“หลินซูหนิง!”คนถูกเรียกเงยหน้ามองไปที่สามีของตนอย่างเลื่อนลอยอยู่พักใหญ่ ก่อนที่สมองจะทำงาน“หะ...หานเจี้ยนจวิ้น” ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความหวาดกลัว เมื่อเห็นว่าเป็นหานเจี้ยนจวิ้นที่ยืนอยู่ตรงหน้า นางก็รีบคลานเข้าไปหาแต่ติดที่ขาทั้งสองถูกล่ามเอาไว้ทำให้ไม่อาจทำตามใจได้“ท่านพี่ ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”“เป็นนังอวี้เหม่ยเจ้าค่ะ นางสั่งให้จับข้ามาขังไว้ที่นี่ ฮือๆ ข้าไม่ผิด ข้าถูกนางพี่สาวสารเลวนั่นใส่ความ ข้าไม่ได้มีอะไรกับเจ้าบ่าวรับใช้หน้าโง่นั่น ฮือๆ ไม่มี ไม่ใช่ข้าๆ”หลินซูหนิงฟูมฟายอย่างคนสติแตก จนเผลอหลุดปากออกไป ทำให้คนได้ชื่อว่าเป็นสามีถึงกับนิ่งงันไป รวมถึงทหารที่อยู่ด้านหลังได้แต่มองกันไปมาเลิ่กลั่กไม่รู้ว่านางกำลังพล่ามอะไรจนกระทั่ง“ท่านพี่ ท่านเป็นสามีของข้า ช่วยข้าด้วย ปล่อยข้าไปนะเจ้าคะ ถ้าท่านปล่อยข้าไป ข้ายินดีทำตามที่ท่านสั่งทุกอย่าง จะให้ข้าไปเป็นนางบำเรอของตาเสนาบดีเฒ่านั่น หรือใครก็ได้ ข้ายอมทั้งนั้น ฮือๆ”หานเจี้ยนจวิ้นยืนมองนางอย่างเย็นชา แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความรังเกียจมากกว่าจะเห็นใจ เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพร่ำพูดออกมาอ
หลังจากที่มีข่าวว่าแม่ทัพเซียวหลงเฉิงกลายเป็นกบฏไปเข้าร่วมกับศัตรูต่างแคว้น ก็มีข่าวใหม่ว่าตอนนี้แคว้นเหลียงกำลังยกทัพบุกเข้ามาที่เมืองหลวงเพื่อหวังชิงบัลลังก์โดยมีเซียวหลงเฉิงเป็นผู้นำทัพ ข่าวนั้นสร้างความหวาดหวั่นให้กับชาวบ้าน หลายคนเคยเป็นโรคระบาดและได้ยาสมุนไพรของจวนแม่ทัพช่วยชีวิตไว้ ทำให้ซาบซึ้งบุญคุณของแม่ทัพใหญ่ จึงไม่อยากจะเชื่อข่าวคราวนั้น แต่ก็มีอีกหลายคนที่เชื่อจึงเกิดคลื่นลมแรงไปทั้งเมืองหลวงลามไปถึงในวังที่พากันอกสั่นขวัญแขวนกันไปถ้วนหน้าฮ่องเต้เรียกขุนนางทุกคนเข้าประชุมหารือเรื่องการรับมือทัพข้าศึกที่มีแม่ทัพยอดฝีมืออย่างเซียวหลงเฉิงนำทัพมา ขุนนางต่างเห็นพ้องกันราวกับนัดหมายว่าให้พระองค์แต่งตั้งรองแม่ทัพสกุลหานให้เป็นแม่ทัพใหญ่เพื่อรับมือกับข้าศึกคราวนี้ โดยมีเบื้องหลังที่ผลักดันอย่างอัครเสนาบดีจางเป็นหัวเรือใหญ่คอยสนับสนุน ทำให้ฝ่าบาทไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอนี้ได้โดยง่ายพระองค์นิ่งเงียบพลางไตร่ตรองอย่างหนัก ขุนนางต่างเฝ้ารอคอยคำตอบด้วยความกระตือรือร้น ขณะที่แววตาของอัครเสนาบดีจางฉายแววมั่นใจ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างสนับสนุนอย่างเต็มที่ให
