ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยในตัวราชครูยิ่งนัก จึงเอื้อนเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง “ใช่แล้ว”“หากเป็นผู้อื่นก็คงไม่เป็นไร ทว่าหมอหญิงเจียงผู้นั้นฝีมือสูงล้ำ หากนางรักษาอาการเสียสติของไท่ซ่างหวงจนหายดีได้ เช่นนั้น...ไท่ซ่างหวงก็คงไว้ชีวิตต่อไปมิได้อีก”“ฝ่าบาทวางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ราชครูกล่าวอย่างราบเรียบ “ข้าพระองค์ได้ใส่ตัวยาพิเศษลงในยาที่ไท่ซ่างหวงเสวยทุกวันแล้ว ยานั้นจะทำให้อาการทรุดหนักขึ้นเรื่อย ๆ แม้หยุดเสวย ก็ไม่มีทางหายดีได้อีก”ฮ่องเต้จึงถอนพระทัยอย่างโล่งอก ก่อนเอ่ยอีกว่า “ถึงกระนั้นก็ตาม ภายในตำหนักของไท่ซ่างหวงยังไม่มีคนของเราแฝงตัวอยู่เลย เราจึงยังรู้สึกไม่สบายใจนัก”“ฝ่าบาท ข้าพระองค์มีวิธีหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”“วิธีใด?”“ในวังมีนางกำนัลอยู่มากมาย ฝ่าบาทอาจคัดเลือกผู้ที่มีพระพักตร์คล้ายกับฮองเฮาไท่ชิงมาไว้ข้างกายไท่ซ่างหวง อาจถูกพระองค์เก็บไว้ก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”“วิธีนี้ฟังดูเข้าที” ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางพู่กันในมือ “...ไม่ เปลี่ยนใจแล้ว”“เจ้าจิ่นระยะนี้เริ่มตีตัวออกห่าง บางถ้อยคำที่เขาเอ่ยยังส่อแววเคลือบแคลง คล้ายจะเริ่มสงสัยในเรา”พระหัตถ์ของฮ่องเต้เคาะโต๊ะด้
“พ่ะย่ะค่ะ” ราชครูมีสีหน้าเปี่ยมยินดี ค้อมกายคารวะแล้วกล่าวว่า “กระหม่อมขอทูลลากลับก่อน ไม่รบกวนการพักผ่อนขององค์ชายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เขาหันกายจะจากไป ขณะนั้นเองสายตาเหลือบไปยังขอบหน้าต่างอย่างไม่ตั้งใจ แต่ชางอี้ยืนขวางอยู่พอดี จึงต้องหันกลับด้วยสีหน้าที่แฝงความผิดหวังเมื่อครู่ทันทีที่เขาเข้ามา ก็สังเกตเห็นของบางอย่างในมือกู้จิ่น สีเขียวสด รูปทรงสี่เหลี่ยม ดูคล้ายหยกผืนหนึ่งไม่... ไม่น่าเป็นหยกประทับราชโองการได้หรอกหยกประทับมีค่าเหลือคณา องค์ชายกู้จิ่นจะเอามาวางลอย ๆ บนขอบหน้าต่างได้อย่างไร?อีกอย่าง หยกประทับเป็นสัญลักษณ์แห่งองค์จักรพรรดิ เท่านั้นจึงจะครอบครองได้ ส่วนกู้จิ่นเป็นเพียงอ๋องคนหนึ่ง หาใช่ฮ่องเต้ไม่ ย่อมไม่มีทางมีของเช่นนั้นอยู่ในมือหากจะกล่าวว่าเขาแอบขโมยมาจากฮ่องเต้ นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ ฮ่องเต้ทรงหวงของสิ่งนั้นราวกับชีวิต หากหายไปแม้เพียงครู่เดียว ป่านนี้คงสั่งพลิกแผ่นดินตามหาไปแล้วคงเป็นเพียงตาทำให้ลวงตา ราชครูส่ายหัวเบา ๆ แล้วเร่งฝีเท้าจากไปกู้จิ่นวางถ้วยชาลง แล้วหยิบพู่กันขึ้นเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษชางอี้เอ่ยเสียงเบา “องค์ชาย หากราชครูล่วงรู้เข้า จะทรง
