เมื่อไร้เจ้าบ่าว พิธีต่างๆ ก็ถูกยกเลิกทั้งหมดทำให้แขกที่มาในงานทยอยกันกลับอย่างกร่อยๆ ส่วนเจ้าสาวที่ควรต้องเข้าห้องหอที่เตรียมไว้กลับต้องถูกพาไปที่พักเรือนนอกจวนก่อนตามคำสั่ง
“คุณหนูเจ้าคะ พวกเราจะทำเช่นใดดี” เสี่ยวจูร้องไห้และกอดแขนนายสาวของตนแน่น
“ในเมื่อยังไม่เข้าพิธีแต่งงาน งั้นก็ควรส่งข้ากลับบ้าน”
“นั่นมิได้ขอรับ นี่เป็นคำสั่งของท่านแม่ทัพใหญ่ ในเมื่อเกี้ยวรับเจ้าสาวมาแล้วก็ถือว่าตอนนี้ท่านเป็นคนของแม่ทัพเซียวแล้ว หากท่านแม่ทัพไม่มีคำสั่ง ท่านก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
เผด็จการสิ้นดี!
เมื่อเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ นางก็อดขุ่นเคืองขึ้นมาไม่ได้
เจ้าแม่ทัพเฮงซวยเอ๊ย...ข้าหรืออุตส่าห์สงสารที่ท่านต้องถูกน้องสาวข้าใส่ร้ายว่าเป็นโจรกบฏจนโดนประหาร อยากช่วยเปลี่ยนแปลงชะตากรรมที่ต้องตายอนาถให้กลายเป็นรอด แต่ท่านกลับเนรคุณทำให้ข้าต้องกลายเป็นเจ้าสาวที่ถูกทุกคนหัวเราะเยาะขายหน้า แต่งงานโดยไร้เจ้าบ่าวไม่พอ แถมต้องถูกเนรเทศไปอยู่เรือนนอกห้ามเข้าจวนอีก
‘นี่ข้าตัดสินใจผิดหรือไม่ที่เลือกจะแต่งงานกับท่านแม่ทัพหัวสุนัขผู้นี้แทนที่จะเลือกหนีไปตายเอาดาบหน้า ข้าต้องการช่วยท่าน แต่ท่านกลับตอบแทนเช่นนี้ ช่างไม่รู้บุญคุณคนจริงๆ’
หญิงสาวพยายามสูดหายใจลึกๆ เพื่อให้ตัวเองสงบลง หลินอวี้เหม่ยสังหรณ์ใจว่าชีวิตต่อจากนี้อาจจะไม่ง่ายเหมือนที่คิด
“ช่างเถอะ ในเมื่อเขาไม่อยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยข้าก็จะได้มีเวลาเตรียมใจและคิดวางแผนอีกหน่อย” หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างปลงๆ คิดในแง่ดี
ตอนนี้นางยังไม่ถือว่าแต่งงานกับท่านแม่ทัพ ก็ยังไม่นับว่าเป็นภรรยาของเขา หากว่าหมอนั่นเกิดโชคร้ายปราบโจรแล้วตายในหน้าที่ขึ้นมา นางก็ไม่ต้องเป็นม่าย แล้วเขาก็ไม่ต้องกลายเป็นกบฏในอนาคตแถมยังอาจได้รับเกียรติยศมีความดีความชอบเพิ่ม เท่านี้นางก็จะหลุดพ้นชะตากรรมไม่ต้องตายไปพร้อมกับเขาแล้วไม่ใช่หรือ
พอคิดเช่นนี้ หลินอวี้เหม่ยก็ยิ้มออกมาได้ งั้นชีวิตนี้นางก็รอดแล้ว ควรใช้ให้ดีๆ สิ
“คุณหนูเชิญขึ้นรถม้าทางนี้ขอรับ” ทหารผู้นั้นเอ่ยพร้อมกับเดินนำไปที่รถม้าที่จัดเตรียมไว้ให้
“ได้ งั้นก็รีบไปกันเถอะ” หญิงสาวมองไปที่ประตูจวนแม่ทัพที่ถูกปิดลงก่อนหันหลังแล้วเดินไปขึ้นรถม้าจากไป
เรือนนอกจวนแม่ทัพเซียวตั้งอยู่นอกเมืองห่างไกลจากจวนใหญ่มาก เมื่อก่อนเคยใช้เป็นที่อยู่ของท่านแม่ทัพตอนสมัยวัยเยาว์ แต่เมื่อท่านแม่ทัพย้ายจวนใหม่ ที่นี่ก็ถูกปิดละเลยไม่มีใครสนใจจนแทบจะกลายเป็นเรือนร้างแม้จะได้ชื่อว่าเป็นของแม่ทัพใหญ่ แต่ก็ดูค่อนข้างเก่าซอมซ่อ ทรุดโทรม และไม่ใหญ่โตโอ่อ่าดั่งเช่นจวนหลัก ประตู หน้าต่างบางบานชำรุดบิดเบี้ยวจนน่ากลัวว่าเพียงเปิดเบาๆ ก็จะหลุดคามือได้
“คุณหนู...”