“นี่เจ้า!”ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตนางกำนัลตรงหน้าอย่างประหลาดพระทัย ก่อนที่จะลดสายพระเนตรมองสิ่งของในพระหัตถ์ ม้วนกระดาษเล็กๆ แต่เมื่อพระองค์เงยหน้าขึ้น นางกำนัลลึกลับผู้นั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องไปเสียแล้วฮ่องเต้ทรงเปิดม้วนกระดาษนั้นออกอ่านจนจบ ดวงเนตรที่เคยหม่นหมองพลันสว่างไสวขึ้นอย่างมีความหวัง พระองค์แย้มพระโอษฐ์บางๆทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักของทหารแคว้นเหลียงเริ่มดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หานเจี้ยนจวิ้นและอัครเสนาบดีจางเดินเข้ามาในท้องพระโรงด้วยท่าทีเย้ยหยัน เมื่อมาถึงกึ่งกลางของห้อง เขาทั้งสองมองตรงไปยังราชบัลลังก์ด้วยรอยยิ้มสะใจ ดวงตาเต็มไปด้วยละโมบทะเยอทะยานในที่สุดวันที่เขารอคอยก็มาถึง“จงไปคุมตัวฝ่าบาทมาที่นี่” อัครเสนาบดีจางหันไปสั่งหานเจี้ยนจวิ้นเสียงเหี้ยมเพียงไม่นานนักฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ถูกทหารกบฏกุมตัวเข้ามาในท้องพระโรง หากทว่าเมื่อมองขึ้นไปบนพระราชบัลลังก์ก็กลับพบภาพอันน่าตกตะลึง“บังอาจ!”เสียงหัวเราะกังวานก้องของบุคคลที่พระองค์ไม่คาดคิดว่าจะทรยศต่
หลินอวี้เหม่ยมองสามีราวกับเห็นเทพเซียนลงมาปรากฏตัวตรงหน้า หัวใจที่เต้นระทึกมีความตื้นตันจนน้ำตาคลอเมื่อได้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และไม่ได้เป็นโจรกบฏอย่างที่ใครต่อใครกล่าวหา“โจรกบฏแซ่เซียว!”“ใครกันแน่ที่เป็นโจรกบฏชิงบัลลังก์” เซียวหลงเฉิงก้าวเข้ามายืนเอาตัวบังฮ่องเต้ไว้เพื่อปกป้องพระองค์จากคนชั่วที่หมายปองร้ายเอาชีวิต และจ้องมองหานเจี้ยนจวิ้นด้วยสายตาดุดันแกมดูแคลนหานเจี้ยนจวิ้นยืนนิ่งเมื่อเห็นร่างของเซียวหลงเฉิงเข้าใกล้เขาทีละก้าว ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธแค้น เมื่อรู้ว่าตนเองเสียรู้และตกเป็นเหยื่อของแผนการซ้อนแผนนี้“เจ้า...เจ้าควรตายไปแล้วมิใช่หรือ”เซียวหลงเฉิงแสยะยิ้มเย็นชาและเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ“น่าเสียดายที่แผนของเจ้ามันตื้นเขินเกินไปเลยทำอะไรพวกข้าไม่ได้ และฮ่องเต้ก็ทรงรู้มาตั้งแต่แรกว่าพวกเจ้าต่างหากที่เป็นกบฏคิดคดทรยศต่อแผ่นดินหาใช่ข้าไม่ ราชโองการที่มอบให้เจ้านั้นก็เป็นเพียงกับดักให้พวกเจ้าเปิดเผยตัวตนออกมาเท่านั้นเอง”ในเวลานั้น ฮ่องเต้ก็ตรัสก้องอย่างเยือกเย็น
ภายในเวลาไม่นาน กบฏทั้งหมดก็ถูกปราบจนสิ้นซากหานเจี้ยนจวิ้นถูกทหารเข้ามาจับกุมตัว ขณะที่เขาพยายามดิ้นรนอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส อัครเสนาบดีและขุนนางผู้สมรู้ร่วมคิดต่างถูกล้อมจับจนหมดสิ้น ไม่มีทางหนีรอดจากมือแม่ทัพใหญ่ได้แม้แต่คนเดียว Top of FormBottom of Formท่ามกลางความเงียบสงบในท้องพระโรง บรรยากาศกลับตึงเครียด