“ได้” กู้จิ่นเอื้อมพระหัตถ์ขวาจับพนักเก้าอี้ นิ้วชี้เคาะเบา ๆ พลางสั่ง “ชางอี้ ถอยไป”ชางอี้ยืนหลบไปด้านข้าง ราชครูจึงสาวเท้าเข้าไปหนึ่งก้าว จ้องมองสตรีตรงหน้าเขม็งดวงเนตรของราชครูส่องประกายเขียวคล้ำ แฝงไว้ด้วยความเยียบเย็น ทำให้หญิงสาวรู้สึกกระวนกระวาย เผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างตึงเครียด“ถอดผ้าคลุมหน้าออก” ราชครูออกคำสั่งเสียงเรียบหญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ถอดผ้าขาวที่ปิดบังใบหน้า เผยให้เห็นครึ่งล่างของใบหน้าที่ซ่อนอยู่ราชครูยกมือแตะหลังใบหูของนาง เบา ๆ เพื่อตรวจสอบว่านางสวมหน้ากากหนังมนุษย์หรือไม่ แต่สัมผัสที่ได้คือผิวเนียนอุ่นตามธรรมชาติ มิใช่หน้ากากปลอมจากนั้น เขาจึงเพ่งมองไปยังปานแดงกลางหน้าผากของนาง แล้วใช้นิ้วแตะลงไปพร้อมกับออกแรงถู ปานนั้นหาได้หลุดลอกหรือเลือนรางไม่ริมฝีปากของเขาสั่นระริก เอ่ยเสียงพร่า “เราได้พบกันเสียที...”กู้จิ่นยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาคาดไว้ไม่ผิด ราชครูใช้ปานแดงกลางหน้าผากเป็นจุดยืนยันตัวตน ยามจุดปานปลอมลงไป ราชครูก็หาได้ล่วงรู้ไม่ว่านางเป็นตัวปลอม“ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงสิ่งใด” สตรีผู้นั้นกล่าวพลางส่ายศีรษะ ตามที่ชางอี้กำชั
“แน่นอน” ราชครูกล่าวอย่างไม่รู้จักถ่อมตน “กระหม่อมสามารถดูฤกษ์ยามและอ่านฟ้าดินได้ ฝ่าบาทเมื่อได้เห็นกระหม่อมครั้งแรก ก็ทรงทราบทันทีว่ากระหม่อมจะเป็นกำลังสำคัญให้ทรงทำการใหญ่สำเร็จ”“การใหญ่หรือ?” กู้จิ่นยกถ้วยชาขึ้นจิบ “คือหมายมาดกำจัดเรานั้นกระมัง?”“องค์ชาย กระหม่อมรับปากไว้เพียงจะบอกว่าใครคือแมงป่องพิษ หาได้ตกลงเรื่องอื่นไม่พ่ะย่ะค่ะ” ราชครูเอื้อมมือหยิบถ้วยชาขึ้นดื่มอึกใหญ่ “แต่หากจะเอ่ยตามตรง ท่านก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในแผนการของฝ่าบาทเท่านั้น”“หึ…หมากอันไร้ค่าสินะ” ดวงตาของกู้จิ่นวาบวับด้วยแววสังหาร “ราชครู เจ้ากล้าพูดกับเราถึงเพียงนี้ มิกลัวหรือว่าเราจะประหารเจ้า ณ ที่นี่?”“องค์ชายจะทรงกล้ากระนั้นหรือ?” ราชครูย้อนถามกลับด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “กระหม่อมทำงานให้ฮ่องเต้ หากถูกฆ่า ฮ่องเต้ย่อมไม่ปล่อยพระองค์ไว้แน่”“ไม่ว่าท่านจะมีความสามารถเพียงใด ก็เป็นแค่องค์ชาย หาใช่เจ้าครองแผ่นดินไม่ แล้วจะไปต่อกรกับฮ่องเต้ได้อย่างไรกันเล่า?”กู้จิ่นเคาะขอบถ้วยเบา ๆ “มิน่าเล่า เจ้าถึงยอมทำข้อตกลงกับเราอย่างไร้ความหวาดหวั่น...เพราะเจ้ามีผู้หนุนหลังนั่นเอง”“หากองค์ชายไม่มีเรื่องอื่น กระหม่อ
ตลอดหนึ่งชั่วยามถัดมา ราชครูเล่าทุกสิ่งที่เขาเคยกระทำเพื่อฮ่องเต้ออกมาอย่างหมดเปลือกล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยไร้แก่นสาร ไม่อาจนำไปใช้ประโยชน์ใดได้ กู้จิ่นแม้จะรู้สึกเบื่อหน่ายแต่ก็จำต้องฟังจนจบ สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปเพียงว่า...ราชครูผู้นี้ฉลาดเป็นกรดการพยากรณ์ฤกษ์ยาม สังเกตดวงดาว ตลอดจนวิชากู่และการใช้พิษ ล้วนเป็นศาสตร์อันยากเย็น ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการฝึกฝน แม้ผู้มีพรสวรรค์ก็ใช่ว่าจะเรียนรู้ได้ง่ายแต่ราชครูผู้นี้อายุเพียงยี่สิบกว่า กลับเชี่ยวชาญทั้งสี่แขนงอย่างถึงแก่น คิดดูแล้ว สมองคงเฉียบแหลมเกินคนคนฉลาดล้ำเช่นนี้ มีภูมิหลังอันใดกันแน่?กู้จิ่นเงยพระเนตรขึ้น สายตาคมกริบดั่งคมมีด พุ่งตรงไปยังราชครู “เจ้ามาจากที่ใด?”“แคว้นเฟิ่งซี” ราชครูตอบเรียบ ๆ“หึ...เจ้าก็หาใช่คนของต้าเหยียนไม่” แววพระเนตรของกู้จิ่นเปล่งประกายเยียบเย็นอีกครั้ง เรื่องราวนี้...อีกแล้วที่เกี่ยวข้องกับแคว้นเฟิ่งซีต้าเหยียนกับเฟิ่งซีเป็นพันธมิตร มีการติดต่อค้าขายไปมาเป็นปกติ ชาวบ้านของทั้งสองแคว้นก็อยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว จึงมิใช่เรื่องแปลกนัก หากจะพบชาวเฟิ่งซีในต้าเหยียนทว่าองครักษ์ลับของราชวงศ์เฟิ่งซี หร
เพื่อให้ตนรอดชีวิตออกจากที่นี่ ราชครูจึงจำต้องข่มความขุ่นเคืองไว้ภายใน สะบัดชายแขนเสื้อแรง ๆ หนึ่งครั้ง แล้วจูง “แม่ตัวปลอม” ของตนเดินจากไปชางอี้ปิดประตูแล้วเดินกลับมาหากู้จิ่น พลางกล่าวว่า “องค์ชาย กระหม่อมรู้สึกว่า ท่าทีของราชครูต่อ ‘แม่ปลอม’ ดูแปลกประหลาดนักพ่ะย่ะค่ะ”กู้จิ่นเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “แปลกอย่างไร?”“ตอนราชครูได้ยินว่านางความจำเสื่อม สีหน้ากลับดูยินดีนัก” เขาเกาศีรษะด้วยความงุนงง “หากเป็นกระหม่อม เจอแม่ที่หายไปนานแต่ดันความจำเสื่อม คงเศร้าใจยิ่ง”กู้จิ่นใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางแตะเบา ๆ ที่ขมับของตน “สมองของราชครูต่างจากคนทั่วไป เจ้าอย่าเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับเขาเลย”“แต่เรื่องราชครูตามหาแม่ก็ดูจะมีเงื่อนงำอยู่ดี” กู้จิ่นกระแอมเล็กน้อย “ให้ส่งคนไปเฝ้าติดตามราชครูต่อเงียบ ๆ และอย่าหยุดตามหาสตรีในภาพวาด”“องค์ชาย...ตอนนี้เราก็มีตัวแทนแล้ว เหตุใดจึงต้องตามหาต่ออีกเล่า?” ชางอี้ถามอย่างสงสัย“คนที่มีตัวตนจริง ย่อมไม่อาจไร้ร่องรอยใด ๆ ได้ สตรีในภาพนั้น...ต้องมีความลับบางอย่าง” กู้จิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง“หากนางเป็นแม่ของราชครูจริง การหาตัวนางเจอ อาจเป็นกุญแจไขไปสู่ควา
“นางหญิงชั่ว! เม่ยเอ๋อร์เป็นน้องสาวเจ้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงลงมือสังหารนาง!” เจียงซุ่ยฮวนลืมตาขึ้น มองชายหญิงแปลกหน้าตรงหน้าด้วยความงุนงง นางเป็นแพทย์ระดับยอดฝีมือในยุคปัจจุบัน เชี่ยวชาญทั้งการแพทย์แผนจีน แผนตะวันตก และวิชายุทธ์โบราณ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกด้วยฝีมือการรักษาอันล้ำเลิศ แต่เมื่อตื่นขึ้นมา