เสี่ยวจูรีบกระชับแขนนายสาวไว้แน่น มองเรือนตรงหน้าที่คล้ายบ้านผีสิงเสียมากกว่าจะให้คนอยู่อาศัย
“คุณหนู พวกเราจะต้องอยู่ที่นี่กันจริงๆ หรือเจ้าคะ”
“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น”
หลินอวี้เหม่ยตอบอย่างจนใจ พลางมองไปที่ลานด้านหน้าของเรือนที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้ร่วงจากต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านเหนือหัว สวนรอบๆ เต็มไปด้วยหญ้าสูงที่ไม่ได้รับการตัดแต่ง และดอกไม้ป่าที่ขึ้นเองอย่างไร้ทิศทาง
บรรยากาศรอบเรือนดูเงียบเหงาและรกร้างเหมือนถูกลืมเลือนไป ทุกสิ่งทุกอย่างในเรือนนี้ล้วนส่งกลิ่นอายของความถูกละเลย ดูเย็นชาไม่มีความอบอุ่นหรือความสวยงามใด ๆ ช่างเหมาะสำหรับเจ้าสาวผู้ถูกทิ้งไว้ในวันแต่งงานอย่างนางเสียนี่กระไร
“ถึงเรือนแล้วงั้นข้าน้อยขอตัวก่อน” ทหารหน้าเข้มที่อุตส่าห์คุมตัวนางมาส่งจนถึงที่หมายเอ่ยขึ้นมาดื้อๆ นอกจากเขาแล้ว พวกบ่าวไพร่ที่ติดตามมาไม่มีเลยสักคน ทำราวกับเนรเทศนักโทษก็ไม่ปาน
“เดี๋ยวก่อน แล้วเรือนนี้มีผู้ใดอยู่บ้าง”
“ตอนนี้มีแค่ท่านกับสาวใช้ แล้วก็มีบ่าวที่ดูแลเรือนอีกสองสามคนเท่านั้น แต่ท่านอย่าห่วงไปเลย บ่าวพวกนั้นหากไม่มีคำสั่งก็จะไม่ออกมาเพ่นพ่านรบกวนพวกท่าน”
“ว่าไงนะ!”
“เพราะเป็นสถานการณ์เร่งด่วนท่านแม่ทัพจึงสั่งการไม่ทัน ขอให้ท่านโปรดอภัย และทนอยู่ไปก่อนจนกว่าท่านแม่ทัพจะกลับมา”
“แล้วท่านแม่ทัพของพวกเจ้าจะกลับมาเมื่อใดเล่า” ไม่ใช่ว่าเอานางมาทิ้งไว้ที่นี่แล้วไม่คิดจะกลับมารับหรอกนะ
“เรื่องนั้นข้าน้อยก็ไม่อาจตอบได้ขอรับ ข้าน้อยขอตัวก่อน” พอขาดคำนายทหารหน้าขึงขังผู้นั้นก็หันหลังเดินจากไปอย่างไม่ไยดีอีก ทำราวกับรับคำสั่งเจ้านายมาปล่อยสุนัข ปล่อยเสร็จก็กลับไป
“คุณหนู แล้วเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ ที่นี่เก่าแล้วก็ทรุดโทรมมาก คุณหนูจะอยู่อย่างไร มิสู้เรากลับไปที่เรือนสกุลหลินก่อนดีหรือไม่”
“เจ้าก็ได้ยินคำสั่งของเขาแล้วมิใช่หรือ หากเราหนีกลับไป นั่นก็เท่ากับขัดคำสั่งท่านแม่ทัพน่ะสิ อีกอย่างกลับไปตอนนี้ท่านพ่อจะว่าอย่างไร”
ลำพังต้องอับอายขายหน้าเรื่องน้องสาวตัวแสบที่นางวางยาไว้ก่อนจากมาก็แย่แล้ว ป่านนี้ทั้งบ้านคงกำลังลุกเป็นไฟ ขืนนางกลับไปตอนนี้ก็อาจโดนลูกหลง หลินซูหนิงคงไม่ปล่อยนางไปแน่ งั้นก็มิสู้ทนอยู่ที่กันดารนี่ไปก่อนดีกว่า อย่างน้อยก็น่าจะสงบกว่าเรือนที่สกุลหลิน
แต่คิดอีกทีการที่นางช่วยทำให้น้องสาวตัวร้ายและหานเจี้ยนขวิ้นได้สมหวังแต่งงานกันไวขึ้นกว่าเดิม ทั้งสองคนนั่นก็ควรจะขอบคุณพี่สาวคนนี้สิถึงจะถูก เพราะถึงอย่างไรสุดท้ายผีเน่ากับโลงผุก็ต้องลงเอยกันในตอนจบอยู่แล้วนี่นาแถมไม่ต้องมีพี่สาวอย่างนางคอยขัดขวางทางรักด้วย งั้นนางก็แค่ช่วยให้มันเกิดขึ้นไวกว่าเดิมเท่านั้น
