เต๋อซ่วนกงกงยิ้ม “ท่านหญิงอิ๋นตาง นี่เป็นโจทย์คำนวณเลข”ท่านหญิงอิ๋นตางขมวดคิ้ว “โจทย์คำนวณ? แล้วเกี่ยวอะไรกับอำนาจทางทหารกัน?”“เกี่ยวแน่นอน!” เต๋อซ่วนกงกงยังคงอธิบายด้วยรอยยิ้ม “มีคำกล่าวว่า กองทัพยังไม่เคลื่อน เสบียงต้องมาก่อน การจัดการเสบียงเป็นเรื่องสำคัญในกองทัพ หากไม่รู้เรื่องการคำนวณเลข แล้วจะจัดการเสบียงได้อย่างไร?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยอวี๋เฟยเหยียนที่อยู่ด้านข้างกลัวว่าเรื่องจะไม่สนุก จึงพูดท้าทาย “อ้าว ท่านหญิงอิ๋นตางทำมิได้หรือ? หากทำมิได้ก็ไม่เป็นไรนี่! ยอมแพ้ครึ่งหนึ่งเป็นอย่างไร?”หานอวี่เฟยมองเขาอย่างเคียดแค้น “ใครบอกว่าข้าทำมิได้ ข้าว่านางทำมิได้มากกว่า! เงียบเป็นเป่าสากทีเดียว!”อ๋องจ่างซิ่นอดไม่ได้ที่จะกุมขมับ “เฟยเอ๋อร์ ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท อย่าพูดจาเหลวไหล!”หานอวี่เฟยไม่สนใจทุกคนหันไปมองเยี่ยนเว่ยฉือ คิดว่านางเงียบเกินไปนางคงจะฟังโจทย์ไม่เข้าใจกระมัง!ฮ่องเต้คังอู่ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้ากังวลเล็กน้อยใช่ว่าฟังโจทย์ไม่เข้าใจเยี่ยนเว่ยฉือ นางแค่รู้สึกว่าโจทย์นี้…น่าประหลาดใจมากไก่และกระต่ายในกรงเดียวกัน นี่มันโจทย์คณิต
อ๋องจ่างซิ่นที่อยู่ด้านข้างก็ช่วยพูด “ใช่แล้ว ยังไม่ได้แตะลูกคิด จะคำนวณตัวเลขที่ถูกต้องได้อย่างไร หรือว่าเดาเอา?”เยี่ยนเว่ยฉือขำออกมา “เดาเอา? ท่านอ๋องให้เกียรติโชคของหม่อมฉันมากเกินไปแล้ว หากหม่อมฉันพูดอะไรก็แม่นยำไปเสียทุกคำ หม่อมฉันคงไปตั้งแผงพยากรณ์แล้ว”“ฮึ เจ้าบอกว่าไม่ได้เดา ถ้าอย่างนั้นเจ้าคำนวณอีกครั้ง บอกกระบวนการให้พวกเราฟัง!” อ๋องจ่างซิ่นเชื่อมั่นว่า หากฮ่องเต้คังอู่และเยี่ยนเว่ยฉือสมรู้ร่วมคิดกันก็คงแค่บอกคำตอบให้นาง ไม่จำเป็นต้องอธิบายกระบวนการดังนั้นการให้เยี่ยนเว่ยฉือคำนวณอีกครั้ง อธิบายกระบวนการอย่างละเอียด จะสามารถเปิดโปงนางต่อหน้าทุกคนได้!คิดว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงแต่ไม่คิดว่านางจะตอบรับทันที “ได้สิ ถ้าอย่างนั้นพวกท่านตั้งใจฟังให้ดี โจทย์คือ มีไก่และกระต่ายอยู่ในกรงเดียวกัน นับหัวได้สามสิบห้าหัว นับขาได้เก้าสิบสี่ขา ถามว่ามีไก่และกระต่ายอย่างละกี่ตัว?”เยี่ยนเว่ยฉือเดินไปมาในตำหนัก ชี้ไปที่ขาของอ๋องจ่างซิ่นและกล่าวต่อ “สมมติว่าหม่อมฉันให้ไก่และกระต่ายยกเท้าขึ้นสองข้าง รวมกันสามสิบห้าหัว ดังนั้นสามสิบห้าคูณสอง คือยกเท้าขึ้นเจ็ดสิบข้าง คือเอาเ
เปาะ!เยี่ยนเว่ยฉือดีดนิ้ว “สูตรคูณไงเล่าเพคะ!”“อะไรคือสูตรคูณ?” ฮ่องเต้คังอู่ถามต่อเยี่ยนเว่ยฉือพูดต่อ “อันซี[footnoteRef:0]สร้างตัวเลขเก้าเก้าเพื่อตอบสนองต่อวิถีแห่งสวรรค์ บรรพบุรุษกล่าวถึงวิธีนี้มานานแล้ว เก้าคูณเก้าได้แปดสิบเอ็ด เจ็ดคูณเจ็ดได้สี่สิบเก้า สองคูณสองได้สี่ อันที่จริงนอกจากตัวเลขเหล่านี้ ตัวเลขอื่น ๆ ก็สามารถอนุมานได้ในทำนองเดียวกัน” [0: อันซี คือนักคณิตศาสตร์หรือนักคิดในสมัยโบราณ] เยี่ยนเว่ยฉือหยิบปากกา เขียนสูตรคูณลงบนกระดาษขาวตรงหน้า แม้ลายมือจะไม่สวยนัก แต่กฎการคำนวณและกฎเกณฑ์นั้นน่าทึ่งเยี่ยนเว่ยฉืออธิบายว่า “เพียงแค่จำสูตรคูณนี้ได้ การคูณหารอย่างง่ายใด ๆ ก็สามารถเข้าใจได้ในพริบตา”ฮ่องเต้คังอู่ตรัสอย่างระมัดระวัง “มาเถิด หาคนมาคำนวณดูว่าสิ่งที่นางเขียนนั้นถูกต้องหรือไม่”เต๋อซ่วนกงกงสั่งให้คนไปคำนวณทันทีจากนั้นฮ่องเต้คังอู่หันมายิ้มให้เยี่ยนเว่ยฉือ “สิ่งเหล่านี้ เจ้าเรียนรู้มาจากที่ใด?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ คนอื่น ๆ ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ซ่างกวนซีกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมเพราะคำถามของฮ่องเต้คังอู่ไม่ใช่แค่การถาม แต่เป็นการทดสอบลองคิดตามดู เยี่ยนเว่ยฉือ
อันกั๋วกงโกรธจนแทบเป็นลม ฮ่องเต้คังอู่พูดกระทบใคร? ก็พูดถึงเขาไม่ใช่หรือ?อันกั๋วกงไม่กล้าจ้องหน้าฮ่องเต้ ได้แต่มองเยี่ยนเว่ยฉือและอ๋องจ่างซิ่นอย่างขุ่นเคืองซ่างกวนซีที่เงียบมาตลอด เมื่อเห็นดังนั้นจึงพูดว่า “เสด็จพ่อ การประลองรอบแรก เว่ยฉือชนะแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้คังอู่ยิ้มแย้มและพยักหน้า “ถูกต้อง การประลองรอบแรก เยี่ยนเว่ยฉือชนะ การประลองรอบที่สองนี้ ให้อ๋องจ่างซิ่นเป็นผู้ออกโจทย์!”ทุกคนหันไปมองอ๋องจ่างซิ่นพร้อมกันรอบแรกแพ้ไปแล้ว หากรอบที่สองแพ้อีก การตัดสินก็ถือเป็นอันสิ้นสุด รอบที่สามไม่ต้องแข่งถึงตอนนั้นเขาจะไม่เพียงเสียหน้า แต่ยังเสียอำนาจทางทหารของกองทัพเสินเช่ออีกด้วย จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?ดังนั้นอ๋องจ่างซิ่นจึงต้องออกโจทย์ที่มั่นใจว่าบุตรสาวจะต้องชนะ“การประลองรอบที่สอง…” อ๋องจ่างซิ่นกำลังจะประกาศก็ถูกเยี่ยนเว่ยฉือขัดจังหวะ“เดี๋ยวก่อน ๆ ท่านอ๋อง ขอบอกไว้ก่อน หากท่านออกโจทย์อะไรที่เกี่ยวกับการต่อสู้ มวยปล้ำ ขี่ม้า ยิงธนู สิ่งเหล่านี้หม่อมฉันขอยอมแพ้เลย หม่อมฉันทำไม่เป็นอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา”ซ่างกวนซีจึงพูดต่อ “เว่ยฉือ อย่าพูดจาเหลวไหล อ๋อ
ฉินเซียงหรูยิ้มและขอบคุณ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา แต่กระหม่อมเกิดและเติบโตในชนบท ไม่ชอบอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ใด ๆ ที่อยู่กับองค์รัชทายาทก็เป็นเพราะกระหม่อมแพ้พนัน จึง…”ฮ่องเต้คังอู่ยิ้มตอบ ไม่ได้ใส่ใจ “ไม่เป็นไร คนเราต่างมีวิถีของตน”เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้คังอู่ไม่เป็นอะไร ซ่างกวนซีก็ตั้งใจจะพาฉินเซียงหรูทูลลาแต่ก่อนที่ทั้งสองจะได้พูด ฮ่องเต้คังอู่ก็ถามอีกว่า “จริงสิ ชูจิ่ง หมากเก้ามังกรล้อมณี เจ้ามีความเห็นอย่างไร?”