ใต้เท้าจางในฐานะหัวหน้าผู้ก่อการกบฏ รวมถึงหานเจี้ยนจวิ้นและบรรดาขุนนางผู้ร่วมก่อการครั้งนี้ถูกตัดสินประหารชีวิตในข้อหากบฏต่อแผ่นดินส่วนหลินซูหนิงก็ถูกคุมตัวออกมาจากคุกเพื่อรับโทษประหารโทษฐานสมรู้ร่วมคิด นางถูกตราหน้าว่าเป็นอนุภรรยาของโจรกบฏแซ่หานต้องตายตกไปตามกัน ในวันประหาร มีการแห่งนักโทษรอบเมืองให้ชาวบ้านได้เห็นจุดจบของคนทรยศต่อแผ่นดินหานเจี้ยนจวิ้นที่ถูกขังกรงในสภาพไร้แขน เนื้อตัวสะบักสะบอมด้วยบาดแผลจากการทรมานจนแทบสิ้นสภาพ ถูกชาวบ้านขว้างปาก้อนหินและเศษผักเน่าใส่ไปตลอดทาง ด้านหลังมีกรงที่ใส่ร่างของอนุภรรยาของเขาตามมาในสภาพที่เรียกว่าอยู่ไม่สู้ตาย หลินซูหนิงนอนงอตัวร้องครางด้วยความเจ็บปวดแต่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได
ในยามราตรีอันเงียบงัน ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสายทำให้เมืองทั้งเมืองราวกับถูกปกคลุมด้วยผ้าห่มสีขาวหนาและหนาวเหน็บที่สุดในรอบหลายสิบปี เสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านทุ่งหิมะเงียบเหงาราวกับเสียงภูติผีร้ายที่กำลังขู่คำราม ผู้คนต่างหลบซ่อนตัวในบ้านเรือนที่ปิดแน่น ไม่มีแสงไฟจากบ้านใดๆ มองเห็นได้ มีเพียงแสงจันทร์ที่สะท้อนกับพื้นหิมะที่ให้แสงสว่างจางๆ แก่โลกที่เงียบสงบและว่างเปล่านี้ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ!“เฮือก! อึก!”เสียงแส้วาดผ่านอากาศลงบนแผ่นหลังของใครคนหนึ่งอย่างสุดแรงจนสะดุ้งเฮือกครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเจ็บปวดแสนสาหัสไปทั้งร่าง มือที่เคยเรียวสวยดังลำเทียนสลักถูกเครื่องลงทัณฑ์บีบนิ้วจนกระดูกแตกร้าวผิดรูปช้ำเลือดช้ำหนองพยายามจิกเข้าหากันแน่น“นางแพศยาไร้ยางอาย! จงรับสารภาพมาเสียดีๆ ว่าชายชู้ที่เจ้าแอบลักลอบไปหลับนอนด้วยนั่นคือไอ้สุนัขขี้เรื้อนตัวใดกัน” พอสิ้นเสียงนั้น แส้ในมือคนถามก็ตวัดฟาดลงบนผิวเนื้อขาวเนียนผ่องที่ตอนนี้ขึ้นลายริ้วแผลแตกยับจนเลือดซิบ เจ็บลึกบาดลงไปถึงกระดูก แต่ทว่าเจ้าตัวกลับกัดฟันไม่แม้แต่จะเปล่งเสียงร้องออกมาสักแอะ มีเพียงดวงตาแดงก่ำที่ลอยคว้างมองไปภาพเบื้องหน้
“เฮือก!” หลินอวี้เหม่ยสะดุ้งพรวดลืมตาตื่นขึ้นในฉับพลัน ใบหน้างามพริ้มเพราซีดเผือดผุดเหงื่อกาฬเต็มหน้า เนื้อตัวสั่นสะท้านมือเรียวเสลารีบยกขึ้นกุมที่ใบหน้าและทรวงอกบริเวณที่โดนดาบแทงทะลุอย่างตกใจสุดขีดนางตายไปแล้วหรือ...“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะคุณหนูรอง” เสียงใครบางคนดังขึ้นข้างกายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยหลินอวี้เหม่ยรีบหันขวับไปมองสาวใช้ประจำตัวของตนอย่างประหลาดใจ“เสี่ยวจู!” หญิงสาวตกใจที่ตนเองยังเปล่งเสียงพูดได้ ลิ้นยังอยู่ในปากดีไม่ได้ถูกตัดขาด “คุณหนูเป็นอันใดไปเจ้าคะ”“นี่เจ้ายังไม่ตายหรือเสี่ยวจู...”