กลับพบว่าตนเองมาอยู่ในที่แปลกประหลาดแห่งนี้ ยังไม่ทันได้เข้าใจสถานการณ์ ความเจ็บปวดก็แล่นปราดไปที่หน้าอก เจียงซุ่ยฮวนก้มมอง พบว่ามีกริชปักอยู่ที่อก โลหิตไหลรินไม่หยุด เสียงเย็นชาของชายผู้นั้นดังขึ้น “ตอนแรกเจ้าแต่งงานกับข้าแทนเม่ยเอ๋อร์ ข้าก็ละเว้นชีวิตเจ้าแล้ว วันนี้เจ้ายังจะฆ่าเม่ยเอ๋อร์อีก ข้าจะยอมเจ้าได้อย่างไร!” ความทรงจำพรั่งพรูเข้ามาในสมอง นางข้ามภพมาเป็นองค์หญิงผู้เป็นภรรยาเอกแห่งวังหนานหมิง ร่างเดิมคือธิดาแท้ ๆ ของจวนอ๋อง นางถูกสับเปลี่ยนตัวตั้งแต่แรกเกิด กว่าจวนอ๋องจะตามหาจนพบและได้แต่งงานกับองค์ชายฉู่เจวี๋ย ก็ระหกระเหินอยู่ภายนอกหลายปีน้องสาวที่องค์ชายกล่าวถึง คือธิดาตัวปลอมในจวน แม้ไม่ใช่บุตรีแท้ ๆ แต่ท่านอ๋องและฮูหยินเสียดายนาง จึงรับไว้เป็นบุตรีบุญธ
“นี่ข้ากำลังฝันไปกระมัง?” เจียงซุ่ยฮวน ยื่นมือไปแตะคีมห้ามเลือดด้วยความเลื่อนลอย สัมผัสอันเย็นเฉียบทำให้นางสะท้านไปทั้งกาย มิใช่ความฝัน เป็นเรื่องจริง! ห้องทดลองของนางได้ย้อนเวลามาพร้อมกับนางด้วย นางมิอาจเสียเวลาดีใจ รีบคว้ายาห้ามเลือดและยาชา พร้อมเครื่องมือบางอย่างออกมา แล้วเริ่มเย็บแผลของตนเองนี่เป็นครั้งแรกที่เจียงซุ่ยฮวนต้องเย็บแผลด้วยตนเอง แม้จะยากลำบากอยู่บ้าง แต่ด้วยวิชาแพทย์อันล้ำเลิศ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามนางก็เย็บแผลเสร็จสิ้น นางทรุดกายพิงต้นไม้ด้วยความอ่อนล้า หยิบขวดยาบำรุงโลหิตออกมาจากห้องทดลอง กลืนลงไปสามเม็ด ยาบำรุงโลหิตนี้ปรุงขึ้นจากสมุนไพรล้ำค่ามากมาย หนึ่งขวดมีเพียงห้าเม็ด นางไม่เคยกล้าใช้มาก่อน ไม่คิดว่าครานี้จะต้องกินถึงสามเม็ดรวดเดียว นางมองสองเม็ดที่เหลือในขวด ครุ่นคิดว่าต้องหาโอกาสปรุงเพิ่มในภายภาคหน้า ส่วนรอยแผลบนใบหน้า รอให้ตกสะเก็ดแล้วทายาลบรอยแผลเป็น คงไม่มีอะไรน่ากังวล ยามรุ่งสาง ขณะที่ฤทธิ์ยาชายังไม่หมด เจียงซุ่ยฮวนค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้นโดยอาศัยลำต้นไม้ ตั้งใจจะกลับเข้าเมืองหลวงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ทันใดนั้น กระเพาะของนางปั่นป่วนรุนแรง
เพื่อให้ตนรอดชีวิตออกจากที่นี่ ราชครูจึงจำต้องข่มความขุ่นเคืองไว้ภายใน สะบัดชายแขนเสื้อแรง ๆ หนึ่งครั้ง แล้วจูง “แม่ตัวปลอม” ของตนเดินจากไปชางอี้ปิดประตูแล้วเดินกลับมาหากู้จิ่น พลางกล่าวว่า “องค์ชาย กระหม่อมรู้สึกว่า ท่าทีของราชครูต่อ ‘แม่ปลอม’ ดูแปลกประหลาดนักพ่ะย่ะค่ะ”กู้จิ่นเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “แปลกอย่างไร?”“ตอนราชครูได้ยินว่านางความจำเสื่อม สีหน้ากลับดูยินดีนัก” เขาเกาศีรษะด้วยความงุนงง “หากเป็นกระหม่อม เจอแม่ที่หายไปนานแต่ดันความจำเสื่อม คงเศร้าใจยิ่ง”กู้จิ่นใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางแตะเบา ๆ ที่ขมับของตน “สมองของราชครูต่างจากคนทั่วไป เจ้าอย่าเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับเขาเลย”“แต่เรื่องราชครูตามหาแม่ก็ดูจะมีเงื่อนงำอยู่ดี” กู้จิ่นกระแอมเล็กน้อย “ให้ส่งคนไปเฝ้าติดตามราชครูต่อเงียบ ๆ และอย่าหยุดตามหาสตรีในภาพวาด”“องค์ชาย...ตอนนี้เราก็มีตัวแทนแล้ว เหตุใดจึงต้องตามหาต่ออีกเล่า?” ชางอี้ถามอย่างสงสัย“คนที่มีตัวตนจริง ย่อมไม่อาจไร้ร่องรอยใด ๆ ได้ สตรีในภาพนั้น...ต้องมีความลับบางอย่าง” กู้จิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง“หากนางเป็นแม่ของราชครูจริง การหาตัวนางเจอ อาจเป็นกุญแจไขไปสู่ควา
ตลอดหนึ่งชั่วยามถัดมา ราชครูเล่าทุกสิ่งที่เขาเคยกระทำเพื่อฮ่องเต้ออกมาอย่างหมดเปลือกล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยไร้แก่นสาร ไม่อาจนำไปใช้ประโยชน์ใดได้ กู้จิ่นแม้จะรู้สึกเบื่อหน่ายแต่ก็จำต้องฟังจนจบ สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปเพียงว่า...ราชครูผู้นี้ฉลาดเป็นกรดการพยากรณ์ฤกษ์ยาม สังเกตดวงดาว ตลอดจนวิชากู่และการใช้พิษ ล้วนเป็นศาสตร์อันยากเย็น ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการฝึกฝน แม้ผู้มีพรสวรรค์ก็ใช่ว่าจะเรียนรู้ได้ง่ายแต่ราชครูผู้นี้อายุเพียงยี่สิบกว่า กลับเชี่ยวชาญทั้งสี่แขนงอย่างถึงแก่น คิดดูแล้ว สมองคงเฉียบแหลมเกินคนคนฉลาดล้ำเช่นนี้ มีภูมิหลังอันใดกันแน่?กู้จิ่นเงยพระเนตรขึ้น สายตาคมกริบดั่งคมมีด พุ่งตรงไปยังราชครู “เจ้ามาจากที่ใด?”“แคว้นเฟิ่งซี” ราชครูตอบเรียบ ๆ“หึ...เจ้าก็หาใช่คนของต้าเหยียนไม่” แววพระเนตรของกู้จิ่นเปล่งประกายเยียบเย็นอีกครั้ง เรื่องราวนี้...อีกแล้วที่เกี่ยวข้องกับแคว้นเฟิ่งซีต้าเหยียนกับเฟิ่งซีเป็นพันธมิตร มีการติดต่อค้าขายไปมาเป็นปกติ ชาวบ้านของทั้งสองแคว้นก็อยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว จึงมิใช่เรื่องแปลกนัก หากจะพบชาวเฟิ่งซีในต้าเหยียนทว่าองครักษ์ลับของราชวงศ์เฟิ่งซี หร
“แน่นอน” ราชครูกล่าวอย่างไม่รู้จักถ่อมตน “กระหม่อมสามารถดูฤกษ์ยามและอ่านฟ้าดินได้ ฝ่าบาทเมื่อได้เห็นกระหม่อมครั้งแรก ก็ทรงทราบทันทีว่ากระหม่อมจะเป็นกำลังสำคัญให้ทรงทำการใหญ่สำเร็จ”“การใหญ่หรือ?” กู้จิ่นยกถ้วยชาขึ้นจิบ “คือหมายมาดกำจัดเรานั้นกระมัง?”“องค์ชาย กระหม่อมรับปากไว้เพียงจะบอกว่าใครคือแมงป่องพิษ หาได้ตกลงเรื่องอื่นไม่พ่ะย่ะค่ะ” ราชครูเอื้อมมือหยิบถ้วยชาขึ้นดื่มอึกใหญ่ “แต่หากจะเอ่ยตามตรง ท่านก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในแผนการของฝ่าบาทเท่านั้น”“หึ…หมากอันไร้ค่าสินะ” ดวงตาของกู้จิ่นวาบวับด้วยแววสังหาร “ราชครู เจ้ากล้าพูดกับเราถึงเพียงนี้ มิกลัวหรือว่าเราจะประหารเจ้า ณ ที่นี่?”“องค์ชายจะทรงกล้ากระนั้นหรือ?” ราชครูย้อนถามกลับด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “กระหม่อมทำงานให้ฮ่องเต้ หากถูกฆ่า ฮ่องเต้ย่อมไม่ปล่อยพระองค์ไว้แน่”“ไม่ว่าท่านจะมีความสามารถเพียงใด ก็เป็นแค่องค์ชาย หาใช่เจ้าครองแผ่นดินไม่ แล้วจะไปต่อกรกับฮ่องเต้ได้อย่างไรกันเล่า?”กู้จิ่นเคาะขอบถ้วยเบา ๆ “มิน่าเล่า เจ้าถึงยอมทำข้อตกลงกับเราอย่างไร้ความหวาดหวั่น...เพราะเจ้ามีผู้หนุนหลังนั่นเอง”“หากองค์ชายไม่มีเรื่องอื่น กระหม่อ
“ได้” กู้จิ่นเอื้อมพระหัตถ์ขวาจับพนักเก้าอี้ นิ้วชี้เคาะเบา ๆ พลางสั่ง “ชางอี้ ถอยไป”ชางอี้ยืนหลบไปด้านข้าง ราชครูจึงสาวเท้าเข้าไปหนึ่งก้าว จ้องมองสตรีตรงหน้าเขม็งดวงเนตรของราชครูส่องประกายเขียวคล้ำ แฝงไว้ด้วยความเยียบเย็น ทำให้หญิงสาวรู้สึกกระวนกระวาย เผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างตึงเครียด“ถอดผ้าคลุมหน้าออก” ราชครูออกคำสั่งเสียงเรียบหญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ถอดผ้าขาวที่ปิดบังใบหน้า เผยให้เห็นครึ่งล่างของใบหน้าที่ซ่อนอยู่ราชครูยกมือแตะหลังใบหูของนาง เบา ๆ เพื่อตรวจสอบว่านางสวมหน้ากากหนังมนุษย์หรือไม่ แต่สัมผัสที่ได้คือผิวเนียนอุ่นตามธรรมชาติ มิใช่หน้ากากปลอมจากนั้น เขาจึงเพ่งมองไปยังปานแดงกลางหน้าผากของนาง แล้วใช้นิ้วแตะลงไปพร้อมกับออกแรงถู ปานนั้นหาได้หลุดลอกหรือเลือนรางไม่ริมฝีปากของเขาสั่นระริก เอ่ยเสียงพร่า “เราได้พบกันเสียที...”กู้จิ่นยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาคาดไว้ไม่ผิด ราชครูใช้ปานแดงกลางหน้าผากเป็นจุดยืนยันตัวตน ยามจุดปานปลอมลงไป ราชครูก็หาได้ล่วงรู้ไม่ว่านางเป็นตัวปลอม“ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงสิ่งใด” สตรีผู้นั้นกล่าวพลางส่ายศีรษะ ตามที่ชางอี้กำชั
“พ่ะย่ะค่ะ” ราชครูมีสีหน้าเปี่ยมยินดี ค้อมกายคารวะแล้วกล่าวว่า “กระหม่อมขอทูลลากลับก่อน ไม่รบกวนการพักผ่อนขององค์ชายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เขาหันกายจะจากไป ขณะนั้นเองสายตาเหลือบไปยังขอบหน้าต่างอย่างไม่ตั้งใจ แต่ชางอี้ยืนขวางอยู่พอดี จึงต้องหันกลับด้วยสีหน้าที่แฝงความผิดหวังเมื่อครู่ทันทีที่เขาเข้ามา ก็สังเกตเห็นของบางอย่างในมือกู้จิ่น สีเขียวสด รูปทรงสี่เหลี่ยม ดูคล้ายหยกผืนหนึ่งไม่... ไม่น่าเป็นหยกประทับราชโองการได้หรอกหยกประทับมีค่าเหลือคณา องค์ชายกู้จิ่นจะเอามาวางลอย ๆ บนขอบหน้าต่างได้อย่างไร?อีกอย่าง หยกประทับเป็นสัญลักษณ์แห่งองค์จักรพรรดิ เท่านั้นจึงจะครอบครองได้ ส่วนกู้จิ่นเป็นเพียงอ๋องคนหนึ่ง หาใช่ฮ่องเต้ไม่ ย่อมไม่มีทางมีของเช่นนั้นอยู่ในมือหากจะกล่าวว่าเขาแอบขโมยมาจากฮ่องเต้ นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ ฮ่องเต้ทรงหวงของสิ่งนั้นราวกับชีวิต หากหายไปแม้เพียงครู่เดียว ป่านนี้คงสั่งพลิกแผ่นดินตามหาไปแล้วคงเป็นเพียงตาทำให้ลวงตา ราชครูส่ายหัวเบา ๆ แล้วเร่งฝีเท้าจากไปกู้จิ่นวางถ้วยชาลง แล้วหยิบพู่กันขึ้นเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษชางอี้เอ่ยเสียงเบา “องค์ชาย หากราชครูล่วงรู้เข้า จะทรง
ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยในตัวราชครูยิ่งนัก จึงเอื้อนเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง “ใช่แล้ว”“หากเป็นผู้อื่นก็คงไม่เป็นไร ทว่าหมอหญิงเจียงผู้นั้นฝีมือสูงล้ำ หากนางรักษาอาการเสียสติของไท่ซ่างหวงจนหายดีได้ เช่นนั้น...ไท่ซ่างหวงก็คงไว้ชีวิตต่อไปมิได้อีก”“ฝ่าบาทวางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ราชครูกล่าวอย่างราบเรียบ “ข้าพระองค์ได้ใส่ตัวยาพิเศษลงในยาที่ไท่ซ่างหวงเสวยทุกวันแล้ว ยานั้นจะทำให้อาการทรุดหนักขึ้นเรื่อย ๆ แม้หยุดเสวย ก็ไม่มีทางหายดีได้อีก”ฮ่องเต้จึงถอนพระทัยอย่างโล่งอก ก่อนเอ่ยอีกว่า “ถึงกระนั้นก็ตาม ภายในตำหนักของไท่ซ่างหวงยังไม่มีคนของเราแฝงตัวอยู่เลย เราจึงยังรู้สึกไม่สบายใจนัก”“ฝ่าบาท ข้าพระองค์มีวิธีหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”“วิธีใด?”“ในวังมีนางกำนัลอยู่มากมาย ฝ่าบาทอาจคัดเลือกผู้ที่มีพระพักตร์คล้ายกับฮองเฮาไท่ชิงมาไว้ข้างกายไท่ซ่างหวง อาจถูกพระองค์เก็บไว้ก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”“วิธีนี้ฟังดูเข้าที” ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางพู่กันในมือ “...ไม่ เปลี่ยนใจแล้ว”“เจ้าจิ่นระยะนี้เริ่มตีตัวออกห่าง บางถ้อยคำที่เขาเอ่ยยังส่อแววเคลือบแคลง คล้ายจะเริ่มสงสัยในเรา”พระหัตถ์ของฮ่องเต้เคาะโต๊ะด้
“ตอนนั้นเรานึกว่าไท่ชิงพูดเล่น จึงตอบไปลอย ๆ ว่า ‘ดื่มจอกที่ใส่เฮ่อติ้งหงเถอะ ชื่อนั้นฟังดูไพเราะดี’ แล้วนางก็ถือสุราทั้งสองจอกจากไป”ไท่ซ่างหวงหลับตาลงแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความทรมาน “เมื่อตรองย้อนไป บัดนั้นรอยยิ้มของไท่ชิงก็แฝงด้วยความฝืนใจ ดวงเนตรยังคลอด้วยหยาดน้ำตา แต่เรากลับมองไม่ออกเลยสักนิด...”เมื่อเจียงซุ่ยฮวนได้ยินดังนั้น หัวใจก็พลันเจ็บแปลบขึ้นมา “แล้ว...หลังจากนั้นเล่าเพคะ?”“หลังจากนั้น ไท่ชิงก็สิ้นใจในตำหนักของนาง พิษเฮ่อติ้งหงเป็นเหตุแห่งความตาย ผู้ที่พบศพเป็นคนแรก...คือเจ้าจิ่น” ไท่ซ่างหวงกล่าวพลางถอนพระทัยอย่างหนักหน่วง“หลายวันนั้นเราราวกับเสียสติ จิตใจล่องลอยไม่ต่างจากคนไร้วิญญาณ ครั้นได้สติกลับมา ก็มีข่าวลือแพร่ไปทั่วทั้งในและนอกวังว่า ไท่ชิงสิ้นใจแทนเจ้าจิ่น”เจียงซุ่ยฮวนชะงักงันไปชั่วครู่ ที่แท้แล้ว...ยามฮองเฮาไท่ชิงสิ้นพระชนม์ กู้จิ่นหาได้อยู่ในเหตุการณ์เลย มิได้มีส่วนใดเกี่ยวข้อง นอกจากเป็นเพียงผู้ที่พบพระศพเป็นคนแรกเท่านั้น ทว่าเขากลับต้องแบกรับความเข้าใจผิดมาเนิ่นนานนักไท่ซ่างหวงกล่าวต่อไป “ขณะนั้นเรายังมืดบอด ก็พลอยเชื่อว่า ไท่ชิงสิ้นใจเพื่อปกป้องเจ้าจิ
