"นายเริ่มมาอยู่ในภูเเขานี้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่" หานซานเฉียนถามด้วยความสงสัย ถ้าพูดถึงรถยนต์ในสมัยนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดามาก แม้ว่าเด็กบางคนที่มาจากครอบครัวยากจนจะไม่เคยนั่ง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เคยเห็นมัน แต่ฉีฮู่อย่าว่าแต่ได้นั่ง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ“ท่านอาจารย์บอกว่าผมมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่สองสามขวบ” ฉีฮู่กล่าว“ไม่เคยออกจากภูเขามาก่อนเลยเหรอ ?” หานซานเฉียนรีบถามต่อ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ ความเป็นอยู่ของฉีฮู่ในตอนนี้เหมือนถูกตัดออกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง“ใช่แล้ว” ฉีฮู่ตอบด้วยความมั่นใจ “ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยออกจากภูเขานี้ แล้วฉันจะกล้าออกไปได้ยังไง? นายรีบบอกฉันมาว่านี่คืออะไรกันแน่”“นี่คือรถยนต์ คนสามารถขึ้นไปนั่งข้างในได้ แถมรถยนต์นี้มีสามารถวิ่งได้เร็วมาก ถ้านายอยากรู้ว่าจริงอย่างที่ฉันพูดไหม งั้นนายรีบขึ้นไปนั่ง จะได้รู้ว่าเป็นยังไง” หานซานเฉียนช่วยเปิดประตูรถให้ฉีฮู่ฉีฮู่รู้สึกตื่นเต้นมาก จึงรีบกระโดดขึ้นไปอย่างเร็ว หานซานเฉียนกลั้นขำไว้ในใจ บอกกับเตาสือเอ้อร์ว่า “ดูท่าแล้ว คงจะได้เปลี่ยนรถคันใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม”เหมือนจะเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น แต่สำหรับฉีฮ
หัวหน้ามองดูที่ฉีฮู่ การแสดงออกบนใบหน้าของฉีฮู่ในเวลานี้เหมือนคนบ้านนอกจริง ๆ เพราะไม่ว่าสิ่งธรรมดาจะธรรมดาแค่ไหน มันก็แปลกใหม่ในสายตาของเขาไปซะทุกอย่าง เมื่อกับคนบ้านนอกที่ไม่เคยเข้ากรุงอย่างไรอย่างนั้น“เฮ้! เจ้าซื่อบื่อ นี่นายมองอะไร?” หัวหน้าถามฉีฮู่ฉีฮู่เหลือบไปมองเขา แล้วหันไปถามหานซานเฉียนว่า “พี่หานเฉียน เขากำลังพูดถึงผมใช่ไหม?”หานซานเฉียนพยักหน้าตอบว่า “เขาไม่เพียงแต่พูดถึงนาย แต่เขายังด่านายอีกด้วย”เมื่อฉีฮู่ได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเขาก็เริ่มโกรธขึ้นมา เขาเดินไปที่ข้างหน้าของหัวหน้าแล้วกล่าวว่า “นายด่าฉันงั้นเหรอ?”สีหน้าของฉีฮู่ดูท่าจะเอาเรื่องมาก เขายืนเผชิญหน้ากับพวกอันธพาลเหล่านั้น ทำให้พวกเขาหนักใจเป็นอย่างมาก แต่หัวหน้าคุ้นเคยกับสถานการณ์แห่งนี้มานาน ไม่คิดว่าฉีฮู่จะกล้าทำอะไรพวกเขาหัวหน้าพูดต่อโดยไม่คิดว่า “ด่านายแล้วจะทำไม ไอ้ซื่อบื้อ ตอนแม่นายคลอดนาย คง…" พูดยังไม่ทันจบ ฉีฮู่ก็จับเข้าที่คอของหัวหน้าด้วยมือเดียว ยกขึ้นลอยในอากาศ และทุ่มลงอย่างแรงร่างของหัวหน้าลอยอยู่ในอากาศอย่างสวยงาม ลอยไปไกลถึงสิบเมตร ฝุ่นตลบอบอวลเมื่อร่างกระทบลงกับพื้นส่วนคนที่เหลือจ้อ
หานซานเฉียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ฉีฮู่ไม่ใช่คนโง่ แต่เขาแค่ไร้เดียงสาเกินไป แถมไม่รู้เรื่องของโลกภายนอก คนอันธพาลพวกนั้นวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว คงไม่ทางย้อนกลับมาอีก"เขาไม่ได้จะไปเรียกคนมา แต่พวกเขาหนีไปแล้ว คงไม่กลับมาอีก" หานซานเฉียนอธิบายฉีฮู่รู้สึกงง ๆ ถามว่า "เขาหลอกผม?""ใช่! นายโดนหลอก นี่นายยังไม่รู้ตัวอีก" หานซานเฉียนพูด ลักษณะนิสัยของเขา เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา เพราะมันง่ายต่อควบคุม แต่ในทางกลับกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะหานซานเฉียนต้องการคือ ไม่ใช่แค่ต่อสู้เป็น แต่หากฉีฮู่ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ฉีฮู่อาจจะช่วยอะไรเขาไม่ได้มากฉีฮู่กำหมัดแน่น และพูดด้วยความโกรธว่า "รู้แบบนี้ ฉันน่าจะสั่งสอนพวกนั้นให้หนักกว่านี้ กล้าหลอกฉันได้""ต่อไปโอกาสที่นายจะได้ต่อสู้มีอีกเยอะ แถมยังมีคนมีฝีมือมากกว่านี้อีก นี่แค่น้ำจิ้ม เก็บแรงของนายไว้ดีกว่า ไปกันเถอะ"เมื่อกลับขึ้นรถ หานซานเฉียนก็มุ่งหน้าไปเมืองหยุนเฉิงในขณะเดียวกัน หานเหยียนก็ปรากฏตัวขึ้นในสนามบินหยุนเฉิง เหมือนกับว่ากำลังรอใครบางคนอยู่หลังจากนั้นไม่นาน ชายชราผมบลอนด์ก็ปรากฏตัวขึ้น จมูกโด่ง ใบหน้าลึก และรูม่านตาเหมือน
เทียนหลิงเอ๋อร์จ้องมองเทียนชางเฉิงด้วยสายตามุ่งมั่นเมื่อไม่นานมานี้ รอบบริเวณคฤหาสน์ก็มีคนแปลกที่ดูไม่คุ้นหูคุ้นตาหลายคนปรากฏ แม้เทียนหลิงเอ๋อร์จะไม่ได้เอ่ยปากถาม แต่เธอก็รู้ว่า นี่คงจะเป็นบอดี้การ์ดที่คุณปู่จ้างมาแน่นอนจู่ ๆ ก็จ้างคนมากมายมาคอยคุ้มกัน ถ้าไม่มีเรื่องใหญ่โตแล้วล่ะก็ เทียนหลิงเอ๋อร์ก็คิดไม่ออกว่าจะเป็นเรื่องอะไร ความจริงแล้วเทียนหลิงไม่ได้คิดจะถามถึงเรื่องนี้ แต่เทียนฉางเฉิงจู่ ๆ.ก็พูดถึงเรื่องจะส่งเธอไปเรียนต่างประเทศ จึงทำให้เทียนหลิงเอ๋อร์ต้องการรู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่คนคอยคุ้มกันคฤหาสน์พวกนี้ หลังจากที่เทียนหงฮุยและหานเหยียนเผชิญหน้ากันในวันนั้น เทียนฉางเฉิงถึงได้จัดเตรียมมา เพราะหานเหยียนดูเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก เขาเป็นห่วงว่าหานเหยียนจะทำอะไรไม่ดีสักอย่างกับตระกูลเทียน"หลิงเอ๋อร์ หนู…"ปัง! มีเสียงโครมครามดังขึ้น เทียนหลิงเอ๋อร์เด็กสาวตกใจกลัวจนตัวสั่นประตูของคฤหาสน์ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน ชาวต่างชาติคนหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มผู้คุ้มกันที่เทียนฉางเฉิงว่าจ้างมาถูกโยนลงบนพื้นอย่างแรงฉากนี้ทำให้เทียนฉางเฉิงรู้สึกประหม่าในใจ ขนาดนี