“ตาย? คุณหนูรองท่านกำลังพูดเรื่องอันใดกันเจ้าคะ” เสี่ยวจูถามใบหน้าเหลอหลา ก็เห็นๆ อยู่ว่านางยืนหัวโด่อยู่นี่ “นี่ข้าฝันไปหรือ...”มันเป็นเพียงฝันร้าย แต่ทำไมมันถึงรู้สึกสมจริงเช่นนี้เล่า กระทั่งกลิ่นคาวเลือดในปากยังคงอบอวลไม่หาย หลินอวี้เหม่ยหัวใจเต้นรัว นางมองไปรอบๆ ห้องนอนที่คุ้นตา ลมหายใจของนางยังไม่สม่ำเสมอ ขณะที่พยายามสงบสติอารมณ์ หัวใจของนางกลับเต็มไปด้วยความสับสนฝันร้ายที่เพิ่งเผชิญนั้นช่างสมจริงจนนางรู้สึกเหมือนว่ามันเคยเกิดขึ้น ภาพในฝันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ช่วงเวลาที่นางถูกก
“นี่คือ...” “จดหมายของคุณชายหาน” “คุณชายหาน!” หลินอวี้เหม่ยอุทานอย่างงุนงง ก็นางกำลังจะแต่งงานกับเขาอยู่นี่แล้ว ทำไมคนผู้นั้นต้องส่งจดหมายลับมาให้อีกล่ะ ไวเท่าใจคิดหญิงสาวรีบเปิดอ่านจดหมายนั่นอ่านทันที ข้าจะเฝ้ารอเจ้าอยู่ที่ประตูด้านหลัง เมื่อถึงเวลานั้นเราจะหนีไปด้วยกันให้ไกลสุดฟ้า ข้ารักเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด...หานเจี้ยนจวิ้น“หานเจี้ยนจวิ้น...” หลินอวี้เหม่ยขมวดคิ้วแน่น พลางอ่านทวนจดหมายนั่นถึงสองรอบ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองสบตาน้องสาว“ข้ารู้ว่าท่านพี่ไม่อยากเข้าพิธีแต่งงานครั้งนี้ ท่านรักคุณชายหานผู้นั้น แล้วเขาก็รักท่านพี่สุดหัวใจมิใช่หรือ เช่นนั้นพวกท่านก็ควรหนีไปด้วยกันเสียเถิด ข้าผู้เป็นน้องสาวจะคอยช่วยรับหน้าบิดาให้เอง”ฟังดูราวกับเป็นผู้เสียสละและรักพี่สาวอย่างยิ่ง หากหลินอวี้เหม่ยไม่ได้ผ่านฝันร้ายนั่นมาก่อนย่อมหลงกลเชื่อน้องสาวแสนดีผู้นี้จนหมดใจไปแล้ว แต่อีกใจนางก็อดสงสัยไม่ได้ ในฝันวันนี้นางควรจะต้องแต่งงานกับหานเจี้ยนจวิ้นมิใช่หรือ แล้วทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขามาชวนให้นางหนีตามกันไปเสียได้เล่า ถ้าเจ้าบ่าวไม่ใช่หานเจี้ยนจวิ้นแล้ว จะเป็นผู้ใดได้เล่า หลินอวี้เหม่ยพยายามนึกทบ
ภายในเวลาไม่นาน กบฏทั้งหมดก็ถูกปราบจนสิ้นซากหานเจี้ยนจวิ้นถูกทหารเข้ามาจับกุมตัว ขณะที่เขาพยายามดิ้นรนอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส อัครเสนาบดีและขุนนางผู้สมรู้ร่วมคิดต่างถูกล้อมจับจนหมดสิ้น ไม่มีทางหนีรอดจากมือแม่ทัพใหญ่ได้แม้แต่คนเดียว Top of FormBottom of Formท่ามกลางความเงียบสงบในท้องพระโรง บรรยากาศกลับตึงเครียด ใต้เท้าจางในฐานะหัวหน้าผู้ก่อการกบฏ รวมถึงหานเจี้ยนจวิ้นและบรรดาขุนนางผู้ร่วมก่อการครั้งนี้ถูกตัดสินประหารชีวิตในข้อหากบฏต่อแผ่นดินส่วนหลินซูหนิงก็ถูกคุมตัวออกมาจากคุกเพื่อรับโทษประหารโทษฐานสมรู้ร่วมคิด