เมื่อได้ยินคำพูดของตงฮ้าว ฉี๋อีหยุนก็ขมวดคิ้วแล้วถามอย่างเย็นชาว่า “นายทำอะไรลับหลังฉันอีกแล้วเหรอ? ฉันเตือนนายแล้ว ถ้านายยังทำโดยพลการอีกก็ไสหัวกลับไปซะ”ตงฮ้าวรีบอธิบาย “ผมเพิ่งพบว่ามีเวทีมวยใต้ดินที่นี่ ผมก็เลยจะไปเล่นสนุก ๆ แต่บังเอิญได้เจอเขา เขาน่าจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเวทีมวยใต้ดินครับ”เวทีมวยใต้ดินเหรอ?สีหน้าอันเยือกเย็นของฉี๋อีหยุนค่อย ๆ เผยรอยยิ้มขึ้น พลางกล่าวว่า “เขาเป็นคนไร้ประโยชน์มาสามปี จู่ ๆ ก็ซื้อคฤหาสน์ใจกลางเนินเขา แถมยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเวทีมวยใต้ดินอีก คนคนนี้น่าสนใจจริง ๆ”เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของฉี๋อีหยุนที่ไม่เคยมีให้ตนเลย ตงฮ้าวก็อยากจะฆ่าเขา จึงพูดว่า “คุณหนู คนไร้ประโยชน์แบบนี้ไม่สมควรได้รับความสนใจจากคุณ”“ฮึ หรือว่านายสมควรได้รับความสนใจจากฉัน?” ฉี๋อีหยุนพูดอย่างเย็นชา “ฉันจะสนใจใคร มันไม่ใช่เรื่องที่นายจะยื่นมือเข้ามายุ่งได้ เขาเป็นสามีของเพื่อนสนิทของฉัน ถ้านายคิดร้ายกับเขาแม้แต่นิดเดียว ฉันจะไม่ปล่อยนายไป”เมื่อฉี๋อีหยุนพูดจบก็ยิ้มออกมา ขอแค่เป็นสิ่งที่เธอต้องการ ต่อให้เป็นสามีของเพื่อนสนิทตัวเองแล้วจะทำไมล่ะ? ตราบใดที่เขามีคุณสมบัติเพี
“ขี้โม้สุด ๆ ถ้าไม่ได้คุยโม้สักวันคุณจะไม่สบายตัวเหรอ?” ซูหยิงเซี่ยพูดอย่างดูถูก “รอผมแข่งเสร็จ คุณก็จะรู้เองว่าผมไม่ใช่คนขี้โม้ แต่ผมเป็นคนที่โคตรเจ๋งต่างหาก” หานซานเฉียนกล่าว “ไปนอนเถอะ โคตรเจ๋ง” ซูหยิงเซี่ยพูดจบก็ขึ้นไปบนเตียแล้วนอนตะแคงให้หานซานเฉียน คิ้วของหานซานเฉียนกระตุก เธอไม่รู้เหรอว่าการนอนตะแคงมันมีผลกระทบต่อการมองเห็น และทำให้ผู้คนคิดเพ้อฝันอย่างง่าย? เช้าวันถัดมา ทั้งสองขึ้นไปตามถนนบนภูเขา เมื่อไปถึงยอดเขา อากาศสดชื่นก็ทำให้อดสูดหายใจเข้าลึก ๆ ไม่ได้ “อ้อ ฉี๋อีหยุนก็เข้าร่วมการแข่งขันด้วยเหมือนกัน พวกคุณสองคนไปด้วยกันสิ ระหว่างทางจะได้คอยดูแลเธอด้วย” ซูหยิงเซี่ยบอกกับหานซานเฉียน สำหรับฉี๋อีหยุนแล้ว หานซานเฉียนบอกตามตรงว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก พอเธอถอดแว่นออกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง “คุณรู้จักฉี๋อีหยุนมากแค่ไหน” หานซานเฉียนถาม“รู้จักเป็นอย่างดีเลยล่ะ พวกเราเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ฉันรู้จักญาติทุกคนในครอบครัวของเธอและรู้ดีว่าพวกเขาทำอะไร แต่หลังจากที่เธอไปต่างประเทศ พวกเราก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ได้ยินเธอบอกว่าพ่อ
