ฉือจิงเพิ่งเดินออกจากเขตคฤหาสน์ จู่ ๆ เหยียนจุนก็มาปรากฏตัวข้างเธอราวกับวาร์ปมา“คุณไม่เพียงแต่ผลักภาระให้เขา คุณยังไปให้ความหวังเขาโดยไม่จำเป็นอีกด้วย” เหยียนจุนพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น แม้ว่าหน้าที่ของเขามีแค่ปกป้องตระกูลหาน ไม่มีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซงเรื่องภายในตระกูล แต่ว่าเขาก็ทนดูพฤติกรรมของฉือจิงไม่ไหวเอารูปถ่ายให้หานซานเฉียนโดยเจตนาให้เขาไปตรวจสอบเบื้องหลังที่ปกปิดไว้ของนักบวชลัทธิเต๋า เรื่องนี้มันอันตรายมาก แถมเขาคาดไม่ถึงเลยว่าฉือจิงยังขุดเอาเรื่องของหานเทียนหยางมาเพื่อมัดมือชกหานซานเฉียน เขาไม่มีทางเลือกเลยสักนิด“ตระกูลหานทุกคนหรือแม้แต่ตัวฉันเองไม่เคยให้ความรักความเป็นครอบครัวกับเขา มีแค่คุณปู่หานเทียนหยางเท่านั้นที่เอาใจใส่เขามากที่สุด มีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะกระตุ้นให้หานซานเทียนพยายามตามสืบเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ได้” ฉือจิงกล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์“แต่ว่าคุณก็ไม่ควรให้ความหวังกับเขาแบบนี้ สำหรับเขาแล้วเรื่องหานเทียนหยางเป็นความเจ็บปวดที่เขาไม่มีวันลืม เขาร้องไห้เสียใจหนักขนาดไหน คุณลืมไปแล้วหรือไง?” เหยียนจุนพูดอย่างโกรธเคือง“แน่นอนว่าฉันรู้ แต่ความรู้
“เธอทำอะไรของเธอเนี่ย บ้าไปแล้วหรือไง?” ซูไห่เฉาที่เห็นฉากเมื่อครู่รีบห้ามซูอี้หาน“ฉันไม่ได้บ้า ฉันแค่อยากให้ของพัง ๆ กับมัน” ซูอี้หานตอบอย่างโกรธแค้นซูไห่เฉารู้ดีว่าเธอไม่พอใจมากกับเรื่องนี้ แต่ว่าตอนนี้จะทำอะไรได้นอกจากยอมรับชะตากรรมเสีย ถ้าเกิดทำลายทรัพย์สินพวกนี้จนหมดแล้วฉือจิงรู้เข้าแล้วกล่าวโทษอีก คราวนี้ตระกูลซูคงรับผิดชอบไม่ไหวแน่“ยัยบ้า ฉันบอกให้เธอหยุดเดี๋ยวนี้ ยังคิดจะสร้างความเดือดร้อนให้ตระกูลซูอีกเหรอ” ซูไห่เฉาต่อว่าอย่างเย็นชาซูอี้หานเงยหน้ามองซูไห่เฉาอย่างไม่พอใจแล้วพูดว่า “ไห่เฉา ท่าทีของนายที่มีต่อฉันนี่มันหมายความว่ายังไง ถึงจะไม่ใช่ตระกูลหาน แต่ในอนาคตฉันก็จะได้แต่งงานเข้าตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นอยู่ดี และสามารถให้พวกเขาเข้ามาร่วมลงทุนกับตระกูลซูของเรา นายทำกับฉันอย่างนี้แล้วยังคิดจะหาประโยชน์จากฉันในอนาคตอีกเหรอ?”ซูไห่เฉาแสยะยิ้ม ที่เขาทำดีกับซูอี้หานทั้งหมดก็เพราะตระกูลหาน ตอนนี้ในเมื่อเธอหมดสิทธิ์ที่จะแต่งงานเข้าตระกูลหานแล้ว เธอก็ไร้ค่าส่วนเรื่องในวันข้างหน้าเธอจะได้แต่งงานกับคุณชายตระกูลใหญ่หรือไม่นั้น ซูไห่เฉาไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย“ซูอี้หาน เธอยังไม่เข
เมื่อเห็นหานซานเฉียน ซูไห่เฉาก็ยิ้มเยาะแล้วพูดแซะว่า “พวกหนูตกถังข้าวสารนี่ดีจริง ๆ นะ สายจนป่านนี้ก็เพิ่งจะตื่นนอน ชีวิตดีชะมัด ทำไมฉันถึงไม่โชคดีอย่างนี้บ้างนะ?”หานซานเฉียนรู้ว่าซูไห่เฉากำลังพูดจาถากถางเขา แต่สำหรับเขาแล้วคำพูดพวกนี้ไม่ได้ทำให้เขาเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย เขาจึงเอ่ยกลับไปว่า “ถ้านายหน้าตาเหมือนกับฉัน ไม่แน่ว่าอาจจะมีผู้หญิงมารับอุปถัมภ์ก็ได้ แต่พอดีนายหน้าตาไม่ดีมาตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้นชีวิตนี้นายคงเป็นเหมือนฉันไม่ได้หรอก”ประโยคเมื่อครู่นี้ทำให้ซูไห่เฉาโมโหมาก หานซานเฉียน เจ้าหมอนี่หาว่าเขาหน้าตาขี้เหร่อย่างนั้นเหรอ?“หานซานเฉียน นายนี่เป็นคนไร้ยางอายจริง ๆ นายนี่ทำให้ฉันตาสว่างเลยว่านายเป็นผู้ชายที่ไร้อนาคตแถมยังหลงตัวเอง” ซูไห่เฉากล่าวอย่างเย็นชา“นายไม่มีปัญญาเป็นอย่างฉัน แล้วทำมาเป็นพูดแดกดันอย่างนั้นเหรอ? ฉันรู้จักคนแบบนายดี ว่าวัน ๆ นายน่ะไม่ทำอะไรหรอกนอกจากคอยอิจฉาคนอื่น”ซูไห่เฉาโกรธจนหน้าเขียว ทะเลาะกับคนหน้าหนาแบบนี้เขาไม่มีวันชนะหรอก“ป้าเจี่ยง ลูกเขยไร้ประโยชน์ของคุณนี่ ช่างเป็นที่เชิดหน้าชูตาของคุณจริง ๆ เลยนะ” ซูไห่เฉาเปลี่ยนเรื่องหันไปพูดกับเจี่ยงห
ในคฤหาสน์ เจี่ยงหลานยังคงดื่มด่ำอยู่กับรสชาติที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากของหมั้นที่เธอนำมา สำหรับเธอ ในสายตามีแต่เรื่องเงิน ในตอนนี้ไม่มีที่ว่างให้สิ่งอื่นใดอีกแล้ว “เอ๊ะ?” ทันใดนั้นเจี่ยงหลานก็เห็นปิ่นปักผมสีทองมีรอยขีดข่วนอยู่มากมาย เธอมีสีหน้าตกตะลึงในทันที พลางตะโกนบอกหานซานเฉียนว่า “หานซานเฉียน นายมาดูนี่เร็วสิ” หานซานเฉียนเดินเข้าไปหาเจี่ยงหลานด้วยความงุนงง แล้วถามว่า “มีอะไรเหรอครับ?” “ดูปิ่นปักผมนี่สิ มีคนจงใจถูมันจนเป็นรอยหรือเปล่า” เจี่ยงหลานพูดอย่างไม่พอใจ ดูเหมือนว่ารอยขีดข่วนนั้นเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง ซูอี้หานน่าจะเป็นคนตั้งใจทำให้เกิดรอยขีดข่วนนี้ขึ้นมาแน่นอน “ดูจากสภาพแล้วน่าจะใช่นะครับ” หานซานเฉียนเอ่ย “ต้องเป็นฝีมือยัยนั่นแน่ ๆ ฉันจะไปคิดบัญชีกับเธอ” เจี่ยงหลานพูดอย่างโกรธเคือง “เรื่องเล็กน้อย ไม่เห็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนั้นเลย ขอแค่น้ำหนักไม่ขาดไปก็พอแล้วครับ” หานซานเฉียนพูดอย่างเฉยเมย ด้วยนิสัยของเจี่ยงหลาน เธอจะต้องไปคิดบัญชีกับซูอี้หานอย่างแน่นอน ปิ่นปักผมดี ๆ ถูกทำลายอย่างมีเจตนาร้าย เธอจะยอมทนได้อย่างไร แต่หลังจากได้ยินคำพูดของหานซานเฉียน ความ
คุกเข่าขอโทษอย่างนั้นเหรอ? เซี่ยอวี๋ฟู๋จะไม่คิดเรื่องนี้ได้อย่างไร เธออยากเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นแม้แต่ในความฝัน หานซานเฉียนทำลายแผนการของเธอ และยังทำให้เธอถูกเซี่ยจิ่นเหยียนด่าทอจนเกือบทำให้เธอยุติเรื่องราวไม่ได้เพราะไปล่วงเกินตาแก่ม่อหยางเข้า ความแค้นนี้ฝังอยู่ในใจของเซี่ยอวี๋ฟู๋ ถ้าไม่แก้แค้นก็จะอยู่ไม่เป็นสุข อันที่จริงหลิวฉีเป็นฝ่ายตามจีบเธอ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะขอให้สุนัขขี้ประจบคนนี้ทำอะไรบางอย่างเพื่อเธอ “หลิวฉี ถ้าคุณสามารถทำให้เขาคุกเข่าขอโทษฉันได้ ฉันจะยอมไปกินข้าวกับคุณ” เซี่ยอวี๋ฟู๋กล่าว หลิวฉีมีความสุขมากที่ได้ยินประโยคนี้ เมื่อเขาชวนเซี่ยอวี๋ฟู๋ไปกินข้าว เขากลับถูกปฏิเสธไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้โอกาสได้มาถึงแล้ว “คุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะจัดการให้ทันที ไม่เพียงแค่ให้เขาคุกเข่าขอโทษคุณเท่านั้น แต่ผมยังทำให้เขาเห่าเหมือนสุนัขได้ด้วย” หลิวฉีพูดด้วยรอยยิ้ม “เขาคือหานซานเฉียน คุณน่าจะรู้ว่าเขาเป็นใครใช่ไหม” เซี่ยอวี๋ฟู๋กล่าว หานซานเฉียนอย่างนั้นเหรอ? เมื่อได้ยินชื่อนี้ หลิวฉีก็รู้สึกตกตะลึง นั่นไม่ใช่คนไร้ประโยชน์แห่งตระกูลซูหรอกหรือ?
“หลิวฉี ที่นี่คือพื้นที่ของม่อหยาง ถ้าเราก่อเรื่องที่นี่ มันจะไม่มีปัญหาอะไรตามมาใช่ไหม?” ใครบางคนถามหลิวฉีอย่างเป็นกังวล หลิวฉีโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ แล้วพูดว่า “แค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่งเท่านั้น ตราบใดที่พวกเราไม่ทำให้เรื่องใหญ่จนเกินไป ม่อหยางจะมาสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เหรอ ไม่ต้องกังวล ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หลิวฉีจะปกป้องพวกคุณเอง” หลิวฉีจงใจแสร้งทำเป็นกล้าหาญต่อหน้าเซี่ยอวี๋ฟู๋ แต่อันที่จริงแล้วเขาก็มีความกังวลอยู่บ้างเช่นกัน ถึงอย่างไรตอนนี้ม่อหยางก็เป็นคนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในพื้นที่สีเทาของเมืองหยุนเฉิง ถ้าก่อเรื่องในพื้นที่ของเขานั้นก็เท่ากับเป็นการสร้างปัญหาให้ม่อหยาง หากม่อหยางรู้เรื่องนี้ เขาจะต้องมีจุดจบที่น่าสังเวชแน่นอน แต่เพื่อแลกกับรอยยิ้มของของเซี่ยอวี๋ฟู๋คนสวย หลิวฉีก็ยินดีเดิมพัน ขอเพียงแค่เขาจัดการกับหานซานเฉียนได้โดยที่ม่อหยางไม่รู้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวฉี คนอื่น ๆ ก็พากันรู้สึกโล่งใจ ยิ่งไปกว่านั้น การมีเรื่องกับบุคคลที่ไม่เป็นที่รู้จัก ก็คงไม่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่อะไร “อวี๋ฟู๋ คุณรอให้คนไร้ประโยชน์คนนั้นมาคุกเข่าขอโทษคุณเถอะ” หลิวฉีพ
เมื่อได้ยินคำพูดของหานซานเฉียน หลิวฉีก็รู้สึกกลัวจนผงะถอยหลังไปหลายก้าว เขาคิดไม่ถึงว่าหานซานเฉียนจะแข็งแกร่งขนาดนี้ แม้แต่ผู้คนเหล่านี้ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ตอนนี้เหลือเขาเพียงคนเดียว แม้ว่าจะฝืนสู้ไป ก็ไม่พ้นถูกอัดจนเละเทะเท่านั้น อันที่จริงแล้วเขาต้องการโชว์ต่อหน้าเซี่ยอวี๋ฟู๋ แต่หลิวฉีไม่ใช่คนโง่ รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องถูกอัดเละเทะก็ยังโง่เสนอหน้าเข้าไปทำ เขาไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน “หานซานเฉียน อย่าคิดว่าแกมีตระกูลซูคอยหนุนหลังแล้วตัวเองจะใหญ่ไปกว่าใคร รู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร?” หลิวฉีพูดข่มขู่ เขาต้องการเอาภูมิหลังของครอบครัวมากดดันหานซานเฉียน เพราะครอบครัวของเขามีศักยภาพพอ ๆ กับตระกูลซูตอนนี้ แน่นอนว่าในอีกไม่กี่ปี เงินทุนของโครงการเฉิงซีก็จะเริ่มส่งผลตอบแทน ตระกูลหลิวก็จะเทียบกับตระกูลซูไม่ได้อีกแล้ว “คุณเป็นใคร บอกให้ผมฟังหน่อยสิ” ทันใดนั้นประตูห้องวีไอพีถูกเปิดออก ม่อหยางกับหลินหย่งก็เดินเข้ามา เมื่อหลิวฉีเห็นสองคนนี้ก็รู้สึกกลัวมาก เขาสามารถเอาตระกูลหลิวมาข่มขู่หานซานเฉียนได้ แต่เขาไม่กล้าที่จะเอาตระกูลหลิวมาอวดอ้างต่อหน้าม่อหยางแม้แต่น้อย ด้วยอิทธิพลของม่อหยางในเ
“ก็เพราะคุณนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมคงไม่เดือดร้อนหรอก!” หลิวฉีเองก็โหดร้ายเช่นกัน เมื่อเขาพูดจบก็ต่อยหน้าเซี่ยอวี๋ฟู๋ไปหนึ่งครั้ง เซี่ยอวี๋ฟู๋เห็นหลิวฉีเป็นสุนัขขี้ประจบมาโดยตลอด จะให้เขาทำอะไร เขาก็ต้องทำทุกอย่างแต่โดยดี เธอวางตัวอยู่เหนือกว่าหลิวฉีเสมอมา หลิวฉีเอาชนะเธอได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? “หลิวฉี คุณไม่ต้องการฉันแล้วเหรอ?” เซี่ยอวี๋ฟู๋เอ่ยถาม หลิวฉียิ้มเยาะแล้วพูดว่า “โสเภณีอย่างคุณ อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะว่าคุณคิดอะไรอยู่ คุณหลอกใช้ผมเพื่อช่วยคุณจัดการเรื่องต่าง ๆ ใช่ไหมล่ะ? ผมรู้เสมอว่าคุณดูถูกผม ผมไม่อยากเสียเวลากับคุณอีกต่อไปแล้ว ผู้หญิงสวย ๆ แบบคุณ ผมแค่จ่ายเงินก็มีมาให้เลือกมากมาย คุณถือว่าตัวเองเป็นราชินี ต้องการให้ผมปรนนิบัติคุณงั้นเหรอ?” เมื่อเซี่ยอวี๋ฟู๋ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเธอก็ซีดเผือด เป็นเพราะการมีตัวตนอยู่ของหลิวฉีที่สร้างความมั่นใจให้เซี่ยอวี๋ฟู๋ ทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองสูงส่งดั่งราชินี และคำพูดของหลิวฉีก็ทำให้เธอตกลงในหุบเขาน้ำแข็งอย่างไม่ต้องสงสัย “ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้คุณยังกล้าที่จะล่วงเกินเพื่อนของพี่ใหญ่ม่ออีกด้วย ถ้าผมไม่สั่งสอนบทเรียนคุณ แล้ว