเผย ดูแคลนการบำเพ็ญวิชานอกรีตเหล่านั้น ศิษย์ของข้ายิ่งไม่มีทาง หากพวกเจ้ายังจะมาตอแยอีก ข้าก็จ
ใบหน้าของเฟิ่งชิงหร่านเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม สำนักที่ถูกต้องตามธรรมเนียมไม่มีสิ่งปลูกสร้างเลยสักหลัง นี่มันฟังดูเข้าท่าที่ไหนกัน?ทว่าเย่เวิ่นเทียนก็ไม่ได้อธิบายอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก พาเฟิ่งชิงหร่านตรงไปยังยอดเขาโม่จู๋ทันทีที่ลงสู่พื้น เฟิ่งชิงหร่านก็เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาเป็นพิเศษสามดวงทันที หนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มในอาภรณ์ผ้าแพรลายเมฆาสีนิล ยิ่งมีรูปโฉมหล่อเหลางดงามหาใดเปรียบ คิ้วตาคมคายดุจภาพวาด ราวกับเป็นเซียนตกสวรรค์ในสมองของเฟิ่งชิงหร่านปรากฏประโยคหนึ่งขึ้นมา เดินทางไกลสู่โลกหล้าในงานเลี้ยงอันน่าตื่นตา ยลโฉมความงามอันรุ่งเรืองแห่งโลกมนุษย์เมื่อทั้งสามคนเห็นเย่เวิ่นเทียนและเฟิ่งชิงหร่าน ก็ลุกขึ้นเดินเข้ามาเย่เวิ่นเทียนยกมือตบลงบนไหล่ของเด็กหนุ่ม “ศิษย์น้อย นี่คือศิษย์พี่เจ็ดของเจ้าโม่จิงหง ต่อไปภายหน้า เรื่องใดๆ ภายในสำนักก็ไปหาเขาได้เลย อีกทั้งเรื่องบำเพ็ญเพียร หากมีสิ่งใดไม่เข้าใจก็ถามเขาได้เช่นกัน”เฟิ่งชิงหร่านได้สติกลับคืนมา จึงโค้งคำนับทักทาย “เฟิ่งชิงหร่านคารวะศิษย์พี่เจ็ด”โม่จิงหงยกข้อมือขึ้นเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มเบาๆ นัยน์ตาดุจดวงดาวเป็นประกายลุ่มลึก “
หูอวิ๋นเสียงรู้ดีว่าตนเองเป็นฝ่ายไม่มีเหตุผล แต่เขาต้องเอากระดานค่ายกลกลับคืนมาให้ได้ “ข้าไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับสำนักของท่านไม่ใช่หรือ? ข้าศึกษาค่ายกลที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าของท่านไม่ได้หรือไร? ผู้แข็งแกร่งระดับกำเนิดวิญญาณอย่างท่านควรอับอายที่ถือสากับระดับสร้างฐานปราณอย่างข้าใช่หรือไม่?” “ข้าไม่ถือสาเจ้า ย่อมมีคนถือสาเจ้า” ตั้งแต่ต้นจนจบหลิ่วชางหลานเอาแต่จดจ่ออยู่กับมู่เชียนเจวี๋ยที่อยู่ในค่ายกล เมื่อเห็นลมปราณของอีกฝ่ายมั่นคงก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก“ข้ามีพลังบำเพ็ญเพียรแค่ระดับสร้างฐานปราณเท่านั้น พวกท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการรังแกผู้อื่นหรือ?” หูอวิ๋นเสียงรู้ว่าทำเช่นนี้จะยั่วโทสะหลิ่วชางหลานได้แต่กระดานค่ายกลก็คือชีวิตของเขา เขาต้องเอากลับมาให้ได้กลิ่นอายของหลิ่วชางหลานเย็นยะเยือกลงโดยสิ้นเชิง “เมื่อเจอคนที่อ่อนแอกว่าเจ้า ก็เรียกร้องว่าผู้แข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพ เมื่อเจอคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า ก็เรียกความยุติธรรมอีก”องครักษ์เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “คุณชายอย่าเอ่ยอีกเลยขอรับ ท่านอยากให้ทุกคนตายไปพร้อมกับท่านหรือ?”ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นกลัวหูอวิ๋นเสียงยั่วโทสะหลิ่วชางหลานเช
