เช้าวันถัดมา หมู่บ้านซานฉุย มีรถยนต์ส่วนตัวขับเข้ามา 2 คันในตอนสาย คนขับหมุนกระจกลงเพื่อสอบถามเส้นทางกับเด็กที่กำลังเล่นปาหิมะกันอยู่ในทุ่งโล่งที่เป็นพื้นที่เพาะปลูก “สวัสดีค่ะ หัวหน้าหมู่บ้านห่าวหู ฉันไป๋เหม่ยถิงที่เราได้คุยกันไว้ รบกวนหัวหน้าแล้ว” หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวดูทะมัดทะแมง มีแว่นกันแดดสีดำบดบังใบหน้ากว่าครึ่ง ยื่นมือมาทักทาย หัวหน้าหมู่บ้านและครอบครัวมองหญิงสาวราวกับเทพแห่งโชคลาภ ‘เสี่ยวเจิ้ง ได้การค้าใหญ่แล้ว เจ้านายที่มาดูร่ำรวยกว่าตัวแทนโรงงานเมื่อวานเสียอีก’ “คุณไป๋รบกวนอะไรกันล่ะครับ เดี๋ยวผมให้ลูกชายนำทางไปบ้านเจิ้งหลี่เผิงเดี๋ยวนี้เลย” ลูกชายคนเล็กของหัวหน้าหมู่บ้านรีบเดินออกมาแนะนำตัว ไป๋เหม่ยถิงให้เขาขึ้นไปนั่งข้างคนคนขับเพื่อนำทาง “อาเผิง เสี่ยวหนี่ อยู่กันไหมมีคนมาหา” ไป๋เหม่ยถิงมองบ้านดินชั้นเดียวหลังคามุงหญ้าแฝก สภาพแวดล้อมภายในหมู่บ้านยังคงล้าหลังกว่าสังคมในตอนนี้ 10-20 ปี ทั้งที่รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาพื้นที่ห่างไกล มีไฟฟ้า น้ำประปา ถนนลาดยาง มีโทรศัพท์บ้าน หมู่บ้านซานฉุยกับหมู่บ้านข้างเคียงราวกับพื้นที่ตกสำรวจ “มาแล้ว ๆ ใครมากันล่ะนี่” ชายหนุ่
“มีคนผลักพี่เสียนเออร์ล้ม ผมเห็นกับตา”ไป๋จื้อหยางที่นั่งเหยียดตรงฟังอยู่ถึงกับขบกรามแน่น ประกายตาเคียดแค้นหมุนวนดุจพายุเพลิง“คุณรู้ไหมว่าคนผลักเป็นใคร ใช่คนในหมู่บ้านนี้ไหม”ไป๋เหม่ยถิงถามเหมือนเดาออกว่าคงไม่ใช่คนในหมู่บ้าน เธอเพียงต้องการคำยืนยัน“ไม่ใช่ครับ เป็นคนที่มาหาพี่เสียนเออร์ การแต่งตัวทันสมัยเหมือนมาจากเมืองใหญ่ น่าจะมีฐานะร่ำรวย”ครอบครัวที่ดูซื่อสัตย์แบบบ้านเจิ้ง ถึงได้ไม่กล้าไปแจ้งความหรือบอกเล่าสิ่งที่เห็นเพราะเกรงจะมีภัยสินะ“คนมามีกี่คนมีใครบ้างคะ ตอนนั้นคุณอยู่ตรงไหนจึงได้เห็นเหตุการณ์”“ตอนนั้นเป็นช่วงเที่ยง คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่กลับเข้าบ้านหลังจากเสร็จงานของครอบครัวตัวเองในช่วงเช้า มีผู้หญิงกับผู้ชายขี่จักรยานมาที่บ้านพี่เสียนเออร์ ผมกำลังจะเอาฟืนไปให้จึงเห็นผู้หญิงแต่งตัวสวยกับผู้ชายแต่งตัวค่อนข้างดียืนหน้าประตูรั้ว เลยแอบเดินอ้อมไปทางหลังบ้านนั้นแล้วแอบมองพวกเขาคุยกันครับ”หยางฝูเหว่ยที่วันนี้แทบไม่มีบทบาทใดนอกจากติดตามมา หันไปมองคุณหนูลุ้น ๆ ภาวนาให้ตามหาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้“คุณเจิ้งได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันไหมครับ” ไป๋จื้อหยางถามคำถามต่อทันที“ผมอยู่ไกลนิ
