ซูไห่เฉาปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก ไม่กล้าแสดงความเย่อหยิ่งต่อหน้าฉือจิงอีก เขาเป็นถึงผู้นำตระกูลซู แต่ช่างกระจอกอะไรเช่นนี้ ผู้หญิงตรงหน้าสามารถเรียกคนตระกูลเทียนมาได้ง่าย ๆ แล้วเขาจะมีปัญญาเทียบเคียงเธอได้ยังไง “ซูอี้หาน รีบให้คนไปเอาสินสอดมาเดี๋ยวนี้” ซูไห่เฉาบอกกับซูอี้หาน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าวันนี้ไม่เอาสินสอดมาคืน เราแย่แน่ เหตุผลอะไรไม่จำเป็นอีกแล้ว อำนาจของเธอตอนนี้เป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักที่สุด ช่างกดดันเสียจนคนในตระกูลซูหายใจแทบไม่ออกใบหน้าที่สิ้นหวังของซูอี้หานนั้นไร้สีเลือด พวกเครื่องประดับอะไรก็ยังพอจะเอามาคืนได้อยู่หรอก แต่เงินน่ะเธอใช้ไปเกือบหมดแล้ว เธอจะไปหาจากที่ไหนมาคืนให้?“ไห่เฉา นายช่วยฉันหน่อยสิ” ซูอี้หานขอความช่วยเหลือจากซูไห่เฉาซูไห่เฉารู้ว่าช่วงนี้ซูอี้หานใช้จ่ายเงินหมดไปเยอะ บนร่างกายของเธอนั้นเต็มไปด้วยของแบรนด์เนม แต่เธอเองก็ไม่ควรที่จะใช้เงินแปดล้านกว่าหยวนจนหมดเกลี้ยงทีเดียวนี่ ปัญหาใหญ่ขนาดนี้ เขาไม่มีปัญญาแก้หรอกแล้วตอนนี้ซูอี้หานก็ไม่สามารถแต่งงานเข้าตระกูลหานได้ สำหรับเขาเธอก็หมดประโยชน์แล้ว“เธอไม่ควรใช้เงินจนหมดนะอี้หาน” ซูไห่เฉากัดฟันพูดซูอี้
สีหน้าของฉือจิงนั้นดูเย็นชาขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินซูอี้หานเรียกหานซานเฉียนว่าเจ้าคนไร้ค่าต่อหน้าเธอฉือจิงหันไปส่งซิกให้ลูกน้อง เขาคนนั้นก็เดินตรงไปหาซูอี้หาน และตบหน้าเธอพร้อมกล่าวเสียงเย็นว่า “เธอมีสิทธิ์อะไรมาพูดจาพล่อย ๆ แบบนี้?”ซูอี้หานที่ถูกตบจนมึน ได้แต่เอามือปิดหน้าอย่างสงบปากสงบคำ“ถ้าวันพรุ่งนี้ เวลานี้ พวกเขาไม่เอาสินสอดมาคืนที่คฤหาสน์บนภูเขา พวกคุณคงรู้ใช่ไหมว่าควรจะจัดการยังไง?” ฉือจิงบอกกับคนของตระกูลเทียนที่อยู่ข้าง ๆคนของตระกูลเทียนรับคำสั่งกันโดยพร้อมเพรียง ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งเธอเลยแม้แต่น้อย คนตระกูลหานคนนี้ ขนาดตระกูลเทียนที่มีอำนาจล้นฟ้าในหยุนเฉิง เธอกลับไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้จะอยู่ต่อหน้าพวกเขา หลังจากที่ฉือจิงกลับไป บรรยากาศในคฤหาสน์ตระกูลซูเต็มไปด้วยความกดดัน“ไห่เฉา พวกเราจะทำยังไงกันดี?” ซูกั๋วหลินถามซูไห่เฉามองไปที่ซูอี้หานด้วยแววตาที่โหดเหี้ยม ถ้าไม่ใช่เพราะเธอใช้เงินไปขนาดนั้น ปัญหานี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ตอนนี้ซูไห่เฉาเสียใจมากที่เอาสินสอดให้ซูอี้หาน แต่น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว “งั้นก็ให้ซูหยิงเซี่ยช่วยโกหกว่าได้รับเงินแล้วสิ แค่นั้นก็หมดปัญ