ซ่างกวนซีส่ายหน้า “ทูลเสด็จพ่อ หมากที่เหลืออยู่ไม่สามารถแก้ได้ หมากเก้ามังกรล้อมณีเป็นกระบวนหมากที่ไม่มีใครไขปริศนาได้มานานนับพันปี ในความเห็นของกระหม่อม การค้นหาคำถามที่ไม่มีคำตอบ สู้ค้นหาว่าเหตุใดเป่ยอิ้นถึงโยนให้พวกเราไขปริศนาหมากที่แก้ไม่ได้นี้ดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้คังอู่ขมวดคิ้ว “ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิด หมากนั้นแก้ไม่ได้จริงๆ แต่ทำไมอวี๋ฉืออวิ๋นจ้าวและอวี๋ฉืออวิ๋นจิ่นถึงพูดอย่างมั่นใจว่ามีทางแก้? หากพวกเรายอมแพ้ การไม่ได้หมากหยกเย็นและหยกอุ่นถือเป็นเรื่องเล็ก การเสียเกียรติของแคว้นถือเป็นเรื่องใหญ่!”ฮ่องเต้คังอู่กังวลเล็กน้อยซ่างกวนซีก็คิดไม่ออกถึงสาเหตุแม้ว่าเขา
ซ่างกวนซีโต้แย้ง “กังวลไว้ยังดีกว่าถูกหลอก”ฉินเซียงหรูหัวเราะ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระหม่อมก็มีความกังวลอีกอย่าง ไม่รู้ว่าจะช่วยองค์รัชทายาทได้หรือไม่ หากช่วยได้ ความผิดที่รู้เรื่องเมื่อวานแต่ไม่บอก ท่านก็ยกโทษให้กระหม่อมเถิด ดูร่างกายที่อ่อนแอของกระหม่อมสิ จะทนการกระทำของท่านได้อย่างไร?”ซ่างกวนซีหันไปมอง “ในเมื่อเป็นความกังวล แล้วจะช่วยอะไรได้?”ฉินเซียงหรูยังคงยิ้มแย้ม “ช่วยได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าองค์รัชทายาทจะใช้หรือไม่”“ลองพูดมา!” ซ่างกวนซีอยากรู้ว่าฉินเซียงหรูจะพูดอะไรฉินเซียงหรูพูดต่อ “เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการไขปริศนาหมากเก้ามังกรล้อมณี”ซ่างกวนซีประหลาดใจเล็กน้อย “หมากที่แก้ไม่ได้ เจ้าแก้ได้หรือ?”ฉินเซียงหรูพยักหน้า “ในโลกนี้มีวิธีหนึ่งที่สามารถไขหมากที่เหลืออยู่ได้ทั้งหมด และยังสามารถทำให้ใครก็ได้สามารถไขปริศนา เพียงแต่ไม่ใช่ทุกคนที่กล้าใช้”คำว่า ‘กล้า’ ทำให้ซ่างกวนซีเกิดความอยากเอาชนะซ่างกวนซีพูดต่อ “อย่ากั๊ก!”ฉินเซียงหรูเข้าไปใกล้ซ่างกวนซี กระซิบข้างหูสองสามคำซ่างกวนซีฟังแล้วขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อย ๆ พอฟังถึงตอนท้ายก็ดูเหมือนจะเห็นด้วย จึงส่ายหน้าอย่างจ
ซ่างกวนซีมองเยี่ยนเว่ยฉืออย่างขุ่นเคือง ขึ้นรถม้าทันที ตอนที่เยี่ยนเว่ยฉือจะขึ้นรถ เขาก็พูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้านั่งตรงที่นั่งสารถี”“หา?” เยี่ยนเว่ยฉือไม่เข้าใจ “ให้ข้าขับหรือ? ข้าขับไม่เป็นนะ!”องครักษ์ชิงโจวรีบพูด “พระชายาไม่ต้องขับ กระหม่อมจะขับเอง”เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้า กำลังจะเดินตามซ่างกวนซีเข้าไปข้างใน ก็ได้ยินซ่างกวนซีพูดต่อ “ข้าให้เจ้านั่งตรงที่นั่งสารถี ในรถไม่มีที่นั่ง!”พรึ่บ… ซ่างกวนซีปิดม่านรถ สาดฝุ่นใส่เยี่ยนเว่ยฉือฉินเซียงหรูในรถม้าเอามือลูบจมูกตามความเคยชิน คิดในใจว่า ‘โชคดีที่ข้าขึ้นมาก่อน ไม่อย่างนั้นตอนนี้ผู้ที่นั่งข้างนอกรับฝุ่นคงเป็นข้า!’เยี่ยนเว่ยฉือไม่เข้าใจอารมณ์ที่แปรปรวนของซ่างกวนซี‘เมื่อกี้ยังดี ๆ อยู่เลย เหตุใดจู่ๆ ถึงทำเหมือนโกรธไปได้?’นางเม้มปาก ไม่เถียงอีกต่อไป อย่างไรการนั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับรถม้า ชมวิวข้างทางก็ดีเหมือนกันส่วนคนสามคนในรถม้าก็เริ่มพูดคุยกันถึงการประลองในวันพรุ่งนี้อวี๋เฟยเหยียนพูดก่อน “ศิษย์พี่ ท่านคิดว่าอ๋องจ่างซิ่นจะออกโจทย์อย่างไร?”ซ่างกวนซีตอบ “ในเมื่อเป็นการประลองบู๊ ส่วนใหญ่คงต้องให้ขยับร่างกาย”อวี๋เฟยเหยียนถอน
ซ่างกวนซีขมวดคิ้ว “ไม่รู้” เขารู้สึกว่าคำถามนี้น่าเบื่อมากอวี๋เฟยเหยียนที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้น “ข้ารู้ ๆ ต้องหลงใหลในรูปร่างหน้าตาของศิษย์พี่ใหญ่แน่นอน”ฉินเซียงหรูก็เห็นด้วย “องค์รัชทายาทสง่างามที่สุดในสองแคว้นสี่นคร ใคร ๆ ก็รู้”เยี่ยนเว่ยฉือส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้าคิดว่าท่านหญิงอิ๋นตางดูไม่เหมือนคนตื้นเขินเช่นนั้น”ทั้งสามคนมองไปที่นางพร้อมกัน รอให้นางอธิบายต่อเยี่ยนเว่ยฉือพูดต่อ “คนเจ้าชู้เช่นเยี่ยนชิงซู ถึงจะถูกรูปร่างหน้าตาขององค์รัชทายาทดึงดูดตั้งแต่แรกเห็น แต่ในใจลึก ๆ ก็คิดว่าหน้าตาดีกินไม่ได้ ดังนั้นนางจึงอยากจะตีสนิทกับองค์รัชทายาท ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากปล่อยมือจากซ่างกวนหลี สายตาที่นางมององค์รัชทายาทเหมือนคนลดความอ้วนเห็นขาหมูพะโล้ อยากกินแต่ไม่กินก็ไม่ตาย!”ซ่างกวนซีเบือนหน้าหนี ไม่อยากดูท่าทางพูดจาเกินจริงของเยี่ยนเว่ยฉือขาหมูพะโล้อะไร เขาหน้าเหมือนขาหมูพะโล้หรือ?“แล้วท่านหญิงอิ๋นตางมิใช่หรือ?” อวี๋เฟยเหยียนถามต่ออย่างสงสัยเยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้า “ถูกต้อง ข้าพบว่าสายตาที่ท่านหญิงอิ๋นตางมององค์รัชทายาท ไม่ใช่ความหลงใหล แต่เป็นความผูกพัน นางชอบองค์รัชทายาทจากใจจริง มิใ
ซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปหานาง "เต๋อซ่วนกงกงอุตส่าห์มาทั้ง ๆ ที่ฝนตก มิเช่นนั้นข้าคงมิให้เจ้าต้องลำบากมาด้วยตนเอง"พูดอีกอย่างก็คือ วันนี้ที่ให้เกียรติก็เพราะเห็นแก่ฝ่าบาท ไม่ใช่ฮองเฮา และยิ่งไม่ใช่เพื่อองค์หญิงเหวินหลิงเยี่ยนเว่ยฉือยิ้มให้องค์หญิงเหวินหลิง จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า วางมือของตนเองบนมือของซ่างกวนซี แล้วนั่งลงด้วยกันจากนั้นเยี่ยนเว่ยฉือก็เอ่ยว่า "เอาล่ะ ข้ามาแล้ว องค์หญิงมีอะไรอยากทำอยากพูดก็รีบทำรีบพูดเถิด ตอนนี้ข้ายังอารมณ์ดีอยู่!"องค์หญิงเหวินหลิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธนางเป็นแก้วตาดวงใจของฝ่าบาทและฮองเฮา เสด็จพี่ทุกคนต่างก็รักใคร่เอ็นดูนาง ไม่เคยต้องลำบากเช่นนี้มาก่อนแต่ใครจะรู้ว่าเยี่ยนเว่ยฉือทำอะไรกับนาง สำนักหมอหลวงทั้งสำนักก็ยังจนปัญญานางคันคะเยอจนแทบจะทนไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน แทบจะข่มตานอนไม่หลับสตรีให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตามากที่สุด นางไม่กล้าเกาแรง ๆ กลัวผิวหนังจะถลอก ได้แต่อดทนไว้ช่วงหลายวันที่ผ่านมา นอกจากกินยานอนหลับแล้วก็แทบจะไม่ได้นอนเลยเมื่อนึกถึงความทุกข์ทรมานที่ตนเองได้รับ องค์หญิงเหวินหลิงก็ข่มความไม่พอใจ
ความจริงแล้วซ่างกวนซีไม่ได้พูดโกหก เมื่อคืนหลังจากทั้งสองคนนอนหลับไปแล้ว เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกไม่สบายตัวเพราะสวมเสื้อตัวนอก จึงดึงทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองตลอดเวลาท่านอนของนางก็ไม่ดี พลิกตัวไปมาในขณะที่ซ่างกวนซีใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบมานาน ทำให้เขาเป็นคนนอนไวดังนั้นเยี่ยนเว่ยฉือจึงทำให้เขาไม่ได้นอนหลับตลอดทั้งคืนด้วยความจนใจ ซ่างกวนซีจึงลุกขึ้นมาช่วยเยี่ยนเว่ยฉือถอดเสื้อตัวนอกออก แล้วรอจนกระทั่งนางหลับสนิท จึงได้นอนพักไปครู่หนึ่งเขาไม่ได้นอนหลับสบาย คิดว่าเยี่ยนเว่ยฉือก็คงจะนอนไม่หลับเช่นกันดังนั้นก่อนจะไปประชุมราชสำนักในวันนี้ ซ่างกวนซีจึงสั่งบ่าวรับใช้ไม่ให้ไปรบกวนการพักผ่อนเยี่ยนเว่ยฉือจากนั้นเขาก็บ่นออกมาลอย ๆ ว่า "ถูกเด็กคนนั้นทำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืน" บ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจผิดไปคิดว่าพระชายาของพวกเขา ถูกองค์รัชทายาททำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืนจึงเป็นที่มาของบทสนทนาเมื่อครู่นี้เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกว่าซ่างกวนซีพูดจาไม่ระวังปาก ช่างเหลวไหลสิ้นดี!เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ทำอะไรเลย พูดราวกับว่านางเคยชินเสียแล้ว น่ารังเกียจ!ดังนั้นเมื่อเยี่ยนเว่ยฉือลุกขึ้นออกจากห้อง
ซ่างกวนซีไม่เคยฝากความหวังไว้กับผู้อื่นการต่อสู้เพียงลำพังมาหลายปี ทำให้เขาเคยชินกับการแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยตัวเองแต่ตอนนี้เมื่อเห็นเยี่ยนเว่ยฉือที่ทั้งโกรธแค้นและมุ่งมั่น เขาก็รู้สึกว่าบางเรื่อง ควรจะเรียนรู้ที่จะแบ่งปันเรื่องน่ายินดีเมื่อพูดออกไป สองคนร่วมยินดีปรีดาเรื่องเศร้าเมื่อพูดออกไป ทั้งสองก็สามารถร่วมแบ่งปันความทุกข์ทำให้ความหวานยิ่งหวานขึ้น ทำให้ความขมลดลงครึ่งหนึ่งซ่างกวนซีลุกขึ้นนั่ง โอบกอดเยี่ยนเว่ยฉือ เขาวางคางไว้บนหูของนาง พูดอย่างอ่อนโยน "ได้ เจ้าช่วยข้า พวกเราจะร่วมกัน ล้างมลทินให้เสด็จแม่ ร่วมกันตามหาน้องสาว"เยี่ยนเว่ยฉือโอบกอดซ่างกวนซีตอบ แล้วพูดต่อ "พวกเราจะร่วมกันถอนพิษให้ท่าน ร่วมกันฉลองวันเกิดอีกหลาย ๆ ปี ร่วมกันกินบะหมี่อายุยืนอีกหลาย ๆ ชาม ใช้ชีวิต…ร่วมกัน"ใช้ชีวิต… ร่วมกัน?ตึกตัก!ตึกตัก!ตึกตัก!ซ่างกวนซีรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนเต้นรัว ความรู้สึกซาบซึ้งใจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กำลังโอบกอดหัวใจที่เคยเย็นชาของเขาทำให้หัวใจทั้งดวงของเขาร้อนรุ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือที่แท้เมื่อใช้ชีวิตร่วมกัน... สามารถทำเรื่องต่าง
"เป็นนางที่ช่วยพวกท่านไว้หรือ?" เยี่ยนเว่ยฉือถามต่อซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "นางเป็นคนดีมาก นางมัดน้องสาวของข้าไว้แนบอก แบกลูกสาวตัวน้อยของนางไว้บนหลัง แล้วก็จูงมือข้า พยายามหลบหนี แต่นางเป็นเพียงสตรี ทั้งยังต้องดูแลเด็กถึงสามคน จะวิ่งหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน? แม้ว่าพวกเราจะพยายามอย่างสุดกำลังแล้ว ก็ยังถูกพวกมือสังหารไล่ตามทัน มือสังหารถือหน้าไม้ ดูท่าทางจะไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิต นางส่งน้องสาวคืนให้ข้า ให้ข้าอุ้มนางแล้ววิ่งไปข้างหน้าโดยไม่ต้องหันกลับมามอง ส่วนนางก็พาลูกสาวตัวน้อยของนาง ถ่วงเวลาพวกมือสังหาร""แต่พวกมือสังหารเห็นได้ชัดว่ามุ่งเป้ามาที่ข้า พวกเขาถูกฮูหยินผู้นั้นรั้งตัวไว้ ไม่สามารถไล่ตามมาได้ จึงยิงหน้าไม้มาที่ข้า ลูกธนูดอกแรกยิงพลาด ไม่ได้คร่าชีวิตข้า เพียงแต่เฉี่ยวแขนของข้าไป เมื่อเห็นว่าลูกธนูดอกที่สองกำลังจะพุ่งเข้าใส่หน้าอก ฮูหยินผู้นั้นก็รีบวิ่งเข้ามา โอบกอดข้าแล้วกลิ้งลงไปจากเนินเขาด้วยกัน หลบการโจมตีที่ถึงชีวิตได้""แล้วอย่างไรต่อ? พวกท่านหนีรอดมาได้หรือไม่? ทุกคนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?" เยี่ยนเว่ยฉือถามด้วยความเป็นห่วงซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "หลังจากกลิ้งลงมาจา
เยี่ยนเว่ยฉือรู้ว่า เรื่องเลวร้ายจะต้องเกิดขึ้นระหว่างทางกลับเมืองหลวงเป็นแน่แต่มันเกี่ยวอะไรกับความตะกละ?นางรออย่างใจเย็นให้ซ่างกวนซีพูดต่อไป“เสด็จแม่ทรงทราบว่า ในวังหน้าวังหลัง มีคนมากมายที่ไม่ต้องการให้พวกเราแม่ลูกมีที่ยืน ต่างก็หาวิธีที่จะกำจัดพวกเราให้พ้นทาง เพื่อจะได้เข้ามายึดครองตำแหน่งของเรา ดังนั้นตอนที่ไป พวกเราจึงปิดบังกำหนดการเดินทางตลอดทาง เดินทางทั้งวันทั้งคืน มิได้เปิดโอกาสให้ใครลงมือได้เลย แต่ระหว่างทางกลับ ก็บังเอิญเจอกับเทศกาลตวนอู่ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของข้า”ซ่างกวนซีถอนหายใจ จับมือเยี่ยนเว่ยฉือแน่นขึ้นเขาพูดต่อ “ในวันคล้ายวันเกิดทุกปี เสด็จแม่จะผูกด้ายมงคลให้ข้าด้วยพระองค์เอง และต้มบะหมี่อายุยืนให้ข้าหนึ่งชาม แม้ว่าเสด็จพ่อจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ข้าอย่างยิ่งใหญ่ มีขุนนางมาร่วมงานกันมากมาย แต่สิ่งที่ข้าชอบที่สุด ก็คือบะหมี่อายุยืนที่เสด็จแม่ทำด้วยพระองค์เอง ก็เพราะบะหมี่อายุยืนชามนี้นี่เอง ที่ทำให้พวกเราแม่ลูกต้องแยกจากกันตลอดกาล”จากคำบรรยายของซ่างกวนซีขบวนเสด็จของฮองเฮากลับวังหลวง ใช้เวลาเดินทางสองวันหนึ่งคืนในช่วงเย็นของวันตวนอู่ พวกเขาเดินทางมา
ซ่างกวนซีคาดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะถามคำถามเช่นนี้ออกมาชั่วขณะหนึ่งสมองของเขาแทบจะหยุดทำงานเด็กคนนี้...ช่างทำให้คนไปไม่เป็นเก่งเสียจริงการยั่วเย้าคนโดยไม่แสดงออก นับว่าเป็นเสน่ห์ที่สะกดหัวใจที่สุดกระมัง?ซ่างกวนซีอยากจะพูดต่อ แต่เมื่อเห็นปิ่นหางหงส์ ก็พลันตระหนักถึงภาระหน้าที่บนบ่าและวันตายที่ไม่อาจรู้ได้เขาไม่อยากดึงเยี่ยนเว่ยฉือเข้ามาในวังวนนี้แต่ก็ไม่อยากผลักไสนางออกไปโดยง่ายช่างเถอะ ทนอีกหน่อยแล้วกันบางทีพรุ่งนี้เขาอาจจะหามัจฉาทองคำจิ่วหยางเจอก็ได้?ซ่างกวนซีจับมือเยี่ยนเว่ยฉือขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “เว่ยฉือ ข้าติดค้างคำขอโทษเจ้า”“ขอโทษ?” เยี่ยนเว่ยฉืองุนงงซ่างกวนซีพยักหน้า “วันเทศกาลตวนอู่ ข้าไม่ควรจะทำอาหารที่เจ้าอุตส่าห์เตรียมอย่างตั้งใจพัง ข้าผิดเอง”ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “ฝ่าบาทไม่ได้ชดเชยให้ข้าในวันรุ่งขึ้นแล้วหรือ ข้าไม่ได้ใส่ใจแล้ว”ซ่างกวนซีดึงนางลงไปนอนด้วยกัน โอบกอดนางเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “ที่ข้าไม่กินอะไรในวันตวนอู่ ก็เพราะว่าเมื่อสิบหกปีก่อน เป็นเพราะความตะกละของข้าเอง ทำให้เสด็จแม่ของข้าต้องสิ้นพระชนม์ และทำให้น้องสาวที่เพิ่งเ
ซ่างกวนซีจ้องมองเยี่ยนเว่ยฉืออย่างแน่วแน่ เห็นหน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็วเพราะความตื่นเต้น และเห็นว่านางหน้าแดงจนถึงลำคอเพราะความเขินอายเขารู้สึกได้ถึงร่างกายของนางที่สั่นเล็กน้อย และดูเหมือนจะได้กลิ่นหอมที่เย้ายวนจากร่างของนางประตูแห่งร่างกาย เชิญเขาเข้าไปเป็นแขกเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่?ซ่างกวนซีกำมือแน่น อดไม่ได้ที่จะถามตามความต้องการของเยี่ยนเว่ยฉือ "เช่นนั้น... ข้าต้องเคาะประตูอย่างไร?"เยี่ยนเว่ยฉือเงยหน้ามองซ่างกวนซี ดวงตาเผยความขุ่นเคืองเล็กน้อยนี่ต้องให้นางสอนด้วยหรือ?ก่อนหน้านี้... ก่อนหน้านี้ที่ใต้เตียงในหอวสันต์อนันตกาล เขา... เขาก็ทำได้ดีนี่นาเยี่ยนเว่ยฉือเบือนหน้าหนีอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ถูกซ่างกวนซีจับคางไว้ซ่างกวนซีจับใบหน้าของนางให้หันกลับมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็โน้มตัวลง จุมพิตลงไปเยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง ขนตายาวสั่นระริก ราวกับหัวใจของนางที่เต้นรัวอย่างไม่เป็นส่ำหลังจากจูบอย่างแผ่วเบา ซ่างกวนซีก็เงยหน้าขึ้น มองนางอย่างอ่อนโยน "เช่นนี้หรือ?"ฟืด…เยี่ยนเว่ยฉือสูดลมหายใจเข้าลึก ร่างกายแทบจะละลายสัมผัสที่ใกล้ชิดเช่นเดี
