ซ่างกวนหลีตระหนักดีว่า ในอดีตสมัยที่อันกั๋วกงและอ๋องจ่างซิ่นต่างปรารถนาจะยกน้องสาวของตนให้อภิเษกสมรสกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันน้องสาวของอันกั๋วกงเชื่อฟังคำสั่งของพี่ชาย จึงได้ขึ้นมาเป็นฮองเฮาในปัจจุบัน ซึ่งก็คือพระมารดาของซ่างกวนหลีทว่าน้องสาวของอ๋องจ่างซิ่นชื่อท่านหญิงหมิงหยาง กลับร้องไห้โวยวายจะผูกคอตาย หากไม่ได้แต่งงานกับเยี่ยนหานซานเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ซ่างกวนหลีก็ยิ้มแย้มด้วยความรู้สึกขอบคุณท่านหญิงหมิงหยางที่โปรดปรานบุรุษรูปงามมากกว่า ไม่เช่นนั้น หากท่านหญิงหมิงหยางมีโอรสขึ้นมา อ๋องจ่างซิ่นคงไม่ช่วยเหลือเขาเป็นแน่เมื่อคิดได้ดังนี้ ซ่างกวนหลีก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้สึกว่าตนนั้นโชคดีนักขณะที่องค์ชายทั้งสองกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่นั้น องค์ชายสามแห่งแคว้นเป่ยอิ้น อวี้ฉืออวิ๋นจ้าว และองค์หญิงห้าแห่งแคว้นเป่ยอิ้น อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นก็มาถึงแล้วทั้งสองไม่ได้นั่งรถม้า แต่ขี่ม้ามาอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวลงจากหลังม้า เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าซ่างกวนซี แล้วกล่าวว่า "ข้า อวี้ฉืออวิ๋นจ้าว องค์ชายสามแห่งแคว้นเป่ยอิ้น คารวะองค์รัชทายาทแห่งแคว้นต้าหลี่"ซ่างกวนซีตอบอย่างสุภาพ "องค์ชายสามไม่ต้องม
อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นถาม "พระชายาองค์รัชทายาทตรัสเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไรกันแน่?"เยี่ยนเว่ยฉือยังคงยิ้มแย้ม "องค์หญิงคงจะไม่ทราบ คนเรากินข้าวเป็นอาหาร ย่อมต้องมีบ้างที่เจ็บป่วย คำโบราณกล่าวไว้ว่า 'โรคเล็กน้อยไม่ขาด โรคร้ายแรงไม่เกิด' คนเราย่อมมีโรคภัยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่รักษาไม่หาย ต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต เช่น โรคเท้า โรคผมร่วง หรือโรคน้ำตาไหลเมื่อโดนลม โรคเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการดำรงชีวิตหรืออายุขัย"อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นมองเยี่ยนเว่ยฉือแล้วยิ้มเย็น "ตามที่เจ้าว่า พิษในกายขององค์รัชทายาทจะรักษาหรือไม่รักษา ก็ไม่เป็นปัญหางั้นสิ? เช่นนั้น ยาถอนพิษชั้นดีที่ข้านำมาก็ไร้ประโยชน์น่ะหรือ?"เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม "องค์หญิงตรัสเช่นนี้ได้อย่างไร ยาดี ๆ ย่อมมีประโยชน์ หากองค์รัชทายาทไม่ได้ใช้ ก็มอบให้ผู้อื่นที่ต้องการได้ แคว้นต้าหลี่ของเรากว้างใหญ่ไพศาล ประชากรมากมาย ย่อมมีผู้ที่ต้องการรับความหวังดีจากฝ่าบาทแคว้นท่าน ส่วนความหวังดีนี้ จวนรัชทายาทของพวกเราขอรับไว้เพียงในใจ ไม่อาจแย่งชิงยารักษาโรคของผู้อื่นเพื่อสนองความต้องการของตนเอง องค์หญิงคิดเช่นนั้นหรือไม่?"อวี้ฉืออว
สิ้นคำ องค์ชายและองค์หญิงแห่งแคว้นเป่ยอิ้น รวมถึงขุนนางและองครักษ์แห่งแคว้นต้าหลี่ ต่างก็หันไปมองม้าที่อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นนั่งอยู่ม้าตัวนี้มีขนสีขาวปลอดทั้งตัว มีเพียงแค่กีบเท้าทั้งสี่ที่เป็นสีดำสนิท ดวงตาทั้งสองข้างเป็นสีฟ้าซ่างกวนหลีผู้ยืนอยู่ด้านข้างร้องด้วยความประหลาดใจ "นี่คือ... ม้าอ้าวเสวี่ยชั้นดีของแคว้นเป่ยอิ้นนี่?"อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นเผยรอยยิ้มหวานละไมให้กับซ่างกวนหลี "องค์ชายรองช่างรอบรู้ ม้าอ้าวเสวี่ยมีเพียงแค่ในแคว้นเป่ยอิ้นเท่านั้น ม้าตัวนี้หนึ่งวันสามารถเดินทางได้พันลี้ เมื่อวิ่งอยู่บนหิมะก็ยิ่งราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากแล่ง เร็วที่สุดในใต้หล้า"ผู้ใดที่ฝึกฝนวรยุทธ์ ย่อมหลงใหลในอาชาซ่างกวนหลีและซ่างกวนเจวี๋ยต่างก็ถูกดึงดูดด้วยม้าตัวนี้ซ่างกวนเจวี๋ยเอ่ยขึ้น "ได้ยินมาว่าม้าอ้าวเสวี่ยนี้ แม้แต่ในแคว้นเป่ยอิ้นก็หาได้ยากยิ่ง ต้องคัดเลือกจากม้าป่าหลายพันตัวจึงจะพบเจอสักตัว ทั้งยังฝึกยากอีกด้วย เห็นองค์หญิงประทับม้าอ้าวเสวี่ยได้เช่นนี้ คงจะมีฝีมือในการขี่ม้ายิงธนูเป็นเลิศ"อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นยิ้มอย่างภาคภูไม่ใจ "องค์ชายสี่ชมเกินไปแล้ว ข้าเพียงมีวาสนาต่อม้าตัวนี้เท่านั้น แต่ถึง
"เอาแต่ใจ?" เยี่ยนเว่ยฉือชี้นิ้วไปที่ม้าตัวนั้น พูดด้วยน้ำเสียงติดตลก "ข้าจะเอาแต่ใจยิ่งกว่ามันได้อย่างไร?"เยี่ยนเว่ยฉือกล่าวพลางเดินไปที่ม้าของซ่างกวนหลี ลูบหัวม้าเบาๆ แล้วพูดต่อ "ม้าแคว้นต้าหลี่ของพวกเรา แม้จะไม่มีชื่อเสียงพอให้โอ้อวด แต่ทุกตัวล้วนเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านาย องค์ชายรองเห็นด้วยหรือไม่? ไม่เหมือนม้าของแคว้นเป่ยอิ้น หากไม่มีคนจูงก็ไม่ยอมเดิน"ซ่างกวนหลีเม้มปาก ไม่ตอบโต้เยี่ยนเว่ยฉือเยี่ยนเว่ยฉือไม่ได้ใส่ใจ แต่หันไปมองอวี้ฉืออวิ๋นจิ่น แล้วพูดต่อ "เอ๊ะ? เมื่อครู่ข้าได้ยินองค์หญิงตรัสว่าม้าอ้าวเสวี่ยวิ่งในหิมะราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากแล่ง แปลกจริง หรือว่าเวลาออกรบ ก็ต้องมีคนที่วิ่งเร็วราวกับลูกธนูมาจูงมันวิ่ง? หากแคว้นเป่ยอิ้นมีบุคคลที่เก่งกาจเช่นนั้น องค์หญิงจะนั่งบนหลังม้าไปทำไมกัน? นั่งบนหัวคนผู้นั้นไม่ดีกว่าหรือ?""ใช่แล้ว บอกว่าไม่มีคนจูงก็ไม่ยอมเดิน เช่นนั้นเวลาออกรบก็ต้องหาคนจูงหรือ?" อวี๋เฟยเหยียนพูดเสริม"เสียมารยาท!" อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวตวาด "องค์รัชทายาท พวกเรามีเจตนาดี นำม้าอ้าวเสวี่ยที่หายากมาให้ เหตุใดเพียงเพราะพระชายาเอาแต่ใจเพียงคนเดียว ถึงกับต้องปฏิเสธไมตร
ซ่างกวนซีขึ้นนั่งบนหลังม้า แล้วยื่นมือไปยังเยี่ยนเว่ยฉือเยี่ยนเว่ยฉือวางมือบนฝ่ามือใหญ่ของเขา ซ่างกวนซีออกแรงดึงเยี่ยนเว่ยฉือเข้าสู่อ้อมแขน ให้นั่งบนหลังม้าเคียงข้างเขาอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นเห็นว่าซ่างกวนซีผู้มีรูปโฉมงดงามโปรดปรานพระชายาของเขายิ่งนัก ก็อดไม่ได้ที่จะริษยานางกระชับบังเหียนม้า ดูเหมือนว่าแม้ม้าอ้าวเสวี่ยจะต้องสิ้นใจอยู่หน้าประตูเมือง นางก็จะไม่ยอมให้มันก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียวอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวผู้ยืนอยู่ด้านข้างก็เริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจซ่างกวนซียืนกรานไม่ยอมให้ใครจูงม้า เช่นนั้นพวกเขาก็จะไม่เข้าเมืองจริง ๆ หรือ?แล้วจะบรรลุเป้าหมายในการเดินทางมาครั้งนี้ได้อย่างไร?แต่หากยอมแพ้ในตอนนี้ เดินเข้าเมืองไปเอง ก็คงจะเสียหน้ายิ่งนักขณะที่อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวลังเล ไม่ทราบว่าจะตัดสินใจเช่นไร ซ่างกวนซีก็พาคนอื่น ๆ มุ่งหน้าเข้าเมืองไปแล้วซ่างกวนหลีและซ่างกวนเจวี๋ยสบตากัน แล้วก็ตามซ่างกวนซีเข้าเมืองไปแม้พวกเขาจะอยากเห็นซ่างกวนซีขายหน้า แต่พวกเขาก็เป็นถึงองค์ชายแห่งแคว้นต้าหลี่ ไม่อาจทำให้แคว้นเสียหน้าในการเจรจาระหว่างประเทศได้เมื่อเห็นว่าคนของแคว้นต้าหลี่เข้าเมืองไปหมดแล้ว
ม้าสองตัว ตัวหนึ่งสีดำ ตัวหนึ่งสีขาว ตัวหนึ่งอยู่ข้างหน้า ตัวหนึ่งอยู่ข้างหลัง ตัวหนึ่งอยู่บน ตัวหนึ่งอยู่ล่าง‘นี่... นี่มันกำลังทำอะไรกัน?’ทุกคนตื่นตระหนก ตะลึงงันเยี่ยนเว่ยฉือนั่งอยู่บนหลังม้า เอ่ยขึ้น "โอ๊ะ ฝ่าบาท ดูสิ ม้าของแคว้นเป่ยอิ๋นชอบม้าศึกของแคว้นต้าหลีาเรามากเลย! ฤดูใบไม้ผลิช่างเป็นฤดูที่เหมาะสมแก่การ... สืบพันธุ์เสียจริง!"ซ่างกวนซีก็ตะลึงงันกับภาพตรงหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือ เขาก็ได้สติ หลุบตาลงมองนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงระอา "อย่าพูดจาเหลวไหล!"ทุกคนคิดว่าซ่างกวนซีจะตำหนิเยี่ยนเว่ยฉือที่พูดจาไม่เหมาะสมแต่เขากลับกล่าวต่อว่า "ตอนนี้เดือนห้าแล้ว ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปนานแล้ว"ทุกคนอึ้ง "...."‘นี่เป็นประเด็นสำคัญหรือ?’เยี่ยนเว่ยฉือเห็นว่าซ่างกวนซีไม่ได้ตำหนินาง จึงรีบยิ้มตอบ "ใช่ ๆ ๆ ท่านกล่าวถูกต้อง ยามนี้เป็นฤดูร้อน แต่ฤดูร้อนก็เป็นฤดูที่ดีเช่นกัน อากาศร้อน อารมณ์ยิ่งพลุ่งพล่าน ยากที่จะควบคุมเป็นเรื่องธรรมดา""ฮ่า ๆ ๆ! ฮ่า ๆ ๆ!"อวี๋เฟยเหยียนอดหัวเราะไม่ได้ "ข้าไม่เคยเห็นม้าที่หื่นกระหายเช่นนี้มาก่อน เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีของเจ้านายยังไม่ท
ซ่างกวนซีควบม้าออกไปอย่างช้าๆ พลางถามด้วยเสียงแผ่วเบา "ม้าจะกลับเป็นปกติเมื่อไร?"เยี่ยนเว่ยฉือตอบ "นั่นเป็นยาสำหรับคน ข้ายังไม่เคยใช้กับม้า คนกินแล้วยังตื่นตัวอยู่สองสามวัน ม้าตัวใหญ่ขนาดนั้น คงใช้เวลาประมาณหนึ่งวันยาจึงจะหมดฤทธิ์!"ซ่างกวนซีนำมือที่ปิดตาเยี่ยนเว่ยฉือออก แล้วบีบต้นคอของนางเบาๆ บังคับให้นางหันมามองตนเยี่ยนเว่ยฉือกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงงซ่างกวนซีขมวดคิ้ว "ยาสำหรับคน? สำหรับใคร?"เยี่ยนเว่ยฉือชะงักค้างนางจะบอกได้อย่างไรว่าเตรียมไว้สำหรับเขา?ครั้งก่อน ฉินเซียงหรูใช้ตำราลับ "ห้องหอวสันตฤดู" ปลุกเร้าไฟปรารถนาในกายของซ่างกวนซีนางจึงคิดมาตลอดว่าจะใช้สิ่งใดมาปลุกเร้าไฟปรารถนาในกายของเขาได้บ้างแต่สิ่งนี้ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย นางจึงยังไม่ได้ลงมือ เป็นเพียงความคิดคร่าว ๆ เท่านั้นตอนนี้มาถูกถามเช่นนี้...เอ่อ...เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มแห้ง "ไม่... ไม่ได้ทำไว้สำหรับผู้ใดทั้งนั้น ข้าแค่อยากทำไปขายที่หอหงซิ่ว! บุรุษที่หอหงซิ่วล้วนไร้น้ำยา ของดี ๆ เช่นนี้ หากนำไปขาย ย่อมทำให้ต้นไม้แก่แตกใบใหม่ ต้นไม้เหี่ยวแห้งออกดอกผล ได้เงินทองมามากมาย!"ซ่างกวนซีเคาะศีรษะเยี่ยนเว่ย
อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นกล่าวต่อ "แต่หมากแต่ละตัวก็มีความแตกต่างกัน บางตัวเป็นเพียงหมากไร้ค่า แต่บางตัวสามารถกำหนดชัยชนะได้ ดังคำกล่าวที่ว่า 'วางหมากผิดตาเดียว เสียทั้งกระดาน' เสด็จพี่สามคงเข้าใจความหมายนี้ดี"อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวพยักหน้า เห็นด้วยกับน้องสาว"เช่นนั้น เจ้าจงบอกมา เหตุใดเจ้าจึงจะเปลี่ยนแผนการ? ข้าให้เจ้าแต่งงานกับองค์ชายผู้ที่มีอำนาจที่สุดในแคว้นต้าหลี่ก็เพื่อวันข้างหน้า หากข้าต้องสู้รบกับพี่รองและน้องเจ็ด ก็จะได้มีกำลังใจ มีโอกาสชนะมากขึ้น"อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นเดินไปหาอวี้ฉืออวิ๋นจ้าว ค่อย ๆ นั่งลงบนตักของเขา กอดคอเขาไว้ แล้วกล่าวต่อ "เสด็จพี่สามก็กล่าวเองมิใช่หรือว่า ผู้ที่มีอำนาจที่สุด แต่ในความคิดของข้า ซ่างกวนหลีอาจจะไม่ใช่ผู้อำนาจที่สุดก็ได้"อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวสงสัย "ซ่างกวนหลีเป็นโอรสของฝ่าบาทแคว้นต้าหลี่ที่มีมารดาเป็นถึงฮองเฮา ลุงเป็นถึงอันกั๋วกง ผู้เป็นใหญ่ในหมู่ขุนนาง ในราชสำนักนี้ ใครเล่าจะมีอำนาจยิ่งกว่าเขา? แม้ว่าซ่างกวนซีจะเป็นองค์รัชทายาท แต่มารดาก็มีชาติกำเนิดต่ำต้อย และอดีตฮองเฮาก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว เขาไม่มีอำนาจจากฝ่ายใดมาช่วยเหลือ ในราชสำนักก็ไม่มีขุนนางคนใดสนับสนุน
ซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปหานาง "เต๋อซ่วนกงกงอุตส่าห์มาทั้ง ๆ ที่ฝนตก มิเช่นนั้นข้าคงมิให้เจ้าต้องลำบากมาด้วยตนเอง"พูดอีกอย่างก็คือ วันนี้ที่ให้เกียรติก็เพราะเห็นแก่ฝ่าบาท ไม่ใช่ฮองเฮา และยิ่งไม่ใช่เพื่อองค์หญิงเหวินหลิงเยี่ยนเว่ยฉือยิ้มให้องค์หญิงเหวินหลิง จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า วางมือของตนเองบนมือของซ่างกวนซี แล้วนั่งลงด้วยกันจากนั้นเยี่ยนเว่ยฉือก็เอ่ยว่า "เอาล่ะ ข้ามาแล้ว องค์หญิงมีอะไรอยากทำอยากพูดก็รีบทำรีบพูดเถิด ตอนนี้ข้ายังอารมณ์ดีอยู่!"องค์หญิงเหวินหลิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธนางเป็นแก้วตาดวงใจของฝ่าบาทและฮองเฮา เสด็จพี่ทุกคนต่างก็รักใคร่เอ็นดูนาง ไม่เคยต้องลำบากเช่นนี้มาก่อนแต่ใครจะรู้ว่าเยี่ยนเว่ยฉือทำอะไรกับนาง สำนักหมอหลวงทั้งสำนักก็ยังจนปัญญานางคันคะเยอจนแทบจะทนไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน แทบจะข่มตานอนไม่หลับสตรีให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตามากที่สุด นางไม่กล้าเกาแรง ๆ กลัวผิวหนังจะถลอก ได้แต่อดทนไว้ช่วงหลายวันที่ผ่านมา นอกจากกินยานอนหลับแล้วก็แทบจะไม่ได้นอนเลยเมื่อนึกถึงความทุกข์ทรมานที่ตนเองได้รับ องค์หญิงเหวินหลิงก็ข่มความไม่พอใจ
ความจริงแล้วซ่างกวนซีไม่ได้พูดโกหก เมื่อคืนหลังจากทั้งสองคนนอนหลับไปแล้ว เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกไม่สบายตัวเพราะสวมเสื้อตัวนอก จึงดึงทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองตลอดเวลาท่านอนของนางก็ไม่ดี พลิกตัวไปมาในขณะที่ซ่างกวนซีใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบมานาน ทำให้เขาเป็นคนนอนไวดังนั้นเยี่ยนเว่ยฉือจึงทำให้เขาไม่ได้นอนหลับตลอดทั้งคืนด้วยความจนใจ ซ่างกวนซีจึงลุกขึ้นมาช่วยเยี่ยนเว่ยฉือถอดเสื้อตัวนอกออก แล้วรอจนกระทั่งนางหลับสนิท จึงได้นอนพักไปครู่หนึ่งเขาไม่ได้นอนหลับสบาย คิดว่าเยี่ยนเว่ยฉือก็คงจะนอนไม่หลับเช่นกันดังนั้นก่อนจะไปประชุมราชสำนักในวันนี้ ซ่างกวนซีจึงสั่งบ่าวรับใช้ไม่ให้ไปรบกวนการพักผ่อนเยี่ยนเว่ยฉือจากนั้นเขาก็บ่นออกมาลอย ๆ ว่า "ถูกเด็กคนนั้นทำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืน" บ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจผิดไปคิดว่าพระชายาของพวกเขา ถูกองค์รัชทายาททำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืนจึงเป็นที่มาของบทสนทนาเมื่อครู่นี้เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกว่าซ่างกวนซีพูดจาไม่ระวังปาก ช่างเหลวไหลสิ้นดี!เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ทำอะไรเลย พูดราวกับว่านางเคยชินเสียแล้ว น่ารังเกียจ!ดังนั้นเมื่อเยี่ยนเว่ยฉือลุกขึ้นออกจากห้อง
ซ่างกวนซีไม่เคยฝากความหวังไว้กับผู้อื่นการต่อสู้เพียงลำพังมาหลายปี ทำให้เขาเคยชินกับการแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยตัวเองแต่ตอนนี้เมื่อเห็นเยี่ยนเว่ยฉือที่ทั้งโกรธแค้นและมุ่งมั่น เขาก็รู้สึกว่าบางเรื่อง ควรจะเรียนรู้ที่จะแบ่งปันเรื่องน่ายินดีเมื่อพูดออกไป สองคนร่วมยินดีปรีดาเรื่องเศร้าเมื่อพูดออกไป ทั้งสองก็สามารถร่วมแบ่งปันความทุกข์ทำให้ความหวานยิ่งหวานขึ้น ทำให้ความขมลดลงครึ่งหนึ่งซ่างกวนซีลุกขึ้นนั่ง โอบกอดเยี่ยนเว่ยฉือ เขาวางคางไว้บนหูของนาง พูดอย่างอ่อนโยน "ได้ เจ้าช่วยข้า พวกเราจะร่วมกัน ล้างมลทินให้เสด็จแม่ ร่วมกันตามหาน้องสาว"เยี่ยนเว่ยฉือโอบกอดซ่างกวนซีตอบ แล้วพูดต่อ "พวกเราจะร่วมกันถอนพิษให้ท่าน ร่วมกันฉลองวันเกิดอีกหลาย ๆ ปี ร่วมกันกินบะหมี่อายุยืนอีกหลาย ๆ ชาม ใช้ชีวิต…ร่วมกัน"ใช้ชีวิต… ร่วมกัน?ตึกตัก!ตึกตัก!ตึกตัก!ซ่างกวนซีรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนเต้นรัว ความรู้สึกซาบซึ้งใจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กำลังโอบกอดหัวใจที่เคยเย็นชาของเขาทำให้หัวใจทั้งดวงของเขาร้อนรุ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือที่แท้เมื่อใช้ชีวิตร่วมกัน... สามารถทำเรื่องต่าง
"เป็นนางที่ช่วยพวกท่านไว้หรือ?" เยี่ยนเว่ยฉือถามต่อซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "นางเป็นคนดีมาก นางมัดน้องสาวของข้าไว้แนบอก แบกลูกสาวตัวน้อยของนางไว้บนหลัง แล้วก็จูงมือข้า พยายามหลบหนี แต่นางเป็นเพียงสตรี ทั้งยังต้องดูแลเด็กถึงสามคน จะวิ่งหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน? แม้ว่าพวกเราจะพยายามอย่างสุดกำลังแล้ว ก็ยังถูกพวกมือสังหารไล่ตามทัน มือสังหารถือหน้าไม้ ดูท่าทางจะไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิต นางส่งน้องสาวคืนให้ข้า ให้ข้าอุ้มนางแล้ววิ่งไปข้างหน้าโดยไม่ต้องหันกลับมามอง ส่วนนางก็พาลูกสาวตัวน้อยของนาง ถ่วงเวลาพวกมือสังหาร""แต่พวกมือสังหารเห็นได้ชัดว่ามุ่งเป้ามาที่ข้า พวกเขาถูกฮูหยินผู้นั้นรั้งตัวไว้ ไม่สามารถไล่ตามมาได้ จึงยิงหน้าไม้มาที่ข้า ลูกธนูดอกแรกยิงพลาด ไม่ได้คร่าชีวิตข้า เพียงแต่เฉี่ยวแขนของข้าไป เมื่อเห็นว่าลูกธนูดอกที่สองกำลังจะพุ่งเข้าใส่หน้าอก ฮูหยินผู้นั้นก็รีบวิ่งเข้ามา โอบกอดข้าแล้วกลิ้งลงไปจากเนินเขาด้วยกัน หลบการโจมตีที่ถึงชีวิตได้""แล้วอย่างไรต่อ? พวกท่านหนีรอดมาได้หรือไม่? ทุกคนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?" เยี่ยนเว่ยฉือถามด้วยความเป็นห่วงซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "หลังจากกลิ้งลงมาจา
เยี่ยนเว่ยฉือรู้ว่า เรื่องเลวร้ายจะต้องเกิดขึ้นระหว่างทางกลับเมืองหลวงเป็นแน่แต่มันเกี่ยวอะไรกับความตะกละ?นางรออย่างใจเย็นให้ซ่างกวนซีพูดต่อไป“เสด็จแม่ทรงทราบว่า ในวังหน้าวังหลัง มีคนมากมายที่ไม่ต้องการให้พวกเราแม่ลูกมีที่ยืน ต่างก็หาวิธีที่จะกำจัดพวกเราให้พ้นทาง เพื่อจะได้เข้ามายึดครองตำแหน่งของเรา ดังนั้นตอนที่ไป พวกเราจึงปิดบังกำหนดการเดินทางตลอดทาง เดินทางทั้งวันทั้งคืน มิได้เปิดโอกาสให้ใครลงมือได้เลย แต่ระหว่างทางกลับ ก็บังเอิญเจอกับเทศกาลตวนอู่ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของข้า”ซ่างกวนซีถอนหายใจ จับมือเยี่ยนเว่ยฉือแน่นขึ้นเขาพูดต่อ “ในวันคล้ายวันเกิดทุกปี เสด็จแม่จะผูกด้ายมงคลให้ข้าด้วยพระองค์เอง และต้มบะหมี่อายุยืนให้ข้าหนึ่งชาม แม้ว่าเสด็จพ่อจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ข้าอย่างยิ่งใหญ่ มีขุนนางมาร่วมงานกันมากมาย แต่สิ่งที่ข้าชอบที่สุด ก็คือบะหมี่อายุยืนที่เสด็จแม่ทำด้วยพระองค์เอง ก็เพราะบะหมี่อายุยืนชามนี้นี่เอง ที่ทำให้พวกเราแม่ลูกต้องแยกจากกันตลอดกาล”จากคำบรรยายของซ่างกวนซีขบวนเสด็จของฮองเฮากลับวังหลวง ใช้เวลาเดินทางสองวันหนึ่งคืนในช่วงเย็นของวันตวนอู่ พวกเขาเดินทางมา
ซ่างกวนซีคาดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะถามคำถามเช่นนี้ออกมาชั่วขณะหนึ่งสมองของเขาแทบจะหยุดทำงานเด็กคนนี้...ช่างทำให้คนไปไม่เป็นเก่งเสียจริงการยั่วเย้าคนโดยไม่แสดงออก นับว่าเป็นเสน่ห์ที่สะกดหัวใจที่สุดกระมัง?ซ่างกวนซีอยากจะพูดต่อ แต่เมื่อเห็นปิ่นหางหงส์ ก็พลันตระหนักถึงภาระหน้าที่บนบ่าและวันตายที่ไม่อาจรู้ได้เขาไม่อยากดึงเยี่ยนเว่ยฉือเข้ามาในวังวนนี้แต่ก็ไม่อยากผลักไสนางออกไปโดยง่ายช่างเถอะ ทนอีกหน่อยแล้วกันบางทีพรุ่งนี้เขาอาจจะหามัจฉาทองคำจิ่วหยางเจอก็ได้?ซ่างกวนซีจับมือเยี่ยนเว่ยฉือขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “เว่ยฉือ ข้าติดค้างคำขอโทษเจ้า”“ขอโทษ?” เยี่ยนเว่ยฉืองุนงงซ่างกวนซีพยักหน้า “วันเทศกาลตวนอู่ ข้าไม่ควรจะทำอาหารที่เจ้าอุตส่าห์เตรียมอย่างตั้งใจพัง ข้าผิดเอง”ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “ฝ่าบาทไม่ได้ชดเชยให้ข้าในวันรุ่งขึ้นแล้วหรือ ข้าไม่ได้ใส่ใจแล้ว”ซ่างกวนซีดึงนางลงไปนอนด้วยกัน โอบกอดนางเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “ที่ข้าไม่กินอะไรในวันตวนอู่ ก็เพราะว่าเมื่อสิบหกปีก่อน เป็นเพราะความตะกละของข้าเอง ทำให้เสด็จแม่ของข้าต้องสิ้นพระชนม์ และทำให้น้องสาวที่เพิ่งเ
ซ่างกวนซีจ้องมองเยี่ยนเว่ยฉืออย่างแน่วแน่ เห็นหน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็วเพราะความตื่นเต้น และเห็นว่านางหน้าแดงจนถึงลำคอเพราะความเขินอายเขารู้สึกได้ถึงร่างกายของนางที่สั่นเล็กน้อย และดูเหมือนจะได้กลิ่นหอมที่เย้ายวนจากร่างของนางประตูแห่งร่างกาย เชิญเขาเข้าไปเป็นแขกเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่?ซ่างกวนซีกำมือแน่น อดไม่ได้ที่จะถามตามความต้องการของเยี่ยนเว่ยฉือ "เช่นนั้น... ข้าต้องเคาะประตูอย่างไร?"เยี่ยนเว่ยฉือเงยหน้ามองซ่างกวนซี ดวงตาเผยความขุ่นเคืองเล็กน้อยนี่ต้องให้นางสอนด้วยหรือ?ก่อนหน้านี้... ก่อนหน้านี้ที่ใต้เตียงในหอวสันต์อนันตกาล เขา... เขาก็ทำได้ดีนี่นาเยี่ยนเว่ยฉือเบือนหน้าหนีอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ถูกซ่างกวนซีจับคางไว้ซ่างกวนซีจับใบหน้าของนางให้หันกลับมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็โน้มตัวลง จุมพิตลงไปเยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง ขนตายาวสั่นระริก ราวกับหัวใจของนางที่เต้นรัวอย่างไม่เป็นส่ำหลังจากจูบอย่างแผ่วเบา ซ่างกวนซีก็เงยหน้าขึ้น มองนางอย่างอ่อนโยน "เช่นนี้หรือ?"ฟืด…เยี่ยนเว่ยฉือสูดลมหายใจเข้าลึก ร่างกายแทบจะละลายสัมผัสที่ใกล้ชิดเช่นเดี