หานซานเฉียนที่ไม่ได้รู้เรื่องราวความขัดแย้งภายในคฤหาสน์กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ใต้ร่มไม้ หลังจากที่ฉือจิงเดินออกมาก็พูดกับเขาว่า “สูบบุหรี่ไม่ดีต่อร่างกายนะ เลิกเสียเถอะ”หานซานเฉียนอัดบุหรี่เข้าเต็มปอดแล้วพูดว่า “ถ้าไม่เจ็บไม่ป่วยเลยแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ ผมยังไม่ถึงวัยที่ต้องถนอมร่างกายตัวเองเสียหน่อย ถ้าไม่สูบตอนนี้จะให้สูบตอนแก่เหรอครับ?”เหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ที่ยกขึ้นมาเถียงนี้ทำเอาฉือจิงรู้สึกอึ้ง เธอจึงพูดว่า “ร่างกายเป็นต้นทุนที่มีค่ามากที่สุด ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงแล้วจะทำในสิ่งที่อยากทำได้ยังไง”หานซานเฉียนคิ้วกระตุก ฉือจิงพูดเหมือนกับว่าเธอรู้อะไรบางอย่าง “สิ่งที่ผมคิดจะทำจะสำเร็จหรือไม่มันก็ไม่สำคัญหรอก เพราะว่าผมไม่ได้คิดจะทำเพื่อพิสูจน์ให้ใครเห็น ผมแค่อยากทดสอบความสามารถของตัวเองก็เท่านั้น” หานซานเฉียนพูดด้วยเสียงเรียบเฉย“แต่เรื่องบางเรื่อง ลูกก็ต้องทำให้สำเร็จนะ” ฉือจิงกล่าวพลางหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาให้หานซานเฉียนเมื่อเห็นคนที่อยู่ในรูป หานซานเฉียนก็ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “นี่ใครเหรอครับ?”“ตอนนั้นเป็นเพราะเขา ลูกก็เลยไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม
“แต่หลังจากที่คุณปู่จากไป สถานะของผมในบ้านตระกูลหาน แม่เองก็รู้ดีนี่ครับ แล้วแม่ยังคิดจะเอาเรื่องคุณปู่มาโน้มน้าวผมอีก คิดว่าจะได้ผลหรือไง?” หานซานเฉียนยิ้มเย้ยหยัน“จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครพบศพของหานเทียนหย่างเลย โลงศพของเขาในสุสานยังว่างเปล่ามาจนถึงตอนนี้” ฉือจิงกล่าวพอได้ยินเช่นนั้น หานซานเฉียนรู้สึกตื่นตัวทันที เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “หมายความว่ายังไงครับ ที่แม่พูดเมื่อกี้นี้มันหมายความว่ายังไง!”ข่าวลือเรื่องการเสียชีวิตของหานเทียนหย่างแพร่กระจายจนถึงหูคนตระกูลหาน ในตอนนั้นหานซานเฉียนยังเป็นแค่เด็ก เมื่อเขารู้ข่าวก็เอาแต่ร้องไห้จนแทบขาดใจ แต่ตอนนี้ฉือจิงกลับมาบอกเขาว่าไม่มีใครเคยพบศพของหานเทียนหย่งเลยอย่างนั้นเหรอ“แม่ก็แค่ตั้งคำถามเท่านั้น แต่ว่าจะจริงหรือไม่นั้นลูกคงต้องไปตรวจสอบเอาเอง บางทีถ้าสืบรู้ถึงภูมิหลังของนักบุญลัทธิเต๋าคนนั้นแล้ว เรื่องทั้งหมดอาจจะกระจ่างขึ้นก็ได้” ฉือจิงพูดจบเธอก็กลับทันทีราวกับมีอะไรจุกอยู่ที่อกของเขา คุณปู่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นเหรอ?เป็นไปได้ไหมว่าที่จริงแล้วคุณปู่ยังไม่ตาย แต่ถูกใครบางคนจับตัวไปแล้วถ้ามันเป็นแบบนั
ฉือจิงเพิ่งเดินออกจากเขตคฤหาสน์ จู่ ๆ เหยียนจุนก็มาปรากฏตัวข้างเธอราวกับวาร์ปมา“คุณไม่เพียงแต่ผลักภาระให้เขา คุณยังไปให้ความหวังเขาโดยไม่จำเป็นอีกด้วย” เหยียนจุนพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น แม้ว่าหน้าที่ของเขามีแค่ปกป้องตระกูลหาน ไม่มีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซงเรื่องภายในตระกูล แต่ว่าเขาก็ทนดูพฤติกรรมของฉือจิงไม่ไหวเอารูปถ่ายให้หานซานเฉียนโดยเจตนาให้เขาไปตรวจสอบเบื้องหลังที่ปกปิดไว้ของนักบวชลัทธิเต๋า เรื่องนี้มันอันตรายมาก แถมเขาคาดไม่ถึงเลยว่าฉือจิงยังขุดเอาเรื่องของหานเทียนหยางมาเพื่อมัดมือชกหานซานเฉียน เขาไม่มีทางเลือกเลยสักนิด“ตระกูลหานทุกคนหรือแม้แต่ตัวฉันเองไม่เคยให้ความรักความเป็นครอบครัวกับเขา มีแค่คุณปู่หานเทียนหยางเท่านั้นที่เอาใจใส่เขามากที่สุด มีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะกระตุ้นให้หานซานเทียนพยายามตามสืบเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ได้” ฉือจิงกล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์“แต่ว่าคุณก็ไม่ควรให้ความหวังกับเขาแบบนี้ สำหรับเขาแล้วเรื่องหานเทียนหยางเป็นความเจ็บปวดที่เขาไม่มีวันลืม เขาร้องไห้เสียใจหนักขนาดไหน คุณลืมไปแล้วหรือไง?” เหยียนจุนพูดอย่างโกรธเคือง“แน่นอนว่าฉันรู้ แต่ความรู้
“เธอทำอะไรของเธอเนี่ย บ้าไปแล้วหรือไง?” ซูไห่เฉาที่เห็นฉากเมื่อครู่รีบห้ามซูอี้หาน“ฉันไม่ได้บ้า ฉันแค่อยากให้ของพัง ๆ กับมัน” ซูอี้หานตอบอย่างโกรธแค้นซูไห่เฉารู้ดีว่าเธอไม่พอใจมากกับเรื่องนี้ แต่ว่าตอนนี้จะทำอะไรได้นอกจากยอมรับชะตากรรมเสีย ถ้าเกิดทำลายทรัพย์สินพวกนี้จนหมดแล้วฉือจิงรู้เข้าแล้วกล่าวโทษอีก คราวนี้ตระกูลซูคงรับผิดชอบไม่ไหวแน่“ยัยบ้า ฉันบอกให้เธอหยุดเดี๋ยวนี้ ยังคิดจะสร้างความเดือดร้อนให้ตระกูลซูอีกเหรอ” ซูไห่เฉาต่อว่าอย่างเย็นชาซูอี้หานเงยหน้ามองซูไห่เฉาอย่างไม่พอใจแล้วพูดว่า “ไห่เฉา ท่าทีของนายที่มีต่อฉันนี่มันหมายความว่ายังไง ถึงจะไม่ใช่ตระกูลหาน แต่ในอนาคตฉันก็จะได้แต่งงานเข้าตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นอยู่ดี และสามารถให้พวกเขาเข้ามาร่วมลงทุนกับตระกูลซูของเรา นายทำกับฉันอย่างนี้แล้วยังคิดจะหาประโยชน์จากฉันในอนาคตอีกเหรอ?”ซูไห่เฉาแสยะยิ้ม ที่เขาทำดีกับซูอี้หานทั้งหมดก็เพราะตระกูลหาน ตอนนี้ในเมื่อเธอหมดสิทธิ์ที่จะแต่งงานเข้าตระกูลหานแล้ว เธอก็ไร้ค่าส่วนเรื่องในวันข้างหน้าเธอจะได้แต่งงานกับคุณชายตระกูลใหญ่หรือไม่นั้น ซูไห่เฉาไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย“ซูอี้หาน เธอยังไม่เข
