เมื่อเจี่ยงเชิงเห็นหานซานเฉียน เขาก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อได้เห็นด้วยตาของเขาเองว่าหลิวฮวาเสียชีวิตต่อหน้าเขาอย่างไร ความกลัวที่มีต่อหานซานเฉียนก็แทรกซึมเข้าไปในกระดูกของเขา จู่ ๆ สวี่ฟางพลันสูญเสียความเย่อหยิ่งที่เธอมี และค่อย ๆ เดินไปหาเจี่ยงหว่าน ราวกับว่าเธอกำลังขอให้เจี่ยงหว่านปกป้อง เจี่ยงหว่านเคยหยิ่งยโสต่อหน้าหานซานเฉียน และซูหยิงเซี่ยเพราะหลิ่วจื้อเจี๋ย แต่หลังจากประสบกับเหตุการณ์ในเมืองปินเซี่ยน เธอก็จำช่องว่างระหว่างตัวเธอกับซูหยิงเซี่ยได้อย่างชัดเจน ในตอนนี้ต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง เธอไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะเจี่ยงหงยืนกรานที่จะมาหยุนเฉิงครั้งนี้ เจี่ยงหว่านก็คงไม่อยากให้ตัวเองเสียหน้าแบบนี้ เมื่อหานซานเฉียนเห็นเหอถิงนั่งอยู่บนพื้น สีหน้าของเขาก็เย็นชาทันที แม้ว่าเขาจะรู้นานแล้วว่าตระกูลเจี่ยงไม่ปลอดภัย แต่เขาคิดไม่ถึงว่านี่แค่วันแรก พวกเขาก็ทำขนาดนี้! หานซานเฉียนเดินไปหาเหอถิงและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “ป้าเหอ ใครเป็นคนทำป้าครับ?” เมื่อเจี่ยงเชิงได้ยิน เขาก็ตื่นตระหนกและพูดว่า “ไม่เกี่ยวกับฉันนะ เธอเผลอล้ม
“พวกเธอไม่ต้องกังวลหรอก ฉันเป็นใหญ่สุดในบ้านหลังนี้” เจี่ยงหลานกล่าวอย่างภาคภูมิใจ เจี่ยงหงพยักหน้าด้วยความโล่งใจ แม้ว่าหานซานเฉียนจะมีอิทธิพล แต่อย่างน้อยเขาก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเจี่ยงหลาน และลูกสาวของเธอก็ยังมีความสามารถมาก ซูหยิงเซี่ยเดินไปข้าง ๆ เจี่ยงหลาน และเตือนเบา ๆ ว่า “อย่าพูดเกินไป ถ้าซานเฉียนโกรธ หนูไม่รู้ด้วยนะคะ” ต่อหน้าทุกคน เจี่ยงหลานไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่ในใจเธอไม่กล้าพูดเกินไป หานซานเฉียนเพิ่งไว้หน้าเธอและเธอก็ไม่สามารถหยิ่งผยองได้ หลังจากพูดในสิ่งที่อยากพูดแล้ว ซูหยิงเซี่ยก็เดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง “ซานเฉียน ถ้าคุณอยากสอนบทเรียนให้เจียงเชิง ฉันจะสนับสนุนคุณโดยไม่มีเงื่อนไขค่ะ” ซูหยิงเซี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หานซานเฉียนส่ายยิ้มเจื่อน ๆ และพูดว่า “ตอนนี้แม่ดูเหมือนแทบอยากจะกินผมไม่ไหวแล้ว ยิ่งไปสอนบทเรียนให้เจียงเชิง ยิ่งเหมือนเป็นการตบหน้าเธอไม่ใช่เหรอครับ” ซูหยิงเซี่ยถอนหายใจ พลางเดินไปจับมือหานซานเฉียนและพูดว่า “หรือว่าครั้งนี้ คุณจะไว้หน้าเธอเหรอคะ?” หานซานเฉียนหัวเราะและพูดว่า “ในเมื่อภรรยาทูนหัวของผมพูดไปแล้ว มีเหรอผมจะไม่ไว้หน้า” เม
“ซูกั๋วเย่า ยังไม่ทันใช้เงินของคุณเลย คุณเริ่มรู้สึกลำบากใจแล้วเหรอ? พวกเขาคือครอบครัวของฉันนะ ถ้าพวกเขามาเที่ยว ฉันควรไล่พวกเขาออกไปเหรอ?” เจี่ยงหลานมองซูกั๋วเย่าด้วยสายตาไม่พอใจ “คุณไม่เข้าใจผม ผมกังวลว่าพวกเขาจะไม่กลับไป” ซูกั๋วเย่ากล่าว “ไม่กลับไป? ไม่กลับไปได้ยังไง ถ้าพวกเขาไม่กลับบ้านแล้วจะอยู่ทำอะไร?” เจี่ยงหลานงง “ปกติคุณดูเหมือนเป็นคนรู้ทันคน ทำไมถึงคิดไม่ออกล่ะ ตอนนี้หยิงเซี่ยเป็นประธาน คุณไม่คิดเหรอว่าพวกเขามาร่วมครอบครัวของเรา และขอให้หยิงเซี่ยจัดการเรื่องงานให้?” ซูกั๋วเย่าอธิบาย คำพูดเหล่านี้ทำให้เจี่ยงหลานหยุดชะงัก เธอรู้ดีว่าญาติของเธอวัน ๆ เอาแต่ทำตัวไร้เปล่าประโยชน์ แต่ให้พวกเขาเข้ามาทำตัวเป็นแมลงหวี่ในบริษัทคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน “เป็นไปไม่ได้หรอก” เจี่ยงหลานกล่าว “คุณยังไม่มั่นใจคำพูดของตัวเองเลย จะให้ผมบอกชัด ๆ ไหม?” ซูกั๋วเย่ากล่าว เดิมทีเจี่ยงหลานคิดแผนการเดินทางของพรุ่งนี้ไว้หมดแล้ว ว่าจะพาพวกเขาไปดูความแตกต่างระหว่าหยุนเฉิงและปินเซี่ยน แต่สิ่งที่ซูกั๋วเย่าพูด ทำให้เธอชะงักไปชั่วขณะ ถ้าเรื่องเป็นไปตามที่ซูกั๋วเย่าพูดจริง ๆ เธอคงต้องคิดหาวิ
หลินซูเจินอยู่ในห้อง เธอนั่งอยู่บนเตียงและไม่ได้นอนเลย “เป็นยังไงบ้าง ตกลงไหม?” หลินซูเจินถาม เจี่ยงหงยิ้มมีเลศนัยและพูดว่า “มีอะไรที่ผมจัดการไม่ได้บ้าง?” หลินซูเจินยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า “ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดี ถ้าฉันได้อยู่ที่นี่ไปตลอด ฉันคงอิ่มเอมใจไปตลอดชีวิต” เจี่ยงหงมองไปรอบ ๆ ห้องที่หรูหรา พร้อมกับถอนหายใจและพูดว่า “ใช่แล้ว สถานที่ที่หรูหราแบบนี้ มีใครไม่อยากมาอยู่บ้าง แถมยังมีคนรับใช้คอยดูแล กว่าจะได้เสวยสุข ถึงแม้จะช้าไปหน่อย แต่ในที่สุดมันก็มาถึง”เมื่อพิจารณาจากน้ำเสียงของเจี่ยงหง ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ที่นี่สักพัก นึกย้อนกลับไปตอนที่แม่เฒ่าตระกูลซูยังมีชีวิตอยู่ ในใจก็คิดแบบนี้เหมือนกัน แต่แม่เฒ่าตระกูลซูไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้เพราะศักดิ์ศรีของเธอ และเห็นได้ชัดว่าเจี่ยงหงไม่ได้อยากเสียหน้า นี่อาจเป็นคุณสมบัติเด่นของตระกูลเจี่ยง ทั้งสามชั่วอายุคนเหมือนกันหมด มีเพียงซูหยิงเซี่ยเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบ ในห้องรับแขก เจี่ยงหลานอยู่ในสภาพสิ้นหวัง เธอรู้ว่าซูหยิงเซี่ยคงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้แน่นอน แต่เจี่ยงหงได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว และเธอไม่มีทางเลือกอื่น
เจี่ยงหลานไม่แปลกใจเลยว่าทำไมซูหยิงเซี่ยถึงปฏิเสธเรื่องนี้ สมาชิกของตระกูลเจี่ยงเป็นญาติสนิทของเธอ และเจี่ยงหลานก็รู้ความสามารถของพวกเขาดีกว่าใคร ๆ แต่เจี่ยงหงพูดออกมาแล้ว เธอจึงทำได้เพียงพยายามให้ดีที่สุด และนิสัยของซูหยิงเซี่ย แค่ขอร้องด้วยสารพัดวิธี เธอยิ่งมั่นใจว่าเธอสามารถโน้มน้าวซูหยิงเซี่ยได้ “อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ ให้แม่อธิบายให้ลูกฟังก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น” เจี่ยงหลานพูดเบา ๆ หานซานเฉียนกลับไปที่ห้อง เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ ไม่ว่าซูหยิงเซี่ยจะตัดสินใจอย่างไร หานซานเฉียนก็จะเคารพมัน หานซานเฉียนนั่งอยู่ข้างเตียง หยิบอุปกรณ์เซ็นเซอร์ออกมาจากกระเป๋าเงินของเขา มันมีขนาดเล็กมากและอาจหายได้ง่าย แต่สำหรับหานซานเฉียนไม่ใช่ เพราะวันหนึ่งเขาดูมันหลายครั้งมาก เมื่อนับเวลาดูแล้วนั้น ตี้สู่ได้ไปนานแล้ว เขาคงจะเข้าไปอยู่ในเรือนจำตี้ซินแล้ว แต่เซ็นเซอร์กลับไม่ตอบสนองมาสักพัก อาจจะมีอะไรผิดปกติกับเขา หรือว่าจริง ๆ แล้วเรือนจำตี้ซินไม่มีหานเทียนหยาง? เมื่อใดก็ตามที่หานซานเฉียนคิดเรื่องนี้ เขาจะรู้สึกกระสับกระส่าย เขาหวังว่าหานเทียนหยางจะยังมีชีวิตอยู่ เขาคาดหวังมากและกังวลว่าควา
แต่เมื่อย่างเท้าเข้ามาใกล้ ตี้สู่ก็ถูกทุบตีอย่างไร้ความปราณี และหลังจากการทุบตีเสร็จ คนเหล่านั้นก็จากไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ได้พาตี้สู่ออกไปด้วย ตี้สู่นอนอยู่บนพื้น และกระโจนเข้าไปในห้องมืดอีกครั้ง เขารู้สึกสิ้นหวังเป็นครั้งแรก นี่คือสิ่งที่ต้องเจอในเรือนจำตี้ซิน? ไม่เพียงแต่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มืดมิดเท่านั้น แต่พวกเขายังถูกถูกทุบตีอีกด้วย? "ฉันอยู่ท่ามกลางแมลงสาบ ไม่มีใครเอาชนะฉันได้!” ตี้สู่พูดพร้อมกัดฟัน จู่ ๆ ห้องก็เริ่มสั่น และคราวนี้ความถี่ในการสั่นมากกว่าครั้งก่อน ๆ พวกแกทั้งแก๊งไม่กลัวเหรอว่าพังสถานที่ห่วย ๆ นี้แล้วมันจะฝังพวกแกทั้งเป็นด้วย” ตี้สู่ตกใจมาก จนตัวสั่นด้วยความกลัว ทำให้เขาแน่ใจมากขึ้นว่าเรือนจำตี้ซินนั้นอยู่ในชั้นใต้ดิน คฤหาสน์บนภูเขา หลังจากที่หานซานเฉียนเก็บเซ็นเซอร์ดีแล้ว ซูหยิงเซี่ยก็บังเอิญกลับมาที่ห้องพอดี เมื่อเห็นท่าทางซึมหงอยไหล่ตกของซูหยิงเซี่ยก็พอจะเดาได้ “คุณตอบตกลงไหม?” หานซานเฉียนถามด้วยรอยยิ้ม ซูหยิงเซี่ยกัดริมฝีปาก เธอไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่เธอไม่สามารถเอาชนะเจี่ยงหลานได้ “ซานเฉียน คุณจะไม่ตำหนิฉันใช่ไหมคะ” ซูหยิงเซี่ยก้มหน้า แล
เทียนฉางเฉิงดูถูกเขาในใจ ชายแก่คนนี้มักสร้างปัญหา และหาเหตุผลที่ฟังขึ้น ยังคิดว่าตัวเองเดาไม่ออกจริง ๆ เหรอว่าเขาต้องการจะทำอะไร? “นิสัยของนาย ชอบการแข่งขันมากเกินไป สู้กันมากี่ปี่ต่อกี่ปี นายก็ยังไม่เข้าใจอีก มีครั้งไหนบ้างที่นายไม่แพ้ฉัน?” เทียนฉางเฉิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ คำพูดเหล่านี้ทำให้สีหน้าของหลัวปินมืดลงทันที และเป็นเพราะเขาไม่เคยชนะเทียนฉางเฉิง ดังนั้นเขาจึงคับแค้นใจ ถ้าแค้นนี้ไม่ได้แก้ เขาคงหลับตาไม่ลง แม้ในขณะที่เขากำลังจะตาย ยิ่งไปกว่านั้น หลัวปินต้องวางแผนอนาคตให้กับหลัวสวี้เหยา หากตระกูลหลัวและตระกูลเทียนสามารถแต่งงานได้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาของหลัวสวี้เหยาในอนาคต แน่นอนว่าความเห็นแก่ตัวของหลัวปินไม่ได้จำกัดอยู่แค่จุดนี้ เขารู้ว่าเทียนฉางเฉิงให้ความสำคัญกับเทียนหลิงเอ๋อร์มาก และมีทรัพย์สมบัตรของตระกูลจำนวนมากที่จะให้เทียนหลิงเอ๋อร์ในอนาคต ถ้าเทียนหลิงเอ๋อร์แต่งงานกับหลัวสวี้เหยา ทรัพย์สินของตระกูลนี้ก็เหมือนทรัพย์สินของตระกูลหลัวไม่ใช่เหรอ? หลัวปินวางแผนแบบนี้มานานแล้ว ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว “อย่าชะล่าใจไป ครั้งนี้ฉันมั่นใจว่าฉันชนะ รีบเอาไอ
“ปู่ต่างหากที่หดหัว” เทียนหลิงเอ๋อร์พูดอย่างโกรธเคือง เทียนฉางเฉิงรีบดุ “หลิงเอ๋อร์ พูดแบบนั้นกับปู่หลัวได้อย่างไร” แม้ว่าเทียนฉางเฉิงจะรู้ว่าหลัวปินจงใจยั่วยุเทียนหลิงเอ๋อร์ แต่เทียนหลิงเอ๋อร์อายุน้อยกว่า จะไปพูดกับหลัวปินด้วยน้ำเสียงแบบนั้นได้อย่างไร “ไม่เป็นไร ฉันจะคิดเล็กคิดน้อยกับหลิงเอ๋อร์ทำไม แต่หลิงเอ๋อร์ ต่อให้เธอช่วยเขาพูดมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์หรอก ในฐานะลูกผู้ชาย ก็ต้องมีความรับผิดชอบ เขาไม่กล้าปรากฏตัว จะให้ฉันเชื่อได้ยังไงว่าเขาไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว มันน่าอายนะ” หลัวปินยิ้ม “หนูจะโทรหาเขาเดี๋ยวนี้แหละ” หลังจากพูดจบ เทียนหลิงเอ๋อร์ก็หยิบโทรศัพท์ของเธอออกมา เทียนฉางเฉิงยิ้มเจื่อน ๆ เทียนหลิงเอ๋อร์ตกหลุมพรางของหลัวปินโดยไม่รู้ตัว “หลัวปิน นายไม่ควรเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ มันไม่มีประโยชน์หรอก” เทียนฉางเฉิงถอนหายใจ หานซานเฉียนเป็นเสือที่ดุร้าย จุดจบความโกรธของเสือคือตายไร้ศพ เขาถือว่าเตือนหลัวปินในฐานะเพื่อนเก่า หลัวปินไม่สนใจ และไม่เข้าใจสิ่งที่เทียนฉางเฉิงพูด หลังจากที่หานซานเฉียนส่งซูหยิงเซี่ยไปทำงาน เขาก็รับสายเทียนหลิงเอ๋อร์ทันทีที่เขามาถึงคลับเมจิกซิตี้