เมื่อการแข่งขันใกล้เข้ามา หานซานเฉียนและฉี๋อีหยุนก็ขึ้นเครื่องบินไปยังเมืองฟู่หยาง ซูหยิงเซี่ยกลัวว่าเพื่อนสนิทคนนี้จะถูกรังแก จึงซื้อตั๋วเครื่องบินชั้นหนึ่งสองใบโดยเฉพาะ เธอดีกับฉี๋อีหยุนแค่ไหนไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ แต่สำหรับหานซานเฉียน แม้ว่าเขาจะตรวจสอบภูมิหลังของฉี๋อีหยุนอย่างละเอียดแล้ว และบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาแค่คิดมากเกินไป แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีเมฆหมอกที่ไม่อาจปัดเป่าออกไปได้ค้างคาอยู่ในใจของเขา นี่คือสัญชาตญาณ และสัญชาตญาณก็บอกเขาว่าถึงแม้ภายนอกฉี๋อีหยุนจะดูเรียบง่าย แต่ความจริงนั้นเธอมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์การคาดเดาของเขาเท่านั้นเอง ในห้องโดยสารชั้นหนึ่งมีผู้โดยสารเพียงสี่คน นอกจากหานซานเฉียนและฉี๋อีหยุนแล้ว ยังมีชายหญิงอีกคู่หนึ่ง พวกเขาดูเด็กกันมากอายุประมาณยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น หลังจากขึ้นเครื่องทั้งสองคนก็พูดจ้อไม่หยุด แถมเสียงก็ไม่ได้เบาเลย เสียงหัวเราะดังลั่นเป็นระยะ น่ารำคาญมากอาจเป็นเพราะทนถูกรบกวนระหว่างการเดินทางไม่ไหวแล้ว ฉี๋อีหยุนจึงลุกขึ้นยืนและเดินไปหาทั้งสองคนแล้วพูดอย่างสุภาพว่า “ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะการพูด
แม้ว่าฉี๋อีหยุนจะทำให้เขาประหลาดใจ แต่โต้วเว๋ยต่างหากที่เป็นแฟนสาวในอนาคตของเขา จะเสียหน้าต่อหน้าเธอไม่ได้“ฉันเป็นสุภาพบุรุษ จะทำร้ายคนหยาบคายอย่างนายได้ยังไง” ฉางหลางกล่าว“สุภาพบุรุษ?” หานซานเฉียนคลายมือออกแล้วผลักฉางหลางกลับไปนั่งที่เดิม ก่อนจะพูดต่อว่า “ฉันไม่เคยเห็นสุภาพบุรุษคนไหนกล้าลงไม้ลงมือกับผู้หญิงมาก่อน ฉันขอเตือนว่าให้เบาเสียงลงหน่อย ไม่อย่างนั้นก็บอกให้แอร์โฮสเตทโทรเรียก 120 เอาไว้รอ พอลงจากเครื่องจะได้ตรงไปโรงพยาบาลเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการรักษา” เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของหานซานเฉียน ฉางหลางก็ไม่คิดว่าเขากำลังล้อเล่น ดังคำกล่าวที่ว่าคนฉลาดย่อมรู้จักล่าถอย เขาทำได้เพียงกล้ำกลืนความโกรธไว้ พายุเล็ก ๆ สิ้นสุดลงเช่นนี้ ไม่ได้พัดกระพือจนกลายเป็นลูกคลื่นใหญ่จนเกินไป เพราะอย่างไรนี่ก็อยู่บนเครื่องบิน หานซานเฉียนไม่ต้องการทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เดี๋ยวจะจัดการลำบาก“คุณคงไม่ได้จะปล่อยไปแบบนี้หรอกใช่ไหม” หลังจากที่หานซานเฉียนและฉี๋อีหยุนกลับไปยังที่นั่ง โต้วเว๋ยก็กระซิบถามฉางหลาง ฉางหลางมีสีหน้าดุร้าย เขากัดฟันและพูดว่า “พอไปถึงเมืองฟู่หยาง ผมจะทำให้เจ้าหมอนี่ได้เห็นดีแน
