เยี่ยนเว่ยฉือตื่นตระหนกในทันที!นางไม่รู้เลยว่าองค์รัชทายาทตกอับที่ป่วยและไร้ประโยชน์ผู้นี้จะมีพิษกู่อยู่ในร่างกาย“อย่า...อย่าทำเช่นนี้เลย มีเรื่องอะไรก็พูดกันดี ๆ เถอะ ถึงอย่างไรข้าก็ช่วยท่านไว้นะ!”ซ่างกวนซีถอดเสื้อผ้าของเขาที่มีอยู่บนตัวชิ้นเดียว เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งแต่ไม่แน่นเกินไปแม้ตอนนี้ตามเนื้อตัวจะเต็มไปด้วยบาดแผลนับไม่ถ้วน แต่กลับเจือความเย้ายวนอันวิปริตที่อธิบายไม่ถูกเอาไว้ใบหน้าของเยี่ยนเว่ยฉือเปลี่ยนเป็นสีแดง และเริ่มเขินอายโดยไม่รู้ตัวซ่างกวนซีโน้มลงบีบคางของเยี่ยนเว่ยฉือเพื่อบังคับให้นางมองเขา แล้วพูดต่อ “ใช่ เจ้าช่วยข้าไว้ ดังนั้นข้าก็จะช่วยเจ้าเช่นกัน ข้าทำให้เจ้ามีลูกได้อย่างแน่นอน”ทันทีที่เขาพูดจบ ซ่างกวนซีก็ยื่นมือไปหาเยี่ยนเว่ยฉือหากผ้าชิ้นนี้ถูกฉีกออก องค์รัชทายาทผู้ไร้ค่าก็จะตกอยู่ในห้วงเสน่หา... แม้กำลังจะตายเป็นผีแต่ก็คงยังอยากเสพกามารมณ์“ชั่วช้าสามานย์รึ? เหอะ ในเมื่อทุกคนต่างด่าทอข้าเช่นนี้ ไหน ๆ จะตายอยู่แล้วก็ขอทำเรื่องนั้นให้เป็นจริงเสียเลย! ทำให้นางตั้งครรภ์ ก็ถือว่าเป็นการช่วยชีวิตนางไปด้วย” เมื่อคิดได้เช่นนั้น ซ่างกวนซีก็ไม่ล
เยี่ยนเว่ยฉือขมวดคิ้วมองเขา “กลยุทธ์ตายแล้วเกิดใหม่อีกครั้งอย่างไรเล่า!”ซ่างกวนซีไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร?”เยี่ยนเว่ยฉือกล่าวต่อ “ท่านคลายจุดชีพจรให้ข้าก่อน แล้วข้าจะอธิบายให้ฟัง”ขณะนี้ชะตาชีวิตของทั้งสองคนอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ถือว่าคนทั้งสองอยู่ในสถานการณ์ไม่ต่างกัน ซ่างกวนซีจึงไม่กลัวว่าเยี่ยนเว่ยฉือจะพูดโกหกหากเขาตาย นางก็ต้องถูกฝังตามเขาไปด้วยดังนั้นซ่างกวนซีจึงคลายจุดชีพจรของเยี่ยนเว่ยฉือทันทีทว่าเยี่ยนเว่ยฉือที่เพิ่งได้รับอิสรภาพ กลับใช้เข็มแทงเข้าที่ต้นขาของซ่างกวนซี อาการวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงได้ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ซ่างกวนซีมองนางอย่างเหลือเชื่อ พลางพูดอย่างยากลำบาก “จะ...เจ้าหลอกข้า เจ้าเป็นมือสังหารจริง ๆ!”เยี่ยนเว่ยฉือลุกขึ้นนั่งและผลักซ่างกวนซีให้ล้มไปที่พื้นขณะที่สวมเสื้อผ้า นางก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “ข้าจะฆ่าท่านกับผีน่ะสิ! ก็พูดอยู่ว่าจะใช้กลยุทธ์ตายแล้วเกิดใหม่ หากท่านไม่ตายแล้วจะเกิดใหม่ได้อย่างไร? ในเมื่อร่างกายท่านมีพิษกู่เย็น ก็อย่าโทษข้าที่ลงมือหนักหน่อยแล้วกัน!”ซ่างกวนซีไม่ได้ยินประโยคหลังที่เยี่ยนเว่ยฉือพูด เพราะเขาได้เข้าสู่สภาวะเสม
“บังอาจ!” ฮองเฮาก้าวมาข้างหน้าพลางมองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยสายตาเย็นชา และตะโกนด้วยความโกรธ “เจ้าเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรถึงมาตั้งคำถามกับการตัดสินใจของฝ่าบาท!”ฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสินลงโทษซ่างกวนซี และฝ่าบาทก็เป็นผู้ปลดซ่างกวนซีออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาทด้วยการบอกว่าองค์รัชทายาทถูกใส่ความ จะไม่ถือเป็นการตั้งคำถามกับคำตัดสินของฝ่าบาทหรือ?ดูเผิน ๆ คำพูดของฮองเฮานั้นก็นับว่าไม่ผิดอะไรแต่เยี่ยนเว่ยฉือรู้สึกว่ามีคำว่า “น้ำท่วมปาก” ถูกเขียนบนพระพักตร์ของฮ่องเต้เอาไว้ด้วยสถานะปัจจุบันของนาง นางมีโอกาสน้อยมากที่จะได้พูด ดังนั้นนางจึงต้องบอกเรื่องสำคัญก่อนที่ฮองเฮาจะสั่งประหารนางเยี่ยนเว่ยฉือจึงตะโกนออกมาอย่างไม่ลังเล “ฝ่าบาททรงพิจารณาเถิดเพคะ องค์รัชทายาททรงป่วยเป็นโรคนกเขาไม่ขัน หม่อมฉันขอทูลถามว่าคนที่นกเขาไม่ขันจะขืนใจสวีเหม่ยเหรินได้อย่างไร? องค์รัชทายาททรงถูกใส่ความเพคะ!”คำพูดเหล่านั้นเหมือนกับสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจทุกคนต่างอ้าปากค้างจากความตกใจ!“จะ...เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?” ฮองเฮามองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยความตกใจเยี่ยนเว่ยฉือตอบอย่างจริงจัง “หม่อมฉันไม่ได้พูดเหลวไหลนะเพคะ ฝ่าบาททรงส่งหม่
แม้สถานการณ์จะค่อนข้างอันตราย แต่ก็ยังจัดการได้เยี่ยนเว่ยฉือรีบตะโกนเสียงดัง “ไม่ได้ ท่านฆ่าข้าไม่ได้นะ!”“ไม่ได้?!” ฮองเฮามองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยความตกใจ เกือบจะคิดว่าตัวเองฟังผิดไปนางคิดว่านางเป็นใคร ถึงได้กล้าที่พูดจาเช่นนี้กับเจ้าแห่งหกตำหนักฝ่ายใน ทั้งยังพูดคำว่าไม่ได้ออกมาอีก?ในขณะที่ฮองเฮากำลังตกตะลึง เยี่ยนเว่ยฉือก็รีบมองไปที่ฮ่องเต้คังอู่และพูดต่อ “ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าองค์รัชทายาททรงนกเขาไม่ขัน ดังนั้นจึงถือว่าหม่อมฉันเป็นพยานคนสำคัญในคดีนี้ด้วย คดีนี้ยังต้องมีการพิจารณาคดีใหม่ ยังไม่ได้เริ่มการสอบสวนเลย หากมาฆ่าพยานเสียก่อนคงไม่เหมาะนักใช่หรือไม่เพคะ?”ฮ่องเต้คังอู่ทรงขมวดคิ้วพลางทอดพระเนตรไปที่เยี่ยนเว่ยฉือ ครู่หนึ่งพระองค์สับสนไม่รู้ว่านางเป็นสตรีตระกูลใดแต่สตรีนางนี้กลับกล้าปฏิเสธฮองเฮาต่อหน้าผู้คนมากมาย ซึ่งนั่นทำให้พระองค์ชอบพระทัยเป็นอย่างมากเมื่อทอดพระเนตรผ่านร่างเล็ก ๆ ของเยี่ยนเว่ยฉือไป พระองค์ก็ทรงเห็นร่างไร้ชีวิตที่มีบาดแผลทั่วร่างกายซ่างกวนซีอยู่ข้างหลังนาง ทำให้ความโศกเศร้าและความเกรี้ยวโกรธของฮ่องเต้คังอู่ถึงจุดสูงสุดเ
เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ชันสูตรศพ ท่านทำไม่เป็นหรือ? ไม่เป็นไร ข้าทำเอง!”เยี่ยนเว่ยฉือมองผางเหออวี้พร้อมรอยยิ้ม ทำท่าทางกระตือรือร้นที่จะได้ทำหน้าที่ผางเหออวี้ขมวดคิ้วและพูดว่า “เจ้า...เจ้าบ้าไปแล้วรึ? สวีเหม่ยเหรินกับองค์ชายน้อยสิ้นพระชมน์ไปหลายวันแล้ว อีกทั้งศพก็อยู่ในโลง กำลังรอทำพิธีฝัง เจ้าจะไปรบกวนวิญญาณคนที่ตายไปอย่างสงบแล้วทำไม?”เยี่ยนเว่ยฉือตอบอย่างไม่เห็นด้วย “ท่านใต้เท้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ในมุมมองของข้า มีเพียงการหาสาเหตุการตายที่แท้จริงและคืนความยุติธรรมแก่ผู้ตายเท่านั้น นั่นถึงจะทำให้ผู้ตายจะได้พบความสงบอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ตามกฎของวังหลวง พระสนมที่มีบุตรจะต้องมีการตั้งศพไว้ในห้องนอนเป็นเวลาเจ็ดวันจึงจะทำการฝังได้ ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันที่เจ็ดพอดี!”กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการชันสูตรศพฮองเฮานั่งอยู่บนที่ประทับสูงสบสายตากับซ่างกวนหลี โอรสของนางซ่างกวนหลีพยักหน้าเล็กน้อย เป็นการบอกว่าเยี่ยนเว่ยฉือพูดถูก ร่างของสวีเหม่ยเหรินยังไม่ถูกฝังฮองเฮาขมวดคิ้วพลางคิดว่าจะขวางอีกฝ่ายอย่างไร ขณะนั้นฮ่องเต้คังอู่ก็ตรัสอย่างจริงจัง
“อะไรนะ? เจ้าพูดว่าอะไร?!” ฮ่องเต้คังอู่ทรงเดินอย่างรวดเร็วไปหาเยี่ยนเว่ยฉือเยี่ยนเว่ยฉือชี้ไปที่บาดแผลบริเวณลำคอของสวีเหม่ยเหริน พลางตอบอย่างสงบว่า “บาดแผลทั้งหมดบนร่างนี้แบ่งออกเป็นบาดแผลก่อนเสียชีวิตและบาดแผลหลังเสียชีวิต สำหรับบาดแผลที่เกิดขึ้นก่อนเสียชีวิต ผิวหนังจะมีการหดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด รอบ ๆ บาดแผลจะมีก้อนเลือดสีดำคล้ำ และหากเลือดไหลออกมากก็อาจมีรอยห้อเลือดด้วย ซึ่งนั่นเป็นกลไลตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ส่วนบาดแผลที่เกิดขึ้นหลังเสียชีวิต ผิวหนังบริเวณบาดแผลจะเรียบเนียน เนื่องจากร่างกายไม่มีกระบวนการแข็งตัวของเลือดแล้ว ดังนั้นบริเวณบาดแผลก็จะไม่มีลิ่มเลือดหรือรอยห้อเลือด เช่นเดียวกับที่เห็นในตอนนี้เพคะ”ฮ่องเต้คังอู่และผางเหออวี้ขุนนางผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ต่างก็เข้ามาจับตาดูอย่างใกล้ชิด เห็นว่าลักษณะของร่างตรงหน้าตรงกับที่เยี่ยนเว่ยฉือกล่าวไว้ไม่มีผิดเยี่ยนเว่ยฉือกล่าวต่อ “ความจริงที่เรียบง่ายเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ผู้ชันสูตรศพที่มีประสบการณ์เพียงเล็กน้อยก็สามารถตรวจพบเบาะแสนี้ได้ แต่เหตุถึงไม่มีใครพูดออกมาเลยเล่า?”ผางเหออวี้สะดุ้งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าหลบตาเยี่ย
คนอื่น ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็สงสัยเช่นกันสาวน้อยที่เสื้อผ้าผมเผ้ารุงรังผู้นี้เป็นใครกันแน่?เหตุใดถึงได้รู้มากเช่นนี้?ฮองเฮาพูดเสียงแข็งว่า “เหลวไหล เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยจะไปรู้อะไร? อย่าคาดเดาอะไรเรื่อยเปื่อย!”เยี่ยนเว่ยฉือเบะปากพูดว่า “การกล้าตั้งสมมติฐานและตรวจสอบอย่างรอบคอบ ไม่ใช่วิธีการพื้นฐานในการคลี่คลายคดีหรือเพคะ? อีกอย่าง สิ่งที่พวกท่านพบในร่างของสวีเหม่ยเหรินไม่มีใครเคยเห็นว่าเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทนี่เพคะ!”ทันทีที่พูดจบ บรรดาสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่อยู่ในเหตุการณ์ บ้างก็งุ่มง่ามทำตัวไม่ถูกบ้างก็ก้มหน้าก้มตา เยี่ยนเว่ยฉือผู้นี้ช่างพูดได้อย่างไม่อายปากเอาเสียเลย!เมื่อเห็นจากสายตาของฮองเฮาเหมือนต้องการจะโต้เถียง เยี่ยนเว่ยฉือก็พูดต่อทันที “ไม่มีประโยชน์ที่จะโต้เถียงเรื่องที่ยังไม่ได้ข้อสรุปเพคะ ในเมื่อตอนนี้ก็ได้รู้สาเหตุการเสียชีวิตของสวีเหม่ยเหรินแล้ว หม่อมฉันแค่ต้องตามหาฆาตกรตัวจริงเท่านั้น ก็จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้องค์รัชทายาทได้อย่างไรเล่าเพคะ!”ฮ่องเต้คังอู่ตรัสถามอย่างตื่นเต้น “เจ้าสามารถตามหาฆาตกรตัวจริงได้หรือ?”เยี่ยนเว่ยฉือพยักหน้าและพูดต่อ “ทูลฝ่
ทุกคนยืนชูคอมองอ่างทั้งสองด้วยความสนใจอย่างยิ่งส่วนฮองเฮานั้นถึงกับบีบมือเข้าหากัน แลดูค่อนข้างกังวลทว่าหลังจากที่ทดสอบนางกำนัลและขันทีไปกลุ่มหนึ่ง ก็ไม่มีมือของใครเปลี่ยนสีเลยบุรุษชุดสีชมพูที่อยู่ในความมืดขมวดคิ้วพลางพูดว่า “เฮ้อ วิธีการของนางไม่ได้ผล!”บุรุษชุดสีทองแค่นเสียงเบา ๆ “ข้าคิดว่านางจะฉลาดหลักแหลมเสียอีก ไม่เพียงนางทำลายแผนของศิษย์พี่แล้วล่ะ เพราะตอนนี้นางได้เอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย”เป็นดังที่คาดไว้ ทันทีที่ทางนี้เอ่ยจบฮองเฮาที่อยู่ทางนั้นก็เริ่มโจมตีเยี่ยนเว่ยฉือ“เจ้าช่างบังอาจที่กล้าหลอกใช้ฝ่าบาทกับข้า เจ้าลองใช้สองตามองดูสิ มีฝ่ามือของใครเปลี่ยนสีหรือไม่ พูดจาเหลวไหลยิ่งนัก! ใครก็ได้มาลากนาง…”ก่อนที่ฮองเฮาจะพูดจบ เยี่ยนเว่ยฉือก็แคะหูแล้วพูดด้วยความรำคาญ “ฮองเฮาเพคะ พวกเรายืนใกล้กันมากเช่นนี้ พระองค์ไม่จำเป็นต้องส่งเสียงดังถึงเพียงนั้นหรอกเพคะ หม่อมฉันไม่ใช่คนหูหนวก”หลังจากพูดจบ เยี่ยนเว่ยฉือก็ไม่ให้โอกาสให้ฮองเฮาได้ตำหนิตนต่อ พลางชี้ไปยังเฟินเอ๋อร์ที่ยืนหลบมุมอยู่ในกลุ่มคนรับใช้แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท นางคือฆาตกรเพคะ”อะไรนะ?!เฟินเ
ด้วยเหตุนี้อันกั๋วกงจึงกลับไปยังจวนกั๋วกงด้วยใบหน้าที่ยับย่นเป็นรอยริ้วอันกั๋วกงเพิ่งก้าวเข้าประตูบ้าน บุตรสาวคนเล็กอันหยวนจูก็วิ่งเข้ามาหา“ท่านพ่อ ท่านพ่อ! ท่านพ่อกลับมาแล้ว!”อันกั๋วกงอมยิ้มพลางลูบหัวบุตรสาว กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “จูเอ๋อร์ตัวสูงขึ้นแล้ว น่าเสียดาย กระนั้นก็ยังช้าเกินไป”อันหยวนจูอายุเพียงสิบสองปี จึงไม่เข้าใจถ้อยคำของอันกั๋วกงนักนางเอียงคอมองอันกั๋วกง กล่าวด้วยความสงสัยว่า “ท่านพ่อว่าจูเอ๋อร์ตัวเตี้ยหรือ พี่ชายกล่าวว่า จูเอ๋อร์ต้องอายุสิบห้าปีขึ้นไปจึงจะตัวสูงขึ้น”พี่ชายที่นางกล่าวถึง คือบุตรชายคนโตของอันกั๋วกง อันหยวนชิงอันหยวนชิงได้ยินบทสนทนาของพ่อลูก จึงเดินออกมาจากห้อง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสาว รีบไปบอกให้ห้องครัวเตรียมอาหารเถิด ท่านพ่อเข้าเฝ้ามาเป็นเวลานาน ย่อมต้องหิวแล้ว”อันหยวนจูพยักหน้า แล้วก็วิ่งออกไปอย่างร่าเริงอันกั๋วกงมองบุตรชายรูปงามของตน พลางถามด้วยใบหน้าย่นว่า “เจ้ากลับมาจากสำนักบัณฑิตแล้วหรือ การสอบจอหงวนในฤดูใบไม้ร่วงใกล้เข้ามา เจ้าควรตั้งใจเตรียมตัวสอบเสีย”อันหยวนชิงช่วยอันกั๋วกงถอดเครื่องแต่งกายขุนนาง พลางกล่าวว่า “ท่านพ่
“ไม่อาจอภิเษกได้ แต่ไม่ใช่เพราะองค์หญิงนั้นรูปโฉมไม่งดงาม หากแต่เพราะหลังจากอภิเษกแล้ว ท่านก็จะ… หมดสิ้นโอกาสในราชบัลลังก์!” อันกั๋วกงสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักซ่างกวนหลีไม่เข้าใจความหมาย จึงปรายตามองด้วยความสงสัยท่าทางที่ดูราวกับไม่รู้เรื่องราวใดๆ ทำให้อันกั๋วกงรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าส่วนองค์ชายสี่ซ่างกวนเจวี๋ยลูบจมูกพลางเงียบงัน ชัดเจนว่าเข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้แล้วอันกั๋วกงอมยิ้มพลางหันไปทางซ่างกวนเจวี๋ย แล้วกล่าวว่า “องค์ชายสี่ พวกท่านทั้งสองมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องอันแนบแน่น หากว่าเรื่องนี้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้แก่เป่ยอิ้นแล้ว ก็จำเป็นต้องทรงขอความช่วยเหลือจากองค์ชายสี่แทน”ซ่างกวนเจวี๋ยถึงกับตกตะลึงเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า “อันกั๋วกง ใช่ว่าท่านกำลังทำลายข้าอยู่หรือ เสด็จพี่รองไม่อภิเษก ท่านกลับให้ข้าอภิเษกแทนรึ?”อันกั๋วกงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย องค์ชายสี่ผู้นี้ฉลาดหลักแหลมนัก เขายังไม่ได้กล่าวสิ่งใดเลย ซ่างกวนเจวี๋ยกลับคาดเดาเจตนาของเขาออกแล้วอันกั๋วกงกล่าวต่อว่า “ไม่ใช่ชนชาติเดียวกัน ใจย่อมไม่ใช่หนึ่งเดียวกัน องค์หญิงเป่ยอิ้นนั้นจะขึ้นเป็นฮ
อันกั๋วกงได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ผิดแล้ว ทหารองครักษ์เมืองหลวงทั้งกองทัพเสินอู่ เสินเช่อ หลงอู่ และหลงฉี ล้วนเป็นขุนพลที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านอ๋อง ข่าวสารของท่านอ๋องจะช้ากว่าข้าได้อย่างไร!""เจ้าหมายความว่าอย่างไร? จะบอกว่าข้าสมคบคิดกับชาวเป่ยอิ้นรึ?" อ๋องจ่างซิ่นโกรธจนหนวดเคราขยับอันกั๋วกงยิ้ม "นั่นคงไม่ใช่ ท่านอ๋องจงรักภักดีต่อแผ่นดินมาโดยตลอด เพียงแต่เกรงว่า… อาจมีคนปิดบังเบื้องบนพ่ะย่ะค่ะ"น้ำเสียงประชดประชัน ทำให้อ๋องจ่างซิ่นอดไม่ได้ที่จะมองค้อนเขาฮ่องเต้คังอู่ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์เห็นทั้งสองโต้เถียงกันก็ไม่ได้ขัดจังหวะ เพียงแต่กล่าวด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ว่า "พอแล้ว พอแล้ว อย่าทะเลาะกันเลย ในเมื่อเป่ยอิ้นมาเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ไม่ได้มาประกาศสงคราม พวกเราก็ต้อนรับเขาด้วยไมตรีจิตก็พอ"เอ่ยจบ สายตาของฮ่องเต้คังอู่ก็กวาดมองเหล่าขุนนาง สุดท้ายก็มาหยุดที่ซ่างกวนซี "ชูจิ่ง งานราชการในท้องพระโรงด้านอื่นๆ เจ้าคงไม่ถนัด เช่นนั้นเรื่องต้อนรับคณะทูตจากเป่ยอิ้นก็มอบให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน"สิ้นสุรเสียง ทุกคนก็ยืดตัวตรงโดยไม่รู้ตัว ยืดคอมองซ่าง
พั่วจวินกราบทูล "เรื่องราวโดยละเอียด กระหม่อมยังสืบเสาะได้ไม่ชัดเจนพ่ะย่ะค่ะ แต่เมื่อคืนวาน นางน่าจะไปล้างแค้นลู่อู๋ พระชายาผู้นั้นมีรูปโฉมงดงามและฝีมือร้ายกาจ เล่นงานลู่อู๋จนไม่อาจตอบโต้ได้ เกือบจะกลายเป็นคนพิการไปแล้ว!"อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า "ข้าได้ยินมาว่าซ่างกวนซีกลับเมืองหลวงก็แต่งงานกับหญิงเลี้ยงหมูอย่างลับ ๆ แต่ไม่เคยได้ยินว่านางผู้นี้เก่งกาจถึงเพียงนี้ แม้แต่ลู่อู๋ที่อยู่ในอันดับสี่ของบัญชีอู๋ซินยังมิอาจเป็นคู่มือของนาง?"พั่วจวินครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน เมื่อคืนเขาไม่ได้เห็นเยี่ยนเว่ยฉีลงมือกับตาเยี่ยนเว่ยฉีปราบลู่อู๋ได้อย่างไร เขาก็ไม่อาจทราบได้แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้ชัดเจน"ฝ่าบาท พระชายาผู้นั้น นางชำนาญด้านพิษพ่ะย่ะค่ะ! เมื่อคืนวาน..." พูดถึงตรงนี้ พั่วจวินก็มีสีหน้าละอายใจ"เจ้าพลาดท่าเสียทีแก่นางเช่นกันรึ?" อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวเอ่ยถามพั่วจวินพยักหน้า กราบทูลเรื่องราวการต่อสู้ที่บ้านร้างเมื่อคืนวานตามความเป็นจริงอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวสูดหายใจเข้าลึก ๆ "ซ่างกวนซีคนเดียวก็รับมือได้ยากอยู่แล้ว ไม่นึกเ
จวนองค์รัชทายาทปูด้วยอิฐสีเขียว ไม่อาจมีรอยเท้าโคลนได้รอยเท้าเช่นนี้ แสดงว่ามีผู้ไปยังสถานที่ที่เปื้อนโคลนแล้วกลับมาและบุคคลนั้น… ก็คือเยี่ยนเว่ยฉือที่อ้างว่าตนนอนเปลือยเปล่าซ่างกวนซีมองประตูห้องที่ปิดสนิทอย่างลึกซึ้ง ไม่ได้เปิดโปงคำโกหกที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องของนาง แต่ก้าวเดินไปเข้าเฝ้า…… เมืองหลวง โรงเตี๊ยมที่ห่างไกลหลังเที่ยงวัน พิษในร่างกายของพั่วจวินก็สลายไป เขากลับมายังโรงเตี๊ยมที่พี่น้องจากเป่ยอิ้นพักอาศัยอยู่เมื่อเข้าประตู ก็ได้ยินเสียงถามขององค์หญิงแห่งเป่ยอิ้น อวี้ฉืออวิ๋นจิ่น“ตลอดทั้งเช้า เจ้าหายไปไหนมา?”พั่วจวินตอบด้วยความเคารพ “ทูลองค์หญิง เมื่อคืนนี้กระหม่อมพบปัญหาเล็กน้อย เฉี่ยงหวู่ถูกสังหาร กระหม่อมไล่ตามฆาตกร ต่อสู้กับเขาตลอดคืน”“อะไรนะ?” อวี้ฉืออวิ๋นจิ่นผุดลุกขึ้น “เฉี่ยงหวู่ตายแล้วหรือ?”อวี้ฉืออวิ๋นจ้าวก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ใครฆ่าเฉี่ยงหวู่?”พั่วจวินกล่าวต่อ “เป็นฝูกวงแห่งศาลาจิ่วโยวพ่ะย่ะค่ะ!”“ฝูกวง?” สองพี่น้องต่างส่งเสียงด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่าต่างประหลาดใจอวี้ฉืออวิ๋นจ้าวกล่าว “ฝูกวงไม่ได้ปรากฏตัวมาสามปีแล้ว ในยุทธภพต่างกล่าวกั
ฉับพลัน! เยี่ยนเว่ยฉือหยิบตะเกียงไฟขึ้นจุดตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะ แสงสว่างวาบขึ้น ทว่าทันใดนั้น เสียงของซ่างกวนซีก็ดังมาจากนอกห้อง“เว่ยฉือ เจ้าตื่นแล้วหรือ?”เยี่ยนเว่ยฉือเบิกตากว้าง ด้วยความตกใจกลัวจึงรีบปีนขึ้นเตียงอย่างรวดเร็วขอให้รอดพ้นเถิด! ชุดแฝงตัวของนางยังไม่ได้เปลี่ยนเลย!เหตุใดซ่างกวนซีจึงมาหาขณะนี้?เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาทุกที เยี่ยนเว่ยฉือไม่อาจคิดมากได้ จึงรีบคลุมผ้าห่มทั้งผืนห่อตัวไว้เสียงไม้กระทบกันดังเอี๊ยดอ๊าด ประตูห้องถูกเปิดออกซ่างกวนซีในชุดประจำตำแหน่งก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม“ฝะ… ฝ่าบาท...” เยี่ยนเว่ยฉือตัวสั่น เหงื่อเย็นไหลอาบกายซ่างกวนซีมองนางด้วยความสงสัย แล้วเอ่ยถาม“ข้ากำลังจะไปเข้าเฝ้า เห็นว่าห้องเจ้าสว่างจึงแวะมาดู วันนี้เจ้าตื่นเช้าเช่นนี้ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”ซ่างกวนซีถามด้วยความห่วงใย เดินไปที่เตียง ยื่นมือไปวัดไข้ที่หน้าผากนางเยี่ยนเว่ยฉือหลบอย่างรวดเร็ว นางไม่อยากให้ซ่างกวนซีสัมผัสถูกเหงื่อเย็นบนหน้าผากเยี่ยนเว่ยฉือตอบด้วยความประหม่าและอึดอัด “ไม่ได้ ไม่ได้เป็นอะไร ข้าเพียงแต่กระหายน้ำ จึงลุกขึ้นมาดื่มน้ำเท่านั้น”ซ่างกวนซีหันไปมองโต๊ะ
ฝูกวงเห็นดังนั้นจึงเตะหมิงตาวจนกระเด็น ก่อนจะสะบัดกระบี่โหรวฉางพันรอบข้อเท้าของพั่วจวิน พั่วจวินเห็นดังนั้นจึงรีบหมุนตัวกลางอากาศ แก้พันธนาการจากกระบี่โหรวฉาง หากเขาแกะกระบี่โหรวฉางไม่ออก ขาของเขาคงถูกตัดขาดเป็นชิ้นๆ เป็นแน่ ทว่าเมื่อเขาแกะกระบี่โหรวฉางออกได้ ร่างกายของเขากลับร่วงลงสู่พื้นอย่างแรง ไม่อาจลุกขึ้น “ข้า... เหตุใดข้าจึงระบายลมปราณไม่ได้”พั่วจวินไม่พูดก็ไม่เป็นไร แต่พอเขาพูดจบ หมิงตาวก็ทรุดตัวลงคุกเข่าข้างหนึ่ง ยันกระบี่กับพื้นจึงประคองร่างกายเอาไว้ได้ ส่วนฝูกวงก็ถอยหลังไปพิงต้นไม้ใหญ่ มือข้างหนึ่งจับลำต้นเอาไว้ ในชั่วพริบตา กำลังภายในของทั้งสามก็หายไปราวกับโดนดูดออก หมิงตาวเอ่ยอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา?”เยี่ยนเว่ยฉือกลอกตาแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ขยับตัวไม่ได้แล้วยังจะถามอีก โดนพิษน่ะสิ เจ้าโง่เอ๊ย!”โดนพิษหรือ?ฝูกวงเหลือบมองไปที่กระถางธูปที่เยี่ยนเว่ยฉือเพิ่งจุด จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเย็น “แยบยลยิ่งนัก”พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นว่ากระถางธูปมีพิษ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่มีใครเห็นว่าเยี่ยนเว่ยฉือถือกระถางธูปอยู่ และไม่มีใครทันเห็นนางจุดธูป แน่นอนว่าพว
ลู่อู๋เบิกตากว้าง ร้องเสียงหลงอย่างอดไม่ได้ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” ให้เขาไปปลุกปล้ำท่านหญิงหมิงหยาง นั่นมันน้องสาวแท้ ๆ ของอ๋องจ่างซิ่นเชียวนะ! เยี่ยนเว่ยฉือแสร้งทำสีหน้าลำบากใจ “โอ๊ะ ไม่ดีหรือ เช่นนั้นข้าเปลี่ยนเป็นเอายาแก้พิษใส่ไว้ในร่างกายบุรุษดีหรือไม่ กระตุ้นสัญชาตญาณดิบในตัวเจ้า หรือว่า... เจ้าชอบร่วมรักกับสัตว์ ช่างเป็นรสนิยมที่พิสดารยิ่งนัก”“พรืด!” คราวนี้คนที่อดหลุดขำไม่ได้คือเพี่ยจวิน เสียงหัวเราะทำให้เขาเสียสมาธิ เกือบถูกฝูกวงฉวยโอกาสโจมตีเข้าอีกครา โชคดีที่หมิงตาวช่วยเขาปัดป้องเอาไว้ได้ทัน ทั้งสองสบตากัน แววตาฉายแววหวาดหวั่น พวกเขาร่วมมือกันต่อสู้ แต่กลับยังคงได้รับบาดเจ็บ ไม่อาจทำอันใดฝูกวงได้เลยแม้แต่น้อย คนผู้นี้ช่างลึกล้ำเกินคาดเดา! ลู่อู๋ทำหน้าละห้อย วิงวอนขอชีวิต “ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้วจริง ๆ ขอพระชายาองค์รัชทายาทเมตตาไว้ชีวิตด้วย ขอโปรดเมตตาด้วยเถิด! เจ้าจะให้ข้าทำอันใดก็ยอม”เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มน้อย ๆ “โธ่ ข้าผู้นี้มีข้อเสียอย่างหนึ่งคือใจอ่อน เจ้าเป็นบุรุษฃร่างกายกำยำ แถมยังเป็นถึงมือสังหารอันดับสี่แห่งบัญชีอู๋ซิน เห็นเจ้าร้องไห้เช่นนี้ ข้าก
เสียงของเยี่ยนเว่ยฉือเงียบลง นางยังคงแทงลู่อู๋ต่อไปเสียงร้องโหยหวนของลู่อู๋ดังก้องไปทั่ว แต่ก็ไม่อาจกลบเสียงการต่อสู้ได้จนกระทั่งเยี่ยนเว่ยฉือแทงลู่อู๋จนครบสิบแผล นางก็หยุดมือลง แล้วใช้เสื้อผ้าของลู่อู๋เช็ดคราบเลือดบนธนูขณะนี้ลู่อู๋หน้าซีดเผือด หายใจเข้าออกลำบากเยี่ยนเว่ยฉือยิ้ม “วันนี้… ขอจบไว้เพียงเท่านี้แล้วกัน...”ลู่อู๋เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนเว่ยฉือด้วยความหวาดกลัว “อะไร… อะไรคือวันนี้?” ‘หรือว่าต่อไปยังจะมีอีก?’เยี่ยนเว่ยฉือยิ้มอ่อนหวานอธิบาย “เจ้าเดาถูกแล้ว ต่อไปก็ยังมีอีก ข้าบอกแล้วว่าจะไม่เอาชีวิตเจ้า แต่หากแทงต่อไปเรื่อย ๆ แม้จะไม่ใช่จุดสำคัญ เจ้าก็จะเสียเลือดจนตาย ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจให้เจ้าชำระหนี้เป็นงวด ๆ… ไม่ใช่สิ ชำระแค้นเป็นงวด ๆ ไป เป็นอย่างไร เจ้าว่าข้าเอาใจใส่ดีหรือไม่?”ลู่อู๋หน้าเสียมองเยี่ยนเว่ยฉือ น้ำตาไหลพรากออกมา ไม่รู้ว่าเพราะเจ็บปวดหรือหวาดกลัวบุรุษทั้งสามที่กำลังต่อสู้กันอยู่ก็หันมามองเยี่ยนเว่ยฉือ พวกเขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้บ้าคลั่งและโหดเหี้ยมทั้งยังโง่ด้วย นางคิดว่าวันนี้ปล่อยเสือเข้าป่า วันหน้าจะจับลู่อู๋ได้อีกหรือ?แน่นอนเยี่ยนเว่ยฉือว่า