“พี่เผิง ผมจะไปเทียบกับพี่ได้ยังไงกัน” หานซานเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม เขาพบว่ามีร่องรอยของความเศร้าระหว่างคิ้วของเผิงฟาง ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน แต่ตอนนี้เด็ก ๆ ทั้งหมดอยู่ด้วย หานซานเฉียนจึงไม่ได้พูดอะไรมาก “จริงสิ วันนี้ต่งซานก็โทรหาฉันด้วย บอกว่าจะมาหา เธอสองคนไม่ได้เจอกันนานแล้วนี่” เผิงฟางกล่าว “บังเอิญจัง ตอนนี้เธอยังมาที่นี่บ่อยไหมครับ?” ต่งซานเป็นผู้หญิงที่มีน้ำใจ อ่อนหวานและน่ารัก เธอมักจะมาช่วยที่บ้านแห่งรัก และเธอก็รู้จักกับหานซานเฉียนเป็นอย่างดี แต่พูดไป พวกเขาเคยเจอกันไม่เกินสิบครั้งในสองหรือสามปี “ตอนนี้เธอมีแฟนแล้ว บางครั้งก็พาเขามาที่นี่ด้วย แต่แค่ไม่กี่ครั้ง” เผิงฟางกล่าว เมื่อเล่นกับเด็ก ๆ ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ต่งซานก็เดินมาพร้อมกับขนมถุงใหญ่ เด็ก ๆ รอบ ๆ หานซานเฉียนต่างแห่กันไปหาต่งซานทันที “พวกเธอนี่ร้ายจริง ๆ ระวังไว้คราวหน้าพี่จะไม่มาหาแล้ว” หานซานเฉียนยิ้มเจื่อน “ซานเฉียน นายก็มาที่นี่เหมือนกันเหรอ เราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” ต่งซานพูดกับหานซานเฉียนด้วยความประหลาดใจ ผู้ชายที่ยืนข้างเธอคือแฟนที่เผิงฟางพูดถึง เขาชื่อว่าซ่งจี ซ่งจีมองหานซานเฉียนอย่างระแว
คำพูดเหล่านี้ทำให้หานซานเฉียนลำบากใจเล็กน้อย เพราะเหตุการณ์นี้อาจกล่าวได้ว่าเกิดจากเขาทางอ้อม ตอนที่เขามุ่งเป้าไปที่บริษัทเจียงเหอ กรุ๊ป เขาไม่คิดว่าปฏิกิริยาเคมีจะเกิดขึ้น แต่ตราบใดที่มันเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยเงิน สำหรับหานซานเฉียนแล้วมันไม่ใช่ปัญหาเลย ในขณะเดียวกัน หานซานเฉียนสังเกตเห็นว่าซ่งจีแอบเก็บกุญแจรถเบนซ์ การกระทำนี้ทำให้เขาแอบหัวเราะในใจ ผู้ชายคนนี้มีความสุขเมื่อเขาได้โอ้อวด แต่เมื่อพูดถึงปัญหาเรื่องเงิน เขาก็ตัวแข็งทื่อทันที ราวกับว่ากลัวจะไปขอเงินเขา “พี่เผิง ค่าใช้จ่ายรายเดือนของสถานสงเคราะห์เท่าไหร่ครับ?” หานซานเฉียนถาม “คิดเฉพาะค่าอาหาร ไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ราคาเกือบหมื่น แต่เด็กเหล่านี้อยู่ในช่วงเติบโต ดังนั้นอาหารก็ไม่ควรแย่เกินไป” เผิงฟางกล่าว “ในเมื่อช่วงนี้เป็นช่วงเวลาย่ำแย่ ให้พวกเขากินคุณภาพต่ำมาหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ยังไงพวกเขาก็มีปัญหาอยู่แล้ว สุขภาพดีจะมีประโยชน์อะไร” ซ่งจีพูดเบา ๆ ประโยคนี้ทำให้เผิงฟางไม่พอใจอย่างมาก สถานสงเคราะห์ไม่ยอมรับใครก็ตามที่มีจิตใจอคติ แต่เขาเป็นแฟนของต่งซาน เผิงฟางจึงไม่สามารถกล่าวโทษเขาโดยตรงได้“ซ่งจี คุณพู