นางถูกตราหน้าว่าเป็นอนุภรรยาของโจรกบฏแซ่หานต้องตายตกไปตามกัน ในวันประหาร มีการแห่งนักโทษรอบเมืองให้ชาวบ้านได้เห็นจุดจบของคนทรยศต่อแผ่นดินหานเจี้ยนจวิ้นที่ถูกขังกรงในสภาพไร้แขน เนื้อตัวสะบักสะบอมด้วยบาดแผลจากการทรมานจนแทบสิ้นสภาพ ถูกชาวบ้านขว้างปาก้อนหินและเศษผักเน่าใส่ไปตลอดทาง ด้านหลังมีกรงที่ใส่ร่างของอนุภรรยาของเขาตามมาในสภาพที่เรียกว่าอยู่ไม่สู้ตาย หลินซูหนิงนอนงอตัวร้องครางด้วยความเจ็บปวดแต่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได
หลินอวี้เหม่ยมองสามีราวกับเห็นเทพเซียนลงมาปรากฏตัวตรงหน้า หัวใจที่เต้นระทึกมีความตื้นตันจนน้ำตาคลอเมื่อได้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และไม่ได้เป็นโจรกบฏอย่างที่ใครต่อใครกล่าวหา“โจรกบฏแซ่เซียว!”“ใครกันแน่ที่เป็นโจรกบฏชิงบัลลังก์” เซียวหลงเฉิงก้าวเข้ามายืนเอาตัวบังฮ่องเต้ไว้เพื่อปกป้องพระองค์จากคนชั่วที่หมายปองร้ายเอาชีวิต และจ้องมองหานเจี้ยนจวิ้นด้วยสายตาดุดันแกมดูแคลนหานเจี้ยนจวิ้นยืนนิ่งเมื่อเห็นร่างของเซียวหลงเฉิงเข้าใกล้เขาทีละก้าว ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธแค้น เมื่อรู้ว่าตนเองเสียรู้และตกเป็นเหยื่อของแผนการซ้อนแผนนี้“เจ้า...เจ้าควรตายไปแล้วมิใช่หรือ”เซียวหลงเฉิงแสยะยิ้มเย็นชาและเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ“น่าเสียดายที่แผนของเจ้ามันตื้นเขินเกินไปเลยทำอะไรพวกข้าไม่ได้ และฮ่องเต้ก็ทรงรู้มาตั้งแต่แรกว่าพวกเจ้าต่างหากที่เป็นกบฏคิดคดทรยศต่อแผ่นดินหาใช่ข้าไม่ ราชโองการที่มอบให้เจ้านั้นก็เป็นเพียงกับดักให้พวกเจ้าเปิดเผยตัวตนออกมาเท่านั้นเอง”ในเวลานั้น ฮ่องเต้ก็ตรัสก้องอย่างเยือกเย็น
“นี่เจ้า!”ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตนางกำนัลตรงหน้าอย่างประหลาดพระทัย ก่อนที่จะลดสายพระเนตรมองสิ่งของในพระหัตถ์ ม้วนกระดาษเล็กๆ แต่เมื่อพระองค์เงยหน้าขึ้น นางกำนัลลึกลับผู้นั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องไปเสียแล้วฮ่องเต้ทรงเปิดม้วนกระดาษนั้นออกอ่านจนจบ ดวงเนตรที่เคยหม่นหมองพลันสว่างไสวขึ้นอย่างมีความหวัง พระองค์แย้มพระโอษฐ์บางๆทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักของทหารแคว้นเหลียงเริ่มดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หานเจี้ยนจวิ้นและอัครเสนาบดีจางเดินเข้ามาในท้องพระโรงด้วยท่าทีเย้ยหยัน เมื่อมาถึงกึ่งกลางของห้อง เขาทั้งสองมองตรงไปยังราชบัลลังก์ด้วยรอยยิ้มสะใจ ดวงตาเต็มไปด้วยละโมบทะเยอทะยานในที่สุดวันที่เขารอคอยก็มาถึง“จงไปคุมตัวฝ่าบาทมาที่นี่” อัครเสนาบดีจางหันไปสั่งหานเจี้ยนจวิ้นเสียงเหี้ยมเพียงไม่นานนักฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ถูกทหารกบฏกุมตัวเข้ามาในท้องพระโรง หากทว่าเมื่อมองขึ้นไปบนพระราชบัลลังก์ก็กลับพบภาพอันน่าตกตะลึง“บังอาจ!”เสียงหัวเราะกังวานก้องของบุคคลที่พระองค์ไม่คาดคิดว่าจะทรยศต่