“ประธานไป๋ธูปครับ”เจิ้งหลี่เผิงส่งซองธูปในมือให้ไป๋เหม่ยถิงพร้อมรอยยิ้ม ชายหนุ่มคงเดินตามมาด้านหลัง“ขอบคุณค่ะ”ไป๋เหม่ยถิงรับมาถือไว้ หยางฝูเหว่ยควักไฟแช็กมาจุดให้ เธอจึงเดินไปคุกเข่าข้างไป๋จื้อหยาง ส่งธูปให้เขารับไปอีกคน“คุณพ่อคะ จุดธูปไหว้คุณแม่ก่อนค่ะ”“อ้อ...ขอบใจมากลูก เสียนเออร์นี่ลูกของเราเหม่ยถิง พี่หาลูกสาวของเราเจอแล้ว”“ฮึก...นะ ในที่สุด ครอบครัวเราก็ได้อยู่กันพร้อมหน้า”ตั้งแต่ต้นที่วิญญาณของหลินลู่เสียนปรากฏราวกับดวงตามีไว้มองเพียงไป๋จื้อหยาง ก็หันมามองทางผู้หญิงที่นั่งข้างสามี‘ลูก...เหรอ?’ราวกับเพิ่งตระหนักรู้ ดวงตาเมล็ดซิ่งของวิญญาณเบิกโต ร่างโปร่งแสงลอยมาหยุดตรงกลางคนทั้งสอง เธอนั่งลงพยายามใช้สองแขนไร้กายหยาบโอบกอดทั้งลูกและสามี‘ลูก...เหม่ยถิง ลูกแม่’วิญญาณของหลินลู่เสียนร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ ร่างโปร่งแสงโยกไหวรุนแรงจากความเสียใจ แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมาให้ใครได้ยินต่อให้จะเศร้าโศกกว่านี้ ดีใจกว่านี้ อารมณ์รุนแรงมากเพียงใด กลับไม่มีใครในโลกใบนี้รับรู้ได้อีกแล้วไป๋เหม่ยถิงใช้เข่าถอยห่างออกไปด้านหลังเล็กน้อย“แม่คะ หนูมาไหว้แม่แล้วนะคะ เราสองแม่ลูกได้พบหน้ากันส
“พาแม่กลับไปฝังในสุสานตระกูลไป๋กันเถอะ”ไป๋จื้อหยางเริ่มทำใจได้หลังผ่านการร้องไห้อย่างหนักมากว่า 1 ชั่วโมงเขาเริ่มคิดถึงสิ่งจำเป็นที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วนหลินลู่เสียนต้องได้รับการฝังอย่างถูกต้องเธอจะได้รับเกียรติสูงสุดในฐานะภรรยาผู้นำตระกูล“ตกลงค่ะ คุณพ่อให้คนจัดการตามสมควรเลย หนูไม่มีปัญหาอะไร”ไป๋เหม่ยถิงตอบกลับพ่อของเธอด้วยน้ำเสียงลดความห่างเหิน เรียกได้ว่าการพบกับหลินลู่เสียนช่วยลดช่องว่างที่หญิงสาวเว้นระยะห่างกับผู้ให้กำเนิดได้มากทีเดียวถึงไม่ได้สนิทสนมชนิดรักใคร่กลมเกลียวแต่ไม่ได้รู้สึกราวกับคนแปลกหน้าอีกต่อไป“พวกคุณคิดจะทำอย่างไรต่อไปครับ”สองพ่อลูกพากันเดินกลับมายังบ้านเจิ้ง ทิ้งบอดี้การ์ดเฝ้าทางเข้าบ้านร้างไม่ให้คนเล็ดรอดเข้าไปก่อความวุ่นวาย พอได้ยินคำถามของพ่อเจิ้งไป๋เหม่ยถิงกับไป๋จื้อหยางก็มองหน้ากันราวกับใจสื่อถึงกันได้พรึ่บ! ตุบ!ปึก! ปึก!“บุญคุณของตระกูลเจิ้ง เราสองพ่อลูกจะจดจำไว้จนวันตาย”“พวกคุณ!!! รีบลุกเร็วเข้า!!!”ครั้งนี้ทุกผู้ที่อยู่ในห้องโถงบ้านเจิ้งแตกตื่นกันอย่างแท้จริง ไปเหม่ยถิงและไป๋จื้อหยางพร้อมใจ คุกเข่าโขกหัวเต็มพิธีการให้แก่คนของตระกูลเจิ้งเ
