“เฮือก!”
หลินอวี้เหม่ยสะดุ้งพรวดลืมตาตื่นขึ้นในฉับพลัน ใบหน้างามพริ้มเพราซีดเผือดผุดเหงื่อกาฬเต็มหน้า เนื้อตัวสั่นสะท้านมือเรียวเสลารีบยกขึ้นกุมที่ใบหน้าและทรวงอกบริเวณที่โดนดาบแทงทะลุอย่างตกใจสุดขีด
นางตายไปแล้วหรือ...
“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะคุณหนูรอง” เสียงใครบางคนดังขึ้นข้างกายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
หลินอวี้เหม่ยรีบหันขวับไปมองสาวใช้ประจำตัวของตนอย่างประหลาดใจ
“เสี่ยวจู!” หญิงสาวตกใจที่ตนเองยังเปล่งเสียงพูดได้ ลิ้นยังอยู่ในปากดีไม่ได้ถูกตัดขาด
“คุณหนูเป็นอันใดไปเจ้าคะ”
“นี่เจ้ายังไม่ตายหรือเสี่ยวจู...”
“ตาย? คุณหนูรองท่านกำลังพูดเรื่องอันใดกันเจ้าคะ” เสี่ยวจูถามใบหน้าเหลอหลา ก็เห็นๆ อยู่ว่านางยืนหัวโด่อยู่นี่
“นี่ข้าฝันไปหรือ...”
มันเป็นเพียงฝันร้าย แต่ทำไมมันถึงรู้สึกสมจริงเช่นนี้เล่า กระทั่งกลิ่นคาวเลือดในปากยังคงอบอวลไม่หาย
หลินอวี้เหม่ยหัวใจเต้นรัว นางมองไปรอบๆ ห้องนอนที่คุ้นตา ลมหายใจของนางยังไม่สม่ำเสมอ ขณะที่พยายามสงบสติอารมณ์ หัวใจของนางกลับเต็มไปด้วยความสับสน
ฝันร้ายที่เพิ่งเผชิญนั้นช่างสมจริงจนนางรู้สึกเหมือนว่ามันเคยเกิดขึ้น ภาพในฝันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ช่วงเวลาที่นางถูกกล่าวหาว่าคบชู้ ช่วงเวลาที่นางถูกลงโทษอย่างโหดร้ายกระทั่งถูกสามีฆ่าตายอย่างทารุณในสุสานร้างนั่น มันชัดเจนเหมือนกับว่านางเพิ่งประสบกับมันมาหยกๆ นางรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความเศร้าสลดเหมือนในฝัน
“คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ” เสี่ยวจูถามอย่างห่วงใย
“เสี่ยวจู ขอคันฉ่องทองเหลืองให้ข้าที”
สาวใช้หน้าซื่อรีบไปหยิบของที่เจ้านายของตนต้องการให้ ครั้นพอหลินอวี้เหม่ยมองเข้าไปในฉันฉ่องทองเหลืองก็ต้องตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์งดงามราวกับบุปผาแรกแย้มของตนในวัยสิบหกหนาว พลันนึกถึงคำขอสุดท้ายของตนในความฝัน
หากข้าย้อนเวลากลับไปได้ ข้าจะไม่ขอเลือกเดินทางผิดและลงเอยกับชายโฉดผู้นี้อีก ข้าจะไม่ยอมถูกคนชั่วพวกนี้รังแกฝ่ายเดียวอีกแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว...
นี่เป็นความฝัน หรือนางจะย้อนเวลากลับมาได้จริงๆ ?
แต่จะเป็นเพียงความฝัน หรือนางย้อนเวลากลับมาแก้ไขอดีตได้จริง นางก็จะไม่ยอมให้ชีวิตต้องพบจุดจบที่แสนเลวร้ายเช่นนั้นอีกแล้ว
ในฝันร้ายนั่นนางแต่งงานกับหานเจี้ยนจวิ้น ชายคนรักในวัยสิบหกปี จากนั้นอีกเจ็ดปีต่อมาก็ถูกสามีกับน้องสาวร่วมกันสวมเขาและถูกฆ่าตายจมกองหิมะในที่สุด
“คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ ตอนนี้ใกล้ถึงฤกษ์แล้วรีบลุกขึ้นมาแต่งตัวก่อนเถอะเจ้าค่ะ ป้าหลี่มาตามสองรอบแล้ว บอกว่าอีกเดี๋ยวเกี้ยวเจ้าสาวก็จะมารับท่านที่หน้าประตูจวน”
“เกี้ยวเจ้าสาว!” หญิงสาวตกตะลึงไปชั่วอึดใจ ก่อนกลั้นใจถามออกมา “เสี่ยวจู เจ้าบ่าวของข้าเป็นใครกัน...”
“อะไรกันเจ้าคะคุณหนู ท่านช่างขี้ลืมเสียจริง เจ้าบ่าวของท่านก็คือ...”
ยังไม่ทันที่เสี่ยวจูจะได้ตอบ ประตูก็พลันเปิดเสียก่อน พร้อมกับร่างอวบอ้วนของป้าหลี่แม่บ้านใหญ่เดินหน้าหงิกเข้ามาเร่งเป็นหนที่สาม
“คุณหนูรอง ท่านตื่นแล้วทำไมยังไม่รีบแต่งตัวอีกเจ้าคะ ใกล้ถึงฤกษ์แล้ว เกี้ยวเจ้าสาวก็ออกมาแล้ว นายท่านให้ข้ามาเร่งอีกแล้ว”
หลินอวี้เหม่ยหันไปมองดูชุดแต่งงานที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี วางอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง มันเป็นชุดที่ถูกเย็บด้วยผ้าไหมสีแดงสวยงามมาก ด้ายทองถูกปักเป็นลวดลายของนกยวนยางคู่รัก
‘นี่คือชุดที่ข้าต้องสวมเพื่อแต่งงานกับชายที่ข้ารัก… หรืออย่างน้อยข้าก็เคยคิดเช่นนั้น แต่ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าสู่หลักประหารเสียมากกว่า’
หลินอวี้เหม่ยรู้สึกสับสน หากทุกอย่างเป็นเหมือนในฝันร้ายนั่นล่ะ หากนั่นไม่ใช่ฝันแต่เป็นการย้อนเวลามาอีกครั้งเล่า การแต่งงานครั้งนี้ก็คือจุดเริ่มต้นที่จะนำพานางไปสู่ชะตากรรมอันเลวร้าย
นางต้องหยุดยั้งมันก่อนที่จะเกิดขึ้นให้ได้
“คุณหนูเป็นอันใดไปเจ้าคะ ทำไมถึงหน้าซีดเช่นนั้น”
“หน้าซีดหรือ...”
หญิงสาวนั่งลงที่โต๊ะเครื่องแป้ง มองดูเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ใบหน้างดงามของนางยามนี้ซีดเซียวจนเกือบม่วง ดวงตารูปเมล็ดซิ่งที่เคยสดใสมีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความไม่มั่นคง นางลูบที่แก้มของตนเอง รู้สึกถึงความเย็นของผิวและเหงื่อที่เริ่มไหลซึมออกมาบนหน้าผาก
ข้าต้องหนีจากพิธีแต่งงานนี้ให้ได้!
ในขณะที่นางกำลังพยายามคิดหาทางออกจากสถานการณ์ที่น่ากลัวนี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ เป็นสาวใช้ที่เข้ามาเตรียมตัวให้กับนางสำหรับพิธีแต่งงาน หลินอวี้เหม่ยหายใจเข้าลึกและพยายามสงบสติอารมณ์
“คุณหนูเจ้าคะ ถึงเวลาแล้ว พวกเราจะช่วยคุณหนูแต่งตัวนะเจ้าคะ”
“ไม่! เอ่อ…ไม่ต้อง ข้าแต่งเองได้” หลินอวี้เหม่ยรีบบอกอย่างตื่นตระหนก ตอนนี้สมองนางกำลังตึงเครียดอย่างหนักเมื่อคิดว่าต้องแต่งงานกับบุรุษสารเลวอย่างหานเจี้ยนจวิ้นนั่นอีกครั้ง จนสุดท้ายต้องมาลงเอยที่ตนถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม
ไม่! นางไม่อยากตายอนาถเช่นนั้นอีกแล้ว แต่จะทำอย่างไรจึงจะหลบหนีชะตากรรมครั้งนี้ไปได้เล่า ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดไม่ตกนั่นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงหวานดังขึ้นที่หน้าประตูเสียก่อน
“พี่หญิงรอง!”
หลินอวี้เหม่ยสะดุ้งเฮือก เมื่อจำเสียงนกแสกแพศยานั้นได้แม่น พอมองไปที่หน้าประตูก็ต้องผงะ เมื่อเห็นน้องสาวต่างมารดา หลินซูหนิงในวัยสิบห้าหนาวกำลังยืนส่งยิ้มให้นางอย่างสดใสไร้พิษภัย ผิดกับหญิงใจร้ายที่เห็นในความฝัน คนที่กระซิบเย้ยหยันให้นางอย่างใจดำอำมหิต
‘สามีเจ้าข้าจะรับไว้เองแล้วกัน ส่วนเจ้านั้นก็จงไปลงนรกเสียเถิดนังพี่สาวหน้าโง่!’
เพียงคิดใบหน้าของหลินอวี้เหม่ยก็ถอดสี ใครเล่าจะคิดว่าน้องสาวที่เพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นมาไม่นานของนางจะกลายเป็นปีศาจจิ้งจอกแย่งสามีและทุกอย่างจากพี่สาวในภายหลัง บอกไปใครจะเชื่อ
“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าจะคุยกับพี่หญิงรองของข้าสักครู่”
“แต่คุณหนูสามเจ้าคะ อีกไม่นานเกี้ยวเจ้าสาวก็จะมาถึงจวนแล้ว ไม่อาจยืดยาดได้” เสี่ยวจูทักท้วง
“แค่ครู่เดียวเท่านั้นเอง” ใบหน้าจิ้มลิ้มที่ใครเห็นเป็นต้องเอ็นดูของสาวน้อยตรงหน้าใช้ได้ผลเสมอในยามที่ต้องการอ้อนหวังผลสิ่งใดก็ตาม เมื่อคล้อยหลังทุกคน หลินซูหนิงก็รีบยัดอะไรบางอย่างใส่มือของพี่สาว
“นี่คือ...”
“จดหมายของคุณชายหาน”
“คุณชายหาน!” หลินอวี้เหม่ยอุทานอย่างงุนงง ก็นางกำลังจะแต่งงานกับเขาอยู่นี่แล้ว ทำไมคนผู้นั้นต้องส่งจดหมายลับมาให้อีกล่ะ ไวเท่าใจคิดหญิงสาวรีบเปิดอ่านจดหมายนั่นอ่านทันที
//////////
“นี่คือ...” “จดหมายของคุณชายหาน” “คุณชายหาน!” หลินอวี้เหม่ยอุทานอย่างงุนงง ก็นางกำลังจะแต่งงานกับเขาอยู่นี่แล้ว ทำไมคนผู้นั้นต้องส่งจดหมายลับมาให้อีกล่ะ ไวเท่าใจคิดหญิงสาวรีบเปิดอ่านจดหมายนั่นอ่านทันที ข้าจะเฝ้ารอเจ้าอยู่ที่ประตูด้านหลัง เมื่อถึงเวลานั้นเราจะหนีไปด้วยกันให้ไกลสุดฟ้า ข้ารักเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด...หานเจี้ยนจวิ้น“หานเจี้ยนจวิ้น...” หลินอวี้เหม่ยขมวดคิ้วแน่น พลางอ่านทวนจดหมายนั่นถึงสองรอบ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองสบตาน้องสาว“ข้ารู้ว่าท่านพี่ไม่อยากเข้าพิธีแต่งงานครั้งนี้ ท่านรักคุณชายหานผู้นั้น แล้วเขาก็รักท่านพี่สุดหัวใจมิใช่หรือ เช่นนั้นพวกท่านก็ควรหนีไปด้วยกันเสียเถิด ข้าผู้เป็นน้องสาวจะคอยช่วยรับหน้าบิดาให้เอง”ฟังดูราวกับเป็นผู้เสียสละและรักพี่สาวอย่างยิ่ง หากหลินอวี้เหม่ยไม่ได้ผ่านฝันร้ายนั่นมาก่อนย่อมหลงกลเชื่อน้องสาวแสนดีผู้นี้จนหมดใจไปแล้ว แต่อีกใจนางก็อดสงสัยไม่ได้ ในฝันวันนี้นางควรจะต้องแต่งงานกับหานเจี้ยนจวิ้นมิใช่หรือ แล้วทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขามาชวนให้นางหนีตามกันไปเสียได้เล่า ถ้าเจ้าบ่าวไม่ใช่หานเจี้ยนจวิ้นแล้ว จะเป็นผู้ใดได้เล่า หลินอวี้เหม่ยพยายามนึกทบ
“แย่แล้วๆ พี่หญิงรองหายตัวไปแล้ว” พอขาดคำเสี่ยวจูและพวกสาวใช้ก็รีบกรูกันเข้ามาในห้องอย่างตื่นตกใจ“คุณหนูสามเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ เอ๊ะ แล้วคุณหนูรองของบ่าวหายไปไหน” “ข้า...ข้าก็ไม่รู้ นางใช้ให้ข้าไปหยิบของมาให้ พอหันกลับมาอีกทีก็หายไปตัวไปแล้ว ฮือๆ ก่อนไปนางเอาแต่ร้องไห้บอกว่าไม่อยากแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก” หลินซูหนิงร้องไห้ฟูมฟายอย่างตกใจ “พวกเจ้ารีบไปตามท่านพ่อท่านแม่ข้ามาเร็วเข้าเถอะ”เพียงไม่นานหลินจื่อชิงและเฉินซิวเจินก็รีบเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาสั่งให้ทุกคนออกตามหาลูกสาวคนรองทั่วบ้านอย่างเงียบๆ วันนี้เป็นงานมงคลหากใครรู้ว่าเจ้าสาวหนีไปจะนินทาจวนสกุลหลินว่าอย่างไร คงงามหน้าไปทั้งเมือง“บัดซบ! หนีตามบุรุษไปเนี่ยนะ นังลูกแพศยาไม่รักดี”“ท่านพี่อย่าเอ็ดเสียงดังไปสิเจ้าคะ ท่านก็รู้ว่าเหม่ยเอ๋อร์เองก็ไม่เต็มใจจะแต่งแต่แรกแล้วนี่นา” หลินซูหนิงนั่งซับน้ำตาป้อยๆ ในอ้อมอกของผู้เป็นมารดาแลดูน่าสงสาร “แต่นี่มันใช้ได้ที่ไหน เจ้าให้ท้ายจนนางเสียคน แล้วนี่ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด อีกเดี๋ยวเกี้ยวเจ้าสาวก็จะมารับแล้วด้วย ทีนี้จะเอาเจ้าสาวมาจากไหน แล้วเราจะให้คำตอบสกุลเซียวไปอย่างไร
“ช้าก่อน...”หลินจื่อชิงรีบเอ่ยขึ้น พลันมองใบหน้าจิ้มลิ้มของบุตรสาวคนที่สามอย่างครุ่นคิดหนัก ฮูหยินของเขาพูดถูก ฝ่ายนั้นไม่เคยพบหน้าหลินอวี้เหม่ยตอนโตมาก่อนเสียหน่อย ที่ต้องการแต่งก็เพื่อทำตามสัญญาหมั้นหมายเท่านั้น อีกทั้งเขายังรู้มาว่างานแต่งนี้ทำเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้กับแม่ทัพผู้เกรียงไกรนั่นเพื่อเป็นการมัดมือชกเลยชิงแต่งงานกับบุตรีของเขาเสียก่อนหากส่งบุตรีอีกคนไป ทางนั้นก็คงไม่รู้ หรือถึงจะรู้แต่ถึงตอนนั้นข้าวสารก็กลายเป็นข้าวสุกไปแล้ว ก็ยากจะแก้ไขช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขามีลูกสาวไม่รักดีเช่นหลินอวี้เหม่ยกันเล่า “เจ้าแน่ใจนะว่ายินยอมแต่งกับแม่ทัพเซียวหลงเฉิงแทนพี่สาวเจ้า”“แน่ใจเจ้าค่ะท่านพ่อ” หลินซูหนิงรับคำ ดวงตาเป็นประกายมุ่งมั่นภาพนั้นทำให้หญิงสาวที่ซ่อนตัวดูสถานการณ์อยู่ในเงามืดขมวดคิ้วอย่างงุนงงเจ้าบ่าวของนางไม่ใช่หานเจี้ยนจวิ้นแต่กลับเป็นแม่ทัพเซียวหลงเฉิงงั้นหรือชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก นางเคยได้ยินชื่อนี้จากไหนนะใช่แล้ว! ในฝันร้ายนั่นเขาคือเจ้าบ่าวของหลินซูหนิงน้องสาวนางมิใช่หรือ แล้วทำไมตอนนี้กลับกลายมาเป็นเจ้าบ่าวของนางแทนเล่านี่มันเรื่องตลกอันใดกัน สิ
“พี่หญิงรอง ทำไมท่าน...”เพียะ!ยังไม่ทันได้ถามจบ หลินอวี้เหม่ยก็ตวัดฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าจิ้มลิ้มของคนถามอย่างสุดแรง “นี่คือการลงโทษที่เจ้าบังอาจกล่าวหาพี่สาวของเจ้าว่าหนีตามผู้ชายไป”เพียะ!“ส่วนนี่คือการสั่งสอนที่เจ้าบังอาจพูดโกหกต่อหน้าท่านพ่อจนทำให้ข้าต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง”“โอ๊ย! นี่เจ้า!” หลินซูหนิงกุมแก้มทั้งสองที่ถูกตบจนเลือดกลบปากต่อหน้าทุกคน“หนิงเอ๋อร์!” พอได้สตินางเฉินก็รีบปราดเข้าไปดูอาการของลูกสาวสุดที่รัก“ไยเจ้าจึงต้องลงมือรุนแรงกับลูกข้าด้วย”“หรือจะให้ข้าตบท่านด้วยอีกสักสองทีหรือไม่ โทษฐานที่ท่านไม่รู้จักสั่งสอนลูกสาวของท่านให้ดี กลับส่งเสริมให้ใส่ร้ายทำลายชีวิตผู้อื่นเช่นนี้”หลินอวี้เหม่ยถามเสียงเย็นเยียบ ดวงตาเย็นชาตวัดมองสองแม่ลูกตัวแสบที่ในชาติก่อนทำร้ายนางไว้อย่างหนักหนาสาหัส“ท่านพี่...ท่านจะยืนดูข้ากับลูกสามถูกบุตรสาวท่านตบตีเช่นนี้เฉยๆ หรือเจ้าคะ” พอสู้ไม่ได้ก็หันไปฟ้องสามีหาตัวช่วย“เหม่ยเอ๋อร์! เจ้าทำร้ายคนแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน” หลินจื่อชิงขึ้นเสียงตวาดใส่“แล้วทีพวกนางทำร้ายข้า ใส่ความข้าเล่าเจ้าคะ ใช้ได้หรือ ข้าก็เพียงแต่ปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองและจวนของเ
หลังจากที่รอเจ้าสาวอยู่พักใหญ่ ในที่สุดหลินอวี้เหม่ยก็ปรากฏกายในชุดเจ้าสาวสีแดงงดงามและหรูหรา คลุมศีรษะด้วยผ้าสีแดงตามประเพณี แต่ทว่าแทนที่จะเห็นเจ้าบ่าวที่ควรขี่ม้ามารับเจ้าสาวตามธรรมเนียมแต่กลับไร้เงาทำให้พ่อของเจ้าสาวอดขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจไม่ได้ แม้ว่างานวิวาห์นี้เป็นอดีตฮูหยินที่ล่วงลับได้ตกลงกับมารดาของเจ้าบ่าว แต่ก็ควรให้เกียรติฝ่ายเจ้าสาวบ้าง“ท่านพ่อรักษาตัวด้วย ลูกไปก่อนนะเจ้าคะ” หลินจื่อชิงถึงกับผงะไปเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ลูกสาวก็สวมกอดตน ทั้งที่นานแล้วที่อีกฝ่ายไม่ได้กอดคนเป็นพ่อเช่นนี้“อืม...เจ้าก็เช่นกัน จงจำไว้ว่าต้องรักษาเกียรติของสกุลหลินของเราไว้ให้ดี อย่าทำอะไรให้เสื่อมเสียหรือเดือดร้อนมาถึงตระกูลเราได้”หลินอวี้เหม่ยฝืนยิ้มในใจขื่นขม กระทั่งคำอวยพรก่อนออกเรือน บิดาของนางก็ยังห่วงตระกูลมากกว่าลูกสาวคนนี้“เจ้าค่ะท่านพ่อ”หญิงสาวรับคำเบาๆ แต่ในนาทีที่ผละออกนางก็รีบยัดบางอย่างใส่มือผู้เป็นบิดาโดยไม่มีผู้ใดทันสังเกตพร้อมกับกระซิบบางอย่างเบาๆ แล้วรีบคารวะบิดา ซึ่งเป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่นางเหลือในโลกนี้ ก่อนจะเดินตรงไปขึ้นเกี้ยวบุปผาโดยไม่เหลียวหลัง เสี่ยวจูสาวใช้คนสนิทรีบเดิน
หลินซูหนิงหน้าแดงก่ำ อดเขินไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนเมื่ออีกฝ่ายยื่นริมฝีปากมาจูบที่ปากอิ่ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองลอบพบกันลับหลังผู้คน“คุณชายหาน เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า”“เห็นก็เห็นสิ ถึงอย่างไร อีกไม่นานข้าก็ต้องให้แม่สื่อมาสู่ขอเจ้าไปเป็นฮูหยินของข้าอยู่แล้ว”แต่ข้าอยากเป็นฮูหยินของจวนท่านแม่ทัพใหญ่มากกว่าฮูหยินของรองแม่ทัพปลายแถวอย่างท่านนี่นา หลินซูหนิงได้แต่ตอบโต้ในใจอย่างหงุดหงิดที่ทุกอย่างผิดแผนไปหมดไม่ได้อย่างใจนางทำไมนะ วาสนาดีๆ ถึงต้องไปตกที่นังพี่รองนั่นตลอด“เอ๊ะ! นั่นแก้มเจ้าทำไมเป็นรอยแดงเช่นนี้เล่า” จู่ๆ ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้างามของคนรัก“เอ่อ...เป็นเพราะข้ารีบมาหาท่าน เลยสะดุดล้มน่ะสิเจ้าคะ” หลินซูหนิงตอบพลางนึกอยากหักคอพี่สาวที่ทำให้แก้มนางมีรอยช้ำ“โถ...ยอดรักของข้า เจ้าช่างน่าสงสาร มาเถอะข้าจะช่วยรักษาแผลให้เจ้าเองนะ”หานเจี้ยนจวิ้นกระซิบคำหวาน พร้อมกับโน้มลงจุมพิตที่แก้มและริมฝีปากของนางอย่างหลงใหล จนทำให้สาวน้อยอดเคลิ้มตามไม่ได้“เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยว่าคิดถึงข้าหรือไม่”“คิดถึงสิเจ้าคะ ข้าย่อมคิดถึงท่านเพียงผู้เดียว”“ชื่นใจนักคนดีของข้า” พอขาดคำ
อีกด้านเกี้ยวเจ้าสาวก็มาหยุดที่หน้าจวนสกุลเซียว ที่ในวันนี้เต็มไปด้วยความครึกครื้นและการตกแต่งที่งดงามอลังการ งานแต่งงานของแม่ทัพเซียวผู้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดิน ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ มีผู้คนจากทุกสารทิศเดินทางมาร่วมแสดงความยินดี ไม่ว่าจะเป็นขุนนางสูงศักดิ์ ผู้มีอำนาจจากราชสำนัก รวมถึงชาวบ้านที่ต่างพากันมาชมงานแต่งงานที่แสนยิ่งใหญ่นี้ ใครๆ ต่างก็อยากเห็นเจ้าสาวของท่านแม่ทัพใหญ่กันทั้งนั้น“เชิญเจ้าสาวลงจากเกี้ยว”เสียงนั้นเรียกสติที่หลุดลอยของหลินอวี้เหม่ยให้กลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง ตั้งแต่ออกจากบ้านมา นางก็ใจลอยครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้ลงมือทำไปป่านนี้ไม่รู้ว่าที่บ้านของนางกำลังโกลาหลกันปานใด แต่จะโทษใครได้ในเมื่อน้องสาวตัวดีของนางหาเรื่องใส่ตัวก่อน นางก็เพียงแค่ส่งทุกข์นั่นกลับคืนไปให้เจ้าของก็เท่านั้น ถือว่าเจ๊ากันไปมิใช่หรือ อย่างน้อยก็อาจช่วยตัดไฟแต่ต้นลมได้บ้าง จะหาว่านางใจร้ายก็ได้ ในเมื่อใจดีแล้วต้องพบจุดจบน่าอนาถ ก็ต้องร้ายเสียบ้างแบบนี้แหละ“คุณหนูเจ้าคะ”เสียงเสี่ยวจูกระซิบเรียกที่ข้างเกี้ยวอีกครั้ง ทำให้หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ ไล่ความสิ่งที่รบกวนออกไปจากหัวใจ อย่างน้อยวันนี้นา
ในยามราตรีอันเงียบงัน ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสายทำให้เมืองทั้งเมืองราวกับถูกปกคลุมด้วยผ้าห่มสีขาวหนาและหนาวเหน็บที่สุดในรอบหลายสิบปี เสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านทุ่งหิมะเงียบเหงาราวกับเสียงภูติผีร้ายที่กำลังขู่คำราม ผู้คนต่างหลบซ่อนตัวในบ้านเรือนที่ปิดแน่น ไม่มีแสงไฟจากบ้านใดๆ มองเห็นได้ มีเพียงแสงจันทร์ที่สะท้อนกับพื้นหิมะที่ให้แสงสว่างจางๆ แก่โลกที่เงียบสงบและว่างเปล่านี้ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ!“เฮือก! อึก!”เสียงแส้วาดผ่านอากาศลงบนแผ่นหลังของใครคนหนึ่งอย่างสุดแรงจนสะดุ้งเฮือกครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเจ็บปวดแสนสาหัสไปทั้งร่าง มือที่เคยเรียวสวยดังลำเทียนสลักถูกเครื่องลงทัณฑ์บีบนิ้วจนกระดูกแตกร้าวผิดรูปช้ำเลือดช้ำหนองพยายามจิกเข้าหากันแน่น“นางแพศยาไร้ยางอาย! จงรับสารภาพมาเสียดีๆ ว่าชายชู้ที่เจ้าแอบลักลอบไปหลับนอนด้วยนั่นคือไอ้สุนัขขี้เรื้อนตัวใดกัน” พอสิ้นเสียงนั้น แส้ในมือคนถามก็ตวัดฟาดลงบนผิวเนื้อขาวเนียนผ่องที่ตอนนี้ขึ้นลายริ้วแผลแตกยับจนเลือดซิบ เจ็บลึกบาดลงไปถึงกระดูก แต่ทว่าเจ้าตัวกลับกัดฟันไม่แม้แต่จะเปล่งเสียงร้องออกมาสักแอะ มีเพียงดวงตาแดงก่ำที่ลอยคว้างมองไปภาพเบื้องหน้
อีกด้านเกี้ยวเจ้าสาวก็มาหยุดที่หน้าจวนสกุลเซียว ที่ในวันนี้เต็มไปด้วยความครึกครื้นและการตกแต่งที่งดงามอลังการ งานแต่งงานของแม่ทัพเซียวผู้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดิน ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ มีผู้คนจากทุกสารทิศเดินทางมาร่วมแสดงความยินดี ไม่ว่าจะเป็นขุนนางสูงศักดิ์ ผู้มีอำนาจจากราชสำนัก รวมถึงชาวบ้านที่ต่างพากันมาชมงานแต่งงานที่แสนยิ่งใหญ่นี้ ใครๆ ต่างก็อยากเห็นเจ้าสาวของท่านแม่ทัพใหญ่กันทั้งนั้น“เชิญเจ้าสาวลงจากเกี้ยว”เสียงนั้นเรียกสติที่หลุดลอยของหลินอวี้เหม่ยให้กลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง ตั้งแต่ออกจากบ้านมา นางก็ใจลอยครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้ลงมือทำไปป่านนี้ไม่รู้ว่าที่บ้านของนางกำลังโกลาหลกันปานใด แต่จะโทษใครได้ในเมื่อน้องสาวตัวดีของนางหาเรื่องใส่ตัวก่อน นางก็เพียงแค่ส่งทุกข์นั่นกลับคืนไปให้เจ้าของก็เท่านั้น ถือว่าเจ๊ากันไปมิใช่หรือ อย่างน้อยก็อาจช่วยตัดไฟแต่ต้นลมได้บ้าง จะหาว่านางใจร้ายก็ได้ ในเมื่อใจดีแล้วต้องพบจุดจบน่าอนาถ ก็ต้องร้ายเสียบ้างแบบนี้แหละ“คุณหนูเจ้าคะ”เสียงเสี่ยวจูกระซิบเรียกที่ข้างเกี้ยวอีกครั้ง ทำให้หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ ไล่ความสิ่งที่รบกวนออกไปจากหัวใจ อย่างน้อยวันนี้นา
หลินซูหนิงหน้าแดงก่ำ อดเขินไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนเมื่ออีกฝ่ายยื่นริมฝีปากมาจูบที่ปากอิ่ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองลอบพบกันลับหลังผู้คน“คุณชายหาน เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า”“เห็นก็เห็นสิ ถึงอย่างไร อีกไม่นานข้าก็ต้องให้แม่สื่อมาสู่ขอเจ้าไปเป็นฮูหยินของข้าอยู่แล้ว”แต่ข้าอยากเป็นฮูหยินของจวนท่านแม่ทัพใหญ่มากกว่าฮูหยินของรองแม่ทัพปลายแถวอย่างท่านนี่นา หลินซูหนิงได้แต่ตอบโต้ในใจอย่างหงุดหงิดที่ทุกอย่างผิดแผนไปหมดไม่ได้อย่างใจนางทำไมนะ วาสนาดีๆ ถึงต้องไปตกที่นังพี่รองนั่นตลอด“เอ๊ะ! นั่นแก้มเจ้าทำไมเป็นรอยแดงเช่นนี้เล่า” จู่ๆ ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้างามของคนรัก“เอ่อ...เป็นเพราะข้ารีบมาหาท่าน เลยสะดุดล้มน่ะสิเจ้าคะ” หลินซูหนิงตอบพลางนึกอยากหักคอพี่สาวที่ทำให้แก้มนางมีรอยช้ำ“โถ...ยอดรักของข้า เจ้าช่างน่าสงสาร มาเถอะข้าจะช่วยรักษาแผลให้เจ้าเองนะ”หานเจี้ยนจวิ้นกระซิบคำหวาน พร้อมกับโน้มลงจุมพิตที่แก้มและริมฝีปากของนางอย่างหลงใหล จนทำให้สาวน้อยอดเคลิ้มตามไม่ได้“เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยว่าคิดถึงข้าหรือไม่”“คิดถึงสิเจ้าคะ ข้าย่อมคิดถึงท่านเพียงผู้เดียว”“ชื่นใจนักคนดีของข้า” พอขาดคำ
หลังจากที่รอเจ้าสาวอยู่พักใหญ่ ในที่สุดหลินอวี้เหม่ยก็ปรากฏกายในชุดเจ้าสาวสีแดงงดงามและหรูหรา คลุมศีรษะด้วยผ้าสีแดงตามประเพณี แต่ทว่าแทนที่จะเห็นเจ้าบ่าวที่ควรขี่ม้ามารับเจ้าสาวตามธรรมเนียมแต่กลับไร้เงาทำให้พ่อของเจ้าสาวอดขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจไม่ได้ แม้ว่างานวิวาห์นี้เป็นอดีตฮูหยินที่ล่วงลับได้ตกลงกับมารดาของเจ้าบ่าว แต่ก็ควรให้เกียรติฝ่ายเจ้าสาวบ้าง“ท่านพ่อรักษาตัวด้วย ลูกไปก่อนนะเจ้าคะ” หลินจื่อชิงถึงกับผงะไปเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ลูกสาวก็สวมกอดตน ทั้งที่นานแล้วที่อีกฝ่ายไม่ได้กอดคนเป็นพ่อเช่นนี้“อืม...เจ้าก็เช่นกัน จงจำไว้ว่าต้องรักษาเกียรติของสกุลหลินของเราไว้ให้ดี อย่าทำอะไรให้เสื่อมเสียหรือเดือดร้อนมาถึงตระกูลเราได้”หลินอวี้เหม่ยฝืนยิ้มในใจขื่นขม กระทั่งคำอวยพรก่อนออกเรือน บิดาของนางก็ยังห่วงตระกูลมากกว่าลูกสาวคนนี้“เจ้าค่ะท่านพ่อ”หญิงสาวรับคำเบาๆ แต่ในนาทีที่ผละออกนางก็รีบยัดบางอย่างใส่มือผู้เป็นบิดาโดยไม่มีผู้ใดทันสังเกตพร้อมกับกระซิบบางอย่างเบาๆ แล้วรีบคารวะบิดา ซึ่งเป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่นางเหลือในโลกนี้ ก่อนจะเดินตรงไปขึ้นเกี้ยวบุปผาโดยไม่เหลียวหลัง เสี่ยวจูสาวใช้คนสนิทรีบเดิน
“พี่หญิงรอง ทำไมท่าน...”เพียะ!ยังไม่ทันได้ถามจบ หลินอวี้เหม่ยก็ตวัดฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าจิ้มลิ้มของคนถามอย่างสุดแรง “นี่คือการลงโทษที่เจ้าบังอาจกล่าวหาพี่สาวของเจ้าว่าหนีตามผู้ชายไป”เพียะ!“ส่วนนี่คือการสั่งสอนที่เจ้าบังอาจพูดโกหกต่อหน้าท่านพ่อจนทำให้ข้าต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง”“โอ๊ย! นี่เจ้า!” หลินซูหนิงกุมแก้มทั้งสองที่ถูกตบจนเลือดกลบปากต่อหน้าทุกคน“หนิงเอ๋อร์!” พอได้สตินางเฉินก็รีบปราดเข้าไปดูอาการของลูกสาวสุดที่รัก“ไยเจ้าจึงต้องลงมือรุนแรงกับลูกข้าด้วย”“หรือจะให้ข้าตบท่านด้วยอีกสักสองทีหรือไม่ โทษฐานที่ท่านไม่รู้จักสั่งสอนลูกสาวของท่านให้ดี กลับส่งเสริมให้ใส่ร้ายทำลายชีวิตผู้อื่นเช่นนี้”หลินอวี้เหม่ยถามเสียงเย็นเยียบ ดวงตาเย็นชาตวัดมองสองแม่ลูกตัวแสบที่ในชาติก่อนทำร้ายนางไว้อย่างหนักหนาสาหัส“ท่านพี่...ท่านจะยืนดูข้ากับลูกสามถูกบุตรสาวท่านตบตีเช่นนี้เฉยๆ หรือเจ้าคะ” พอสู้ไม่ได้ก็หันไปฟ้องสามีหาตัวช่วย“เหม่ยเอ๋อร์! เจ้าทำร้ายคนแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน” หลินจื่อชิงขึ้นเสียงตวาดใส่“แล้วทีพวกนางทำร้ายข้า ใส่ความข้าเล่าเจ้าคะ ใช้ได้หรือ ข้าก็เพียงแต่ปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองและจวนของเ
“ช้าก่อน...”หลินจื่อชิงรีบเอ่ยขึ้น พลันมองใบหน้าจิ้มลิ้มของบุตรสาวคนที่สามอย่างครุ่นคิดหนัก ฮูหยินของเขาพูดถูก ฝ่ายนั้นไม่เคยพบหน้าหลินอวี้เหม่ยตอนโตมาก่อนเสียหน่อย ที่ต้องการแต่งก็เพื่อทำตามสัญญาหมั้นหมายเท่านั้น อีกทั้งเขายังรู้มาว่างานแต่งนี้ทำเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้กับแม่ทัพผู้เกรียงไกรนั่นเพื่อเป็นการมัดมือชกเลยชิงแต่งงานกับบุตรีของเขาเสียก่อนหากส่งบุตรีอีกคนไป ทางนั้นก็คงไม่รู้ หรือถึงจะรู้แต่ถึงตอนนั้นข้าวสารก็กลายเป็นข้าวสุกไปแล้ว ก็ยากจะแก้ไขช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขามีลูกสาวไม่รักดีเช่นหลินอวี้เหม่ยกันเล่า “เจ้าแน่ใจนะว่ายินยอมแต่งกับแม่ทัพเซียวหลงเฉิงแทนพี่สาวเจ้า”“แน่ใจเจ้าค่ะท่านพ่อ” หลินซูหนิงรับคำ ดวงตาเป็นประกายมุ่งมั่นภาพนั้นทำให้หญิงสาวที่ซ่อนตัวดูสถานการณ์อยู่ในเงามืดขมวดคิ้วอย่างงุนงงเจ้าบ่าวของนางไม่ใช่หานเจี้ยนจวิ้นแต่กลับเป็นแม่ทัพเซียวหลงเฉิงงั้นหรือชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก นางเคยได้ยินชื่อนี้จากไหนนะใช่แล้ว! ในฝันร้ายนั่นเขาคือเจ้าบ่าวของหลินซูหนิงน้องสาวนางมิใช่หรือ แล้วทำไมตอนนี้กลับกลายมาเป็นเจ้าบ่าวของนางแทนเล่านี่มันเรื่องตลกอันใดกัน สิ
“แย่แล้วๆ พี่หญิงรองหายตัวไปแล้ว” พอขาดคำเสี่ยวจูและพวกสาวใช้ก็รีบกรูกันเข้ามาในห้องอย่างตื่นตกใจ“คุณหนูสามเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ เอ๊ะ แล้วคุณหนูรองของบ่าวหายไปไหน” “ข้า...ข้าก็ไม่รู้ นางใช้ให้ข้าไปหยิบของมาให้ พอหันกลับมาอีกทีก็หายไปตัวไปแล้ว ฮือๆ ก่อนไปนางเอาแต่ร้องไห้บอกว่าไม่อยากแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก” หลินซูหนิงร้องไห้ฟูมฟายอย่างตกใจ “พวกเจ้ารีบไปตามท่านพ่อท่านแม่ข้ามาเร็วเข้าเถอะ”เพียงไม่นานหลินจื่อชิงและเฉินซิวเจินก็รีบเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาสั่งให้ทุกคนออกตามหาลูกสาวคนรองทั่วบ้านอย่างเงียบๆ วันนี้เป็นงานมงคลหากใครรู้ว่าเจ้าสาวหนีไปจะนินทาจวนสกุลหลินว่าอย่างไร คงงามหน้าไปทั้งเมือง“บัดซบ! หนีตามบุรุษไปเนี่ยนะ นังลูกแพศยาไม่รักดี”“ท่านพี่อย่าเอ็ดเสียงดังไปสิเจ้าคะ ท่านก็รู้ว่าเหม่ยเอ๋อร์เองก็ไม่เต็มใจจะแต่งแต่แรกแล้วนี่นา” หลินซูหนิงนั่งซับน้ำตาป้อยๆ ในอ้อมอกของผู้เป็นมารดาแลดูน่าสงสาร “แต่นี่มันใช้ได้ที่ไหน เจ้าให้ท้ายจนนางเสียคน แล้วนี่ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด อีกเดี๋ยวเกี้ยวเจ้าสาวก็จะมารับแล้วด้วย ทีนี้จะเอาเจ้าสาวมาจากไหน แล้วเราจะให้คำตอบสกุลเซียวไปอย่างไร
“นี่คือ...” “จดหมายของคุณชายหาน” “คุณชายหาน!” หลินอวี้เหม่ยอุทานอย่างงุนงง ก็นางกำลังจะแต่งงานกับเขาอยู่นี่แล้ว ทำไมคนผู้นั้นต้องส่งจดหมายลับมาให้อีกล่ะ ไวเท่าใจคิดหญิงสาวรีบเปิดอ่านจดหมายนั่นอ่านทันที ข้าจะเฝ้ารอเจ้าอยู่ที่ประตูด้านหลัง เมื่อถึงเวลานั้นเราจะหนีไปด้วยกันให้ไกลสุดฟ้า ข้ารักเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด...หานเจี้ยนจวิ้น“หานเจี้ยนจวิ้น...” หลินอวี้เหม่ยขมวดคิ้วแน่น พลางอ่านทวนจดหมายนั่นถึงสองรอบ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองสบตาน้องสาว“ข้ารู้ว่าท่านพี่ไม่อยากเข้าพิธีแต่งงานครั้งนี้ ท่านรักคุณชายหานผู้นั้น แล้วเขาก็รักท่านพี่สุดหัวใจมิใช่หรือ เช่นนั้นพวกท่านก็ควรหนีไปด้วยกันเสียเถิด ข้าผู้เป็นน้องสาวจะคอยช่วยรับหน้าบิดาให้เอง”ฟังดูราวกับเป็นผู้เสียสละและรักพี่สาวอย่างยิ่ง หากหลินอวี้เหม่ยไม่ได้ผ่านฝันร้ายนั่นมาก่อนย่อมหลงกลเชื่อน้องสาวแสนดีผู้นี้จนหมดใจไปแล้ว แต่อีกใจนางก็อดสงสัยไม่ได้ ในฝันวันนี้นางควรจะต้องแต่งงานกับหานเจี้ยนจวิ้นมิใช่หรือ แล้วทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขามาชวนให้นางหนีตามกันไปเสียได้เล่า ถ้าเจ้าบ่าวไม่ใช่หานเจี้ยนจวิ้นแล้ว จะเป็นผู้ใดได้เล่า หลินอวี้เหม่ยพยายามนึกทบ
“เฮือก!” หลินอวี้เหม่ยสะดุ้งพรวดลืมตาตื่นขึ้นในฉับพลัน ใบหน้างามพริ้มเพราซีดเผือดผุดเหงื่อกาฬเต็มหน้า เนื้อตัวสั่นสะท้านมือเรียวเสลารีบยกขึ้นกุมที่ใบหน้าและทรวงอกบริเวณที่โดนดาบแทงทะลุอย่างตกใจสุดขีดนางตายไปแล้วหรือ...“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะคุณหนูรอง” เสียงใครบางคนดังขึ้นข้างกายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยหลินอวี้เหม่ยรีบหันขวับไปมองสาวใช้ประจำตัวของตนอย่างประหลาดใจ“เสี่ยวจู!” หญิงสาวตกใจที่ตนเองยังเปล่งเสียงพูดได้ ลิ้นยังอยู่ในปากดีไม่ได้ถูกตัดขาด “คุณหนูเป็นอันใดไปเจ้าคะ”“นี่เจ้ายังไม่ตายหรือเสี่ยวจู...”“ตาย? คุณหนูรองท่านกำลังพูดเรื่องอันใดกันเจ้าคะ” เสี่ยวจูถามใบหน้าเหลอหลา ก็เห็นๆ อยู่ว่านางยืนหัวโด่อยู่นี่ “นี่ข้าฝันไปหรือ...”มันเป็นเพียงฝันร้าย แต่ทำไมมันถึงรู้สึกสมจริงเช่นนี้เล่า กระทั่งกลิ่นคาวเลือดในปากยังคงอบอวลไม่หาย หลินอวี้เหม่ยหัวใจเต้นรัว นางมองไปรอบๆ ห้องนอนที่คุ้นตา ลมหายใจของนางยังไม่สม่ำเสมอ ขณะที่พยายามสงบสติอารมณ์ หัวใจของนางกลับเต็มไปด้วยความสับสนฝันร้ายที่เพิ่งเผชิญนั้นช่างสมจริงจนนางรู้สึกเหมือนว่ามันเคยเกิดขึ้น ภาพในฝันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ช่วงเวลาที่นางถูกก
ในยามราตรีอันเงียบงัน ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสายทำให้เมืองทั้งเมืองราวกับถูกปกคลุมด้วยผ้าห่มสีขาวหนาและหนาวเหน็บที่สุดในรอบหลายสิบปี เสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านทุ่งหิมะเงียบเหงาราวกับเสียงภูติผีร้ายที่กำลังขู่คำราม ผู้คนต่างหลบซ่อนตัวในบ้านเรือนที่ปิดแน่น ไม่มีแสงไฟจากบ้านใดๆ มองเห็นได้ มีเพียงแสงจันทร์ที่สะท้อนกับพื้นหิมะที่ให้แสงสว่างจางๆ แก่โลกที่เงียบสงบและว่างเปล่านี้ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ!“เฮือก! อึก!”เสียงแส้วาดผ่านอากาศลงบนแผ่นหลังของใครคนหนึ่งอย่างสุดแรงจนสะดุ้งเฮือกครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเจ็บปวดแสนสาหัสไปทั้งร่าง มือที่เคยเรียวสวยดังลำเทียนสลักถูกเครื่องลงทัณฑ์บีบนิ้วจนกระดูกแตกร้าวผิดรูปช้ำเลือดช้ำหนองพยายามจิกเข้าหากันแน่น“นางแพศยาไร้ยางอาย! จงรับสารภาพมาเสียดีๆ ว่าชายชู้ที่เจ้าแอบลักลอบไปหลับนอนด้วยนั่นคือไอ้สุนัขขี้เรื้อนตัวใดกัน” พอสิ้นเสียงนั้น แส้ในมือคนถามก็ตวัดฟาดลงบนผิวเนื้อขาวเนียนผ่องที่ตอนนี้ขึ้นลายริ้วแผลแตกยับจนเลือดซิบ เจ็บลึกบาดลงไปถึงกระดูก แต่ทว่าเจ้าตัวกลับกัดฟันไม่แม้แต่จะเปล่งเสียงร้องออกมาสักแอะ มีเพียงดวงตาแดงก่ำที่ลอยคว้างมองไปภาพเบื้องหน้