เมื่อเห็นหานซานเฉียนและฉี๋อีหยุนขึ้นรถของหวางเม่าไป ฉางหลางก็ขมวดคิ้วมุ่น แม้ว่าหานซานเฉียนและฉี๋อีหยุนจะไม่ได้แต่งตัวดีอะไร แต่ชุดราชวงศ์ถังสั่งทำมือที่หวางเม่าสวมใส่กลับทำให้ฉางหลางต้องมองด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ครอบครัวของเขาสามารถติดต่อกับแบรนด์ทำมือระดับไฮเอนด์ในประเทศได้เชียวเหรอ ชุดราชวงศ์ถังนี้ พ่อของเขาเองก็มีเช่นกัน ราคาอย่างต่ำก็หลายหมื่นดอลลาร์ บุคคลที่สวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้ได้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน“ฉางหลาง คุณคงไม่ได้ลืมสิ่งที่พูดไว้บนเครื่องบินหรอกใช่ไหม?” โต้วเว๋ยเตือนฉางหลาง เธอไม่รู้มูลค่าของชุดราชวงศ์ถังของหวางเม่า เพราะเธอรู้จักแต่แบรนด์ต่างประเทศ และแบรนด์อิสระเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงขยะ“ไม่ต้องห่วง ผมจะลืมสิ่งเคยพูดไว้ได้ยังไง ผมจะทำให้คุณได้เห็นการแสดงดี ๆ อย่างแน่นอน” แม้ว่าฉางหลางจะรับปาก แต่หลังจากที่ได้เห็นหวางเม่าแล้ว เขาก็ระมัดระวังในตัวตนของหานซานเฉียนมากขึ้น เพียงแต่เขาไม่สามารถทำตัวขี้ขลาดต่อหน้าโต้วเว๋ยได้ก็เท่านั้น “ข่วนหน้าผู้หญิงคนนั้นให้เป็นรอยได้ยิ่งดี” โต้วเว๋ยพูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ว่ากันว่าพิษร้ายสุดคือจิตใจของผู้หญิง หลังจากที่โต้ว
ออกมาจากโรงแรมได้ไม่นาน หานซานเฉียนก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังสะกดรอยตามพวกเขาอยู่ คนคนหนึ่งทำลับ ๆ ล่อ ๆ ตั้งแต่ตอนที่พวกเขาออกจากโรงแรมแล้ว“ดูเหมือนว่าสองคนบนเครื่องบินจะตามมาแก้แค้นเรานะ หาพวกเราเจอเร็วจริง ๆ” หานซานเฉียนพูดเบา ๆ กับฉี๋อีหยุนเมื่อฉี๋อีหยุนหันไปมองก็สังเกตเห็นตงฮ้าวที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน แม้จะเป็นเพียงด้านหลัง แต่ฉี๋อีหยุนก็จำได้แม่นตงฮ้าวเคยพบกับหานซานเฉียนในเวทีมวย ถ้าให้หานซานเฉียนเห็นหน้าเขาชัด ๆ เขาจะต้องสงสัยอย่างแน่นอน“แล้วเราจะทำยังไงดี?” ฉี๋อีหยุนถามหานซานเฉียน“ไม่เป็นไรหรอก แค่แกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลยก็พอ ถ้าเขากล้าเคลื่อนไหวจริง ๆ เราก็แค่วิ่งหนีให้เร็วหน่อย” หานซานเฉียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อทั้งสองหันกลับมาและเดินมุ่งหน้าต่อไป มือทั้งสองข้างของฉี๋อีหยุนที่ไพล่อยู่ข้างหลังก็แอบส่งสัญญาณ “ทำได้แค่วิ่งหนีอย่างนั้นเหรอ? คุณเป็นผู้ชาย คงไม่ได้กลัวการต่อสู้หรอกนะ” ฉี๋อีหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม หานซานเฉียนพยักหน้ายอมรับแล้วพูดว่า “คุณลืมไปแล้วเหรอว่าผมมีฉายาว่าอะไร ผมจะกล้าไปสู้กับคนอื่นได้ยังไงล่ะ?” ฉี๋อีหยุนได้แต่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไรต่อ เขามีความสัมพั