หลังจากที่มีข่าวว่าแม่ทัพเซียวหลงเฉิงกลายเป็นกบฏไปเข้าร่วมกับศัตรูต่างแคว้น ก็มีข่าวใหม่ว่าตอนนี้แคว้นเหลียงกำลังยกทัพบุกเข้ามาที่เมืองหลวงเพื่อหวังชิงบัลลังก์โดยมีเซียวหลงเฉิงเป็นผู้นำทัพ ข่าวนั้นสร้างความหวาดหวั่นให้กับชาวบ้าน หลายคนเคยเป็นโรคระบาดและได้ยาสมุนไพรของจวนแม่ทัพช่วยชีวิตไว้ ทำให้ซาบซึ้งบุญคุณของแม่ทัพใหญ่ จึงไม่อยากจะเชื่อข่าวคราวนั้น แต่ก็มีอีกหลายคนที่เชื่อจึงเกิดคลื่นลมแรงไปทั้งเมืองหลวงลามไปถึงในวังที่พากันอกสั่นขวัญแขวนกันไปถ้วนหน้าฮ่องเต้เรียกขุนนางทุกคนเข้าประชุมหารือเรื่องการรับมือทัพข้าศึกที่มีแม่ทัพยอดฝีมืออย่างเซียวหลงเฉิงนำทัพมา ขุนนางต่างเห็นพ้องกันราวกับนัดหมายว่าให้พระองค์แต่งตั้งรองแม่ทัพสกุลหานให้เป็นแม่ทัพใหญ่เพื่อรับมือกับข้าศึกคราวนี้ โดยมีเบื้องหลังที่ผลักดันอย่างอัครเสนาบดีจางเป็นหัวเรือใหญ่คอยสนับสนุน ทำให้ฝ่าบาทไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอนี้ได้โดยง่ายพระองค์นิ่งเงียบพลางไตร่ตรองอย่างหนัก ขุนนางต่างเฝ้ารอคอยคำตอบด้วยความกระตือรือร้น ขณะที่แววตาของอัครเสนาบดีจางฉายแววมั่นใจ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างสนับสนุนอย่างเต็มที่ให
“หลินซูหนิง!”คนถูกเรียกเงยหน้ามองไปที่สามีของตนอย่างเลื่อนลอยอยู่พักใหญ่ ก่อนที่สมองจะทำงาน“หะ...หานเจี้ยนจวิ้น” ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความหวาดกลัว เมื่อเห็นว่าเป็นหานเจี้ยนจวิ้นที่ยืนอยู่ตรงหน้า นางก็รีบคลานเข้าไปหาแต่ติดที่ขาทั้งสองถูกล่ามเอาไว้ทำให้ไม่อาจทำตามใจได้“ท่านพี่ ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”“เป็นนังอวี้เหม่ยเจ้าค่ะ นางสั่งให้จับข้ามาขังไว้ที่นี่ ฮือๆ ข้าไม่ผิด ข้าถูกนางพี่สาวสารเลวนั่นใส่ความ ข้าไม่ได้มีอะไรกับเจ้าบ่าวรับใช้หน้าโง่นั่น ฮือๆ ไม่มี ไม่ใช่ข้าๆ”หลินซูหนิงฟูมฟายอย่างคนสติแตก จนเผลอหลุดปากออกไป ทำให้คนได้ชื่อว่าเป็นสามีถึงกับนิ่งงันไป รวมถึงทหารที่อยู่ด้านหลังได้แต่มองกันไปมาเลิ่กลั่กไม่รู้ว่านางกำลังพล่ามอะไรจนกระทั่ง“ท่านพี่ ท่านเป็นสามีของข้า ช่วยข้าด้วย ปล่อยข้าไปนะเจ้าคะ ถ้าท่านปล่อยข้าไป ข้ายินดีทำตามที่ท่านสั่งทุกอย่าง จะให้ข้าไปเป็นนางบำเรอของตาเสนาบดีเฒ่านั่น หรือใครก็ได้ ข้ายอมทั้งนั้น ฮือๆ”หานเจี้ยนจวิ้นยืนมองนางอย่างเย็นชา แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความรังเกียจมากกว่าจะเห็นใจ เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพร่ำพูดออกมาอ
“ฮูหยิน! เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” เสียงเอะอะของเสี่ยวจูที่เปิดประตูพรวดพราดเข้ามาหน้าตาตื่น ทำให้หลินอวี้เหม่ยรีบเงยหน้าจากบันทึกที่กำลังอ่านอย่างตกใจ“มีอันใดกันหรือเสี่ยวจู”“ทะ...ท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” คำนั้นทำให้คนฟังใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม“ทำไมหรือ ท่านแม่ทัพเป็นอะไร”“มีข่าวว่าท่านแม่ทัพเกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”“รีบพูดมาเร็ว”“เมื่อกี้ข้าได้ยินข่าวมาว่าตอนนี้ทัพหน้าของเราเพลี่ยงพล้ำให้กับข้าศึก แม่ทัพเซียวถูกข้าศึกจับตัวไป มีข่าวลือว่าตอนนี้ท่านแม่ทัพยอมจำนนและเข้าร่วมกับทัพข้าศึกแคว้นเหลียงกลายเป็นกบฏแล้วเจ้าค่ะ”“ว่าไงนะ!”หลินอวี้เหม่ยตัวชา พยายามคุมสติให้มั่นในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน นางจ้องมองไพ่ตายที่ซ่อนความลับสำคัญไว้ สัญญาณที่สามีทิ้งไว้ให้ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เขาบอกให้นางหาทางส่งมันเข้าวังเพื่อให้ถึงพระหัตถ์ของฮ่องเต้เท่านั้นแต่มันจะง่ายปานนั้นหรือ ในเมื่อตอนนี้มีข่าวว่าสามีของนางเข้าร่วมกับศัตรูกลายเป็นกบฏ ฮ่องเต้หรือจะทรงอนุญาตให้ฮูหยินของกบฏอย่างนางเข้าพบได้ง่ายๆ หลินอวี้เหม่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่มีเวลาให้คิดแล้วเสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นใกล้ประตูใหญ่ พร้อมเสียงเคร
“นี่คือ...”“เหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชาติก่อนที่ข้าบันทึกเอาไว้ และแผนการคร่าวๆ ส่วนนี่คือไพ่ตายของข้า หากแผนที่วางไว้ไม่เป็นไปตามคาด เจ้าจงหาหนทางส่งสิ่งนี้เข้าวังให้ถึงมือฝ่าบาท เมื่อข้าไปถึงชายแดนแล้ว เจ้าจงรอข่าวจากข้า ฝากดูแลจวนนี้ให้ดี”“ท่านทำราวกับสั่งเสียเช่นนี้ จะให้ข้าวางใจได้อย่างไร” หลินอวี้เหม่ยหน้าเสีย ใจคอไม่ค่อยดี “ถึงอย่างไรพวกเราก็เคยผ่านความตายมาแล้วรอบหนึ่งไม่ใช่หรือฮูหยิน หากครั้งนี้ต้องตายอีกหน มีอันใดให้ต้องกลัวกัน”“ท่านพี่! ข้าไม่ได้กลัวตาย แต่ข้าไม่อยากตายเพราะแผนชั่วร้ายของผู้อื่นอีก และท่านจงจำไว้ ข้าขอสั่งให้ท่านกลับมาอย่างปลอดภัย ห้ามทำข้าเป็นม่าย หรือถูกประหารศพไม่สวยเด็ดขาด ข้าไม่ยอม ถึงเป็นผีก็จะตามไปเอาเรื่องท่านถึงยมโลกแน่ รับปากสิเจ้าคะ”พอขาดคำ เซียวหลงเฉิงก็โน้มริมฝีปากมาแนบกับกลีบปากงามของนางอย่างอ่อนโยน จูบแสนหวานลึกซึ้งแทนคำสัญญาของเขา“ดูแลตัวเองให้ดี รอข้ากลับมานะ”หลินอวี้เหม่ยพยักหน้าเบาๆ ใบหน้างามแดงซ่านเพราะรสจูบวาบหวามของสามี ก้มลงหลบสายตาร้อนแรงประหนึ่งเปลวไฟคู่นั้น แม้ในใจจะยังคงหวั่นไหวอยู่บ้าง แต่เมื่อได้เห็นความมุ่งมั่นในดว
