เมื่อเห็นว่าซูหยิงเซี่ยดูเขินอาย และไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของเทียนหลิงเอ๋อร์อย่างไร หานซานเฉียนก็ทำได้แต่ช่วยพูดว่า "เป็นสาวเป็นนาง ถามเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ไม่ละอายใจบ้างเลยเหรอ"“ฉันยังเด็กอยู่งั้นเหรอ?” เทียนหลิงเอ๋อร์ยืดอกขึ้นถามหานซานเฉียนหานซานเฉียนรีบหันหน้าแล้วพูดว่า "แสลงตาจริง ๆ"การกระทำนี้ทำให้เทียนหลิงเอ๋อร์โกรธจัด และแม้แต่ซูหยิงเซี่ยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “พี่ดูถูกฉันเหรอ!” เทียนหลิงเอ๋อร์เดินไปหาหานซานเฉียน และพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจเนื่องจากความสูงที่ต่างกันระหว่างทั้งสอง เมื่อหานซานเฉียนมองตรง เขาก็ไม่เห็นแม้แต่หัวของเทียนหลิงเอ๋อร์ เขาทำท่ามองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า "ใครกำลังคุยกับฉันน่ะ?"เทียนหลิงเอ๋อร์โกรธมากจนแทบจะอาเจียนเป็นเลือด เธอหันกลับไปหาซูหยิงเซี่ย และพูดด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า "พี่สะใภ้ เขารังแกฉัน พี่ยังคงหัวเราะฉันอยู่อีก รีบช่วยฉันหน่อยสิคะ"ซูหยิงเซี่ยแสร้งทำเป็นขึงขังและพูดกับหานซานเฉียน "คุณรังแกเธอได้ยังไง รีบขอโทษเธอเดี๋ยวนี้นะ"“ที่รัก ในห้องนี้ยังมีคนอื่นอีกเหรอ?” หานซานเฉียนถามโดยแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจซูหยิงเซี่ยไม่รู้จะหัวเราะหรือว่าร้องไห้
หานซานเฉียนยิ้มและไม่พูดอะไร เรื่องแบบนี้ไม่สามารถบอกฉีฮู่ได้ ทันใดนั้น ม่อหยางก็รีบวิ่งออกมา และถลึงตาใส่หลินหย่งหนึ่งทีเป็นการกล่าวโทษหลินหย่งที่ไม่แจ้งเขารู้ว่าหานซานเฉียนมาถึงแล้ว“ซานเฉียน ทำไมนายไม่บอกฉันก่อนว่าจะมา” ม่อหยางกล่าว“นายจะจัดขบวนไว้ต้อนรับฉันอีกหรือไง? ยังคิดว่าที่สนามบินยังสร้างเรื่องไม่ใหญ่พออีกเหรอ” หานซานเฉียนพูดอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ใช่คนที่เคยชินกับการเป็นคนมีชื่อเสียง ถ้าเขารู้เกี่ยวกับการต้อนรับที่สนามบินล่วงหน้า เขาจะไม่ปล่อยให้ม่อหยางทำแบบนั้นแน่ “ซานเฉียน เรื่องที่นายจะกลับมา ท่านผู้เฒ่าเป็นคนบอกฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะรู้ได้ยังไง ท่านผู้เฒ่าคงอยากจะให้ทุกคนในหยุนเฉิงรู้ว่านายกลับมาแล้วนั่นแหละ” ม่อหยางยิ้มหานซานเฉียนตกตะลึง เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นความคิดของม่อหยาง แต่เขาไม่คิดเลยว่าปู่ของเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็จริง ถ้าไม่ใช่เพราะคุณปู่ ม่อหยางจะรู้ได้ยังไงว่าเขาจะกลับมา อีกอย่างการที่คุณปู่แจ้งเรื่องนี้กับม่อหยาง ก็คงเพราะอยากให้เขาเตรียมการบางอย่างไม่ใช่เหรอ?หานเทียนหยางอยากให้ทุกคนจะรู้จักหานซานเฉียน เพราะเขาทำตัวไม่เป็นจุดสนใจเกินไป
เนื่องจากหลินตงเดินทางมาหลายพันไมล์เพื่อมาตามหาฟางจ้าน เขามั่นใจว่าเขาจะทำให้ฟางจ้านออกจากภูเขาได้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่เสียเวลาและพลังงานไปกับการตามหาฟางจ้าน“หลังจากที่คุณออกจากเทียนฉี ก็ใช้เวลาสามปีเต็มในการตามหาลูกสาว แต่ก็ไม่พบอะไรเลย คุณคิดว่าเธอตายไปแล้วจริง ๆ เหรอ?” หลินตงกล่าวคำพูดเหล่านี้ทำให้ฟางจ้านชะงักทันที และหันไปมองหลินตง สีหน้าของเขาดูเป็นกังวลขึ้นอย่างมาก“คุณรู้ว่าลูกสาวของผมอยู่ไหนงั้นเหรอ?” ฟางจ้านถามอย่างตื่นเต้น แม้แต่ลมหายใจของเขาก็เร็วขึ้น“ตราบใดที่คุณเต็มใจช่วยผม ผมจะบอกคุณว่าเธออยู่ที่ไหน” หลินตงกล่าวก่อนที่ฟางจ้านจะเข้ามาอาศัยอยู่ในหุบเขา เขาคิดว่าเขาไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อเขารู้ว่าลูกสาวของเขายังมีชีวิตอยู่ เขาจึงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ เพราะเธอคือญาติเพียงคนเดียวของเขา ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่จริง ฟางจ้านจะทำทุกอย่างเพื่อตามหาเธอแต่ฟางจ้านก็ไม่ได้ขาดสติเพราะความตื่นเต้น เขาออกค้นหาเธอมาสามปีเต็ม แต่ก็ไม่มีข่าวคราว แล้วหลินตงรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? หรือว่าเขาจงใจใช้เรื่องนี้มากระตุ้นเขา แต่ที่จริงหลินตงไม่รู้ว่าลูกสาวของเขาอ
หลังจากฟังคำพูดของซูไห่เฉา แม้ว่าซูอี้หานจะพยายามควบคุมความอิจฉาของตัวเองอย่างเต็มที่ แต่สีหน้าของเธอก็ยังคงเต็มไปด้วยความอิจฉา เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลย ตอนนี้เธอไม่กล้าซื้อเสื้อผ้าและกระเป๋าด้วยซ้ำ แล้วจะไม่ให้อิจฉาซูหยิงเซี่ยได้ยังไง?ทรัพย์สินของซูหยิงเซี่ยในปัจจุบัน ไม่ต้องพูดถึงการซื้อแบรนด์ดังที่เธอต้องการ ไม่มีอะไรที่เธอไม่สามารถหาได้เลยในหยุนเฉิงยิ่งไปกว่านั้น แค่บัตรเชิญสำหรับงานเลี้ยงหนึ่งร้อยวันของหานเนี่ยนก็สามารถขายได้มากกว่าหนึ่งล้านหยวน ในชีวิตนี้เธอไม่เคยกล้าคิดสิ่งนี้เลยซูไห่เฉาเองก็เช่นกัน เขาคิดว่าถ้าในอดีตเขาไม่โหดร้ายกับหานซานเฉียน ตอนนี้เขาอาจจะยังสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว ที่จะเสียใจกับสิ่งที่เขาทำลงไป“หรือเธอจะลองไปขโมยบัตรเชิญดู บางทีเราอาจจะได้เงินจากการขายต่อมันก็ได้” ซูไห่เฉาแนะนำซูอี้หานจู่ ๆ ซูอี้หานก็รู้สึกสนใจ แต่แล้วเธอก็ถอนหายใจอีกครั้งบัตรเชิญอยู่ในโครงการคฤหาสน์เขาหยุนติง และเธอก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในนั้นด้วยซ้ำ แล้วเธอจะขโมยมันได้ยังไง“ฉันล่องหนได้ที่ไหน จะขโมยมันได้ยังไง” ซูอี้หานกล่าว“ยังไงพวกเรา
ซูอี้หานตัวสั่นท่ามกลางลมหนาว เมื่อเทียบกับการถูกซูไห่เฉาลืม เธอไม่พอใจกับการที่ซูหยิงเซี่ยกลายเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์มากกว่า ในขณะที่เธอใช้ชีวิตอย่างยากจนตั้งแต่เด็กจนโต ซูอี้หานรู้สึกว่าเธอดีกว่าซูหยิงเซี่ยทุกอย่าง ตอนที่ซูหยิงเซี่ยแต่งงานกับหานซานเฉียน เธอหัวเราะเยาะซูหยิงเซี่ยเป็นเวลานาน โดยคิดว่าเธอจะไม่มีวันพลิกฟื้นคืนมาได้อีกแล้ว และจะตกไปอยู่ในมือของคนไร้ประโยชน์อย่างหานซานเฉียนตลอดชีวิตแต่ตอนนี้ความเป็นจริงได้ตบหน้าเธออย่างแรง แม้ว่าในอดีตหานซานเฉียนจะถูกดูถูกและเยาะเย้ยก็ตาม แต่ตอนนี้เมฆได้หายไปแล้ว และตัวตนที่แท้จริงของหานซานเฉียนก็ปรากฏขึ้น เรื่องตลกของเธอเกี่ยวกับซูหยิงเซี่ยก็ยิ่งตบหน้าเธอดังขึ้นไปอีก ทั้งหมดนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจและเสียใจ ทำไมผู้แบบนี้ถึงไม่มาปรากฏข้างกายเธอ แต่กลับกลายเป็นสามีของซูหยิงเซี่ยบางครั้งซูอี้หานก็จินตนาการว่าจะดีแค่ไหน ถ้าหานซานเฉียนแต่งงานกับเธอแต่ซูอี้หานไม่เคยคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ซูหยิงเซี่ยต้องทนทุกข์ทรมานในช่วงสามปีที่ผ่านมา ว่าเธอจะสามารถแบกรับมันได้ไหม เมื่อกลับมาถึงบ้านพักตระกูลซู ซูอี้หานก็เดินไปหาซูไห่เฉาด้วยใบหน้าที่เย็นชา
แม้ว่าซูหยิงเซี่ยจะเป็นแม่คน แต่เธอก็ยังมีบางเวลาที่รู้สึกเขินอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนอื่นพูดถึงเรื่องของเธอกับหานซานเฉียน เธอก็ยังคงเหมือนดอกไม้ที่กำลังผลิบานคำพูดของซือจิงทำให้ซูหยิงเซี่ยไม่กล้าเงยหน้า และใบหน้าของเธอก็แดงลามไปถึงหูเมื่อเห็นภาพนี้หานซานเฉียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนุก เขานั่งลงข้างซูหยิงเซี่ยก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้หูของเธอแล้วกระซิบว่า "เป็นแม่คนแล้ว ยังขี้อายอยู่อีก"ซูหยิงเซี่ยจ้องหานซานเฉียนอย่างดุเดือดแล้วพูดว่า "เป็นแม่คนแล้วอายไม่ได้เหรอ?"“มีอะไรบ้างที่เราสองคนไม่ยังไม่เคยทำ มีอะไรให้น่าอายกัน” หานซานเฉียนกล่าวซูหยิงเซี่ยเหยียดมือออกมาแล้วถูกนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ไปมา เมื่อเห็นการกระทำนี้ หานซานเฉียนจึงรีบผละตัวออกจากซูหยิงเซี่ยทันที การหยิกที่คุกคามถึงชีวิตนี้ทำให้เขาหวาดกลัวยิ่งกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับคนบ้าเหล่านั้นในเรือนจำตี้ซินเสียอีก“ค่อย ๆ พูดกันดี ๆ สิ อย่าลงไม้ลงมือกันเลยนะ” หานซานเฉียนพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนซูหยิงเซี่ยตะคอกเสียงเย็นแล้วพูดว่า "ถ้าคุณยังพูดเรื่องแบบนี้อีก ฉันจะไม่ปล่อยคุณไปแน่""ครับ ๆ ๆ" หานซานเฉียนพยักหน้าซ้ำๆ แลเวพ
เวลาสี่ทุ่ม คฤหาสน์ใจกลางภูเขายังคงสว่างไสวหานซานเฉียนตกอยู่ในความเสียใจไม่รู้จบเนื่องจากแผนกรักษาความปลอดภัยส่งข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมและร้านอาหารให้เขาตั้งแต่สองทุ่ม และเขาก็นั่งคัดกรองมาเป็นเวลาสองชั่วโมงเต็มแล้วและไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ทุกคนในคฤหาสน์ต่างก็ช่วยกันดู แม้แต่เหอถิงที่อ่านหนังสือออกเพียงไม่กี่คำก็ยังถูกหานซานเฉียนลากลงมาสู่สนามรบด้วยเช่นกัน“ไม่เอา”“ที่นี่ก็ไม่เอา”"ที่นี่เล็กเกินไป รองรับได้แค่ไม่กี่คน"“สภาพแวดล้อมวุ่นวายเกินไป จะคู่ควรกับงานเลี้ยงหนึ่งร้อยวันของหลานฉันได้ยังไง”“เก่าเกินไป ไม่เอา หลานสาวของฉันไม่เหมาะกับสถานที่แบบนี้”ทุกคนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน สถานที่หลายแห่งจึงไม่ผ่านการพิจารณาหานซานเฉียนทรุดตัวลงบนโซฟา หากเขารู้แบบนี้ เขาก็ไม่ควรแทรกมือเข้ามายุ่งในงานประเภทนี้ คงจะดีถ้าปล่อยให้ม่อหยางกังวลไปคนเดียว“ฉันนี่หาปัญหาให้ตัวเองจริง ๆ” หานซานเฉียนพูดด้วยสีหน้าขมขื่นซูหยิงเซี่ยมองเขาแล้วพูดว่า "เรื่องใหญ่ของลูกสาว เรียกว่าปัญหางั้นเหรอคั?"หานซานเฉียนหดคอแล้วพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว "ผมยังพูดไม่จบ ถึงจะเป็นปัญหาแต่มันก็คุ้มค่า"คนอื่น ๆ ไ
“ไม่คิดว่าจะยังมีคนที่ชื่อเดียวกับเนี่ยนเออร์” หลังจากคลิกข่าว เฉินหลิงเหยาก็พึมพำกับตัวเองแต่เมื่อเธออ่านเนื้อหาในข่าว เฉินหลิงเหยาก็ตกใจแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยรู้เรื่องเปียโนและภาพวาดมากนัก แต่เธอก็เคยได้ยินชื่อบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างป๋อเท่อและซีถ่านฟู๋สองคนนี้ เพราะยังไงพวกเขาก็อยู่ที่จุดสูงสุดในสายอาชีพนี้ และข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันก็ได้รับการพัฒนาอย่างมาก และคงยากที่จะไม่รู้จักพวกเขาตั๋วงานแสดงของป๋อเท่อนั้นหายากมาก แถมยังขายในราคาหลายล้านดอลลาร์ต่อใบ เรื่องนี้จึงทำให้เกิดความฮือฮาทั้งในวงการ และภาพวาดของซีถ่านฟู๋ก็ถูกประมูลในราคาที่น่าอัศจรรย์กว่าหนึ่งร้อยล้านดอลลาร์เช่นกันสองคนนี้รับลูกศิษย์คนเดียวกัน เฉินหลิงเหยาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าหานเนี่ยนมีตัวตนแบบไหนกันแน่“ชื่อและนามสกุลเดียวกันเลย ช่างน่าอิจฉาจริง ๆ แต่เนี่ยนเออร์ของพวกเราก็ไม่น้อยหน้าหรอก เธอเองก็มีพ่อที่เก่งกาจเช่นกัน” เฉินหลิงเหยารู้สึกเสียใจแทนหานเนี่ยน จึงเริ่มเปรียบเทียบขึ้นมาในใจอย่างไม่รู้ตัว แต่ไม่ว่าจะเปรียบเทียบอย่างไร ไม่ว่าหานซานเฉียนจะทรงพลังแค่ไหน ก็ดูเหมือนว่าเขาจะเทียบกับบุค