ไป๋เหม่ยถิงตกใจจนตาค้าง เรียวปากอ้ากว้าง ดวงตาหวานเบิกโพลงจนกลมโตจุ๊บ!ฉินเฟยหลงมองใบหน้าน่ารักนั่น อดใจไม่ไหวก้มตัวจูบปลายจมูกรั้น ในจังหวะที่คนตัวเล็กไม่ทันระวังตัว“ฉินเฟยหลง!!! คุณละเมอหรือไง ขอแต่งงานเขาใช้กับคนที่เป็นคนรักหรือคบหาดูใจ เรายังไม่ทันได้เริ่มเปิดใจกันเลยด้วยซ้ำ”ไป๋เหม่ยถิงโมโหกลบเกลื่อนความเขินอาย ใบหน้าแดงราวกับจะคั้นเลือดออกมาได้ ความรู้สึกวุ่นวายใจผสมกันยุ่งเหยิงไปหมดสับสนที่เรื่องมันดูข้ามขั้นตอนดีใจแกมประหม่าที่เขาก็มีใจเหมือนกันโมโหที่เขาเก็บงำความคิดได้แนบเนียน“ถิงถิง เราสองคนเรียนรู้กันมานานหลายปีแล้วนะครับ”“หา! เรียนรู้อะไรกันคะ ไม่ใช่ว่าเป็นพี่เป็นน้อง?”“พี่ชายที่ไหนดูแลน้องสาวแบบที่เฮียทำให้เธอบ้าง เงินทองสมบัติเฮียก็อยู่ในมือเธอแทบทุกอย่าง”ฉินเฟยหลงมีเหตุผลในทุกคำโต้แย้ง ดวงตาหงส์หวานเชื่อม รอยยิ้มกรุ้มกริ่มส่อนัย‘ดูแลแบบใด’แปร๊ด...หน้าเนียนละเอียดแดงปลั่ง ริมฝีปากเม้มไม่พูดโต้ตอบให้เข้าตัว สมองคิดหาคำโต้กลับ“เฮียรู้ของเฮียคนเดียว ฉันไม่รู้กับเฮียเสียหน่อย” ไป๋เหม่ยถิงพึมพำเชิงบ่นเสียงแผ่ว“ถิงถิง น้องรู้...น้องแค่ยังไม่พร้อม เลยไม่ยอมรับมัน
กลางดึกคืนเดียวกันเซี่ยงไฮ้ คฤหาสต์ตระกูลไป๋ เขตฉางหนิงกริ๊ง...กริ๊ง...โทรศัพท์ในห้องทำงานคฤหาสต์ตระกูลไป๋ดังขึ้น ผู้เฒ่าไป๋กำลังร่างหัวข้อการแข่งขันแต่งบทกวี“พ่อ! พรุ่งนี้ผมจะส่งถิงเออร์ไปเซี่ยงไฮ้ มารับหลานด้วยอย่าให้คนอื่นมันได้หน้า”“ไอ้ลูกเวร... โทรมาพูดให้มันรู้เรื่องรู้ราวหน่อย คนอื่นที่ไหน? มีใครจะมารับถิงเออร์แทนบ้านเรารึไง”ขอแค่บอกเวลามาเขาก็พร้อมจะส่งรถไปรับหลานสาวอยู่แล้ว“พ่อไม่รู้อะไรเสียแล้ว! มีไอ้เด็กหน้าเหม็นตระกูลฉินมันจ้องจะบุกสวนบ้านเรามาขโมยผักกาดที่เราปลูก!”“หา! เด็กฉินคนไหน?”ท่านผู้เฒ่าพยายามนึกถึงลูกหลานตระกูลฉิน ก่อนย้ายจากปักกิ่งมา คนระดับท่านก็ต้องมีการหยั่งความลึกน่านน้ำของช่างไห่ [1] ประวัติตระกูลดังในวงสังคมย้อนหลังไป 3-4 รุ่น ถูกนำมาศึกษาไว้ก่อนแล้ว“คนโต สายตรง!”“อา...เด็กฉินเฟยหลงงั้นรึ สายตาแหลมคมสมเป็นหลานปู่ เด็กนั่นก็พอใช้ได้นะ”“แต่หมอนั่นมันอายุน้อยกว่าผม 13 ปีเองนะพ่อ! ไม่ได้! แก่เกินไปไม่เหมาะสมกับถิงเออร์ของเรา อายุขนาดนี้ยังไม่มีเมีย จะเหลือน้ำยาหรือเปล่าก็ไม่รู้!”ไป๋จื้อหยางขยุ้มหัวเสียยุ่งเหยิง ร้อนใจที่พ่อของเขาทำท่าจะเห็นดีไปกับช