“สหายเต๋า หากข้าบอกว่าข้าแค่เดินผ่านมาเท่านั้น ท่านจะเชื่อหรือไม่?” หูอวิ๋นเสียงพยายามเค้นรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง“หากเดินผ่านมาจำเป็นต้องหยิบกระดานค่ายกลระดับห้ามาทำลายค่ายกลด้วยหรือ?” นัยน์ตาอ่อนโยนของหลิ่วชางหลานฉายแววเย็นชา เสียงทุ้มต่ำลง หูอวิ๋นเสียงทำหน้าหวาดหวั่น หลิ่วชางหลานก็เป็นผู้ใช้ค่ายกลด้วยเหมือนกัน!ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพจำแลงลงไป มองระดับของกระดานค่ายกลออกในแวบเดียวจะต้องเป็นผู้ใช้ค่ายกลอย่างแน่นอน“สหายเต๋า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเข้าใจผิดทั้งนั้น ให้โอกาสข้าเถิด ข้าจะไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” หูอวิ๋นเสียงอยากหลบหนีไปมาก ๆ แต่ก็ไม่กล้าผู้คนประหลาดใจกับผู้ใช้ค่ายกลอย่างหูอวิ๋นเสียง คิดไม่ถึงว่าจะหวาดกลัวต่อการปรากฏตัวของผู้บำเพ็ญเพียรสายกระบี่“กระดานค่ายกลนี้เป็นกระดานค่ายกลระดับห้าจริง ๆ หรือ?” มีคนที่อยู่ทางด้านข้างพูดคุยกันเสียงเบาทุกคนต่างรู้ว่าระดับของกระดานค่ายกลคล้ายคลึงกับระดับของอาวุธอาคม แบ่งออกเป็น ระดับหนึ่งถึงสิบ ระดับเซียน ระดับศักดิ์สิทธิ์ ระดับจักรพรรดิ และระดับเทวะปัจจุบันนี้วิชาค่ายกลตกต่ำลง วิชาที่เกี่ยวข้องกับค่ายกลและอาวุธอ
“ข้ามั่นใจมากว่านี่คือไม้การบูรทองคำ ตระกูลของเราเคยซื้อมาทำหอเก็บสมบัติ เกือบถลุงสมบัติทั้งตระกูลจนหมดเกลี้ยงแล้ว!”เมื่อได้ยินน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจของคนผู้นี้ ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ก็มองหน้ากัน จากนั้นก็มองรั้วไม้การบูรทองคำสุดลูกหูลูกตา แล้วอุทานด้วยความตกตะลึง นี่ลงทุนมากเพียงใดกัน? มีคนผู้หนึ่งมองด้วยแววตาสำรวจ “เหตุใดสำนักหลิงอวิ๋นถึงใช้ไม้การบูรทองคำได้? เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินชื่อสำนักหลิงอวิ๋นมาก่อนเลย? ยิ่งไม่เคยเห็นคนของสำนักหลิงอวิ๋นในงานชุมนุมใหญ่ประจำสำนักด้วย?” “มีแค่ข้าคนเดียวหรือที่สงสัยว่าเหตุใดสำนักหลิงอวิ๋นถึงไม่กลัวว่าไม้การบูรทองคำจะถูกขโมย?” หูอวิ๋นเสียงที่ยืนอยู่ข้างรั้วถือไม้การบูรทองคำชิ้นหนึ่งไว้ในมือผู้คนเบิกตาโตมองหูอวิ๋นเสียง คนผู้นี้โง่เง่าไปแล้วกระมัง!ไม้การบูรทองคำเหล่านี้มีรอยตราของผู้แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด และสาเหตุที่ไม้การบูรทองคำล้ำค่าถึงเพียงนี้ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือรอยตราบนตัวมันลบได้เฉพาะผู้ที่ประทับตราเท่านั้น หากสูญหายย่อมตามหาคืนได้ง่ายอย่างยิ่งดังนั้นจึงไม่มีคนโง่ไปขโมยไม้การบูรทองคำ มีแต่เลือกซื้อจากในมือเจ้าของเท่านั้น