ดวงเนตรของไท่ซ่างหวงหดแคบลงอย่างฉับพลัน ทว่าเรือนกายกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยา มือข้างหนึ่งยังคงถือพลั่วขุดดิน อีกข้างค่อย ๆ วางดินที่ขุดขึ้นมากองไว้ริมเท้าดินที่เขาขุดขึ้นมากลายเป็นหลุมลึก เจียงซุ่ยฮวนเหลือบมองกองดินที่เป็นรูปเนินเล็ก ๆ ข้างเท้าเขา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบาซึ่งมีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยินว่า “ดินพวกนี้...จะเอาไปเปลี่ยนในกระถางดอกไม้หรือเพคะ?”“ใช่แล้ว ดอกไม้ในกระถางมีอยู่ไม่กี่ต้น พอนานวันเข้ากลิ่นยาในดินยิ่งทวีคูณ” เจียงซุ่ยฮวนยักไหล่เล็กน้อย “ต้องเปลี่ยนดินใหม่อยู่เนือง ๆ เช่นนั้นกลิ่นถึงไม่ฟ้องความจริง”มือของไท่ซ่างหวงชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าสลับไปมาระหว่างซีดเขียวอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็เหวี่ยงพลั่วทิ้งไปข้างกาย พลางนั่งลงกับพื้นด้วยความคับข้องใจ “ไม่ขุดแล้ว!”“เราอยากพักผ่อน เจ้าทั้งหลายออกไปให้หมด!”เมื่อเห็นท่าทีของไท่ซ่างหวง เจียงซุ่ยฮวนก็แน่ใจว่าตนมิได้เดาผิดนางยื่นถาดอาหารเข้าไปตรงหน้า “เสวยพระกระยาหารก่อนเถิดเพคะ แล้วค่อยพักผ่อน”“เราไม่กิน” ไท่ซ่างหวงเบือนพระพักตร์หนี“วันนี้ฟ้าครึ้มเล็กน้อย”เจียงซุ่ยฮวนหันไปพูดกับเซียวกงกงที่อยู่ด้านหลัง “มิสู้ท่านไ
สีหน้าซีดของฮั่วเซิงเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ "ข้าฆ่าคนมามากมาย ล้วนเพื่อชุบชีวิตอาจารย์ของข้า นี่พิสูจน์ได้ว่าข้าไม่ได้เลือดเย็น" "ฮึ บอกเจ้าให้รู้ไว้ อาจารย์ของเจ้าก็คือนักพรตเหยียนซวี" กู้จิ่นหัวเราะเย็นชา กล่าวช้า ๆ "เจ้าอยู่กับเขามาหลายปี แต่กลับไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา" "ท่านพูดอะไรกัน นักพรตเหยียนซวีเป็นชายชราชัด ๆ!" "นั่นคืออาจารย์ของเจ้าหลังจากปลอมตัว!" กู้จิ่นกล่าวเสียงเฉียบขาด "เขาแกล้งตายก่อน แล้วปลอมตัวมาหาเจ้า บอกวิธีชุบชีวิตอาจารย์ของเจ้า ซึ่งก็คือตัวเขาเอง" ฮั่วเซิงนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ค่อย ๆ ดวงตาแดงก่ำ แต่ยังคงส่ายหน้า "ข้าไม่เชื่อ คำพูดของท่านข้าไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว อาจารย์ข้าตายแล้ว!" "หากอาจารย์ของเจ้าตายจริง แล้วศพของเขาอยู่ที่ไหน? เหตุใดศพที่ข้าส่งคนไปค้นพบจึงเป็นศพขององค์หญิงจิ่นซิ่ว?" "นั่นเพราะเขากังวลว่าท่านจะค้นพบ จึงใช้ศพของคนอื่นแทนตลอด" เสียงของกู้จิ่นแผ่วเบา แต่กลับดังราวฟ้าผ่าข้างหูของฮั่วเซิง "วิธีเก็บรักษาศพของอาจารย์นั้น เป็นนักพรตเหยียนซวีที่บอกเจ้าใช่หรือไม่" "แต่ความจริงก็คือ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเก็บรักษาอย่างไรให้ศพไม