คฤหาสน์ตระกูลไป๋“อาหยางนั่งก่อนสิ บ้านช่องคับแคบขาดคนดูแล ต้อนรับไม่ดีอย่าได้ถือสาปู่ไป๋”ไป๋เหม่ยถิงที่เพิ่งจะเดินเข้ามายังห้องรับแขกของบ้าน ต้องยอมรับกับตัวเองอย่างหนึ่งเงินซื้อคนตระกูลไป๋ไม่ได้ ถ้าไม่มากพอ!นิสัยนี้ของตนก็คงได้มาด้วยประการฉะนี้บทกวีโบราณลายมือดั้งเดิมบนม้วนไม้ไผ่ สามารถทำให้สนิทสนมถึงขั้นเรียกปู่เรียกหลานกันตั้งแต่บนรถที่นั่งมาจากสนามบินดองตาดอกท้ออ่อนอกอ่อนใจมองค้อนพ่อบุญทุ่มที่หันมาส่งยิ้มบางให้แล้วหันไปคุยกับคุณปู่ต่อ“ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกครับ น่าเสียดายที่อยู่นานจะเป็นการรบกวนการพักผ่อนของคุณปู่ไป๋กับน้องเหม่ยถิง อย่างไรผมขอสนทนากับน้องก่อนกลับสักหน่อยได้ไหมครับ”“ตามสบายเลยไม่ต้องเกรงใจปู่”ท่านผู้เฒ่าที่นั่งบนโซฟาบิดตัวไปมาราวกับนั่งทับเข็มนับพันเล่ม แทบจะแล่นขึ้นไปห้องหนังสือ มือก็ลูบคลำกล่องผ้าไหมในมือไม่หยุด“ถิงถิง ต่อจากนี้อย่าให้เกาอี้กับหยางฝูเหว่ยห่างจากตัว พอเฮียเริ่มแผนการไม่อยากให้น้องตกเป็นเป้า”“เฮียหลง น้องเอาตัวรอดได้เฮียวางใจเถอะค่ะ แต่ลี่จูจะไม่โดนลูกหลงไปด้วยเหรอคะ”ไป๋เหม่ยถิงกับฉินเฟยหลงออกมาเดินเล่นสำรวจรอบบ้านตระกูลไป๋ ตัวบ้านเป็นต
2 วันต่อมาวันฝึกงานวันแรกได้เริ่มขึ้น รถที่ใช้ในวันนี้แต่เดิมคนขับเป็นคนงานของตระกูลไป๋ก็เปลี่ยนมาเป็นเกาอี้แทน พวกเขาไปกันเพียง 4 คนจะเหมาะสมกว่า“มีเอกสารต้องใช้ไปรายงานตัวไหมคะ พี่ฝูเหว่ย”“ของลี่จูเอาไปยื่นที่แผนกบุคคลครับ เดี๋ยวเขาจะทำเรื่องส่งไปแผนกเลขาเอง ส่วนของคุณหนูยื่นตรงกับประธานบริษัทไม่ต้องผ่านแผนกอะไรครับ”เวลาเริ่มงานคือ 9.00 น. รถยนต์ของพวกเขาขับมาถึงตึกเฮยอวิ๋นก่อนเวลา 20 นาที เกาอี้กำลังวนรถขึ้นไปยังลานจอดรถชั้น B จะมีโซนจอดของผู้บริหารและช่องจอดของประธานบริษัทเซี่ยอวิ๋นปรี๊ดดดดด!“ขออภัยครับ โซนนี้รถผู้มาติดต่อจอดไม่ได้ครับ” เจ้าหน้าที่เฝ้าลานจอดเป่านกหวีดแล้วรีบเดินมาแจ้ง“เราได้รับแจ้งจากเลขาโจวให้มาจอดชั้นนี้ข้างช่องจอดรถประธานครับ” เกาอี้ลดกระจกลงตอบ เจ้าหน้าที่น่าจะเป็นคนที่มาทำงานหลังจากเขาติดตามคุณหนูจึงไม่คุ้นหน้า“มีเอกสารหรือป้ายแสดงไหมครับ” เจ้าหน้าที่ยืนยันขอข้อมูลเพิ่มหยางฝูเหว่ยต่อสายโจวหมิงเจี่ยด้วยใบหน้าเย็นชา พูดคุยกันอยู่ 2 ประโยคก็ยื่นโทรศัพท์ให้เจ้าหน้าที่ไปคุย“ขอโทษครับ...เชิญเข้าจอดได้เลยครับ เลขาโจวติดต่อหัวหน้าผมมาแล้ว แต่ผิดพลาดที่ทางเร
เย็นวันนั้น บ้านตระกูลไป๋รอบตัวบ้านปราศจากความสงบเงียบเหมือนทุกวัน ตอนนี้มีผู้คนแปลกหน้าเดินง่วนไปทั่วสวนไม้ดอกไม้ประดับได้รับการแต่งเล็มใหม่ มีการนำกระถางดอกไม้สดมาวางแซมเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบสวนให้ดูสดชื่นขึ้นอีก 3 วันจะถึงงานวันเกิดของผู้เฒ่าไป๋ ซึ่งปีนี้จะจัดเป็นงานเลี้ยงเชิญคนนอกเข้ามาร่วมงาน จึงต้องจ้างบริษัทออกแบบและตกแต่งสถานที่จัดงาน“เลขากู้ครับ พื้นที่จะทำเป็นเวทีตอนนี้คนงานจัดการเรียบร้อยแล้วครับ” พ่อบ้านเผยเดินมาแจ้งกับเลขากู้ที่กำลังยืนคุยกับคนจากบริษัทรับจัดงานเลี้ยง“ต้นไม้ใหญ่คนงานริดกิ่งใหม่ ส่วนต้นที่เป็นพุ่มก็ได้รับการตัดแต่งแล้วครับ นำดอกไม้สดไปแซมตามจุดครบแล้ว”พ่อบ้านฝูเดินตามมาทีหลังก็แจ้งตามติด ๆกู้ชิงอวิ๋นขีดฆ่ารายการที่ต้องจัดการในลิสต์ ขณะที่กำลังจะถามอะไรเพิ่มก็เห็นสิ่งผิดปกติเข้าเสียก่อน“คนงานตรงนั้นหยุด! ผมบอกทางคุณแล้วไงว่าห้ามเข้าไปในคฤหาสน์ จะเข้าห้องน้ำหรืออะไรให้คนของคุณไปใช้เรือนด้านหลัง!!!”ชายหนุ่มหันมาเล่นงานคนที่เขากำลังสนทนาด้วยเสียงเหี้ยม สองพ่อบ้านมองแววตาขอความช่วยเหลือของหญิงสาวด้วยความนิ่งเฉยตอนนี้เจ้านายกำลังคุยเรื่องคอขาดบาดตาย จึ
ปัง!“อาหลง!!! ลื้อทำอะไร แกยังเห็นปู่อยู่ในสายตาไหม?”“โอะ โอ๊ย!”ผู้เฒ่าฉินหายจากอาการตะลึง ก็โกรธจัดลุกขึ้นมาชี้หน้าหลานชายด้วยความโกรธจัด หัวใจปวดแปลบหายใจยากลำบากจนต้องยกขึ้นมากุมอก“นายท่าน! ระงับอารมณ์ด้วยครับ อย่าโกรธ หายใจลึก ๆ”หลานที่ท่านแสนจะภาคภูมิใจมาวันนี้กลับประกาศตัดขาดตัวเองออกจากตระกูล“ไม่ได้! ปู่ไม่ยอม!”“ผมไม่ได้มาขอความยินยอมนะครับ”ฉินเฟยหลงมองปู่ตัวเองอย่างเต็มตาครั้งแรกตั้งแต่ลงมาแถลงข่าว ดวงตาเรียบนิ่งที่เคยเรียบนิ่งบัดนี้แข็งกร้าวดุดัน“คุณฉินเฟยหลงหมายถึงต้องการตัดขาดออกจากตระกูลเหรอครับ ช่วยอธิบายความหมายที่ชัดเจนให้หน่อยครับ”นักข่าวที่เหี่ยวเฉาเพราะเหมือนถูกหลอกให้ดมกลิ่นเลือด ว่ายน้ำมาตามหาเหยื่อกลับโดนตบจนเป็นผักเหี่ยว ฟื้นตัวด้วยข่าวใหม่“จากนี้กิจการงานทุกอย่างที่เป็นของตระกูลฉิน ไม่เกี่ยวข้องกับผม ไม่ว่าพวกเขาจะเจริญขึ้นหรือแย่ลงไม่เกี่ยวกัน ไม่ต้องนับญาติไม่ต้องไปมาหาสู่ ตายก็ไม่ร่วมฝังในสุสาน”นักข่าวและคนที่ฟังความสูดหายใจอย่างตระหนกตายไปไม่เผาผี!นี่มันแทบจะเหมือนจากไปด้วยความคับแค้นเกิดอะไรกับตระกูลนี้กันแน่!ทุกคนต่างความคิดอยากสืบเสาะเบื้
ห้องทำงานของฉินเฟยหลงพรึ่บ!ร่างกายบอบบางถูกดึงรั้งเข้าด้านในทันทีที่ประตูเปิดออกเพียงเล็กน้อยปัง! คลิก!ประตูถูกปิดลงกลอนจากด้านในรวดเดียว หญิงสาวไม่ทันส่งเสียงถามไถ่ตัวคนก็ถูกอุ้มกระเตงขึ้น เอกสารและกระเป๋าร่วงลงกองที่พื้นเพื่อกันไม่ให้ตัวเองหล่น เรียวขาจึงเกี่ยวรัดช่วงเอวสอบเพรียวแข็งแกร่งด้วยมวลกล้ามเนื้อ“เฮียหลง!” อุทานด้วยความแตกตื่นเขินอายเพราะทิศทางเดินของคนที่ไม่พูดไม่จาคือประตูเชื่อมไปยังเพนต์เฮาส์ อีกทั้งกลางตัวที่กำลังตื่นตัวขยับขยายเพราะการเสียดสีก็บอกได้เป็นอย่างดี“เรามาฉลองกันเถอะ เฮียเป็นอิสระแล้ว” เสียงแหบพร่าขยี้หางเสียงพอเซ็กซี่กระซิบแผ่วตามด้วยการขบเม้มก้านหูนุ่มนิ่มไป๋เหม่ยถิงที่เริ่มตั้งสติได้ลดสายตาลงมองความเร่าร้อนที่ดิ้นเร่าในดวงตาหงส์ หางตาชี้ขึ้นมีสีแดงจากแรงอารมณ์ที่ข่มกลั้นจุมพิตร้อนแรงบดขยี้ลงบนกลีบปากบางของคนตัวสูง สองมือประคองคางสากระคายจากไรหนวดที่เริ่มผุดตอขึ้น จับเบี่ยงใบหนาคมให้รับสัมผัสหนักหน่วงชายหนุ่มตอบสนองจุมพิตกลับด้วยความร้อนแรงไม่แพ้กัน ริมฝีปากกับลิ้นร้อนบุกเข้าไปกวาดชิมความหอมหวาน ช่วงชิงเป็นฝ่ายนำจังหวะรักตามใจตนใบหน้าแนบสัมผัสด
“พิจารณาลงจากตำแหน่ง!”ถังไฉหย่งกดเสียงต่ำเคร่งขรึม ทำราวกับได้ตัดสินใจในเรื่องที่ยากที่สุดไปแล้ว ผู้อำนวยการฝั่งรองประธานแอบยกนิ้วโป้งให้คนกล้าออกตัว‘มารดามันเถอะ! ฉี่จะราดอยู่แล้ว เมื่อไหร่จะจบสักที’ผู้อำนวยการอาวุโสน้ำท่วมปาก มองไปที่ฉินเฟยหลงด้วยความกระวนกระวาย แต่จะช่วยเอ่ยแก้ต่างก็หาเหตุผลดี ๆ ไม่ได้สำหรับไป๋เหม่ยถิงงิ้วที่แสดงกันอยู่ น่าดูไม่น้อย มีหน่วยกล้าตายผู้ภักดีเป็นคนออกหน้า ลิ่วล้อขาหมาตามหลังไม่ห่าง มีตั๊กแตนรอจับจักจั่น และบอสผู้เมตตาคอยไกล่เกลี่ยอ้อ...เกือบลืมหนอนบ่อนไส้ที่โดนตัดสินโทษตายไม่รู้ตัว“ถ้าจะให้ฉันลงจากตำแหน่ง ใครจะขึ้นมาแทน? ขึ้นมาแล้วมีวิธีแก้ปัญหาของเคสต์เนอร์?”ฉินเฟยหลงโยนคำถามเรื่อย ๆ ราวสายน้ำไหล เพียงสองข้อผู้อำนวยการทุกคนแสดงสีหน้าแทบดูไม่ได้“อาไม่แน่ใจว่าวิธีที่จะเสนอนี้ได้ผลไหม แต่อามีที่ดินผืนหนึ่งที่เตรียมไว้สำหรับโครงการส่วนตัว แม้จะสู้ที่กลางเมืองตรงนั้นไม่ได้ แต่ขยับมาไม่ไกลแถมกำลังจะมีการสร้างเส้นทางพิเศษเดี๋ยวอาจะให้ผู้ช่วยส่งเอกสารให้ทุกคนพิจารณาดู ถ้าใช้ได้จะได้เสนอเป็นทางเลือกให้เคสต์เนอร์”ฉินเล่อฉีแสดงความรู้สึกผิดทางสีหน้า
5 วันต่อมาบริษัทเซี่ยอวิ๋นเรียกประชุมบอร์ดบริหาร วาระประชุมนี้ไม่ได้เป็นความลับ มีการแบ่งฝักฝ่าย ตลอดอาทิตย์ประธานไม่ได้เข้าบริษัท แต่กลับลาพักร้อนยาวชนิดที่ไม่เคยทำมาตลอด 10 ปี“ท่านประธานคิดอะไรอยู่กันนะ” เลขาว่านหวาดวิตกแทนเจ้านาย แม้จะดูน่ากลัวไปบ้าง แต่ต้องยอมรับว่าบริษัทมาได้จนถึงทุกวันนี้เพราะประธาน“พี่ว่านคะ เราเอาเอกสารการประชุมไปจัดเรียงเถอะค่ะ ค่อยไปคุยกันด้านในดีกว่า ในนั้นเงียบเชียบไม่มีใครได้ยิน”จ้าวลี่จูกระซิบกระซาบกับเลขารุ่นพี่“จริงของเธอไปกันเถอะ”สองสาวต่างวัยรีบหยิบข้าวของที่ในส่วนงานของเลขาต้องจัดเตรียมเข้าไปในห้องประชุมมีเอกสารเกี่ยวกับวาระประชุม 1 ชุด พร้อมด้วยป้ายชื่อของบอร์ดแต่ละคน เลขาคนอื่นก็กำลังไปจัดเตรียมน้ำชาและของว่างที่ห้องเเพนทรีของชั้นห้องประชุม“เดี๋ยวพี่มาช่วยนะ ขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”“ไม่ต้องรีบหรอกค่ะพี่ เดี๋ยวตรงนี้ฉันทำคนเดียวได้”จ้าวลี่จูตอบรับแบบคุ้นเคยกันดี สาวรุ่นพี่จึงเดินออกไปอย่างสบายใจ หญิงสาวรุ่นน้องมองประตูที่ปิด ก่อนจะลดสายตามองเอกสาร รอยยิ้มค่อย ๆ ขยับ ดวงตาระริกไหว‘ไปนาน ๆ เลยก็ได้นะคะ’ห้องประชุมใหญ่ บริษัทเซี่ยอวิ๋นการประชุ
เช้าวันต่อมาท่าเรือ บริษัทไป๋ซิ่นซู่ไป๋จื้อหยาง ประธานบริษัทกำลังคุมคนงานขนของออกจากตู้สินค้าขึ้นรถบรรทุกเตรียมนำส่งไปต่างมณฑล“ประธานครับ รองประธานบริษัทเซี่ยอวิ๋นขอพบครับ” เลขากู้ชิงอวิ๋นเดินมากระซิบเสียงเบาดวงตาดอกท้อของประธานใช้หางตามองไปยังทางเข้าสำนักงาน ใช้มือส่งสัญญาณให้เลขา ส่วนตัวเองเดินส่ายอาด ๆ ด้วยท่าทางนักเลงโตไปทางออฟฟิศ“เด็ก ๆ มีคนมา ปิดประตูต้อนรับแขก!!!”กู้ชิงอวิ๋นได้สัญญาณมือรีบเดินออกไปตะโกนแจ้งข่าวเสียงเหี้ยมจนลั่นท่าเรือเด็ก ๆ ที่เขาเรียกคือ ชายฉกรรจ์ที่เป็นคนงานกำลังขนของ ทุกคนหยุดชะงักทิ้งงานในมือ ท่าทางหัวเราะสรวลเสเฮฮาไม่เหลือคนงาน 4-5 คน เดินไปลากประตูเหล็กมากั้นทางเข้า ยืนเรียงบังทางออกทางเดียวของท่าเรือที่อยู่ปลายอ่าว อีก 2 คนมายืนคุมหน้ารถยนต์ คนที่เหลือเดินหายเข้าไปในตู้สินค้าข้างออฟฟิศคนเหล่านั้นกลับออกมาพร้อมอาวุธครบมือ ทั้งท่อเหล็ก สนับมือ มีดแล่เนื้อแบบยาว เดินมายืนล้อมออฟฟิศกระจกดำทึบ แต่คนด้านในมองเห็นข้างนอกได้ชัดเจน“โฮ่...รองฉิน กับซานฉิน มาเป็นแขกหรือมาหาเรื่องกันล่ะ จู่ ๆ ก็โผล่มาไม่นัดล่วงหน้า”ตุบ! ตึง!ไป๋จื้อหยางเดินไปนั่งทิ้งตัวบน
เช้าวันต่อมาลั่วหยาง มณฑลเหอหนานไป๋เหม่ยถิงกับฉินเฟยหลงจองเครื่องบินมาลั่วหยาง ชายหนุ่มให้เลขาติดต่อกับผู้ช่วยของเลขาพรรคระดับมณฑลเหอหนาน ขอเข้าพบผู้นำระดับมณฑลเรื่องนี้ไป๋เหม่ยถิงต้องมาส่งข้อมูลร้องเรียนและทวงความเป็นธรรมให้มารดาด้วยตนเองได้เส้นสายจากนายพลเทียน ทำให้ได้รับการนัดหมายเป็นช่วงบ่าย“พี่ฝูเหว่ยส่งคนไปสืบข่าวคนตระกูลหลินให้หน่อย ฉันอยากรู้ว่าผู้คนพูดถึงพวกเขาว่ายังไง”ก่อนจะเข้าไปพบท่านเลขาพรรค ยังเหลือเวลาอีก 3 ชั่วโมง สมควรทำความเข้าใจสถานะของศัตรูที่นี่เสียก่อน พวกเขาแฝงตัวอยู่ในสังคมที่นี่นานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งไปแล้วเส้นสายและตระกูลชิดเชื้อย่อมต้องระวัง“ไปย่านเมืองเก่า” ฉินเฟยหลงเลือกสถานที่ไปฆ่าเวลาก่อนเวลานัดลั่วหยางเป็นเมืองหลวงโบราณของกษัตริย์จีนหลายราชวงศ์ มีพื้นที่แบ่งเป็นเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่ย่านเมืองเก่ามีบ้านเรือนโบราณที่ยังมีผู้อยู่อาศัย บางหลังรกร้างไม่ได้รับการทำนุบำรุง ซึ่งก็มีเกินครึ่งที่ไม่มีคนอยู่อาศัยบ้านบรรพบุรุษตระกูลหลินเองก็อยู่ในย่านเมืองเก่า“นั่งพักในร้านนั้นก่อนดีไหมคะ” ไป๋เหม่ยถิงชี้ไปยังเรือนขนาดใหญ่ 2 ชั้น ด้านล่างประตูไม้สีแดงเป