“ศิษย์พี่เจ็ด เรื่องสำคัญเช่นนนี้ เหตุใดท่านไม่บอกข้าเลยเจ้าคะ?” เมื่อเฟิ่งชิงหร่านคิดว่าหลวนจิ่นกินหมูร้อยตัวต่อหนึ่งมื้อ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยหดหู่ใจ หลวนจิ่นคงไม่หิวจัดจนกลืนนางลงไปด้วยหรอกใช่หรือไม่? “ศิษย์น้องเล็ก ไม่เคยถามเลยนี่นา”เมื่อได้ยินคำตอบตามหลักเหตุผลของโม่จิงหง ศีรษะของเฟิ่งชิงหร่านก็เต็มไปด้วยขีดดำ ของแบบนี้จำเป็นต้องถามก่อนถึงจะบอกได้หรือ?“ศิษย์น้องเล็กวางใจได้ หลวนจิ่นกินอาหารเพียงเดือนละครั้ง ไม่มีทางเอาเจ้าเข้าปากหรอก” “ศิษย์พี่เจ็ด การวางกลอุบายของท่านยาวไกลยิ่งกว่าเส้นทางบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนเสียอีก!” เฟิ่งชิงหร่านตระหนักได้ในบัดดลว่าไม่อาจโดนดวงหน้าหล่อเหลาหาใดเทียมของศิษย์พี่เจ็ดมาหลอกลวงได้แล้วจริง ๆอาจารย์ให้ศิษย์พี่เจ็ดดูแลสำนัก ช่างเหมาะสมยิ่งนัก บุรุษผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายอย่างแท้จริง!โชคดีที่ศิษย์พี่เจ็ดไม่ใช่ศัตรูของนาง ไม่อย่างนั้นนางคงต้องหาถ้ำสักแห่งเพื่ออยู่เอาตัวรอดไปวัน ๆ ไม่ออกมาอีกเลย!โม่จิงหงสบตากับเฟิ่งชิงหร่านที่โกรธกระฟัดกระเฟียด ไอเย็นเยียบบนร่างเลือนหายไปอีกไม่น้อย ก่อนจะลูบศีรษะนาง “ไม่บอกเจ้าก็เพราะหวังดีกับเจ้านะ วางใจได้ห
บรรยากาศในสำนักหลิงอวิ๋นนั้นดีมาก ไม่เคยเกิดเรื่องแก่งแย่งชิงดีกันเลยแต่ผู้บำเพ็ญเพียรก็เป็นมนุษย์เช่นกัน เมื่อเป็นมนุษย์ก็จะมีความโปรดปราน ภายในสำนักหลิงอวิ๋ง ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่สี่จะสนิทสนมกันมากกว่า ศิษย์พี่หญิงสามกับศิษย์พี่หญิงห้าก็สนิทกันราวกับพี่สาวน้องสาว พูดคุยกันได้ทุกเรื่องศิษย์พี่หกชอบเกาะติดศิษย์พี่หญิงห้ากับศิษย์พี่แปด ศิษย์พี่รองไปไหนมาไหนคนเดียว มักจะหาตัวไม่เจออยู่เป็นประจำ มีเพียงโม่จิงหงเท่านั้นที่ดูเหมือนจะเข้ากันได้กับทุกคน แต่เขากลับคอยรักษาระยะห่างกับทุกคนเสียเองโม่จิงหงดีกับทุกคนในสำนักมาก แหวนสุเมรุบนมือของทุกคนล้วนเป็นสิ่งที่เขาหลอมขึ้นมา รวมถึงอาวุธป้องกันตัวและยาลูกกลอนต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่เขามอบให้โดยอาศัยนามของเย่เวิ่นเทียนอีกทั้งชาที่เตรียมไว้ให้แต่ละคนล้วนแตกต่างกันออกไปหากไม่ใช่เพราะโม่จิงหง นางสงสัยว่าสำนักหลิงอวิ๋นคงจะแยกตัวกันไปนานแล้ว อย่างไรเสียอาจารย์ก็ไม่มีความน่าเชื่อถือมากเกินไป! สองปีแล้ว อย่าว่าแต่อาจารย์ไม่เคยกลับมาที่สำนักหลิงอวิ๋นเลย ยังไม่มีข่าวคราวอีกด้วยเฟิ่งชิงหร่านคิดได้ดังนั้นก็อดรู้สึกปวดใจแทนโม่จิงหงนิดหน่อยไ
หลังจากที่เฟิ่งชิงหร่านรู้จากหยวนเป่าว่ากำไลวิญญาณคู่ไม่สามารถต้านทานอัสนีบาตได้ นางก็อดรู้สึกท้อแท้ใจนิดหน่อยไม่ได้อัสนีบาตสายที่สามผ่าลงมา ยันต์อาคมด้านหลังฉินหานเยียนหลุดออกอีกหนึ่งแผ่นฉินหานเยียนกัดฟัน ปรับลมหายใจที่ปั่นป่วน ใบหน้าของนางไม่มีสีเลือดเลยแม้แต่น้อย เนื้อหนังภายใต้ชุดนักพรตปรากฎรอยปริแตกเป็นสาย ๆ ความเจ็บปวดราวกับถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ส่งมาจากทั่วทั้งร่างฉินหานเยียนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวจากในอัสนีบาตสวรรค์ ราวกับว่าอัสนีบาตรสวรรค์ทุกสายต้องการคร่าชีวิตนางให้ดับสิ้นโดยไม่มีความปรานีเลยสักนิดเดียวศิษย์น้องเจ็ดพูดถูกต้องมาก อัสนีบาตสวรรค์ผิดปกติจริง ๆ ด้วยตามบันทึกในตำราโบราณ หลังจากที่อัสนีบาตสวรรค์ผ่าลงมาแล้ว จะช่วยชำระล้างร่างกายให้ผู้บำเพ็ญเพียร ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ตอนนี้นางรู้สึกแค่ว่าอัสนีบาตสวรรค์ต้องการทำลายนางเท่านั้น ไม่ได้ชำระล้างเส้นเอ็นให้นางเลยด่านเคราะห์อัสนีระดับกำเนิดวิญญาณสิบแปดสาย สายแรกชำระล้างร่างกาย สายที่สองซ่อมแซมกล้ามเนื้อเส้นเอ็นขยายเส้นลมปราณ สายที่สามเพิ่มความแข็งแกร่งของกระดูก สายที่สี่ชำระล้างรากวิญญาณ
หนิงซือเยว่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ไม่สนใจไป๋หลี่เหวินเยว่เวลานี้ฉินหานเยียนสวมชุดบางเบา ชุดกระโปรงพลิ้วไปตามสายลม ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบตัวเลยสักนิดเดียว หนิงซือเยว่เดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะแปะยันต์อาคมหลายแผ่นไว้ที่แผ่นหลังของฉินหานเยียนจากนั้นก็ขี่กระบี่จากไปอย่างรวดเร็ว แล้วร่อนลงมาเบื้องหน้าไป๋หลี่เหวินเยว่หนิงซือเยว่เดินเข้ามาคว้าหูของไป๋หลี่เหวินเยว่ ก่อนจะเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ที่เจ้าตะโกนเมื่อครู่นี้เกือบทำให้ข้าตกใจตายแล้ว!”“เจ็บ ๆๆ ศิษย์พี่หญิงห้า รีบปล่อยมือเถิด ข้าผิดไปแล้ว” ไป๋หลี่เหวินเยว่ไม่กล้าขัดขืน ทำได้เพียงอ้อนวอนไม่หยุด “ฮึ!” หนิงซือเยว่แค่นเสียงเย็น แล้วปล่อยหูไป๋หลี่เหวินเยว่“ข้ามาช้าก็เพราะยันต์อาคมหลายใบนั้น มีพวกมันอยู่ สามารถต้านด่านเคราะห์อัสนีถึงแก่ชีวิตแทนศิษย์พี่หญิงสามได้ในช่วงเวลาสำคัญ ข้าเสี่ยงชีวิตไปติดยันต์ ปรากฏว่าเจ้าดันทำให้ข้าตกใจ หากข้ามือสั่นจนยันต์พังขึ้นมาจะทำอย่างไร?”เมื่อได้ยินหนิงซือเยว่เอ่ยเช่นนี้ ไป๋หลี่เหวินเยว่ถึงค่อยตระหนักได้ว่าตนทำความผิดมากเพียงใด เฟิ่งชิงหร่านที่อยู่ทางด้านข้างนึกดีใจ ยังดีที่เมื่อค
สองปีต่อมาเมฆดำแผ่คลุมท้องฟ้าเหนือสำนักหลิงอวิ๋น ครืน!ครืน!กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวปกคลุมไปทั่วทั้งสำนักหลิงอวิ๋น ทำให้ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนที่กำลังปิดด่านฝึกตนตื่นตกใจทั่วทั้งเขตชิงอวิ๋น ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ระดับหลอมเทพขึ้นไปล้วนรู้สึกได้ว่าเมฆเขาสั่นไหว แผ่นดินภูเขาโยกคลอนเฟิ่งชิงหร่านเพิ่งจะคงระดับพลังให้มีเสถียรภาพเสร็จ เมื่อเดินออกจากถ้ำก็ตกใจกับเสียงฟ้าร้องจนสะดุ้งโหยง ดูเหมือนนางยังไม่ถึงเวลาที่จะทะลวงระดับไม่ใช่หรือ? “ศิษย์น้องหญิงเล็ก ในที่สุดเจ้าก็ออกมาเสียที รีบตามข้ามาเร็ว!” บุรุษชุดขาวผู้หนึ่งที่อยู่ห่างไกลยืนอยู่บนกระเรียนเหาะเข้ามา รูปร่างดูสง่างามราวกับต้นไผ่ ดูโดดเด่นมีราศี ดวงหน้าแฝงไปด้วยความหยิ่งทระนง “ศิษย์พี่หก คงไม่ได้เจอปัญหาตอนบำเพ็ญเพียรหรอกกระมัง?” เฟิ่งชิงหร่านถามพลางยิ้มจนดวงตาโค้งไป๋หลี่เหวินเยว่หน้าแข็งทื่อ ช่วงเวลาสองปีมานี้ เขาฝืนบีบคั้นตนเองให้เลื่อนจากระดับแก่นปราณทองคำขั้นกลางไปอยู่ขั้นปลาย เพื่อไม่ให้ด้อยกว่าคนอื่นในสำนัก เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เขาสามารถใช้เวลาเพียงแปดปีเลื่อนจากระดับแก่นปราณทองคำขั้นกลางไปอยู่ระดับแก่นปราณทองคำขั
เขตชิงอวิ๋น เมืองหลักของเขตสำนักประมูลซูม่อ สาขาหลักบุรุษชุดดำเดินเจอไป๋หลี่เยวียนม่อแล้วก็ยื่นกล่องวิจิตรงดงามให้สองกล่องมือขาวเนียนราวหยกของไป๋หลี่เยวียนม่อรับกล่องไว้ จากนั้นเสียงที่ชวนให้หลงใหลก็ดึงขึ้นว่า “คราวนี้เป็นของดีอันใดหรือ? ถึงกับทำให้รองผู้ดูแลต้องลำบากมาด้วยตนเอง?”เสียงเย้ายวนใจลอดเข้ามาในหู บุรุษชุดดำใจสั่นสะท้าน เขารีบตั้งสติทันที “ท่านเจ้าหอกำชับว่า ครั้งนี้นางต้องการส่วนแบ่งร้อนละเก้าสิเก้า”ไป๋หลี่เยวียนม่ออึ้งไปเล็กน้อย ดวงหน้างดงามราวกับหยกประดับกวนฉายแววสนใจขึ้นมา นัยน์ตาสีม่วงพราวเสน่ห์ ความสว่างและความมืดร้อยเรียงเข้าด้วยกัน แสงเงาไหลเวียนเป็นกระแสไป๋หลี่เยวียนม่อยกมือขึ้นไปปลดยันต์ผนึกบนกล่อง อยากจะเปิดออกบุรุษชุดดำรีบส่งเสียงว่า “ท่านประมุข ไม่ได้นะขอรับ กางเขตอาคมเสียก่อน ไม่อย่างนั้นจะเกิดความปั่นป่วนได้” ขุมกำลังในเมืองหลักของเขตสลับซับซ้อนมาก อีกทั้งยังมีสำนักใหญ่หลายแห่ง ยอดฝีมือระดับหลอมเทพก็มีอยู่ไม่น้อย เมื่อกลิ่นอายของผลแก่นวิญญาณหลุดรอดออกไปก็จะนำปัญหามาได้นัยน์ตาสีม่วงของไป๋หลี่เยวียนม่อดำทะมึนขึ้นมาแวบหนึ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหว “