ซ่างกวนซีขึ้นนั่งบนหลังม้า แล้วยื่นมือไปยังเยี่ยนเว่ยฉือเยี่ยนเว่ยฉือวางมือบนฝ่ามือใหญ่ของเขา ซ่างกวนซีออกแรงดึงเยี่ยนเว่ยฉือเข้าสู่อ้อมแขน ให้นั่งบนหลังม้าเคียงข้างเขาอวี้ฉืออวิ๋นจิ่นเห็นว่าซ่างกวนซีผู้มีรูปโฉมงดงามโปรดปรานพระชายาของเขายิ่งนัก ก็อดไม่ได้ที่จะริษยานางกระชับบังเหียนม้า ดูเหมือนว่าแม้ม้าอ้าวเสวี่ยจะต้องสิ้นใจอยู่หน้าประตูเมือง นางก็จะไม่ยอมให้มันก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียวอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวผู้ยืนอยู่ด้านข้างก็เริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจซ่างกวนซียืนกรานไม่ยอมให้ใครจูงม้า เช่นนั้นพวกเขาก็จะไม่เข้าเมืองจริง ๆ หรือ?แล้วจะบรรลุเป้าหมายในการเดินทางมาครั้งนี้ได้อย่างไร?แต่หากยอมแพ้ในตอนนี้ เดินเข้าเมืองไปเอง ก็คงจะเสียหน้ายิ่งนักขณะที่อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวลังเล ไม่ทราบว่าจะตัดสินใจเช่นไร ซ่างกวนซีก็พาคนอื่น ๆ มุ่งหน้าเข้าเมืองไปแล้วซ่างกวนหลีและซ่างกวนเจวี๋ยสบตากัน แล้วก็ตามซ่างกวนซีเข้าเมืองไปแม้พวกเขาจะอยากเห็นซ่างกวนซีขายหน้า แต่พวกเขาก็เป็นถึงองค์ชายแห่งแคว้นต้าหลี่ ไม่อาจทำให้แคว้นเสียหน้าในการเจรจาระหว่างประเทศได้เมื่อเห็นว่าคนของแคว้นต้าหลี่เข้าเมืองไปหมดแล้ว
ม้าสองตัว ตัวหนึ่งสีดำ ตัวหนึ่งสีขาว ตัวหนึ่งอยู่ข้างหน้า ตัวหนึ่งอยู่ข้างหลัง ตัวหนึ่งอยู่บน ตัวหนึ่งอยู่ล่าง‘นี่... นี่มันกำลังทำอะไรกัน?’ทุกคนตื่นตระหนก ตะลึงงันเยี่ยนเว่ยฉือนั่งอยู่บนหลังม้า เอ่ยขึ้น "โอ๊ะ ฝ่าบาท ดูสิ ม้าของแคว้นเป่ยอิ๋นชอบม้าศึกของแคว้นต้าหลีาเรามากเลย! ฤดูใบไม้ผลิช่างเป็นฤดูที่เหมาะสมแก่การ... สืบพันธุ์เสียจริง!"ซ่างกวนซีก็ตะลึงงันกับภาพตรงหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือ เขาก็ได้สติ หลุบตาลงมองนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงระอา "อย่าพูดจาเหลวไหล!"ทุกคนคิดว่าซ่างกวนซีจะตำหนิเยี่ยนเว่ยฉือที่พูดจาไม่เหมาะสมแต่เขากลับกล่าวต่อว่า "ตอนนี้เดือนห้าแล้ว ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปนานแล้ว"ทุกคนอึ้ง "...."‘นี่เป็นประเด็นสำคัญหรือ?’เยี่ยนเว่ยฉือเห็นว่าซ่างกวนซีไม่ได้ตำหนินาง จึงรีบยิ้มตอบ "ใช่ ๆ ๆ ท่านกล่าวถูกต้อง ยามนี้เป็นฤดูร้อน แต่ฤดูร้อนก็เป็นฤดูที่ดีเช่นกัน อากาศร้อน อารมณ์ยิ่งพลุ่งพล่าน ยากที่จะควบคุมเป็นเรื่องธรรมดา""ฮ่า ๆ ๆ! ฮ่า ๆ ๆ!"อวี๋เฟยเหยียนอดหัวเราะไม่ได้ "ข้าไม่เคยเห็นม้าที่หื่นกระหายเช่นนี้มาก่อน เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีของเจ้านายยังไม่ท
ซ่างกวนซีควบม้าออกไปอย่างช้าๆ พลางถามด้วยเสียงแผ่วเบา "ม้าจะกลับเป็นปกติเมื่อไร?"เยี่ยนเว่ยฉือตอบ "นั่นเป็นยาสำหรับคน ข้ายังไม่เคยใช้กับม้า คนกินแล้วยังตื่นตัวอยู่สองสามวัน ม้าตัวใหญ่ขนาดนั้น คงใช้เวลาประมาณหนึ่งวันยาจึงจะหมดฤทธิ์!"ซ่างกวนซีนำมือที่ปิดตาเยี่ยนเว่ยฉือออก แล้วบีบต้นคอของนางเบาๆ บังคับให้นางหันมามองตนเยี่ยนเว่ยฉือกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงงซ่างกวนซีขมวดคิ้ว "ยาสำหรับคน? สำหรับใคร?"เยี่ยนเว่ยฉือชะงักค้างนางจะบอกได้อย่างไรว่าเตรียมไว้สำหรับเขา?ครั้งก่อน ฉินเซียงหรูใช้ตำราลับ "ห้องหอวสันตฤดู" ปลุกเร้าไฟปรารถนาในกายของซ่างกวนซีนางจึงคิดมาตลอดว่าจะใช้สิ่งใดมาปลุกเร้าไฟปรารถนาในกายของเขาได้บ้างแต่สิ่งนี้ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย นางจึงยังไม่ได้ลงมือ เป็นเพียงความคิดคร่าว ๆ เท่านั้นตอนนี้มาถูกถามเช่นนี้...เอ่อ...เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มแห้ง "ไม่... ไม่ได้ทำไว้สำหรับผู้ใดทั้งนั้น ข้าแค่อยากทำไปขายที่หอหงซิ่ว! บุรุษที่หอหงซิ่วล้วนไร้น้ำยา ของดี ๆ เช่นนี้ หากนำไปขาย ย่อมทำให้ต้นไม้แก่แตกใบใหม่ ต้นไม้เหี่ยวแห้งออกดอกผล ได้เงินทองมามากมาย!"ซ่างกวนซีเคาะศีรษะเยี่ยนเว่ย
อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นกล่าวต่อ "แต่หมากแต่ละตัวก็มีความแตกต่างกัน บางตัวเป็นเพียงหมากไร้ค่า แต่บางตัวสามารถกำหนดชัยชนะได้ ดังคำกล่าวที่ว่า 'วางหมากผิดตาเดียว เสียทั้งกระดาน' เสด็จพี่สามคงเข้าใจความหมายนี้ดี"อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวพยักหน้า เห็นด้วยกับน้องสาว"เช่นนั้น เจ้าจงบอกมา เหตุใดเจ้าจึงจะเปลี่ยนแผนการ? ข้าให้เจ้าแต่งงานกับองค์ชายผู้ที่มีอำนาจที่สุดในแคว้นต้าหลี่ก็เพื่อวันข้างหน้า หากข้าต้องสู้รบกับพี่รองและน้องเจ็ด ก็จะได้มีกำลังใจ มีโอกาสชนะมากขึ้น"อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นเดินไปหาอวี้ฉืออวิ๋นจ้าว ค่อย ๆ นั่งลงบนตักของเขา กอดคอเขาไว้ แล้วกล่าวต่อ "เสด็จพี่สามก็กล่าวเองมิใช่หรือว่า ผู้ที่มีอำนาจที่สุด แต่ในความคิดของข้า ซ่างกวนหลีอาจจะไม่ใช่ผู้อำนาจที่สุดก็ได้"อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวสงสัย "ซ่างกวนหลีเป็นโอรสของฝ่าบาทแคว้นต้าหลี่ที่มีมารดาเป็นถึงฮองเฮา ลุงเป็นถึงอันกั๋วกง ผู้เป็นใหญ่ในหมู่ขุนนาง ในราชสำนักนี้ ใครเล่าจะมีอำนาจยิ่งกว่าเขา? แม้ว่าซ่างกวนซีจะเป็นองค์รัชทายาท แต่มารดาก็มีชาติกำเนิดต่ำต้อย และอดีตฮองเฮาก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว เขาไม่มีอำนาจจากฝ่ายใดมาช่วยเหลือ ในราชสำนักก็ไม่มีขุนนางคนใดสนับสนุน
อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นมองไปยังอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวแล้วกล่าวว่า “เสด็จพี่สามพิจารณาเถิด องค์รัชทายาทซ่างกวนซี สูญเสียอำนาจในวัยเยาว์ ไม่มีวงศ์สกุลทางมารดาค้ำจุน ในขณะนั้น เขาโดดเดี่ยวไร้ผู้ช่วยเหลือ ผู้คนมากมายต่างหมายปองบัลลังก์รัชทายาท ฝ่าบาทแห่งแคว้นต้าหลี่ เพื่อคุ้มครองพระโอรส จึงได้แพร่กระจายข่าวลวง เพื่อให้ฝ่ายต่างๆ ลดความระแวง และละทิ้งการลอบปลงพระชนม์ ปล่อยให้เขาดำรงอยู่ต่อไป ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลยเสียหน่อย”อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวประหลาดใจยิ่งนัก จึงถามว่า “ความหมายของเจ้าคือ นี่เป็นเพียงกลอุบายของฝ่าบาทแห่งแคว้นต้าหลี่ เพื่อคุ้มครองซ่างกวนซีเท่านั้นหรือ?”อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นพยักหน้า กล่าวว่า “ข้าก็เพียงแต่คาดคะเนเช่นนั้น”อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้เห็นพ้องกับความคิดของอวี้ฉืออวิ๋นจิ่น แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นแล้ว เรามาลองทดสอบเขาดูเถิด!”“ความหมายของเสด็จพี่สามคือ ลองทดสอบดูว่าเขาถูกพิษจริงหรือไม่เช่นนั้นหรือ?”อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวพยักหน้า กล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว ข้ายังจำพิษกู่เย็นได้ แม้จะมีคำว่า ‘เย็น’ แต่พิษนี้กลับกลัวสิ่งที่หนาวเย็น ครั้งนี้ที่เราม
เยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง หัวใจเต้นระรัวเหตุใดอวี๋เฟยเหยียนจึงฉลาดขึ้นกะทันหันเช่นนี้?และแล้วก็เป็นดังที่คาดการณ์ไว้ เมื่ออวี๋เฟยเหยียนพูดจบ ซ่างกวนซีและฉินเซียงหรูที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารก็หันมามองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยสายตาสงสัยเยี่ยนเว่ยฉือกะพริบตาปริบๆ รีบอธิบาย "ข้า... ข้าซ่อนไว้ในแขนเสื้อต่างหากเล่า"ฉินเซียงหรูยิ้มจาง ๆ เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อแม้ว่าอาภรณ์จะมีกระเป๋าที่แขนเสื้อก็จริง แต่ชุดที่เยี่ยนเว่ยฉือสวมในวันนี้เป็นชุดทางการของพระชายา ซึ่งไม่มีกระเป๋ายิ่งไปกว่านั้น ต่อให้มี เยี่ยนเว่ยฉือจะรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้คนของแคว้นเป่ยอิ๋นจะมาหาเรื่อง?นางจะรู้ได้อย่างไรว่าคนของแคว้นเป่ยอิ๋นจะนำม้าที่ไม่ชอบเข้าเมืองด้วยตนเองมาด้วย?เมื่อไม่รู้ แล้วจะเตรียมผงยาไว้ในแขนเสื้อล่วงหน้าได้อย่างไร?ฟังไม่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่การรู้แล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้ เป็นเรื่องที่ดีงามฉินเซียงหรูจึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารต่อส่วนซ่างกวนซีนั้นแตกต่างออกไป แม้ว่าเขาจะไม่ถามเยี่ยนเว่ยฉือต่อหน้าคนอื่นแต่เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน "ไม่ยักรู้ว่าเจ้ารอบคอบ คาดการณ์เหตุการณ์ล
ชิงโจวส่ายหน้า "ดูเหมือนจะไม่ใช่ เขาวนเวียนอยู่แถวนั้น ไม่ได้ปิดบังตัวตน และก็ไม่รู้สึกถึงจิตสังหาร ยิ่งไปกว่านั้น เขาดูเหมือนจะบาดเจ็บ เดินเหินช้า ๆ สีหน้าซีดเซียว"ซ่างกวนซีเคาะโต๊ะเบา ๆ ไม่แน่ใจว่าลู่อู๋มาทำอะไรแต่เขาวนเวียนอยู่แถวนี้ และก่อนหน้านี้ก็เคยพยายามลอบสังหารเยี่ยนเว่ยฉือในเมื่อมาถึงที่แล้ว จะปล่อยไปได้อย่างไร?ซ่างกวนซีตรัสสั่ง "จับตัวมาสอบสวน!""พ่ะย่ะค่ะ!"ชิงโจวเพิ่งจะออกไป ไม่ถึงครึ่งถ้วยชาก็มารายงานอีกครั้งซ่างกวนซีตรัสถามด้วยความประหลาดใจ "ลู่อู๋บาดเจ็บสาหัสหรือ? เจ้าถึงจับตัวได้เร็วเช่นนี้?"อย่างไรเขาก็เป็นถึงมือสังหารอันดับสี่ในบัญชีอู๋ซินชิงโจวหัวเราะแห้ง ๆ "ฝ่าบาท ไม่ต้องจับแล้วขอรับ เขามาเคาะประตูเอง ตอนนี้ไปที่ห้องโถงใหญ่ พบกับพระชายาแล้ว"ซ่างกวนซีขมวดคิ้ว แล้วก็เดินไปยังห้องโถงใหญ่เยี่ยนเว่ยฉือเกือบลืมเรื่องของลู่อู๋ไปแล้วไม่คิดว่าเขาจะกล้ามาที่จวนรัชทายาทอย่างเปิดเผย เพื่อมาขอรับยาถอนพิษจากนางเมื่อคิดว่าเรื่องนี้ต้องทำให้ซ่างกวนซีโกรธแน่ เยี่ยนเว่ยฉือก็รู้สึกปวดหัวพอหันไปมองฉินเซียงหรูที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ข้าง ๆ เยี่ยนเว่ยฉือก็ยิ่งปวด
"เอ่อ เพราะว่า..." ลู่อู๋มองซ่างกวนซี ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร จึงได้แต่หันไปขอความช่วยเหลือจากเยี่ยนเว่ยฉืออีกครั้งเยี่ยนเว่ยฉือก็รู้สึกว่าปัญหายิ่งยากขึ้นเรื่อย ๆซ่างกวนซีเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ นั่งลงบนบัลลังก์ มองเยี่ยนเว่ยฉืออย่างใจเย็น แล้วเอ่ยถาม "เพราะเหตุใด?"ลู่อู๋มองเยี่ยนเว่ยฉือ "เพราะว่า...""ข้าถามเจ้า เจ้าจ้องมองพระชายาด้วยเหตุใด?" ซ่างกวนซีตรัสถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาลู่อู๋มีสีหน้าลำบากใจ เขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรหากพูดความจริง ก็คงจะทำให้เยี่ยนเว่ยฉือขุ่นเคือง ตอนนี้ชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของเยี่ยนเว่ยฉือ เขาจะกล้าทำให้นางขุ่นเคืองได้อย่างไร?แต่หากไม่พูดความจริง วันนี้เขาจะออกจากจวนรัชทายาทได้หรือ?ลู่อู๋ยังคงอ้ำอึ้ง "เพราะว่า...""เพราะเขาอยากให้ข้าทำหน้าที่แม่สื่อ!" เยี่ยนเว่ยฉือกล่าวออกมา ทำเอาทุกคนตกตะลึง"อะ... อะไรนะ?" อวี๋เฟยเหยียนเบิกตากว้าง มองเยี่ยนเว่ยฉือฉินเซียงหรูก็ตกตะลึง ถ้วยชาในมือเกือบหลุดซ่างกวนซีขมวดคิ้ว มองเยี่ยนเว่ยฉือที่กำลังพูดจาเหลวไหลเยี่ยนเว่ยฉือใช้ศอกกระทุ้งลู่อู๋ "รีบพูดสิ ใช่หรือไม่?"ลู่อู๋รู้สึกว่าไม่มีทางเลือก จึงได้แต่พยักหน
ซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปหานาง "เต๋อซ่วนกงกงอุตส่าห์มาทั้ง ๆ ที่ฝนตก มิเช่นนั้นข้าคงมิให้เจ้าต้องลำบากมาด้วยตนเอง"พูดอีกอย่างก็คือ วันนี้ที่ให้เกียรติก็เพราะเห็นแก่ฝ่าบาท ไม่ใช่ฮองเฮา และยิ่งไม่ใช่เพื่อองค์หญิงเหวินหลิงเยี่ยนเว่ยฉือยิ้มให้องค์หญิงเหวินหลิง จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า วางมือของตนเองบนมือของซ่างกวนซี แล้วนั่งลงด้วยกันจากนั้นเยี่ยนเว่ยฉือก็เอ่ยว่า "เอาล่ะ ข้ามาแล้ว องค์หญิงมีอะไรอยากทำอยากพูดก็รีบทำรีบพูดเถิด ตอนนี้ข้ายังอารมณ์ดีอยู่!"องค์หญิงเหวินหลิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธนางเป็นแก้วตาดวงใจของฝ่าบาทและฮองเฮา เสด็จพี่ทุกคนต่างก็รักใคร่เอ็นดูนาง ไม่เคยต้องลำบากเช่นนี้มาก่อนแต่ใครจะรู้ว่าเยี่ยนเว่ยฉือทำอะไรกับนาง สำนักหมอหลวงทั้งสำนักก็ยังจนปัญญานางคันคะเยอจนแทบจะทนไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน แทบจะข่มตานอนไม่หลับสตรีให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตามากที่สุด นางไม่กล้าเกาแรง ๆ กลัวผิวหนังจะถลอก ได้แต่อดทนไว้ช่วงหลายวันที่ผ่านมา นอกจากกินยานอนหลับแล้วก็แทบจะไม่ได้นอนเลยเมื่อนึกถึงความทุกข์ทรมานที่ตนเองได้รับ องค์หญิงเหวินหลิงก็ข่มความไม่พอใจ
ความจริงแล้วซ่างกวนซีไม่ได้พูดโกหก เมื่อคืนหลังจากทั้งสองคนนอนหลับไปแล้ว เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกไม่สบายตัวเพราะสวมเสื้อตัวนอก จึงดึงทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองตลอดเวลาท่านอนของนางก็ไม่ดี พลิกตัวไปมาในขณะที่ซ่างกวนซีใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบมานาน ทำให้เขาเป็นคนนอนไวดังนั้นเยี่ยนเว่ยฉือจึงทำให้เขาไม่ได้นอนหลับตลอดทั้งคืนด้วยความจนใจ ซ่างกวนซีจึงลุกขึ้นมาช่วยเยี่ยนเว่ยฉือถอดเสื้อตัวนอกออก แล้วรอจนกระทั่งนางหลับสนิท จึงได้นอนพักไปครู่หนึ่งเขาไม่ได้นอนหลับสบาย คิดว่าเยี่ยนเว่ยฉือก็คงจะนอนไม่หลับเช่นกันดังนั้นก่อนจะไปประชุมราชสำนักในวันนี้ ซ่างกวนซีจึงสั่งบ่าวรับใช้ไม่ให้ไปรบกวนการพักผ่อนเยี่ยนเว่ยฉือจากนั้นเขาก็บ่นออกมาลอย ๆ ว่า "ถูกเด็กคนนั้นทำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืน" บ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจผิดไปคิดว่าพระชายาของพวกเขา ถูกองค์รัชทายาททำให้วุ่นวายไปครึ่งค่อนคืนจึงเป็นที่มาของบทสนทนาเมื่อครู่นี้เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกว่าซ่างกวนซีพูดจาไม่ระวังปาก ช่างเหลวไหลสิ้นดี!เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ทำอะไรเลย พูดราวกับว่านางเคยชินเสียแล้ว น่ารังเกียจ!ดังนั้นเมื่อเยี่ยนเว่ยฉือลุกขึ้นออกจากห้อง
ซ่างกวนซีไม่เคยฝากความหวังไว้กับผู้อื่นการต่อสู้เพียงลำพังมาหลายปี ทำให้เขาเคยชินกับการแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยตัวเองแต่ตอนนี้เมื่อเห็นเยี่ยนเว่ยฉือที่ทั้งโกรธแค้นและมุ่งมั่น เขาก็รู้สึกว่าบางเรื่อง ควรจะเรียนรู้ที่จะแบ่งปันเรื่องน่ายินดีเมื่อพูดออกไป สองคนร่วมยินดีปรีดาเรื่องเศร้าเมื่อพูดออกไป ทั้งสองก็สามารถร่วมแบ่งปันความทุกข์ทำให้ความหวานยิ่งหวานขึ้น ทำให้ความขมลดลงครึ่งหนึ่งซ่างกวนซีลุกขึ้นนั่ง โอบกอดเยี่ยนเว่ยฉือ เขาวางคางไว้บนหูของนาง พูดอย่างอ่อนโยน "ได้ เจ้าช่วยข้า พวกเราจะร่วมกัน ล้างมลทินให้เสด็จแม่ ร่วมกันตามหาน้องสาว"เยี่ยนเว่ยฉือโอบกอดซ่างกวนซีตอบ แล้วพูดต่อ "พวกเราจะร่วมกันถอนพิษให้ท่าน ร่วมกันฉลองวันเกิดอีกหลาย ๆ ปี ร่วมกันกินบะหมี่อายุยืนอีกหลาย ๆ ชาม ใช้ชีวิต…ร่วมกัน"ใช้ชีวิต… ร่วมกัน?ตึกตัก!ตึกตัก!ตึกตัก!ซ่างกวนซีรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนเต้นรัว ความรู้สึกซาบซึ้งใจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กำลังโอบกอดหัวใจที่เคยเย็นชาของเขาทำให้หัวใจทั้งดวงของเขาร้อนรุ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคำพูดของเยี่ยนเว่ยฉือที่แท้เมื่อใช้ชีวิตร่วมกัน... สามารถทำเรื่องต่าง
"เป็นนางที่ช่วยพวกท่านไว้หรือ?" เยี่ยนเว่ยฉือถามต่อซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "นางเป็นคนดีมาก นางมัดน้องสาวของข้าไว้แนบอก แบกลูกสาวตัวน้อยของนางไว้บนหลัง แล้วก็จูงมือข้า พยายามหลบหนี แต่นางเป็นเพียงสตรี ทั้งยังต้องดูแลเด็กถึงสามคน จะวิ่งหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน? แม้ว่าพวกเราจะพยายามอย่างสุดกำลังแล้ว ก็ยังถูกพวกมือสังหารไล่ตามทัน มือสังหารถือหน้าไม้ ดูท่าทางจะไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิต นางส่งน้องสาวคืนให้ข้า ให้ข้าอุ้มนางแล้ววิ่งไปข้างหน้าโดยไม่ต้องหันกลับมามอง ส่วนนางก็พาลูกสาวตัวน้อยของนาง ถ่วงเวลาพวกมือสังหาร""แต่พวกมือสังหารเห็นได้ชัดว่ามุ่งเป้ามาที่ข้า พวกเขาถูกฮูหยินผู้นั้นรั้งตัวไว้ ไม่สามารถไล่ตามมาได้ จึงยิงหน้าไม้มาที่ข้า ลูกธนูดอกแรกยิงพลาด ไม่ได้คร่าชีวิตข้า เพียงแต่เฉี่ยวแขนของข้าไป เมื่อเห็นว่าลูกธนูดอกที่สองกำลังจะพุ่งเข้าใส่หน้าอก ฮูหยินผู้นั้นก็รีบวิ่งเข้ามา โอบกอดข้าแล้วกลิ้งลงไปจากเนินเขาด้วยกัน หลบการโจมตีที่ถึงชีวิตได้""แล้วอย่างไรต่อ? พวกท่านหนีรอดมาได้หรือไม่? ทุกคนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?" เยี่ยนเว่ยฉือถามด้วยความเป็นห่วงซ่างกวนซีส่ายหน้าเล็กน้อย "หลังจากกลิ้งลงมาจา
เยี่ยนเว่ยฉือรู้ว่า เรื่องเลวร้ายจะต้องเกิดขึ้นระหว่างทางกลับเมืองหลวงเป็นแน่แต่มันเกี่ยวอะไรกับความตะกละ?นางรออย่างใจเย็นให้ซ่างกวนซีพูดต่อไป“เสด็จแม่ทรงทราบว่า ในวังหน้าวังหลัง มีคนมากมายที่ไม่ต้องการให้พวกเราแม่ลูกมีที่ยืน ต่างก็หาวิธีที่จะกำจัดพวกเราให้พ้นทาง เพื่อจะได้เข้ามายึดครองตำแหน่งของเรา ดังนั้นตอนที่ไป พวกเราจึงปิดบังกำหนดการเดินทางตลอดทาง เดินทางทั้งวันทั้งคืน มิได้เปิดโอกาสให้ใครลงมือได้เลย แต่ระหว่างทางกลับ ก็บังเอิญเจอกับเทศกาลตวนอู่ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของข้า”ซ่างกวนซีถอนหายใจ จับมือเยี่ยนเว่ยฉือแน่นขึ้นเขาพูดต่อ “ในวันคล้ายวันเกิดทุกปี เสด็จแม่จะผูกด้ายมงคลให้ข้าด้วยพระองค์เอง และต้มบะหมี่อายุยืนให้ข้าหนึ่งชาม แม้ว่าเสด็จพ่อจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ข้าอย่างยิ่งใหญ่ มีขุนนางมาร่วมงานกันมากมาย แต่สิ่งที่ข้าชอบที่สุด ก็คือบะหมี่อายุยืนที่เสด็จแม่ทำด้วยพระองค์เอง ก็เพราะบะหมี่อายุยืนชามนี้นี่เอง ที่ทำให้พวกเราแม่ลูกต้องแยกจากกันตลอดกาล”จากคำบรรยายของซ่างกวนซีขบวนเสด็จของฮองเฮากลับวังหลวง ใช้เวลาเดินทางสองวันหนึ่งคืนในช่วงเย็นของวันตวนอู่ พวกเขาเดินทางมา
ซ่างกวนซีคาดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะถามคำถามเช่นนี้ออกมาชั่วขณะหนึ่งสมองของเขาแทบจะหยุดทำงานเด็กคนนี้...ช่างทำให้คนไปไม่เป็นเก่งเสียจริงการยั่วเย้าคนโดยไม่แสดงออก นับว่าเป็นเสน่ห์ที่สะกดหัวใจที่สุดกระมัง?ซ่างกวนซีอยากจะพูดต่อ แต่เมื่อเห็นปิ่นหางหงส์ ก็พลันตระหนักถึงภาระหน้าที่บนบ่าและวันตายที่ไม่อาจรู้ได้เขาไม่อยากดึงเยี่ยนเว่ยฉือเข้ามาในวังวนนี้แต่ก็ไม่อยากผลักไสนางออกไปโดยง่ายช่างเถอะ ทนอีกหน่อยแล้วกันบางทีพรุ่งนี้เขาอาจจะหามัจฉาทองคำจิ่วหยางเจอก็ได้?ซ่างกวนซีจับมือเยี่ยนเว่ยฉือขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “เว่ยฉือ ข้าติดค้างคำขอโทษเจ้า”“ขอโทษ?” เยี่ยนเว่ยฉืองุนงงซ่างกวนซีพยักหน้า “วันเทศกาลตวนอู่ ข้าไม่ควรจะทำอาหารที่เจ้าอุตส่าห์เตรียมอย่างตั้งใจพัง ข้าผิดเอง”ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “ฝ่าบาทไม่ได้ชดเชยให้ข้าในวันรุ่งขึ้นแล้วหรือ ข้าไม่ได้ใส่ใจแล้ว”ซ่างกวนซีดึงนางลงไปนอนด้วยกัน โอบกอดนางเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “ที่ข้าไม่กินอะไรในวันตวนอู่ ก็เพราะว่าเมื่อสิบหกปีก่อน เป็นเพราะความตะกละของข้าเอง ทำให้เสด็จแม่ของข้าต้องสิ้นพระชนม์ และทำให้น้องสาวที่เพิ่งเ
ซ่างกวนซีจ้องมองเยี่ยนเว่ยฉืออย่างแน่วแน่ เห็นหน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็วเพราะความตื่นเต้น และเห็นว่านางหน้าแดงจนถึงลำคอเพราะความเขินอายเขารู้สึกได้ถึงร่างกายของนางที่สั่นเล็กน้อย และดูเหมือนจะได้กลิ่นหอมที่เย้ายวนจากร่างของนางประตูแห่งร่างกาย เชิญเขาเข้าไปเป็นแขกเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่?ซ่างกวนซีกำมือแน่น อดไม่ได้ที่จะถามตามความต้องการของเยี่ยนเว่ยฉือ "เช่นนั้น... ข้าต้องเคาะประตูอย่างไร?"เยี่ยนเว่ยฉือเงยหน้ามองซ่างกวนซี ดวงตาเผยความขุ่นเคืองเล็กน้อยนี่ต้องให้นางสอนด้วยหรือ?ก่อนหน้านี้... ก่อนหน้านี้ที่ใต้เตียงในหอวสันต์อนันตกาล เขา... เขาก็ทำได้ดีนี่นาเยี่ยนเว่ยฉือเบือนหน้าหนีอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ถูกซ่างกวนซีจับคางไว้ซ่างกวนซีจับใบหน้าของนางให้หันกลับมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็โน้มตัวลง จุมพิตลงไปเยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง ขนตายาวสั่นระริก ราวกับหัวใจของนางที่เต้นรัวอย่างไม่เป็นส่ำหลังจากจูบอย่างแผ่วเบา ซ่างกวนซีก็เงยหน้าขึ้น มองนางอย่างอ่อนโยน "เช่นนี้หรือ?"ฟืด…เยี่ยนเว่ยฉือสูดลมหายใจเข้าลึก ร่างกายแทบจะละลายสัมผัสที่ใกล้ชิดเช่นเดี