เทียนหลิงเอ๋อร์รู้สึกเจ็บหนังศีรษะมาก เธอจึงคว้ามือของหานชิงเพื่อขัดขืน แต่กลับโดนหานชิงตบเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงเทียนหลิงเอ๋อร์เป็นใคร? เธอเป็นถึงทายาทของตระกูลเทียน ตั้งแต่เล็กจนโตยังไม่เคยถูกตบถูกตีมาก่อนความเจ็บปวดทำให้เทียนหลิงเอ๋อร์โกรธอย่างสุดขีด เธอจึงปลุกปล้ำต่อสู้กับหานชิงแต่ฝีมือระดับเธอ จะสู้หานชิงได้อย่างไร ?แม้ว่าหานชิงจะเป็นเพียงหญิงสาวใช้คนหนึ่ง แต่เธอก็มีฝึกฝนเทควันโดมาก่อน เธอเตะเข้าที่ท้องของเทียนหลิงเอ๋อร์ และต่อยเข้าที่ใบหน้าของเทียนหลิงเอ๋อร์อย่างไร้ความปราณีเมื่อเทียนฉางเฉิงเห็นฉากนี้ ก็รู้สึกโกรธมาก และกำลังจะลุกขึ้น แต่มีมือกดอยู่บนไหล่ของเขาไว้แน่น ทำให้เขาไม่มีแรงขัดขืน"อย่าขยับ ไม่อย่างนั้นฉันจะอัดแกด้วย" ตี้หยางพูดอย่างเลือดเย็น"คุณหนูหาน หลานสาวของผมไม่รู้เรื่อง ได้โปรดปล่อยเธอไป" เทียนฉางเฉียงของร้องหานเหยียนหานเหยียนยิ้มเยาะยังกับกำลังชมการแสดงอยู่ และพูดกับหานชิงว่า "คนที่ไม่รู้เรื่องอย่างยัยเด็กโง่คนนี้ต้องได้รับบทเรียน อย่าหยุด ทุบตีมันต่อไป"เมื่อได้ยินอย่างนั้น เทียนฉางเฉิงหัวใจแทบแตกสลาย เทียนหลิงเอ๋อร์เป็นหลานสาวที่รักของเขา เขาเองย
สภาพบนใบหน้าของเทียนหลิงเอ้อร์เหมือนถูกไฟลวกไปครึ่งหน้า แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ คนที่ไม่เคยถูกทุบตีมาก่อนอย่างเธอ กลับไม่หลั่งน้ำตาออกมาสักหยด นอกจากความเกลียดชังที่รุนแรงในดวงตาของเธอเทียนฉางเฉิงยื่นมือออกไป เพื่อต้องการจับที่ใบหน้าของเทียนหลิงเอ้อร์ แต่เขากลัวว่าถ้าจับจะยิ่งทำให้เทียนหลิงเอ้อร์รู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิม เขาจึงค่อย ๆ สัมผัสอย่างระมัดระวัง"ทั้งหมดนี้เป็นเพราะปู่ไม่ดี เพราะปู่ไม่ปกป้องหนูให้ดี" เทียนฉางเฉิงกล่าวเทียนหลิงเอ้อร์ส่ายหัวไปมา เธอรู้ว่าเทียนฉางเฉิงก็ไม่สามารถทำอะไรได้ในสถานการณ์ตอนนั้น"คุณปู่ หนูไม่โทษคุณปู่หรอกคะ แต่หนูจะต้องแก้แค้นให้ได้ พี่ซานเฉียนต้องช่วยหนูได้แน่ คุณปู่คิดอย่างนั้นไหมคะ?" เทียนหลิงเอ้อร์ถามเทียนชางเฉียนเทียนฉางเฉียนถอนหายใจหนึ่งที จากแรงกดดันของหาน กรุ๊ปตอนนี้ หานซานเฉียนคงจะหยุดอะไรไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ชายที่ชื่อตี้หยางนั้นมีกำลังเก่งกาจทรงพลังมากมาย แม้แต่หานซานเฉียนก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ดังนั้นจะหาวิธีไหนไปแก้แค้น? "หลิงเอ้อร์ ซานเฉียนคงไม่สามารถสู้กับหานเหยียนได้" เทียนฉางเฉิงพูดด้วยความสิ้นหวังเทียนหลิงเอ้อร์ไม
เทียนหงฮุยส่ายหัวเทียนฉางเฉิงเล่าว่า "สมัยก่อนเวลาหมดหนทางที่จะเอาชนะคู่แข่ง ฉันจะคิดหาวิธีอื่น ด้วยการใช้วิธีการที่ไม่สะอาด แต่ตอนนี้หาน กรุ๊ป สามารถทำกับเราอย่างนี้ได้ เงินก็เป็นส่วนหนึ่ง และต้องมีกำลังด้วย หากมีกำลังมากพอก็เอาชนะได้ เพียงเท่านั้นก็สามารถที่จะยืดหยันอยู่ได้""แต่พ่อมีศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่เหรอครับ?" เทียนหงฮุยถาม"ศิลปะการต่อสู้?"คำนี้ทำให้เทียนฉางเฉิงหัวเราะออกมา ศิลปะการต่อสู้อย่างเดียวแล้วจะทำอะไรได้? ขนาดคนมีฝีทือที่จ้างมายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตี้หยาง แถมไอ้หมอนี่ดูท่าทางจะเก่งกว่าหานซานเฉียนอีกด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับศิลปะการต่อสู้ของคนพวกนี้ จะไปสู้ได้อย่างไร?"เกรงว่าในหยุนเฉิงจะไม่มีใครสามารถสู้ไอ้หมอนี่ได้ ถ้าแกไม่ทำตามที่ฉันสั่งล่ะก็…" เทียนฉางเฉิงจ้องมองไปที่เทียนหลิงเอ้อร์ด้วยความกังวลเทียนหงฮุยรู้อยู่แก่ใจ แม้เทียนฉางเฉิงไม่พูดอะไร แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าสายตาแบบนี้มีความหมายว่าอะไรถ้าตระกูลเทียนไม่ถอนตัวออกแล้วล่ะก็ เป็นไปได้ว่าชีวิตของเทียนหลินเอ้อร์จะไม่ปลอดภัยในฐานะความเป็นพ่อ เทียนหงฮุยจะไม่ยอมให้เทียนหลินเอ้อร์ต้องเผชิญสิ่งนี้อย่างแน่นอน"พ
หานซานเฉียนพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง ข่าวลือข้างนอกเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดมันก็เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น ถ้าต้องการรู้ความจริงของเรื่องนี้ทั้งหมด เขาต้องไปที่บ้านของตระกูลเทียนด้วยตนเองเท่านั้น"หลินหย่ง เดี๋ยวนายพาฉีฮู่ไปซื้อของใช้ที่จำเป็น แล้วพาเขาไปที่พักของฉัน" หานซานเฉียนพูดกับหลินหย่ง แม้ว่าจะไม่เหมาะที่ผู้ชายจะอยู่ด้วยกัน แต่ความเข้าใจของฉีฮู่ในสังคมนี้ยังอ่อนอยู่ หากปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวอาจมีปัญหาตามมา แถมเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหาอาหารการกินอย่างไร ในขณะที่ฉีฮู่ยังไม่รู้ประสีประสา หานซานเฉียนจึงต้องอยู่เคียงข้างเขาไปก่อน"พี่ซานเฉียน พี่วางใจเถอะ" หลินหย่งพยักหน้าตอบรับ"ฉีฮู่ ที่นี่มีแต่คนกันเอง ฉันจะออกไปจัดการปัญหาบางอย่าง เสร็จแล้วจะรีบกลับมา" หานซานเฉียนพูดกับฉีฮู่ฉีฮู่ตอนนี้รู้สึกแปลกหูแปลกตากับสิ่งแวดล้อมใหม่ และเขาแทบรอไม่ไหวที่จะได้ออกไปทำความรู้กับโลกภายนอก เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าหานซานเฉียนจะไปทำธุระอะไร เขาได้แต่พยักหน้าตอบรับเมื่อหานซานเฉียนขับรถมาถึงที่คฤหาสน์ตระกูลเทียน เขายืนกดกริ่งที่หน้าประตูคฤหาสน์เมื่อเทียนฉางเฉิงเปิดประตูมาพบหานซานเฉียน ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร