หลังจากฟังคำพูดของซูไห่เฉา แม้ว่าซูอี้หานจะพยายามควบคุมความอิจฉาของตัวเองอย่างเต็มที่ แต่สีหน้าของเธอก็ยังคงเต็มไปด้วยความอิจฉา เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลย ตอนนี้เธอไม่กล้าซื้อเสื้อผ้าและกระเป๋าด้วยซ้ำ แล้วจะไม่ให้อิจฉาซูหยิงเซี่ยได้ยังไง?ทรัพย์สินของซูหยิงเซี่ยในปัจจุบัน ไม่ต้องพูดถึงการซื้อแบรนด์ดังที่เธอต้องการ ไม่มีอะไรที่เธอไม่สามารถหาได้เลยในหยุนเฉิงยิ่งไปกว่านั้น แค่บัตรเชิญสำหรับงานเลี้ยงหนึ่งร้อยวันของหานเนี่ยนก็สามารถขายได้มากกว่าหนึ่งล้านหยวน ในชีวิตนี้เธอไม่เคยกล้าคิดสิ่งนี้เลยซูไห่เฉาเองก็เช่นกัน เขาคิดว่าถ้าในอดีตเขาไม่โหดร้ายกับหานซานเฉียน ตอนนี้เขาอาจจะยังสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว ที่จะเสียใจกับสิ่งที่เขาทำลงไป“หรือเธอจะลองไปขโมยบัตรเชิญดู บางทีเราอาจจะได้เงินจากการขายต่อมันก็ได้” ซูไห่เฉาแนะนำซูอี้หานจู่ ๆ ซูอี้หานก็รู้สึกสนใจ แต่แล้วเธอก็ถอนหายใจอีกครั้งบัตรเชิญอยู่ในโครงการคฤหาสน์เขาหยุนติง และเธอก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในนั้นด้วยซ้ำ แล้วเธอจะขโมยมันได้ยังไง“ฉันล่องหนได้ที่ไหน จะขโมยมันได้ยังไง” ซูอี้หานกล่าว“ยังไงพวกเรา
ซูอี้หานตัวสั่นท่ามกลางลมหนาว เมื่อเทียบกับการถูกซูไห่เฉาลืม เธอไม่พอใจกับการที่ซูหยิงเซี่ยกลายเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์มากกว่า ในขณะที่เธอใช้ชีวิตอย่างยากจนตั้งแต่เด็กจนโต ซูอี้หานรู้สึกว่าเธอดีกว่าซูหยิงเซี่ยทุกอย่าง ตอนที่ซูหยิงเซี่ยแต่งงานกับหานซานเฉียน เธอหัวเราะเยาะซูหยิงเซี่ยเป็นเวลานาน โดยคิดว่าเธอจะไม่มีวันพลิกฟื้นคืนมาได้อีกแล้ว และจะตกไปอยู่ในมือของคนไร้ประโยชน์อย่างหานซานเฉียนตลอดชีวิตแต่ตอนนี้ความเป็นจริงได้ตบหน้าเธออย่างแรง แม้ว่าในอดีตหานซานเฉียนจะถูกดูถูกและเยาะเย้ยก็ตาม แต่ตอนนี้เมฆได้หายไปแล้ว และตัวตนที่แท้จริงของหานซานเฉียนก็ปรากฏขึ้น เรื่องตลกของเธอเกี่ยวกับซูหยิงเซี่ยก็ยิ่งตบหน้าเธอดังขึ้นไปอีก ทั้งหมดนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจและเสียใจ ทำไมผู้แบบนี้ถึงไม่มาปรากฏข้างกายเธอ แต่กลับกลายเป็นสามีของซูหยิงเซี่ยบางครั้งซูอี้หานก็จินตนาการว่าจะดีแค่ไหน ถ้าหานซานเฉียนแต่งงานกับเธอแต่ซูอี้หานไม่เคยคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ซูหยิงเซี่ยต้องทนทุกข์ทรมานในช่วงสามปีที่ผ่านมา ว่าเธอจะสามารถแบกรับมันได้ไหม เมื่อกลับมาถึงบ้านพักตระกูลซู ซูอี้หานก็เดินไปหาซูไห่เฉาด้วยใบหน้าที่เย็นชา
แม้ว่าซูหยิงเซี่ยจะเป็นแม่คน แต่เธอก็ยังมีบางเวลาที่รู้สึกเขินอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนอื่นพูดถึงเรื่องของเธอกับหานซานเฉียน เธอก็ยังคงเหมือนดอกไม้ที่กำลังผลิบานคำพูดของซือจิงทำให้ซูหยิงเซี่ยไม่กล้าเงยหน้า และใบหน้าของเธอก็แดงลามไปถึงหูเมื่อเห็นภาพนี้หานซานเฉียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนุก เขานั่งลงข้างซูหยิงเซี่ยก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้หูของเธอแล้วกระซิบว่า "เป็นแม่คนแล้ว ยังขี้อายอยู่อีก"ซูหยิงเซี่ยจ้องหานซานเฉียนอย่างดุเดือดแล้วพูดว่า "เป็นแม่คนแล้วอายไม่ได้เหรอ?"“มีอะไรบ้างที่เราสองคนไม่ยังไม่เคยทำ มีอะไรให้น่าอายกัน” หานซานเฉียนกล่าวซูหยิงเซี่ยเหยียดมือออกมาแล้วถูกนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ไปมา เมื่อเห็นการกระทำนี้ หานซานเฉียนจึงรีบผละตัวออกจากซูหยิงเซี่ยทันที การหยิกที่คุกคามถึงชีวิตนี้ทำให้เขาหวาดกลัวยิ่งกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับคนบ้าเหล่านั้นในเรือนจำตี้ซินเสียอีก“ค่อย ๆ พูดกันดี ๆ สิ อย่าลงไม้ลงมือกันเลยนะ” หานซานเฉียนพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนซูหยิงเซี่ยตะคอกเสียงเย็นแล้วพูดว่า "ถ้าคุณยังพูดเรื่องแบบนี้อีก ฉันจะไม่ปล่อยคุณไปแน่""ครับ ๆ ๆ" หานซานเฉียนพยักหน้าซ้ำๆ แลเวพ
เวลาสี่ทุ่ม คฤหาสน์ใจกลางภูเขายังคงสว่างไสวหานซานเฉียนตกอยู่ในความเสียใจไม่รู้จบเนื่องจากแผนกรักษาความปลอดภัยส่งข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมและร้านอาหารให้เขาตั้งแต่สองทุ่ม และเขาก็นั่งคัดกรองมาเป็นเวลาสองชั่วโมงเต็มแล้วและไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ทุกคนในคฤหาสน์ต่างก็ช่วยกันดู แม้แต่เหอถิงที่อ่านหนังสือออกเพียงไม่กี่คำก็ยังถูกหานซานเฉียนลากลงมาสู่สนามรบด้วยเช่นกัน“ไม่เอา”“ที่นี่ก็ไม่เอา”"ที่นี่เล็กเกินไป รองรับได้แค่ไม่กี่คน"“สภาพแวดล้อมวุ่นวายเกินไป จะคู่ควรกับงานเลี้ยงหนึ่งร้อยวันของหลานฉันได้ยังไง”“เก่าเกินไป ไม่เอา หลานสาวของฉันไม่เหมาะกับสถานที่แบบนี้”ทุกคนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน สถานที่หลายแห่งจึงไม่ผ่านการพิจารณาหานซานเฉียนทรุดตัวลงบนโซฟา หากเขารู้แบบนี้ เขาก็ไม่ควรแทรกมือเข้ามายุ่งในงานประเภทนี้ คงจะดีถ้าปล่อยให้ม่อหยางกังวลไปคนเดียว“ฉันนี่หาปัญหาให้ตัวเองจริง ๆ” หานซานเฉียนพูดด้วยสีหน้าขมขื่นซูหยิงเซี่ยมองเขาแล้วพูดว่า "เรื่องใหญ่ของลูกสาว เรียกว่าปัญหางั้นเหรอคั?"หานซานเฉียนหดคอแล้วพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว "ผมยังพูดไม่จบ ถึงจะเป็นปัญหาแต่มันก็คุ้มค่า"คนอื่น ๆ ไ
“ไม่คิดว่าจะยังมีคนที่ชื่อเดียวกับเนี่ยนเออร์” หลังจากคลิกข่าว เฉินหลิงเหยาก็พึมพำกับตัวเองแต่เมื่อเธออ่านเนื้อหาในข่าว เฉินหลิงเหยาก็ตกใจแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยรู้เรื่องเปียโนและภาพวาดมากนัก แต่เธอก็เคยได้ยินชื่อบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างป๋อเท่อและซีถ่านฟู๋สองคนนี้ เพราะยังไงพวกเขาก็อยู่ที่จุดสูงสุดในสายอาชีพนี้ และข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันก็ได้รับการพัฒนาอย่างมาก และคงยากที่จะไม่รู้จักพวกเขาตั๋วงานแสดงของป๋อเท่อนั้นหายากมาก แถมยังขายในราคาหลายล้านดอลลาร์ต่อใบ เรื่องนี้จึงทำให้เกิดความฮือฮาทั้งในวงการ และภาพวาดของซีถ่านฟู๋ก็ถูกประมูลในราคาที่น่าอัศจรรย์กว่าหนึ่งร้อยล้านดอลลาร์เช่นกันสองคนนี้รับลูกศิษย์คนเดียวกัน เฉินหลิงเหยาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าหานเนี่ยนมีตัวตนแบบไหนกันแน่“ชื่อและนามสกุลเดียวกันเลย ช่างน่าอิจฉาจริง ๆ แต่เนี่ยนเออร์ของพวกเราก็ไม่น้อยหน้าหรอก เธอเองก็มีพ่อที่เก่งกาจเช่นกัน” เฉินหลิงเหยารู้สึกเสียใจแทนหานเนี่ยน จึงเริ่มเปรียบเทียบขึ้นมาในใจอย่างไม่รู้ตัว แต่ไม่ว่าจะเปรียบเทียบอย่างไร ไม่ว่าหานซานเฉียนจะทรงพลังแค่ไหน ก็ดูเหมือนว่าเขาจะเทียบกับบุค
“อืม หานซานเฉียนอยากให้เจียงหยิงหยิงไปทำงานที่บริษัทน่ะ” ซูหยิงเซี่ยกล่าว“ไม่มีปัญหา ฝากไว้ที่ฉันได้เลย” เฉินหลิงเหยาพูดพร้อมกับพร้อมตบหน้าอกตัวทันใดนั้น ซูหยิงเซี่ยก็เรียกหานซานเฉียนมาข้าง ๆ และเล่าเรื่องที่จ้างงานเจียงหยิงหยิงให้เขาฟัง เสร็จแล้วหานซานเฉียนก็ไปที่ห้องครัวเมื่อเห็นเจียงหยิงหยิงและเหอถิงกำลังทำอาหารเย็นด้วยกันอยู่ หานซานเฉียนก็พูดว่า "หยิงหยิง ฉันอยากให้เธอไปทำงานที่บริษัทของตระกูลซู เธอคิดว่ายังไง?"เจียงหยิงหยิงมองหานซานเฉียนด้วยความสับสน และมีความคิดเกิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของเธอทันที หรือเป็นเพราะว่าเธอทำงานบ้านได้ไม่ดี หานซานเฉียนจึงอยากให้เธอไปทำงานที่บริษัท?“พี่ซานเฉียน ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ?” เจียงหยิงหยิงถามเหอถิงก็ดูกังวลเช่นกัน หรือว่าเจียงหยิงหยิงทำผิดพลาด แล้วทำให้หานซานเฉียนไม่พอใจ?“จะมีอะไรผิดพลาดได้ยังไง ตอนที่ป้าเหอไม่อยู่ ฉันต้องขอบคุณเธอที่ช่วยดูแลหยิงเซี่ยด้วยซ้ำ แต่ฉันคิดว่าเธอยังเด็กและไม่ควรติดอยู่ที่นี่ หากยังมีโอกาสก็ควรได้ออกไปพบปะผู้คนภายนอกให้มากขึ้น” หานซานเฉียนกล่าว เขาไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่เขาจะต้องเผชิญในอนาคตได้ และเจียงหยิงหย
ความกังวลของซูหยิงเซี่ยเกิดจากสถานการณ์ที่เฉินหลิงเหยาพูดถึงก่อนหน้านี้ เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่คนที่มีชื่อและนามสกุลเดียวกันจะถูกนำมาเปรียบเทียบกัน และถ้าอีกฝ่ายเป็นคนที่เก่งกาจมาก มันก็ย่อมสร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นให้กับหานเนี่ยนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ซูหยิงเซี่ยไม่อยากให้หานเนี่ยนมีชีวิตที่ไม่มีความสุข และเธอก็ไม่อยากให้เธออยู่ภายใต้ความกดดันเช่นนี้“หานเนี่ยนในข่าวนั่นไงคะ ที่มีชื่อเดียวกันกับเนี่ยนเออร์ของพวกเรา ในอนาคตเธอจะต้องถูกคนนำไปเปรียบเทียบแน่นอนเลย” ซูหยิงเซี่ยกล่าวพร้อมกับถอนหายใจหานซานเฉียนไม่รู้ว่าจะหัวเราหรือร้องไห้ดี เขาไม่คาดคิดว่าซูหยิงเซี่ยจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล เพราะเก้าสิบเปอร์เซ็นเนี่ยนเออร์ก็คือหานเนี่ยนในข่าวแต่เขาอยากจะเซอร์ไพรส์ซูหยิงเซี่ย ดังนั้นหานซานเฉียนจึงยังไม่บอกเธอ “คุณดูถูกเนี่ยนเออร์ของพวกเราเหรอ ไม่แน่ว่าหากเธอโตขึ้น อาจจะเก่งกาจมากกว่าก็ได้นะ” หานซานเฉียนกล่าวประโยคนี้ทำให้ซูหยิงเซี่ยรู้สึกไม่ยอมแพ้ เธอพยักหน้าและพูดว่า "ใช่แล้วล่ะ เนี่ยนเออร์ของพวกเราจะต้องเก่งกาจกว่าแน่ ๆ จุดเด่นจะสามารถครอบงำเธอได้
เจียงหยิงหยิงรู้สึกซาบซึ้งใจมากเช่นกัน ตั้งแต่เด็กเธอก็มีเพียงเหอถิงที่เป็นที่พึ่งให้เธอ เธอไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นของครอบครัวมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ตอนนี้ เธอเพิ่งจะรู้ว่าการมีครอบครัวนั้นความรู้สึกมันเป็นอย่างไร เมื่อเธอเห็นว่าซูหยิงเซี่ยพยักหน้าเห็นด้วย ซือจิงยิ้มให้ และหานเทียนหยางก็ทำท่าทางให้เธอออกไปจับฉลาก เธอก็อดไม่ได้จะน้ำตารื้นขึ้นมา“ค่ะ” เจียงหยิงหยิงพูดอย่างประหม่าและยื่นมือออกไป แม้ว่ามันอาจจะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เธอก็กำลังตัดสินใจเลือกสถานที่จัดงานเฉลิมฉลองร้อยวันของหานเนี่ยน ที่สำคัญกว่านั้น ผลลัพธ์ของเรื่องใหญ่เช่นนี้กลับอยู่ในมือของเธอ“ไม่ต้องกลัว สถานที่เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่ได้แย่ เธอก็แค่ช่วยฉันแก้ปัญหาที่น่าปวดหัวนี้เท่านั้น” เมื่อเห็นมือที่สั่นเทาเล็กน้อยของเจียงหยิงหยิง หานซานเฉียนจึงพูดปลอบเธอเจียงหยิงหยิงพยักหน้า เธอหยิบฉลากขึ้นมาก่อนจะยื่นให้หานซานเฉียน“พี่ซานเฉียน ถ้าไม่ดี อย่าโทษฉันนะคะ” เจียงหยิงหยิงกล่าว“จะไม่ดีได้ยังไง สถานที่เหล่านี้ล้วนไม่มีปัญหา” หานซานเฉียนคลี่ฉลากกระดาษ และสถานที่ที่จับได้ก็คือคฤหาสน์ที่ไปดูเมื่อเช้านี้หานซานเฉียน ซูห