“ลงรถ”ฉางหลางกับโต้วเว๋ยรีบลงจากรถตามเสียงคำสั่งของชายคนนั้นทันทีแสงจันทร์อ่อน ๆ แต่สามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาของผู้คนได้อย่างเลือนราง ตอนที่เขาถอดหมวกออกจึงเผยให้เห็นใบหน้าในทันที นี่ตงฮ้าวไม่ใช่เหรอ?ฉางเหลียงรีบก้มหัวลงต่ำไม่กล้าสบตาตงฮ้าว เพราะเขารู้ว่าลักษณะท่าทางของนักเลงแบบนี้ไม่อยากให้คนเห็นหน้า ไม่อย่างนั้นเขาอาจถูกฆ่าปิดปากได้“คุกเข่าลง” ตงฮ้าวเล่นกริชที่อยู่ในมือ แล้วพูดอย่างเยือกเย็นฉางหลางคุกเข่าทั้งสองอย่างอ่อนแรง โต้วเว๋ยก็เช่นกัน ความรู้สึกเหนือกว่าจากครอบครัวที่มีฐานะดีตอนนี้จบสิ้นแล้ว“พวกแกสองคนคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้ามารังแกคุณหนูตระกูลฉัน” ตงฮ้าวพูดด้วยหน้าที่หัวเราะอย่างเยือกเย็น“พี่ชาย คุณจับผิดคนแล้วหรือเปล่าครับ ผมจะไปกล้ารังแกคุณหนูตระกูลพี่ได้ยังไงกัน ผมไม่รู้จักเธอด้วยซ้ำ” ฉางหลางกล่าวปฏิเสธทันที เพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง เขาสามารถเอาโต้วเว๋ยเป็นโล่กำบังได้ และตอนนี้จะยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไรอีกทั้งในความทรงจำของฉางหลาง เขาไม่ได้ไปมีเรื่องกับใครเลยนี่นา“ไม่ใช่งั้นเหรอ แว่นตาของคุณหนูฉันแตกหมดแล้ว แกไม่ใช่คนทำหรอกเหรอ” ตงฮ้าวพูดแว่นตา!ฉ
รสชาติลิปสติกที่เขาจะได้ลิ้มรสนับไม่ถ้วน แค่คิดถึงเรื่องนี้ หานซานเฉียนก็ไม่สามารถชะล่าใจในการแข่งขันได้แล้ว ดังนั้นสำหรับเขาความกังวลใจของหวางเม่านั้นไม่จำเป็นเลย“จริงสิ ช่วงนี้ทางที่ดีคุณก็อย่าออกไปที่ไหนเลย พักผ่อนอยู่ที่โรงแรมนี่แหละ ตอนนี้เมืองฟู่หยางไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ ผมไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับคุณ” หวางเม่าพูดกับหานซานเฉียนด้วยความเป็นห่วง“ไม่ปลอดภัยยังไงเหรอครับ?” หานซานเฉียนเอ่ยถามอย่างสงสัย“วันนี้ตื่นมาตอนเช้าผมเห็นข่าวว่าเมื่อคืนมีคนสองคนถูกฆ่าที่ชานเมือง ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ยังวัยรุ่นกันอยู่เลย แต่โดนฆ่าปาดคอน่าสลดจริง ๆ ไม่ได้ใช้ชีวิตอีกแล้ว” หวางเม่าพูดพลางถอนหายใจ เหตุการณ์โลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีทางรู้เลยว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นฆ่าปาดคอ!จะต้องมีความเคียดแค้นมากขนาดไหนถึงจะใช้วิธีนี้เพื่อฆ่าคนได้หานซานเฉียนรีบเปิดโทรทัศน์อย่างรวดเร็ว ข่าวสถานีท้องถิ่นหลายแห่งกำลังออกอากาศเรื่องนี้เต็มไปหมด“ได้ยินว่าวัยรุ่นชายคนนี้ชื่อฉางหลาง สถานะทางครอบครัวของเขาดีไม่น้อย แถมเขายังสามารถใช้ชีวิตที่ดีได้อีกเยอะแยะในอนาคต แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีโอกาสใช้ชีวิตแล