แม้ว่าท่าทางของซ่างกวนซีจะดูดุร้ายแต่เยี่ยนเว่ยฉือกลับรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเพราะสิ่งที่นางกังวลก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเลยซ่างกวนซีไม่ได้ระแวงนาง ไม่ได้รู้สึกว่านางเป็นปีศาจ และไม่ได้โลภอยากได้กำไลข้อมือของนางเขาแค่กังวลว่านางจะดึงดูดความสนใจของคนอื่น เพราะของล้ำค่าอาจนำมาซึ่งภัยพิบัติถึงชีวิตเยี่ยนเว่ยฉือมองซ่างกวนซีนิ่งๆ แล้วก็ยิ้มออกมา “ฝ่าบาท ท่านช่างดีเหลือเกินเพคะ!”ซ่างกวนซีชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วเบือนหน้าหนี “พูดจาดี ๆ ก็ไม่ได้ผล ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าใช้ก็คือไม่อนุญาต!”เยี่ยนเว่ยฉือปีนขึ้นไปหาซ่างกวนซีทันที เข้าไปใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ใช้ต่อหน้าคนอื่น ใช้เฉพาะต่อหน้าฝ่าบาทเท่านั้น”การเข้าใกล้อย่างกะทันหัน ทำให้ซ่างกวนซีเอนหลังโดยไม่รู้ตัว เกือบจะหงายตกจากเตียงเยี่ยนเว่ยฉือเห็นท่าทางลนลานของเขา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ คิดในใจว่า ‘ข้ายังนึกว่าเขาเก่งกาจ ที่แท้ก็แค่เสือกระดาษ ฮึ รู้จักแต่ขู่ข้า!’เยี่ยนเว่ยฉือผูกเชือกที่กระโปรงไปด้วย มองเขาอย่างขี้เล่นไปด้วยซ่างกวนซีถูกสายตาที่แฝงไปด้วยความเย้าหยอกนั้นมองจนรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อยเขาจึงก
ซ่างกวนซีซ่างกวนซียื่นมือออกไป ลูบคลำกำไลนั้นเบาๆ แล้วถามต่อ "เจ้าหมายความว่า เจ้าสามารถเก็บของทุกอย่างไว้ในกำไลนี้ได้?"เยี่ยนเว่ยฉือเบะปาก พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ "ฝ่าบาท ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ ข้าจะค่อย ๆ อธิบายให้ท่านฟัง ดีหรือไม่?"ซ่างกวนซีลังเลเล็กน้อย "ปล่อยเจ้าแล้ว เจ้าก็จะพูดจาเหลวไหลอีก!"เยี่ยนเว่ยฉือพองแก้ม "ถ้าข้าพูดโกหก ท่านก็มัดข้าอีกครั้งสิ พูดด้วยท่าทางเช่นนี้... มันน่าอายเกินไป"เยี่ยนเว่ยฉือไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าร่างกายของนางจะหลุดออกมาจากเสื้อตัวในแม้ว่าจะเคยนอนเตียงเดียวกับซ่างกวนซีหลายครั้งแล้ว แต่ในความทรงจำของนาง นางก็สวมเสื้อผ้าครบถ้วน ไม่เคย... ไม่เคยเปิดเผยเรือนร่างต่อเขาซ่างกวนซีเห็นท่าทางน่าสงสารของนางก็อดใจอ่อนไม่ได้เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็แก้สายรัดเอวที่ข้อมือของเยี่ยนเว่ยฉือออกเยี่ยนเว่ยฉือได้รับอิสระก็รีบดึงสาบเสื้อเข้าหากัน แล้วหลบไปที่มุมเตียงซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเด็กสาวคนนี้ ตอนหลับก็ถอดเสื้อผ้าตัวเอง โผเข้าหาอ้อมกอดเขาตอนตื่นกลับระแวดระวัง ป้องกันตัวราวกับจะผลักไสคนให้ออกไปให้ไกลไม่รู้จริง ๆ ว่านางคิดอะไรอ