“แม่ทัพใหญ่เซียวหลงเฉิงรับราชโองการ บัดนี้แคว้นเหลียงได้กำเริบเสิบสาน ยกทัพรุกล้ำเข้ามายังชายแดนทิศประจิมของเรา เข่นฆ่าปล้นสะดมชาวบ้านบริเวณชายแดนจนได้รับความเดือดร้อน ฮ่องเต้จึงมีราชโองการให้ท่านแม่ทัพเซียวหลงเฉิงเป็นผู้นำกองกำลังออกไปปราบข้าศึก เพื่อรักษาความสงบสุขของแผ่นดิน หวังว่าท่านแม่ทัพจะทุ่มเทกำลังกาย ใจและสติปัญญาอย่างเต็มที่เพื่อยับยั้งภัยรุกรานและขจัดข้าศึกผู้เป็นศัตรูของแผ่นดินโดยเร็ว จงอย่าให้ข้าศึกใดมีโอกาสย่ำยีดินแดนของเราได้ ขอให้ท่านเร่งออกเดินทางไปยังชายแดนทันที พร้อมนำความสงบสุขกลับคืนสู่ประชาชนภายในเวลาสามเดือนนับจากนี้ จบราชโองการ”“แคว้นเหลียง...” เซียวหลงเฉิงพึมพำ นัยน์ตาสะท้อนความคิดลึกซึ้ง ในใจเขาสงสัยว่าทำไมจู่ๆ ถึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เพราะที่ผ่านมาแคว้นเหลียงแทบไม่เคยมีปัญหากับแคว้นของพวกเขา แต่ด้วยฐานะของแม่ทัพ เขารู้ดีว่าต้องปฏิบัติตามคำสั่ง“ท่านพี่...”หลังจากที่คล้อยหลังทุกคน หลินอวี้เหม่ยก็หันไปสบสายตากับสามีด้วยความเป็นห่วงและกังวลใจ“แผนการของเจ้าดูเหมือนจะได้ผลนะ พวกนั้นเริ่มทนต่อไปไม่ไหวแล้ว” เซียวหลงเฉิงเอ่ยลอดไรฟันเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในชาติก่อน
“แต่ก่อนหน้านั้นท่านเองก็ถูกตัดสินประหารแล้วด้วยข้อหาก่อกบฏเข้าร่วมกับข้าศึกคิดโค่นล้มบัลลังก์ของฝ่าบาท เพื่อหนีจากโทษประหารหลินซูหนิงก็มาที่จวนสกุลหานเพื่อขอพึ่งพิงข้าในฐานะพี่สาว แล้ววางแผนปีนขึ้นเตียงของหานเจี้ยนจวิ้นจนได้เป็นอนุของเขา เหตุการณ์ในตอนนั้นก็เหมือนกับตอนนี้ เพียงแต่เราได้เปลี่ยนแปลงมันใหม่จนนางทำตามแผนไม่สำเร็จ ข้ายังจำได้ว่าตอนที่หานเจี้ยนจวิ้นได้ความดีความชอบจากเรื่องยับยั้งโรคระบาดเพราะข้าบอกเรื่องยาสมุนไพร จนเขาได้เลื่อนขั้นขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของท่าน ข้าสงสัยว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับเรื่องที่ท่านถูกใส่ร้ายว่าเป็นกบฏ” เซียวหลงเฉิงสบถอย่างดุดัน ดวงตาแข็งกร้าว หัวใจเต็มไปด้วยความคุกรุ่นแต่ก็ยังมีความเจ็บปวดแฝงอยู่ลึกๆ เมื่อรู้ถึงสิ่งที่หลินอวี้เหม่ยต้องพบเจอในชาติที่แล้วหลินอวี้เหม่ยเอื้อมมือไปจับแขนของเขาเบาๆ“นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในปัจจุบันของเรา ข้าต้องการปกป้องท่าน ปกป้องครอบครัวของเรา และไม่ให้คนชั่วเหล่านั้นได้โอกาสทำลายล้างชีวิตของเราได้อีก”เซียวหลงเฉิงพยักหน้า น้ำเสียงของเขานุ่มลงแต่ยังคงแฝงด้วยความมุ่งม