แม้ว่าท่าทางของซ่างกวนซีจะดูดุร้ายแต่เยี่ยนเว่ยฉือกลับรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเพราะสิ่งที่นางกังวลก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเลยซ่างกวนซีไม่ได้ระแวงนาง ไม่ได้รู้สึกว่านางเป็นปีศาจ และไม่ได้โลภอยากได้กำไลข้อมือของนางเขาแค่กังวลว่านางจะดึงดูดความสนใจของคนอื่น เพราะของล้ำค่าอาจนำมาซึ่งภัยพิบัติถึงชีวิตเยี่ยนเว่ยฉือมองซ่างกวนซีนิ่งๆ แล้วก็ยิ้มออกมา “ฝ่าบาท ท่านช่างดีเหลือเกินเพคะ!”ซ่างกวนซีชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วเบือนหน้าหนี “พูดจาดี ๆ ก็ไม่ได้ผล ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าใช้ก็คือไม่อนุญาต!”เยี่ยนเว่ยฉือปีนขึ้นไปหาซ่างกวนซีทันที เข้าไปใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ใช้ต่อหน้าคนอื่น ใช้เฉพาะต่อหน้าฝ่าบาทเท่านั้น”การเข้าใกล้อย่างกะทันหัน ทำให้ซ่างกวนซีเอนหลังโดยไม่รู้ตัว เกือบจะหงายตกจากเตียงเยี่ยนเว่ยฉือเห็นท่าทางลนลานของเขา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ คิดในใจว่า ‘ข้ายังนึกว่าเขาเก่งกาจ ที่แท้ก็แค่เสือกระดาษ ฮึ รู้จักแต่ขู่ข้า!’เยี่ยนเว่ยฉือผูกเชือกที่กระโปรงไปด้วย มองเขาอย่างขี้เล่นไปด้วยซ่างกวนซีถูกสายตาที่แฝงไปด้วยความเย้าหยอกนั้นมองจนรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อยเขาจึงก
ซ่างกวนซีซ่างกวนซียื่นมือออกไป ลูบคลำกำไลนั้นเบาๆ แล้วถามต่อ "เจ้าหมายความว่า เจ้าสามารถเก็บของทุกอย่างไว้ในกำไลนี้ได้?"เยี่ยนเว่ยฉือเบะปาก พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ "ฝ่าบาท ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ ข้าจะค่อย ๆ อธิบายให้ท่านฟัง ดีหรือไม่?"ซ่างกวนซีลังเลเล็กน้อย "ปล่อยเจ้าแล้ว เจ้าก็จะพูดจาเหลวไหลอีก!"เยี่ยนเว่ยฉือพองแก้ม "ถ้าข้าพูดโกหก ท่านก็มัดข้าอีกครั้งสิ พูดด้วยท่าทางเช่นนี้... มันน่าอายเกินไป"เยี่ยนเว่ยฉือไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าร่างกายของนางจะหลุดออกมาจากเสื้อตัวในแม้ว่าจะเคยนอนเตียงเดียวกับซ่างกวนซีหลายครั้งแล้ว แต่ในความทรงจำของนาง นางก็สวมเสื้อผ้าครบถ้วน ไม่เคย... ไม่เคยเปิดเผยเรือนร่างต่อเขาซ่างกวนซีเห็นท่าทางน่าสงสารของนางก็อดใจอ่อนไม่ได้เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็แก้สายรัดเอวที่ข้อมือของเยี่ยนเว่ยฉือออกเยี่ยนเว่ยฉือได้รับอิสระก็รีบดึงสาบเสื้อเข้าหากัน แล้วหลบไปที่มุมเตียงซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเด็กสาวคนนี้ ตอนหลับก็ถอดเสื้อผ้าตัวเอง โผเข้าหาอ้อมกอดเขาตอนตื่นกลับระแวดระวัง ป้องกันตัวราวกับจะผลักไสคนให้ออกไปให้ไกลไม่รู้จริง ๆ ว่านางคิดอะไรอ