อีกด้านเกี้ยวเจ้าสาวก็มาหยุดที่หน้าจวนสกุลเซียว ที่ในวันนี้เต็มไปด้วยความครึกครื้นและการตกแต่งที่งดงามอลังการ งานแต่งงานของแม่ทัพเซียวผู้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดิน ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ มีผู้คนจากทุกสารทิศเดินทางมาร่วมแสดงความยินดี ไม่ว่าจะเป็นขุนนางสูงศักดิ์ ผู้มีอำนาจจากราชสำนัก รวมถึงชาวบ้านที่ต่างพากันมาชมงานแต่งงานที่แสนยิ่งใหญ่นี้ ใครๆ ต่างก็อยากเห็นเจ้าสาวของท่านแม่ทัพใหญ่กันทั้งนั้น
“เชิญเจ้าสาวลงจากเกี้ยว”
เสียงนั้นเรียกสติที่หลุดลอยของหลินอวี้เหม่ยให้กลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง ตั้งแต่ออกจากบ้านมา นางก็ใจลอยครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้ลงมือทำไป
ป่านนี้ไม่รู้ว่าที่บ้านของนางกำลังโกลาหลกันปานใด แต่จะโทษใครได้ในเมื่อน้องสาวตัวดีของนางหาเรื่องใส่ตัวก่อน นางก็เพียงแค่ส่งทุกข์นั่นกลับคืนไปให้เจ้าของก็เท่านั้น ถือว่าเจ๊ากันไปมิใช่หรือ อย่างน้อยก็อาจช่วยตัดไฟแต่ต้นลมได้บ้าง จะหาว่านางใจร้ายก็ได้ ในเมื่อใจดีแล้วต้องพบจุดจบน่าอนาถ ก็ต้องร้ายเสียบ้างแบบนี้แหละ
“คุณหนูเจ้าคะ”
เสียงเสี่ยวจูกระซิบเรียกที่ข้างเกี้ยวอีกครั้ง ทำให้หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ ไล่ความสิ่งที่รบกวนออกไปจากหัวใจ อย่างน้อยวันนี้นางก็ไม่ได้แต่งงานกับบุรุษสารเลวอย่างหานเจี้ยนจวิ้นนั่น และเสี่ยวจูของนางก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป อย่างน้อยการเลือกครั้งนี้ก็อาจจะทำให้ชะตากรรมของนางเปลี่ยนแปลงได้บ้าง
ส่วนเจ้าบ่าวแม้จะไม่เคยพบหน้ากัน แต่อย่างน้อยก็คงไม่เลวร้ายเท่ากับสามีชั่วในความฝันนั่น เหลือแค่ชะตากรรมกบฏนั่นที่นางจะต้องหาทางเปลี่ยนมันให้ได้ หรือไม่ก็ทำให้เขาหย่ากับนางเสีย เพื่อรอดพ้นจากชะตากรรมอันเลวร้ายเหมือนในฝันนั่น
หลินอวี้เหม่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ เรียกความกล้า ก่อนจะก้าวลงจากเกี้ยวอย่างสง่างาม ท่ามกลางเสียงชื่นชมยินดีของผู้คนรอบข้าง แต่นั่นยิ่งทำให้นางกลับรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น ถึงกระนั้นก็พยายามคุมสติให้มั่นเพื่อก้าวเข้าพิธีแต่งงานตรงหน้า หากแล้วในวินาทีที่นางกำลังจะก้าวเข้าประตูจวนนั่นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังขัดขึ้นเสียก่อน
“ช้าก่อน!”
เสียงดนตรีก็ถูกขัดด้วยเสียงฝีเท้าของทหารผู้หนึ่งในชุดเกราะเต็มยศที่วิ่งเข้ามาแจ้งข่าวเร่งด่วน
“แม่ทัพเซียวได้รับราชโองการจากราชสำนักให้ไปปราบโจรชั่วที่กำลังบุกโจมตีเข้ามาในเขตชายแดน วันนี้ไม่อาจเข้าพิธีแต่งงานได้แล้ว พิธีจะต้องเลื่อนออกไปจนกว่าแม่ทัพจะเสร็จสิ้นภารกิจ...”
พอขาดคำ สายตาทุกคู่ก็พร้อมใจกันมองไปทางเจ้าสาวที่ยืนตัวแข็งทื่อเป็นหินอย่างตกตะลึงกับข่าวที่ได้ยิน ท่ามกลางเสียงฮือฮาและซุบซิบอื้ออึงของคนรอบข้าง ทุกคนต่างพูดถึงการที่เจ้าบ่าวไม่ไปรับเจ้าสาวก็ว่าแย่แล้ว แต่เขากลับไม่มาร่วมพิธีแต่งงานของตัวเองอีก
นี่มันเรียกว่าอะไรได้ นอกจากว่าฝ่ายชายไม่เต็มใจแต่งงานกับบุตรีสกุลหลินน่ะสิ
“น่าสงสารเจ้าสาวนะ แต่ข้าเคยได้ยินว่าท่านแม่ทัพมีหญิงงามในดวงใจอยู่แล้วมิใช่หรือ”
“ข้าก็เคยได้ยินมาเช่นนั้น แล้วทำไมจึงมาแต่งงานกับลูกสาวสกุลหลินล่ะ”
“เห็นว่ามารดาของท่านแม่ทัพเคยทำสัญญากับมารดาของคุณหนูรองสกุลหลินให้แต่งงานกัน อีกทั้งเพื่อเลี่ยงงานสมรสพระราชทานที่ฮ่องเต้จะประทานให้ด้วย เลยจำต้องชิงเข้าพิธีแต่งงานนี้เสียก่อนน่ะสิ”
“งั้นเจ้าสาวก็น่าสงสารสิ ต้องมาแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก แล้วดูเขาทำกับนางสิ” เสียงคนในงานกระซิบจนดังมาเข้าหู
หลินอวี้เหม่ยได้ฟังก็มือไม้สั่น บอกไม่ถูกว่าตนรู้สึกอย่างไรมากกว่าระหว่างตกใจ โมโห อับอายขายหน้า หรือโล่ง อกที่เจ้าบ่าวไม่อาจมาเข้าพิธีในวันนี้ได้ ทว่านางก็พยายามสงวนท่าทีไว้ไม่ให้ผู้ใดมาดูถูก
ไปปราบโจรในวันแต่งงานเนี่ยนะ ช่างน่าขันนัก หากไม่อยากแต่ง เขาก็เพียงบอกกันดีๆ บอกให้ไวกว่านี้ไม่ต้องลงทุนยกเกี้ยวไปรับนางมาให้เหนื่อยแรงคนแบกเกี้ยวก็ได้ นอกจากว่าฝ่ายเจ้าบ่าวนั่นจะจงใจอยากฉีกหน้ากันให้อับอายน่ะสิไม่ว่า
เจ้าแม่ทัพกบฏชั่วนี่สมควรตายยิ่งนัก!
หากเขามีคนที่รักอยู่แล้วทำไมไม่ไปแต่งกับคนผู้นั้น กลับมาแต่งงานกับนางทำไม นางสู้อุตส่าห์คิดว่าเลือกหนทางที่ถูก แต่แล้วกลับต้องมากลายเป็นตัวตลกให้ผู้คนหัวเราะเยาะ หากน้องสาวตัวร้ายรู้เข้าคงสะใจและสมน้ำหน้ากันไม่น้อย
“แล้วเช่นนี้ เจ้าสาวจะให้ทำอย่างไรล่ะ”
เสียงใครบางคนในงานถามขึ้น ทำให้หลินอวี้เหม่ยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่ได้แม้แต่จะย่างเท้าเข้าจวนหรือผ่านพิธีอะไร นั่นก็เท่ากับว่านางยังไม่ได้แต่งงานน่ะสิ
แล้วนี่นางควรจะทำอย่างไรต่อ ในเมื่อเจ้าบ่าวเพียงแจ้งข่าวมาแค่ว่าให้เลื่อนงานแต่งออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าเขาจะเสร็จสิ้นภารกิจปราบโจร แต่ไม่ได้บอกว่าให้นางกลับไปรอที่บ้าน หรืออยู่ต่อที่จวนแห่งนี้เพื่อรอเขา
ดวงตาคู่งามสั่นไหวระริก สองมือกุมกันแน่นเพื่อข่มใจ พยายามบังคับตัวเองให้ยืนนิ่งสง่างามไม่ให้ผู้ใดหัวเราะเยาะมากไปกว่านี้
“ท่านแม่ทัพสั่งว่าให้เจ้าสาวไปพักที่เรือนนอกก่อน รอจนกว่าท่านแม่ทัพกลับมาค่อยทำพิธีต่อจนเสร็จสิ้นแล้วค่อยรับเข้าหอในจวนตามธรรมเนียมตระกูล…”
หลินอวี้เหม่ยเงยหน้าขึ้นมองผ่านผ้าคลุมไปยังนายทหารตรงหน้า ดูท่าจวนหลังนี้นอกจากท่านแม่ทัพผู้นั้นก็ไม่มีผู้ใดมีอำนาจสั่งการแทนได้อีกสินะ
น่าเสียดายที่ในฝันร้ายนั่น นางไม่ได้รู้เห็นเรื่องราวตอนที่หลินซูหนิงแต่งงานกับสามีผู้นี้มากนัก รู้แต่เพียงตอนจบว่าเขาถูกใส่ความว่าเป็นกบฏและถูกตัดสินประหารชีวิตไป นอกเหนือจากนั้นนางแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ไม่รู้จักหน้าตา หรือกระทั่งว่าตอนนี้ครอบครัวของเขามีญาติผู้ใหญ่หรือพี่น้องเหลือกี่คน
แถมตอนนี้เหตุการณ์ทุกอย่างก็ต่างไปจากความฝันแล้ว เช่นนั้นนางควรทำเช่นไรต่อไปดี
ในยามราตรีอันเงียบงัน ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสายทำให้เมืองทั้งเมืองราวกับถูกปกคลุมด้วยผ้าห่มสีขาวหนาและหนาวเหน็บที่สุดในรอบหลายสิบปี เสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านทุ่งหิมะเงียบเหงาราวกับเสียงภูติผีร้ายที่กำลังขู่คำราม ผู้คนต่างหลบซ่อนตัวในบ้านเรือนที่ปิดแน่น ไม่มีแสงไฟจากบ้านใดๆ มองเห็นได้ มีเพียงแสงจันทร์ที่สะท้อนกับพื้นหิมะที่ให้แสงสว่างจางๆ แก่โลกที่เงียบสงบและว่างเปล่านี้ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ!“เฮือก! อึก!”เสียงแส้วาดผ่านอากาศลงบนแผ่นหลังของใครคนหนึ่งอย่างสุดแรงจนสะดุ้งเฮือกครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเจ็บปวดแสนสาหัสไปทั้งร่าง มือที่เคยเรียวสวยดังลำเทียนสลักถูกเครื่องลงทัณฑ์บีบนิ้วจนกระดูกแตกร้าวผิดรูปช้ำเลือดช้ำหนองพยายามจิกเข้าหากันแน่น“นางแพศยาไร้ยางอาย! จงรับสารภาพมาเสียดีๆ ว่าชายชู้ที่เจ้าแอบลักลอบไปหลับนอนด้วยนั่นคือไอ้สุนัขขี้เรื้อนตัวใดกัน” พอสิ้นเสียงนั้น แส้ในมือคนถามก็ตวัดฟาดลงบนผิวเนื้อขาวเนียนผ่องที่ตอนนี้ขึ้นลายริ้วแผลแตกยับจนเลือดซิบ เจ็บลึกบาดลงไปถึงกระดูก แต่ทว่าเจ้าตัวกลับกัดฟันไม่แม้แต่จะเปล่งเสียงร้องออกมาสักแอะ มีเพียงดวงตาแดงก่ำที่ลอยคว้างมองไปภาพเบื้องหน้
“เฮือก!” หลินอวี้เหม่ยสะดุ้งพรวดลืมตาตื่นขึ้นในฉับพลัน ใบหน้างามพริ้มเพราซีดเผือดผุดเหงื่อกาฬเต็มหน้า เนื้อตัวสั่นสะท้านมือเรียวเสลารีบยกขึ้นกุมที่ใบหน้าและทรวงอกบริเวณที่โดนดาบแทงทะลุอย่างตกใจสุดขีดนางตายไปแล้วหรือ...“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะคุณหนูรอง” เสียงใครบางคนดังขึ้นข้างกายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยหลินอวี้เหม่ยรีบหันขวับไปมองสาวใช้ประจำตัวของตนอย่างประหลาดใจ“เสี่ยวจู!” หญิงสาวตกใจที่ตนเองยังเปล่งเสียงพูดได้ ลิ้นยังอยู่ในปากดีไม่ได้ถูกตัดขาด “คุณหนูเป็นอันใดไปเจ้าคะ”“นี่เจ้ายังไม่ตายหรือเสี่ยวจู...”“ตาย? คุณหนูรองท่านกำลังพูดเรื่องอันใดกันเจ้าคะ” เสี่ยวจูถามใบหน้าเหลอหลา ก็เห็นๆ อยู่ว่านางยืนหัวโด่อยู่นี่ “นี่ข้าฝันไปหรือ...”มันเป็นเพียงฝันร้าย แต่ทำไมมันถึงรู้สึกสมจริงเช่นนี้เล่า กระทั่งกลิ่นคาวเลือดในปากยังคงอบอวลไม่หาย หลินอวี้เหม่ยหัวใจเต้นรัว นางมองไปรอบๆ ห้องนอนที่คุ้นตา ลมหายใจของนางยังไม่สม่ำเสมอ ขณะที่พยายามสงบสติอารมณ์ หัวใจของนางกลับเต็มไปด้วยความสับสนฝันร้ายที่เพิ่งเผชิญนั้นช่างสมจริงจนนางรู้สึกเหมือนว่ามันเคยเกิดขึ้น ภาพในฝันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ช่วงเวลาที่นางถูกก
“นี่คือ...” “จดหมายของคุณชายหาน” “คุณชายหาน!” หลินอวี้เหม่ยอุทานอย่างงุนงง ก็นางกำลังจะแต่งงานกับเขาอยู่นี่แล้ว ทำไมคนผู้นั้นต้องส่งจดหมายลับมาให้อีกล่ะ ไวเท่าใจคิดหญิงสาวรีบเปิดอ่านจดหมายนั่นอ่านทันที ข้าจะเฝ้ารอเจ้าอยู่ที่ประตูด้านหลัง เมื่อถึงเวลานั้นเราจะหนีไปด้วยกันให้ไกลสุดฟ้า ข้ารักเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด...หานเจี้ยนจวิ้น“หานเจี้ยนจวิ้น...” หลินอวี้เหม่ยขมวดคิ้วแน่น พลางอ่านทวนจดหมายนั่นถึงสองรอบ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองสบตาน้องสาว“ข้ารู้ว่าท่านพี่ไม่อยากเข้าพิธีแต่งงานครั้งนี้ ท่านรักคุณชายหานผู้นั้น แล้วเขาก็รักท่านพี่สุดหัวใจมิใช่หรือ เช่นนั้นพวกท่านก็ควรหนีไปด้วยกันเสียเถิด ข้าผู้เป็นน้องสาวจะคอยช่วยรับหน้าบิดาให้เอง”ฟังดูราวกับเป็นผู้เสียสละและรักพี่สาวอย่างยิ่ง หากหลินอวี้เหม่ยไม่ได้ผ่านฝันร้ายนั่นมาก่อนย่อมหลงกลเชื่อน้องสาวแสนดีผู้นี้จนหมดใจไปแล้ว แต่อีกใจนางก็อดสงสัยไม่ได้ ในฝันวันนี้นางควรจะต้องแต่งงานกับหานเจี้ยนจวิ้นมิใช่หรือ แล้วทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขามาชวนให้นางหนีตามกันไปเสียได้เล่า ถ้าเจ้าบ่าวไม่ใช่หานเจี้ยนจวิ้นแล้ว จะเป็นผู้ใดได้เล่า หลินอวี้เหม่ยพยายามนึกทบ
“แย่แล้วๆ พี่หญิงรองหายตัวไปแล้ว” พอขาดคำเสี่ยวจูและพวกสาวใช้ก็รีบกรูกันเข้ามาในห้องอย่างตื่นตกใจ“คุณหนูสามเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ เอ๊ะ แล้วคุณหนูรองของบ่าวหายไปไหน” “ข้า...ข้าก็ไม่รู้ นางใช้ให้ข้าไปหยิบของมาให้ พอหันกลับมาอีกทีก็หายไปตัวไปแล้ว ฮือๆ ก่อนไปนางเอาแต่ร้องไห้บอกว่าไม่อยากแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก” หลินซูหนิงร้องไห้ฟูมฟายอย่างตกใจ “พวกเจ้ารีบไปตามท่านพ่อท่านแม่ข้ามาเร็วเข้าเถอะ”เพียงไม่นานหลินจื่อชิงและเฉินซิวเจินก็รีบเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาสั่งให้ทุกคนออกตามหาลูกสาวคนรองทั่วบ้านอย่างเงียบๆ วันนี้เป็นงานมงคลหากใครรู้ว่าเจ้าสาวหนีไปจะนินทาจวนสกุลหลินว่าอย่างไร คงงามหน้าไปทั้งเมือง“บัดซบ! หนีตามบุรุษไปเนี่ยนะ นังลูกแพศยาไม่รักดี”“ท่านพี่อย่าเอ็ดเสียงดังไปสิเจ้าคะ ท่านก็รู้ว่าเหม่ยเอ๋อร์เองก็ไม่เต็มใจจะแต่งแต่แรกแล้วนี่นา” หลินซูหนิงนั่งซับน้ำตาป้อยๆ ในอ้อมอกของผู้เป็นมารดาแลดูน่าสงสาร “แต่นี่มันใช้ได้ที่ไหน เจ้าให้ท้ายจนนางเสียคน แล้วนี่ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด อีกเดี๋ยวเกี้ยวเจ้าสาวก็จะมารับแล้วด้วย ทีนี้จะเอาเจ้าสาวมาจากไหน แล้วเราจะให้คำตอบสกุลเซียวไปอย่างไร
“ช้าก่อน...”หลินจื่อชิงรีบเอ่ยขึ้น พลันมองใบหน้าจิ้มลิ้มของบุตรสาวคนที่สามอย่างครุ่นคิดหนัก ฮูหยินของเขาพูดถูก ฝ่ายนั้นไม่เคยพบหน้าหลินอวี้เหม่ยตอนโตมาก่อนเสียหน่อย ที่ต้องการแต่งก็เพื่อทำตามสัญญาหมั้นหมายเท่านั้น อีกทั้งเขายังรู้มาว่างานแต่งนี้ทำเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้กับแม่ทัพผู้เกรียงไกรนั่นเพื่อเป็นการมัดมือชกเลยชิงแต่งงานกับบุตรีของเขาเสียก่อนหากส่งบุตรีอีกคนไป ทางนั้นก็คงไม่รู้ หรือถึงจะรู้แต่ถึงตอนนั้นข้าวสารก็กลายเป็นข้าวสุกไปแล้ว ก็ยากจะแก้ไขช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขามีลูกสาวไม่รักดีเช่นหลินอวี้เหม่ยกันเล่า “เจ้าแน่ใจนะว่ายินยอมแต่งกับแม่ทัพเซียวหลงเฉิงแทนพี่สาวเจ้า”“แน่ใจเจ้าค่ะท่านพ่อ” หลินซูหนิงรับคำ ดวงตาเป็นประกายมุ่งมั่นภาพนั้นทำให้หญิงสาวที่ซ่อนตัวดูสถานการณ์อยู่ในเงามืดขมวดคิ้วอย่างงุนงงเจ้าบ่าวของนางไม่ใช่หานเจี้ยนจวิ้นแต่กลับเป็นแม่ทัพเซียวหลงเฉิงงั้นหรือชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก นางเคยได้ยินชื่อนี้จากไหนนะใช่แล้ว! ในฝันร้ายนั่นเขาคือเจ้าบ่าวของหลินซูหนิงน้องสาวนางมิใช่หรือ แล้วทำไมตอนนี้กลับกลายมาเป็นเจ้าบ่าวของนางแทนเล่านี่มันเรื่องตลกอันใดกัน สิ
“พี่หญิงรอง ทำไมท่าน...”เพียะ!ยังไม่ทันได้ถามจบ หลินอวี้เหม่ยก็ตวัดฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าจิ้มลิ้มของคนถามอย่างสุดแรง “นี่คือการลงโทษที่เจ้าบังอาจกล่าวหาพี่สาวของเจ้าว่าหนีตามผู้ชายไป”เพียะ!“ส่วนนี่คือการสั่งสอนที่เจ้าบังอาจพูดโกหกต่อหน้าท่านพ่อจนทำให้ข้าต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง”“โอ๊ย! นี่เจ้า!” หลินซูหนิงกุมแก้มทั้งสองที่ถูกตบจนเลือดกลบปากต่อหน้าทุกคน“หนิงเอ๋อร์!” พอได้สตินางเฉินก็รีบปราดเข้าไปดูอาการของลูกสาวสุดที่รัก“ไยเจ้าจึงต้องลงมือรุนแรงกับลูกข้าด้วย”“หรือจะให้ข้าตบท่านด้วยอีกสักสองทีหรือไม่ โทษฐานที่ท่านไม่รู้จักสั่งสอนลูกสาวของท่านให้ดี กลับส่งเสริมให้ใส่ร้ายทำลายชีวิตผู้อื่นเช่นนี้”หลินอวี้เหม่ยถามเสียงเย็นเยียบ ดวงตาเย็นชาตวัดมองสองแม่ลูกตัวแสบที่ในชาติก่อนทำร้ายนางไว้อย่างหนักหนาสาหัส“ท่านพี่...ท่านจะยืนดูข้ากับลูกสามถูกบุตรสาวท่านตบตีเช่นนี้เฉยๆ หรือเจ้าคะ” พอสู้ไม่ได้ก็หันไปฟ้องสามีหาตัวช่วย“เหม่ยเอ๋อร์! เจ้าทำร้ายคนแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน” หลินจื่อชิงขึ้นเสียงตวาดใส่“แล้วทีพวกนางทำร้ายข้า ใส่ความข้าเล่าเจ้าคะ ใช้ได้หรือ ข้าก็เพียงแต่ปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองและจวนของเ
หลังจากที่รอเจ้าสาวอยู่พักใหญ่ ในที่สุดหลินอวี้เหม่ยก็ปรากฏกายในชุดเจ้าสาวสีแดงงดงามและหรูหรา คลุมศีรษะด้วยผ้าสีแดงตามประเพณี แต่ทว่าแทนที่จะเห็นเจ้าบ่าวที่ควรขี่ม้ามารับเจ้าสาวตามธรรมเนียมแต่กลับไร้เงาทำให้พ่อของเจ้าสาวอดขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจไม่ได้ แม้ว่างานวิวาห์นี้เป็นอดีตฮูหยินที่ล่วงลับได้ตกลงกับมารดาของเจ้าบ่าว แต่ก็ควรให้เกียรติฝ่ายเจ้าสาวบ้าง“ท่านพ่อรักษาตัวด้วย ลูกไปก่อนนะเจ้าคะ” หลินจื่อชิงถึงกับผงะไปเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ลูกสาวก็สวมกอดตน ทั้งที่นานแล้วที่อีกฝ่ายไม่ได้กอดคนเป็นพ่อเช่นนี้“อืม...เจ้าก็เช่นกัน จงจำไว้ว่าต้องรักษาเกียรติของสกุลหลินของเราไว้ให้ดี อย่าทำอะไรให้เสื่อมเสียหรือเดือดร้อนมาถึงตระกูลเราได้”หลินอวี้เหม่ยฝืนยิ้มในใจขื่นขม กระทั่งคำอวยพรก่อนออกเรือน บิดาของนางก็ยังห่วงตระกูลมากกว่าลูกสาวคนนี้“เจ้าค่ะท่านพ่อ”หญิงสาวรับคำเบาๆ แต่ในนาทีที่ผละออกนางก็รีบยัดบางอย่างใส่มือผู้เป็นบิดาโดยไม่มีผู้ใดทันสังเกตพร้อมกับกระซิบบางอย่างเบาๆ แล้วรีบคารวะบิดา ซึ่งเป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่นางเหลือในโลกนี้ ก่อนจะเดินตรงไปขึ้นเกี้ยวบุปผาโดยไม่เหลียวหลัง เสี่ยวจูสาวใช้คนสนิทรีบเดิน
หลินซูหนิงหน้าแดงก่ำ อดเขินไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนเมื่ออีกฝ่ายยื่นริมฝีปากมาจูบที่ปากอิ่ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองลอบพบกันลับหลังผู้คน“คุณชายหาน เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า”“เห็นก็เห็นสิ ถึงอย่างไร อีกไม่นานข้าก็ต้องให้แม่สื่อมาสู่ขอเจ้าไปเป็นฮูหยินของข้าอยู่แล้ว”แต่ข้าอยากเป็นฮูหยินของจวนท่านแม่ทัพใหญ่มากกว่าฮูหยินของรองแม่ทัพปลายแถวอย่างท่านนี่นา หลินซูหนิงได้แต่ตอบโต้ในใจอย่างหงุดหงิดที่ทุกอย่างผิดแผนไปหมดไม่ได้อย่างใจนางทำไมนะ วาสนาดีๆ ถึงต้องไปตกที่นังพี่รองนั่นตลอด“เอ๊ะ! นั่นแก้มเจ้าทำไมเป็นรอยแดงเช่นนี้เล่า” จู่ๆ ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้างามของคนรัก“เอ่อ...เป็นเพราะข้ารีบมาหาท่าน เลยสะดุดล้มน่ะสิเจ้าคะ” หลินซูหนิงตอบพลางนึกอยากหักคอพี่สาวที่ทำให้แก้มนางมีรอยช้ำ“โถ...ยอดรักของข้า เจ้าช่างน่าสงสาร มาเถอะข้าจะช่วยรักษาแผลให้เจ้าเองนะ”หานเจี้ยนจวิ้นกระซิบคำหวาน พร้อมกับโน้มลงจุมพิตที่แก้มและริมฝีปากของนางอย่างหลงใหล จนทำให้สาวน้อยอดเคลิ้มตามไม่ได้“เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยว่าคิดถึงข้าหรือไม่”“คิดถึงสิเจ้าคะ ข้าย่อมคิดถึงท่านเพียงผู้เดียว”“ชื่นใจนักคนดีของข้า” พอขาดคำ
อีกด้านเกี้ยวเจ้าสาวก็มาหยุดที่หน้าจวนสกุลเซียว ที่ในวันนี้เต็มไปด้วยความครึกครื้นและการตกแต่งที่งดงามอลังการ งานแต่งงานของแม่ทัพเซียวผู้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดิน ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ มีผู้คนจากทุกสารทิศเดินทางมาร่วมแสดงความยินดี ไม่ว่าจะเป็นขุนนางสูงศักดิ์ ผู้มีอำนาจจากราชสำนัก รวมถึงชาวบ้านที่ต่างพากันมาชมงานแต่งงานที่แสนยิ่งใหญ่นี้ ใครๆ ต่างก็อยากเห็นเจ้าสาวของท่านแม่ทัพใหญ่กันทั้งนั้น“เชิญเจ้าสาวลงจากเกี้ยว”เสียงนั้นเรียกสติที่หลุดลอยของหลินอวี้เหม่ยให้กลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง ตั้งแต่ออกจากบ้านมา นางก็ใจลอยครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้ลงมือทำไปป่านนี้ไม่รู้ว่าที่บ้านของนางกำลังโกลาหลกันปานใด แต่จะโทษใครได้ในเมื่อน้องสาวตัวดีของนางหาเรื่องใส่ตัวก่อน นางก็เพียงแค่ส่งทุกข์นั่นกลับคืนไปให้เจ้าของก็เท่านั้น ถือว่าเจ๊ากันไปมิใช่หรือ อย่างน้อยก็อาจช่วยตัดไฟแต่ต้นลมได้บ้าง จะหาว่านางใจร้ายก็ได้ ในเมื่อใจดีแล้วต้องพบจุดจบน่าอนาถ ก็ต้องร้ายเสียบ้างแบบนี้แหละ“คุณหนูเจ้าคะ”เสียงเสี่ยวจูกระซิบเรียกที่ข้างเกี้ยวอีกครั้ง ทำให้หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ ไล่ความสิ่งที่รบกวนออกไปจากหัวใจ อย่างน้อยวันนี้นา
หลินซูหนิงหน้าแดงก่ำ อดเขินไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนเมื่ออีกฝ่ายยื่นริมฝีปากมาจูบที่ปากอิ่ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองลอบพบกันลับหลังผู้คน“คุณชายหาน เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า”“เห็นก็เห็นสิ ถึงอย่างไร อีกไม่นานข้าก็ต้องให้แม่สื่อมาสู่ขอเจ้าไปเป็นฮูหยินของข้าอยู่แล้ว”แต่ข้าอยากเป็นฮูหยินของจวนท่านแม่ทัพใหญ่มากกว่าฮูหยินของรองแม่ทัพปลายแถวอย่างท่านนี่นา หลินซูหนิงได้แต่ตอบโต้ในใจอย่างหงุดหงิดที่ทุกอย่างผิดแผนไปหมดไม่ได้อย่างใจนางทำไมนะ วาสนาดีๆ ถึงต้องไปตกที่นังพี่รองนั่นตลอด“เอ๊ะ! นั่นแก้มเจ้าทำไมเป็นรอยแดงเช่นนี้เล่า” จู่ๆ ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้างามของคนรัก“เอ่อ...เป็นเพราะข้ารีบมาหาท่าน เลยสะดุดล้มน่ะสิเจ้าคะ” หลินซูหนิงตอบพลางนึกอยากหักคอพี่สาวที่ทำให้แก้มนางมีรอยช้ำ“โถ...ยอดรักของข้า เจ้าช่างน่าสงสาร มาเถอะข้าจะช่วยรักษาแผลให้เจ้าเองนะ”หานเจี้ยนจวิ้นกระซิบคำหวาน พร้อมกับโน้มลงจุมพิตที่แก้มและริมฝีปากของนางอย่างหลงใหล จนทำให้สาวน้อยอดเคลิ้มตามไม่ได้“เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยว่าคิดถึงข้าหรือไม่”“คิดถึงสิเจ้าคะ ข้าย่อมคิดถึงท่านเพียงผู้เดียว”“ชื่นใจนักคนดีของข้า” พอขาดคำ
หลังจากที่รอเจ้าสาวอยู่พักใหญ่ ในที่สุดหลินอวี้เหม่ยก็ปรากฏกายในชุดเจ้าสาวสีแดงงดงามและหรูหรา คลุมศีรษะด้วยผ้าสีแดงตามประเพณี แต่ทว่าแทนที่จะเห็นเจ้าบ่าวที่ควรขี่ม้ามารับเจ้าสาวตามธรรมเนียมแต่กลับไร้เงาทำให้พ่อของเจ้าสาวอดขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจไม่ได้ แม้ว่างานวิวาห์นี้เป็นอดีตฮูหยินที่ล่วงลับได้ตกลงกับมารดาของเจ้าบ่าว แต่ก็ควรให้เกียรติฝ่ายเจ้าสาวบ้าง“ท่านพ่อรักษาตัวด้วย ลูกไปก่อนนะเจ้าคะ” หลินจื่อชิงถึงกับผงะไปเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ลูกสาวก็สวมกอดตน ทั้งที่นานแล้วที่อีกฝ่ายไม่ได้กอดคนเป็นพ่อเช่นนี้“อืม...เจ้าก็เช่นกัน จงจำไว้ว่าต้องรักษาเกียรติของสกุลหลินของเราไว้ให้ดี อย่าทำอะไรให้เสื่อมเสียหรือเดือดร้อนมาถึงตระกูลเราได้”หลินอวี้เหม่ยฝืนยิ้มในใจขื่นขม กระทั่งคำอวยพรก่อนออกเรือน บิดาของนางก็ยังห่วงตระกูลมากกว่าลูกสาวคนนี้“เจ้าค่ะท่านพ่อ”หญิงสาวรับคำเบาๆ แต่ในนาทีที่ผละออกนางก็รีบยัดบางอย่างใส่มือผู้เป็นบิดาโดยไม่มีผู้ใดทันสังเกตพร้อมกับกระซิบบางอย่างเบาๆ แล้วรีบคารวะบิดา ซึ่งเป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่นางเหลือในโลกนี้ ก่อนจะเดินตรงไปขึ้นเกี้ยวบุปผาโดยไม่เหลียวหลัง เสี่ยวจูสาวใช้คนสนิทรีบเดิน
“พี่หญิงรอง ทำไมท่าน...”เพียะ!ยังไม่ทันได้ถามจบ หลินอวี้เหม่ยก็ตวัดฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าจิ้มลิ้มของคนถามอย่างสุดแรง “นี่คือการลงโทษที่เจ้าบังอาจกล่าวหาพี่สาวของเจ้าว่าหนีตามผู้ชายไป”เพียะ!“ส่วนนี่คือการสั่งสอนที่เจ้าบังอาจพูดโกหกต่อหน้าท่านพ่อจนทำให้ข้าต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง”“โอ๊ย! นี่เจ้า!” หลินซูหนิงกุมแก้มทั้งสองที่ถูกตบจนเลือดกลบปากต่อหน้าทุกคน“หนิงเอ๋อร์!” พอได้สตินางเฉินก็รีบปราดเข้าไปดูอาการของลูกสาวสุดที่รัก“ไยเจ้าจึงต้องลงมือรุนแรงกับลูกข้าด้วย”“หรือจะให้ข้าตบท่านด้วยอีกสักสองทีหรือไม่ โทษฐานที่ท่านไม่รู้จักสั่งสอนลูกสาวของท่านให้ดี กลับส่งเสริมให้ใส่ร้ายทำลายชีวิตผู้อื่นเช่นนี้”หลินอวี้เหม่ยถามเสียงเย็นเยียบ ดวงตาเย็นชาตวัดมองสองแม่ลูกตัวแสบที่ในชาติก่อนทำร้ายนางไว้อย่างหนักหนาสาหัส“ท่านพี่...ท่านจะยืนดูข้ากับลูกสามถูกบุตรสาวท่านตบตีเช่นนี้เฉยๆ หรือเจ้าคะ” พอสู้ไม่ได้ก็หันไปฟ้องสามีหาตัวช่วย“เหม่ยเอ๋อร์! เจ้าทำร้ายคนแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน” หลินจื่อชิงขึ้นเสียงตวาดใส่“แล้วทีพวกนางทำร้ายข้า ใส่ความข้าเล่าเจ้าคะ ใช้ได้หรือ ข้าก็เพียงแต่ปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองและจวนของเ
“ช้าก่อน...”หลินจื่อชิงรีบเอ่ยขึ้น พลันมองใบหน้าจิ้มลิ้มของบุตรสาวคนที่สามอย่างครุ่นคิดหนัก ฮูหยินของเขาพูดถูก ฝ่ายนั้นไม่เคยพบหน้าหลินอวี้เหม่ยตอนโตมาก่อนเสียหน่อย ที่ต้องการแต่งก็เพื่อทำตามสัญญาหมั้นหมายเท่านั้น อีกทั้งเขายังรู้มาว่างานแต่งนี้ทำเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้กับแม่ทัพผู้เกรียงไกรนั่นเพื่อเป็นการมัดมือชกเลยชิงแต่งงานกับบุตรีของเขาเสียก่อนหากส่งบุตรีอีกคนไป ทางนั้นก็คงไม่รู้ หรือถึงจะรู้แต่ถึงตอนนั้นข้าวสารก็กลายเป็นข้าวสุกไปแล้ว ก็ยากจะแก้ไขช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขามีลูกสาวไม่รักดีเช่นหลินอวี้เหม่ยกันเล่า “เจ้าแน่ใจนะว่ายินยอมแต่งกับแม่ทัพเซียวหลงเฉิงแทนพี่สาวเจ้า”“แน่ใจเจ้าค่ะท่านพ่อ” หลินซูหนิงรับคำ ดวงตาเป็นประกายมุ่งมั่นภาพนั้นทำให้หญิงสาวที่ซ่อนตัวดูสถานการณ์อยู่ในเงามืดขมวดคิ้วอย่างงุนงงเจ้าบ่าวของนางไม่ใช่หานเจี้ยนจวิ้นแต่กลับเป็นแม่ทัพเซียวหลงเฉิงงั้นหรือชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก นางเคยได้ยินชื่อนี้จากไหนนะใช่แล้ว! ในฝันร้ายนั่นเขาคือเจ้าบ่าวของหลินซูหนิงน้องสาวนางมิใช่หรือ แล้วทำไมตอนนี้กลับกลายมาเป็นเจ้าบ่าวของนางแทนเล่านี่มันเรื่องตลกอันใดกัน สิ
“แย่แล้วๆ พี่หญิงรองหายตัวไปแล้ว” พอขาดคำเสี่ยวจูและพวกสาวใช้ก็รีบกรูกันเข้ามาในห้องอย่างตื่นตกใจ“คุณหนูสามเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ เอ๊ะ แล้วคุณหนูรองของบ่าวหายไปไหน” “ข้า...ข้าก็ไม่รู้ นางใช้ให้ข้าไปหยิบของมาให้ พอหันกลับมาอีกทีก็หายไปตัวไปแล้ว ฮือๆ ก่อนไปนางเอาแต่ร้องไห้บอกว่าไม่อยากแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก” หลินซูหนิงร้องไห้ฟูมฟายอย่างตกใจ “พวกเจ้ารีบไปตามท่านพ่อท่านแม่ข้ามาเร็วเข้าเถอะ”เพียงไม่นานหลินจื่อชิงและเฉินซิวเจินก็รีบเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาสั่งให้ทุกคนออกตามหาลูกสาวคนรองทั่วบ้านอย่างเงียบๆ วันนี้เป็นงานมงคลหากใครรู้ว่าเจ้าสาวหนีไปจะนินทาจวนสกุลหลินว่าอย่างไร คงงามหน้าไปทั้งเมือง“บัดซบ! หนีตามบุรุษไปเนี่ยนะ นังลูกแพศยาไม่รักดี”“ท่านพี่อย่าเอ็ดเสียงดังไปสิเจ้าคะ ท่านก็รู้ว่าเหม่ยเอ๋อร์เองก็ไม่เต็มใจจะแต่งแต่แรกแล้วนี่นา” หลินซูหนิงนั่งซับน้ำตาป้อยๆ ในอ้อมอกของผู้เป็นมารดาแลดูน่าสงสาร “แต่นี่มันใช้ได้ที่ไหน เจ้าให้ท้ายจนนางเสียคน แล้วนี่ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด อีกเดี๋ยวเกี้ยวเจ้าสาวก็จะมารับแล้วด้วย ทีนี้จะเอาเจ้าสาวมาจากไหน แล้วเราจะให้คำตอบสกุลเซียวไปอย่างไร
“นี่คือ...” “จดหมายของคุณชายหาน” “คุณชายหาน!” หลินอวี้เหม่ยอุทานอย่างงุนงง ก็นางกำลังจะแต่งงานกับเขาอยู่นี่แล้ว ทำไมคนผู้นั้นต้องส่งจดหมายลับมาให้อีกล่ะ ไวเท่าใจคิดหญิงสาวรีบเปิดอ่านจดหมายนั่นอ่านทันที ข้าจะเฝ้ารอเจ้าอยู่ที่ประตูด้านหลัง เมื่อถึงเวลานั้นเราจะหนีไปด้วยกันให้ไกลสุดฟ้า ข้ารักเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด...หานเจี้ยนจวิ้น“หานเจี้ยนจวิ้น...” หลินอวี้เหม่ยขมวดคิ้วแน่น พลางอ่านทวนจดหมายนั่นถึงสองรอบ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองสบตาน้องสาว“ข้ารู้ว่าท่านพี่ไม่อยากเข้าพิธีแต่งงานครั้งนี้ ท่านรักคุณชายหานผู้นั้น แล้วเขาก็รักท่านพี่สุดหัวใจมิใช่หรือ เช่นนั้นพวกท่านก็ควรหนีไปด้วยกันเสียเถิด ข้าผู้เป็นน้องสาวจะคอยช่วยรับหน้าบิดาให้เอง”ฟังดูราวกับเป็นผู้เสียสละและรักพี่สาวอย่างยิ่ง หากหลินอวี้เหม่ยไม่ได้ผ่านฝันร้ายนั่นมาก่อนย่อมหลงกลเชื่อน้องสาวแสนดีผู้นี้จนหมดใจไปแล้ว แต่อีกใจนางก็อดสงสัยไม่ได้ ในฝันวันนี้นางควรจะต้องแต่งงานกับหานเจี้ยนจวิ้นมิใช่หรือ แล้วทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขามาชวนให้นางหนีตามกันไปเสียได้เล่า ถ้าเจ้าบ่าวไม่ใช่หานเจี้ยนจวิ้นแล้ว จะเป็นผู้ใดได้เล่า หลินอวี้เหม่ยพยายามนึกทบ
“เฮือก!” หลินอวี้เหม่ยสะดุ้งพรวดลืมตาตื่นขึ้นในฉับพลัน ใบหน้างามพริ้มเพราซีดเผือดผุดเหงื่อกาฬเต็มหน้า เนื้อตัวสั่นสะท้านมือเรียวเสลารีบยกขึ้นกุมที่ใบหน้าและทรวงอกบริเวณที่โดนดาบแทงทะลุอย่างตกใจสุดขีดนางตายไปแล้วหรือ...“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะคุณหนูรอง” เสียงใครบางคนดังขึ้นข้างกายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยหลินอวี้เหม่ยรีบหันขวับไปมองสาวใช้ประจำตัวของตนอย่างประหลาดใจ“เสี่ยวจู!” หญิงสาวตกใจที่ตนเองยังเปล่งเสียงพูดได้ ลิ้นยังอยู่ในปากดีไม่ได้ถูกตัดขาด “คุณหนูเป็นอันใดไปเจ้าคะ”“นี่เจ้ายังไม่ตายหรือเสี่ยวจู...”“ตาย? คุณหนูรองท่านกำลังพูดเรื่องอันใดกันเจ้าคะ” เสี่ยวจูถามใบหน้าเหลอหลา ก็เห็นๆ อยู่ว่านางยืนหัวโด่อยู่นี่ “นี่ข้าฝันไปหรือ...”มันเป็นเพียงฝันร้าย แต่ทำไมมันถึงรู้สึกสมจริงเช่นนี้เล่า กระทั่งกลิ่นคาวเลือดในปากยังคงอบอวลไม่หาย หลินอวี้เหม่ยหัวใจเต้นรัว นางมองไปรอบๆ ห้องนอนที่คุ้นตา ลมหายใจของนางยังไม่สม่ำเสมอ ขณะที่พยายามสงบสติอารมณ์ หัวใจของนางกลับเต็มไปด้วยความสับสนฝันร้ายที่เพิ่งเผชิญนั้นช่างสมจริงจนนางรู้สึกเหมือนว่ามันเคยเกิดขึ้น ภาพในฝันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ช่วงเวลาที่นางถูกก
ในยามราตรีอันเงียบงัน ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสายทำให้เมืองทั้งเมืองราวกับถูกปกคลุมด้วยผ้าห่มสีขาวหนาและหนาวเหน็บที่สุดในรอบหลายสิบปี เสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านทุ่งหิมะเงียบเหงาราวกับเสียงภูติผีร้ายที่กำลังขู่คำราม ผู้คนต่างหลบซ่อนตัวในบ้านเรือนที่ปิดแน่น ไม่มีแสงไฟจากบ้านใดๆ มองเห็นได้ มีเพียงแสงจันทร์ที่สะท้อนกับพื้นหิมะที่ให้แสงสว่างจางๆ แก่โลกที่เงียบสงบและว่างเปล่านี้ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ!“เฮือก! อึก!”เสียงแส้วาดผ่านอากาศลงบนแผ่นหลังของใครคนหนึ่งอย่างสุดแรงจนสะดุ้งเฮือกครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเจ็บปวดแสนสาหัสไปทั้งร่าง มือที่เคยเรียวสวยดังลำเทียนสลักถูกเครื่องลงทัณฑ์บีบนิ้วจนกระดูกแตกร้าวผิดรูปช้ำเลือดช้ำหนองพยายามจิกเข้าหากันแน่น“นางแพศยาไร้ยางอาย! จงรับสารภาพมาเสียดีๆ ว่าชายชู้ที่เจ้าแอบลักลอบไปหลับนอนด้วยนั่นคือไอ้สุนัขขี้เรื้อนตัวใดกัน” พอสิ้นเสียงนั้น แส้ในมือคนถามก็ตวัดฟาดลงบนผิวเนื้อขาวเนียนผ่องที่ตอนนี้ขึ้นลายริ้วแผลแตกยับจนเลือดซิบ เจ็บลึกบาดลงไปถึงกระดูก แต่ทว่าเจ้าตัวกลับกัดฟันไม่แม้แต่จะเปล่งเสียงร้องออกมาสักแอะ มีเพียงดวงตาแดงก่ำที่ลอยคว้างมองไปภาพเบื้องหน้