แม้ว่าท่าทางของซ่างกวนซีจะดูดุร้ายแต่เยี่ยนเว่ยฉือกลับรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเพราะสิ่งที่นางกังวลก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเลยซ่างกวนซีไม่ได้ระแวงนาง ไม่ได้รู้สึกว่านางเป็นปีศาจ และไม่ได้โลภอยากได้กำไลข้อมือของนางเขาแค่กังวลว่านางจะดึงดูดความสนใจของคนอื่น เพราะของล้ำค่าอาจนำมาซึ่งภัยพิบัติถึงชีวิตเยี่ยนเว่ยฉือมองซ่างกวนซีนิ่งๆ แล้วก็ยิ้มออกมา “ฝ่าบาท ท่านช่างดีเหลือเกินเพคะ!”ซ่างกวนซีชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วเบือนหน้าหนี “พูดจาดี ๆ ก็ไม่ได้ผล ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าใช้ก็คือไม่อนุญาต!”เยี่ยนเว่ยฉือปีนขึ้นไปหาซ่างกวนซีทันที เข้าไปใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ใช้ต่อหน้าคนอื่น ใช้เฉพาะต่อหน้าฝ่าบาทเท่านั้น”การเข้าใกล้อย่างกะทันหัน ทำให้ซ่างกวนซีเอนหลังโดยไม่รู้ตัว เกือบจะหงายตกจากเตียงเยี่ยนเว่ยฉือเห็นท่าทางลนลานของเขา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ คิดในใจว่า ‘ข้ายังนึกว่าเขาเก่งกาจ ที่แท้ก็แค่เสือกระดาษ ฮึ รู้จักแต่ขู่ข้า!’เยี่ยนเว่ยฉือผูกเชือกที่กระโปรงไปด้วย มองเขาอย่างขี้เล่นไปด้วยซ่างกวนซีถูกสายตาที่แฝงไปด้วยความเย้าหยอกนั้นมองจนรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อยเขาจึงก
ซ่างกวนซีซ่างกวนซียื่นมือออกไป ลูบคลำกำไลนั้นเบาๆ แล้วถามต่อ "เจ้าหมายความว่า เจ้าสามารถเก็บของทุกอย่างไว้ในกำไลนี้ได้?"เยี่ยนเว่ยฉือเบะปาก พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ "ฝ่าบาท ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ ข้าจะค่อย ๆ อธิบายให้ท่านฟัง ดีหรือไม่?"ซ่างกวนซีลังเลเล็กน้อย "ปล่อยเจ้าแล้ว เจ้าก็จะพูดจาเหลวไหลอีก!"เยี่ยนเว่ยฉือพองแก้ม "ถ้าข้าพูดโกหก ท่านก็มัดข้าอีกครั้งสิ พูดด้วยท่าทางเช่นนี้... มันน่าอายเกินไป"เยี่ยนเว่ยฉือไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าร่างกายของนางจะหลุดออกมาจากเสื้อตัวในแม้ว่าจะเคยนอนเตียงเดียวกับซ่างกวนซีหลายครั้งแล้ว แต่ในความทรงจำของนาง นางก็สวมเสื้อผ้าครบถ้วน ไม่เคย... ไม่เคยเปิดเผยเรือนร่างต่อเขาซ่างกวนซีเห็นท่าทางน่าสงสารของนางก็อดใจอ่อนไม่ได้เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็แก้สายรัดเอวที่ข้อมือของเยี่ยนเว่ยฉือออกเยี่ยนเว่ยฉือได้รับอิสระก็รีบดึงสาบเสื้อเข้าหากัน แล้วหลบไปที่มุมเตียงซ่างกวนซีเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเด็กสาวคนนี้ ตอนหลับก็ถอดเสื้อผ้าตัวเอง โผเข้าหาอ้อมกอดเขาตอนตื่นกลับระแวดระวัง ป้องกันตัวราวกับจะผลักไสคนให้ออกไปให้ไกลไม่รู้จริง ๆ ว่านางคิดอะไรอ