เมื่อเห็นหานซานเฉียน ซูไห่เฉาก็ยิ้มเยาะแล้วพูดแซะว่า “พวกหนูตกถังข้าวสารนี่ดีจริง ๆ นะ สายจนป่านนี้ก็เพิ่งจะตื่นนอน ชีวิตดีชะมัด ทำไมฉันถึงไม่โชคดีอย่างนี้บ้างนะ?”หานซานเฉียนรู้ว่าซูไห่เฉากำลังพูดจาถากถางเขา แต่สำหรับเขาแล้วคำพูดพวกนี้ไม่ได้ทำให้เขาเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย เขาจึงเอ่ยกลับไปว่า “ถ้านายหน้าตาเหมือนกับฉัน ไม่แน่ว่าอาจจะมีผู้หญิงมารับอุปถัมภ์ก็ได้ แต่พอดีนายหน้าตาไม่ดีมาตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้นชีวิตนี้นายคงเป็นเหมือนฉันไม่ได้หรอก”ประโยคเมื่อครู่นี้ทำให้ซูไห่เฉาโมโหมาก หานซานเฉียน เจ้าหมอนี่หาว่าเขาหน้าตาขี้เหร่อย่างนั้นเหรอ?“หานซานเฉียน นายนี่เป็นคนไร้ยางอายจริง ๆ นายนี่ทำให้ฉันตาสว่างเลยว่านายเป็นผู้ชายที่ไร้อนาคตแถมยังหลงตัวเอง” ซูไห่เฉากล่าวอย่างเย็นชา“นายไม่มีปัญญาเป็นอย่างฉัน แล้วทำมาเป็นพูดแดกดันอย่างนั้นเหรอ? ฉันรู้จักคนแบบนายดี ว่าวัน ๆ นายน่ะไม่ทำอะไรหรอกนอกจากคอยอิจฉาคนอื่น”ซูไห่เฉาโกรธจนหน้าเขียว ทะเลาะกับคนหน้าหนาแบบนี้เขาไม่มีวันชนะหรอก“ป้าเจี่ยง ลูกเขยไร้ประโยชน์ของคุณนี่ ช่างเป็นที่เชิดหน้าชูตาของคุณจริง ๆ เลยนะ” ซูไห่เฉาเปลี่ยนเรื่องหันไปพูดกับเจี่ยงห
ในคฤหาสน์ เจี่ยงหลานยังคงดื่มด่ำอยู่กับรสชาติที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากของหมั้นที่เธอนำมา สำหรับเธอ ในสายตามีแต่เรื่องเงิน ในตอนนี้ไม่มีที่ว่างให้สิ่งอื่นใดอีกแล้ว “เอ๊ะ?” ทันใดนั้นเจี่ยงหลานก็เห็นปิ่นปักผมสีทองมีรอยขีดข่วนอยู่มากมาย เธอมีสีหน้าตกตะลึงในทันที พลางตะโกนบอกหานซานเฉียนว่า “หานซานเฉียน นายมาดูนี่เร็วสิ” หานซานเฉียนเดินเข้าไปหาเจี่ยงหลานด้วยความงุนงง แล้วถามว่า “มีอะไรเหรอครับ?” “ดูปิ่นปักผมนี่สิ มีคนจงใจถูมันจนเป็นรอยหรือเปล่า” เจี่ยงหลานพูดอย่างไม่พอใจ ดูเหมือนว่ารอยขีดข่วนนั้นเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง ซูอี้หานน่าจะเป็นคนตั้งใจทำให้เกิดรอยขีดข่วนนี้ขึ้นมาแน่นอน “ดูจากสภาพแล้วน่าจะใช่นะครับ” หานซานเฉียนเอ่ย “ต้องเป็นฝีมือยัยนั่นแน่ ๆ ฉันจะไปคิดบัญชีกับเธอ” เจี่ยงหลานพูดอย่างโกรธเคือง “เรื่องเล็กน้อย ไม่เห็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนั้นเลย ขอแค่น้ำหนักไม่ขาดไปก็พอแล้วครับ” หานซานเฉียนพูดอย่างเฉยเมย ด้วยนิสัยของเจี่ยงหลาน เธอจะต้องไปคิดบัญชีกับซูอี้หานอย่างแน่นอน ปิ่นปักผมดี ๆ ถูกทำลายอย่างมีเจตนาร้าย เธอจะยอมทนได้อย่างไร แต่หลังจากได้ยินคำพูดของหานซานเฉียน ความ