“คุณจะไปไหน เดี๋ยวผมไปส่ง” ซ่งจีปลดล็อกรถอย่างภาคภูมิใจ พลางชี้ไปที่รถเบนซ์แล้วพูดกับหานซานเฉียน “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากเป็นก้างขวางคอ และผมก็ต้องหาวิธีที่แก้ปัญหาให้บ้านแห่งรักด้วย” หานซานเฉียนกล่าว “ยังจะอวดดีอีกนะ โอเค ผมจะไม่แฉคุณ คุณมีความสุขก็ทำไปเถอะ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนล่ะ” ซ่งจีพูดด้วยรอยยิ้ม หลังจากขึ้นรถแล้วทั้งสองก็ขับออกไป ต่งซานพูดกับซ่งจีในรถว่า “คุณไม่เคยมีปัญากับเขา แล้วทำไมคุณถึงต้องทำให้เขาลำบากใจด้วยคะ" “ผมทนฟังผู้ชายขี้โม้แบบนี้ไม่ได้ คุณก็ดูเขาสิ เป็นแค่ผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง แล้วยังคุยโวว่าตัวเองสามารถแก้ปัญหาเรื่องบ้านแห่งรักได้ เขามีอำนาจมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” ซ่งจีพูดอย่างเหยียดหยาม “ไม่ว่าเขาจะมีอำนาจหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่เขามีใจคิดจะช่วย” ต่งซานกล่าว “คุณยังไร้เดียงสาเกินไป มีใจแล้วมีประโยชน์ไหม? เขาแค่คุยโม้ต่อหน้าผม เพื่อสนองความไร้สาระของเขาเองไม่ใช่เหรอ? ผมไม่ฉีกหน้าเขาก็ถือว่าไว้หน้าคุณแล้วนะ” ซ่งจีพูดต่งซานถอนหายใจ ในใจเธอหวังจริง ๆ ว่าหานซานเฉียนจะช่วยได้ ถ้าเขาไม่สามารถช่วยได้ บ้านแห่งรักอาจจะพังลงได้“อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ
หลังจากที่เทียนหลิงเอ๋อร์ออกมา เทียนฉางเฉิงก็ไม่มีโอกาสพูดต่อ เขาจึงปล่อยให้หานซานเฉียนไป แม้แต่ขึ้นรถเขาไปเขาก็ไม่กล่าวลากับเทียนฉางเฉิง ในขณะนี้ เทียนหลิงเอ๋อร์มีเพียงหานซานเฉียนในสายตา เทียนฉางเฉิงก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มอย่างขมขื่นให้กับสิ่งนี้ “พี่หายไปไหนมา ไม่ได้ข่าวซะนานเลย” เทียนหลิงเอ๋อร์ถามหานซานเฉียนในรถ “ฉันไปถ่ายพรีเวดดิ้งกับซูหยิงเซี่ยที่เกาะจีเหยียนมา” หานซานเฉียนกล่าว เมื่อได้ยินคำว่าหยิงเซี่ย สีหน้าของเทียนหลิงเอ๋อร์ก็นิ่งเฉยทันที ถ้ารู้ว่าเขาไปเกาะจีเหยียนกับซูหยิงเซี่ยมา เธอจะไม่ถามคำถามนี้เลย “พี่รู้ไหมว่าร้านอยู่ไหน?” เทียนหลิงเอ๋อร์รีบเปลี่ยนเรื่อง“ฉันเพิ่งกลับมา ฉันจะรู้ได้ยังไง แต่มันเป็นสถานที่ที่สามารถดึงดูดคุณหนูเทียนได้ คงไม่เลวใช่ไหม” หานซานเฉียนกล่าว “ฉันก็ไม่รู้ว่ามันดีไม่ดี แค่โฆษณามันดึงดูดจนคนเกือบทั้งเมืองรู้จัก ฉันจะเปิดแผนที่ให้ แล้วพี่ก็ขับไปตามเส้นทางนะคะ” เทียนหลิงเอ๋อร์หยิบโทรศัพท์ออกมา และจงใจเปิดมันต่อหน้าหานซานเฉียน ภาพพักหน้าจอคือภาพถ่ายของหานซานเฉียน เทียนหลิงเอ๋อร์รีบเปิดแผนที่อย่างรวดเร็ว เธอเชื่อว่าหานซานเฉียนได้เห็นสิ่งที่เธ
“คุณหนูเทียน คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะมา ผมโชคดีที่ได้พบคุณครั้งหนึ่งที่โรงยิมมวยของคุณท่านเทียน ไม่รู้ว่าคุณจำได้ไหม” เจ้าของร้านพูดด้วยรอยยิ้ม “จำไม่ได้ค่ะ ร้านของคุณยังมีโต๊ะว่างไหมคะ?” เทียนหลิงเอ๋อร์พูดตามตรง เมื่อเห็นสีหน้าอึดอัดของเจ้าของร้าน ปากหานซานเฉียนก็กระตุก วันนี้เทียนหลิงเอ๋อร์ต้องไม่ไว้หน้ากันเกินไปแล้ว อย่างน้อยก็ดูแลอารมณ์ของเจ้าของร้านบ้าง “มี มี มีครับ มีแน่นอน คุณเทียนเชิญตามผมมาได้เลยครับ” เจ้าของร้านรีบพูดโดยไม่สนใจท่าทางของเทียนหลิงเอ๋อร์ เพราะนี่คือคุณหนูคนโตของตระกูลเทียน นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มารับประทานอาหารที่ร้านของเขา เมื่อเดินเข้าไปในร้านอาหาร หานซานเฉียนมองแขกจำนวนมากที่อยู่ข้างใน แต่เขาไม่คิดว่าจะเจอคนรู้จัก และอีกฝ่ายก็เห็นเขาเช่นกัน “หานซานเฉียน เจ้าบ้านั่นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ซ่งจีพูดด้วยท่าทางระแวดระวัง “คงบังเอิญ ถ้าคุณมา เขาก็มาได้” ต่งชานไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร แล้วจะเป็นอะไรไปได้อีกนอกจากบังเอิญเจอกันที่ร้านข้าว? “มันช่างบังเอิญจริง ๆ ผมคิดว่าเขาอาจจะตั้งใจตามเรามา ผมบอกแล้วว่าเขามีเจตนาไม่ดีกับคุณ แต่คุณก็ยังไม่เชื่อ” ซ่งจีพู
เทียนหลิงเอ๋อร์ไม่พอใจมากที่ซ่งจีบุกรุกเข้าไปในห้อง เพราะกว่าจะมีโอกาสได้กินข้าวกับหานซานเฉียน แม้แต่เทียนฉางเฉิงก็ไม่กล้ารบกวนเธอ การบุกรุกเข้ามาของซ่งจีนั้น เป็นการทำลายบรรยากาศเธอโดยสิ้นเชิง“ออกไป” เทียนหลิงเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม โดยไม่แม้แต่จะมองไปที่ซ่งจีซ่งจีหน้าตาเฉยเมย และแสดงท่าทางที่ดีต่อเทียนหลิงเอ๋อร์แล้วพูดว่า “สาวน้อย เธอรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร? เขากำลังพยายามจะหลอกลวงเธอนะ อย่าไปหลงกลเขาเด็ดขาด ถ้าฉันไม่เข้ามาขวาง เธออาจถูกหลอกทั้งเงินทั้งเซ็กส์”เทียนหลิงเอ๋อร์อยากถูกหลอก แต่ก็น่าเสียดายที่เธอรู้ว่าหานซานเฉียนไม่สนใจเธอ“ฉันจะเตือนคุณอีกครั้ง ออกไป” เทียนหลิงเอ๋อร์กล่าวตอนนี้ซ่งจีไม่สบายใจ เขาทำเพื่อประโยชน์ของเด็กผู้หญิง แต่คำพูดของเธอกลับไม่มีมารยาทเลยราวกับไม่รู้ว่าเขาหวังดี“สาวน้อย เธอพูดแบบนี้ไม่ถูกนะ ฉันช่วยเธอ แต่เธอกลับไล่ฉัน เธอไม่อยากรู้เหรอว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนแบบไหน” ซ่งจีพูดเทียนหลิงเอ๋อร์มองซ่งจีด้วยหางตาและพูดว่า “คุณเป็นใคร ฉันถึงต้องการความช่วยเหลือจากคนอย่างคุณ?”หานซานเฉียนดูฉากนี้ด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าซ่งจีไม่รู้ว่าเทียนหลิงเอ๋อร์คือใคร
“คุณแน่ใจเหรอว่าผมเป็นคนหลอกลวง” หานซานเฉียนถามด้วยรอยยิ้ม นอกจากหมดหนทางแล้ว เขาไม่รู้สึกโกรธ เพราะในสายตาของเขา เพลี้ยอย่างซ่งจีไม่มีค่าอะไรเลย เขาจะโมโหเพราะคนแบบนี้ได้อย่างไร “ใช่ และแน่นอนที่สุด” ซงจีพูดอย่างเย่อหยิ่ง แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่รู้อะไรเลย เขาแค่คิดว่ามันเป็นแบบนั้น “เฮ้อ ไปดีกว่า ผมไม่สนใจคุณแล้ว” หานซานเฉียนถอนหายใจ แม้ว่ามันง่ายมากที่จะทุบมดให้ตาย แต่ถึงทำแบบนั้นก็ไม่รู้สึกถึงความสำเร็จ แล้วทำไมต้องเสียแรงเปล่า ซงจีเย้ยหยันและพูดว่า “คุณกลัวว่าผมจะเปิดโปงคุณล่ะสิ ไม่ต้องกังวลหรอก ผมเปิดโปงคุณก่อนไปแน่นอน” “ผมให้โอกาสคุณออกไปอย่างปลอดภัย ในเมื่อคุณต้องการอยู่ที่นี่จริง ๆ ก็อยู่ต่อไป ผมหวังว่าคุณจะรับผลที่ตามมาได้นะ” หานซานเฉียนกล่าว ซ่งจีมองท่าทางนิ่งขรึมของหานซานเฉียน และยังขู่เขาอีก ในใจก็รู้สึกดูถูกเหยียดหยามมากขึ้น เขาจะปล่อยสวะแบบนี้ไปได้อย่างไร? เทียนหลิงเอ๋อร์โกรธมาก อาจกล่าวได้ว่าเธอไม่เคยโกรธมาก่อน เพราะเธอเกิดในสภาพแวดล้อมอีกแบบ จึงไม่เคยมีใครยั่วยุเธอแบบนี้ เจ้าของร้านเดินเข้ามาเสิร์ฟอาหารด้วยตนเอง เมื่อเขาเห็นซ่งจีก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศในห้องเห
ซ่งจีมองเทียนหลิงเอ๋อร์ จากนั้นก็มองไปที่หานซานเฉียน คนกระจอกแบบนี้จะรู้จักคุณหนูคนโตของตระกูลเทียนได้อย่างไร เขายังคงรอดชีวิตมาได้ด้วยโชคเล็กน้อย และหวังว่าตัวเองจะเดาผิด ไม่อย่างนั้นจะทำให้ตระกูลของคุณหนูเทียนขุ่นเคือง ชีวิตของเขาในหยุนเฉิงจากนี้ไปจะต้องทุกข์ทรมานแน่นอน “คุณชื่ออะไร?” เทียนหลิงเอ๋อร์ถาม ซ่งจีรู้สึกราวกับมีกระแสไฟฟ้าพุ่งผ่านร่างกายของเขา ทำให้หนังศีรษะลุกซ่าขึ้นทันที เทียนหลิงเอ๋อร์ต้องการตรวจสอบประวัติของเขาเหรอ? “คุณ...คุณหนูเทียน ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่าคุณมาทานอาหารที่นี่” ซ่งจีพูดด้วยใบหน้าที่เหนื่อยหน่าย สมองของเขาว่างเปล่า และไม่กล้าคิดถึงผลที่จะตามมา “คุณว่าฉันเป็นหมาไม่ใช่เหรอ?” เทียนหลิงเอ๋อร์พูดเสียงเบา ตุบ! ซ่งจี้คุกเข่าลงตรงหน้าเทียนหลิงเอ๋อร์ เมื่อครู่เขาไม่รู้จักตัวตนของเทียนหลิงเอ๋อร์ เขาจึงกล้าพูดแบบนั้น แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า คนที่อยู่ตรงหน้าคือใคร เขาคิดอะไรไม่ออกนอกจากคุกเข่าขอโทษ “คุณหนูเทียน ผมมีตาหามีแววไม่ ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วยเถอะนะครับ” ซ่งจีพูดพร้อมก้มหน้าลง “ในเมื่อตาสุนัขทั้งสองข้างของคุณมองเห็นไม่ชัด แล้วจะมีประโยชน์อะไ