บ้านตระกูลไป๋“คุณหนู ผมหวางอู๋ซวนครับ”“สวัสดีคุณหวางหวังว่าจะเป็นข่าวดีนะ”ไป๋เหม่ยถิงพูดเชิงสัพยอกแต่ใบหน้าเรียบเฉย แถมสุ้มเสียงไร้อารมณ์ คนฟังรีบกลืนคำพูดล้อเล่นที่กำลังจะหลุดปาก“ฮะ ฮะ…ข่าวดีอยู่แล้วครับ ไม่กล้าให้เป็นข่าวร้ายหรอกครับ เดี๋ยวฮองเฮาทรงกริ้วผมจะไม่เหลือคอไว้กินข้าว”เสียงแหย ๆ รีบรับประกัน ตอนท้ายก็เบาเหมือนบ่นลอย ๆ รายงานแต่ละทีดูช่างยากเย็น เป็นหวางอู๋ซวนต้องรองรับอารมณ์เจ้านาย ลำบากดีแท้...“เข้าเรื่องเถอะค่ะ”“พะยะค่ะ ฮองเฮา เอ๊ย…คุณหนู ผมรวบรวมหลักฐานวัตถุ พร้อมพยานบุคคลเพื่อชี้ตัวคนจ้างวานเรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้ต่อให้มีปีกบินก็หนีไม่รอด”รายงานเป็นการเป็นงานด้วยน้ำเสียงอวดโอ่ คดีที่เขาตามมีทั้งช่วงที่ยากและง่ายราวพลิกฝ่ามือ แถมปิดคดีหลังตามได้ไม่นานแม้หลักฐานได้จากการชี้แนะ แต่ปิดได้ก็คือปิดได้เสียงรายงานจึงเบิกบาน“คุณหนูจะให้ทำอะไรต่อดีครับ”“เก็บหลักฐานพวกนั้นไว้ก่อนค่ะ รอฉันติดต่อกลับไป แน่ใจใช่ไหมคะว่าไม่มีใครจับตามอง” ไป๋เหม่ยถิงยิ้มเย็น แววตาเย็นเยียบแฝงแววอำมหิต“ผมให้คนไปจับตามองทางตระกูลนั้นแล้วครับ ไม่มีใครระแคะระคายเลยว่าเราจะสืบสาวเรื่องมาถึงตั
วันถัดมาสนามบินนานาชาติเซี่ยงไฮ้“มิสเตอร์เคสต์เนอร์ มิสเคสต์เนอร์ยินดีต้อนรับสู่ชางไห่ครับ ผมโจวหมิงเจี่ย เลขาของท่านประธานฉินยินดีที่ได้พบครับ” โจวหมิงเจี่ยเดินเข้าไปต้อนรับคู่ค้าจากเยอรมัน“อ้าว…มิสเตอร์ฉินไม่มาหรือครับ”คำถามแท้จริงคือ ทำไมฉินเฟยหลงถึงไม่มาต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเอง‘ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์’โจวหมิงเจี่ยเหลือบมองสองพ่อลูกเคสต์เนอร์ ตัวลูกสาวดูไม่สบอารมณ์ ส่วนคนพ่อแม้ปากยิ้มแต่ส่งไปไม่ถึงดวงตา พบหน้าก็ถามคำถามชวนหาเรื่อง“ท่านประธานกำลังประชุมเรื่องโปรเจกต์อยู่ครับ”โจวหมิงเจี่ยตอบกลับด้วยมารยาทอันดี ทางเคสต์เนอร์ก็ไม่คิดหักหน้าหรือหาเรื่องต่อ โจวหมิงเจี่ยเรียกบอดี้การ์ดมารับสัมภาระจากมือของผู้ช่วยของตระกูลเคสต์เนอร์“เข้าห้องพักก่อน หรือจะไปรับประทานอาหารก่อนไหมครับ”“คุณพ่อคะ เข้าไปพักก่อนเถอะค่ะ อาหารสั่งเอาจากโรงแรมก็ได้”“โอเคเอาตามที่ลูกว่า”สองพ่อลูกคุยกันด้วยภาษาเยอรมันโดยไม่สนใจโจวหมิงเจี่ยว่าจะฟังออกหรือไม่ก็ตาม การกระทำนี้เป็นการดูถูกและไม่ให้เกียรติแม้แต่น้อยเลขาหนุ่มสั่งงานบอดี้การ์ดที่ขับรถด้วยน้ำเสียงปกติ โรงแรมที่จัดให้คู่ค้าคนสำคัญของบริษัทเป็นโรงแรมอันดับ