การเลือกของนาง ก็ควรทำชะตากรรมของทุกคนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่าเดิมสิ แต่ไฉนนางจึงต้องถูกส่งมาอยู่ที่กันดารเช่นที่นี่ด้วย ไม่ต่างกับถูกส่งมาอยู่ตำหนักเย็นเลย ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้าแม่ทัพหัวสุนัขผู้นั้นแท้ๆ รู้เช่นนี้นางไม่แต่งให้เขาก็ดี
“คุณหนูกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ”
“เปล่า ไปเถอะ พวกเรารีบยกข้าวของเข้าเรือนกัน”
สิ่งที่หลินอวี้เหม่ยคิดนั้นถูกต้องทีเดียว“โอ๊ย! เจ็บ...อูย...”เสียงร้องครวญครางดังออกมาเป็นระยะๆ จากห้องเก็บฟืนหลังบ้าน ซึ่งใช้เป็นที่กักบริเวณของหลินซูหนิง ที่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังนอนเปลือยแผ่นหลังแตกยับให้มารดาช่วยใส่ยาให้ หลังจากที่นางถูกบิดาสั่งโบยจนบาดเจ็บสาหัส“อดทนเอาหน่อยนะลูกรัก”นางเฉินปลอบลูกสาวไป น้ำตาไหลพรากไป วันนี้ใช่แต่บุตรีของนางที่โดนลงโทษ แต่มารดาอย่างนางเองก็มิวายโดนสามีตบตีเสียยกใหญ่โทษฐานที่ไม่ดูแลลูกให้ดี ปล่อยให้ไปก่อเรื่องงามหน้ากับบุรุษอย่างหานเจี้ยนจวิ้นแถมยังต้องมาขายหน้าเป็นขี้ปากชาวบ้านที่มามุงดูงิ้วตอนที่นายท่านหลินไล่ทุบตีบุตรสาวในสภาพเกือบเปลือยล่อนจ้อนไปทั่ว ทำให้ชื่อเสียงของหลินซูหนิงตอนนี้ด่างพร้อยไม่ต่างจากหญิงนางโลมเลยทีเดียวส่วนหานเจี้ยนจวิ้นผู้นั้น นอกจากถูกตีจนหัวแตก และมีบาดแผลตามเนื้อตัวแล้ว เขายังถูกหลินจื่อชิงสั่งคนจับมัดตัวไว้กับเสาด้านนอกเพื่อให้สำนึกผิด จนกระทั่งยอมรับปากจะมาสู่ขอลูกสาวของนางแต่งงานให้ถูกต้องแต่ถึงกระนั้นชื่อเสียงฉาวโฉ่ป่นปี้ไปแล้วนี้ จะกอบกู้กลับมาได้ง่ายๆ หรือ หากหานเจี้ยนจวิ้นไม่มารับผิดชอบ ต่อไปจะหาบุรุษดีๆ มีชาติต
หลินอวี้เหม่ยมองดูเรือนนอกของจวนแม่ทัพเซียวอย่างหนักใจ หลังจากที่ถูกทิ้งไว้โดยที่ยังไม่ได้ทำพิธีแต่งงานอย่างสมบูรณ์ ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวยังคงอยู่บนศีรษะของนาง สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในอนาคตที่กำลังรอคอยอยู่นอกเรือนว่าเก่าแล้ว ภายในเรือนยิ่งไม่ต้องพูดถึง พื้นไม้ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่มีคนเดินผ่าน ห้องถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนเก่าคร่ำคร่าเพียงไม่กี่ชิ้น โต๊ะไม้เล็กตรงกลางห้องมีร่องรอยของการใช้งานมาอย่างยาวนาน เบาะรองนั่งบนเก้าอี้บางตัวมีรอยขาด เหมือนถูกใช้งานจนหมดสภาพ ฟูกนอนในห้องนอนเล็กๆ ข้างในนั้นบางจนแทบไม่รู้สึกถึงความนุ่ม ห้องดูอับชื้นและมีแสงเพียงเล็กน้อยลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่ถูกปิดไว้ครึ่งหนึ่งกลิ่นของไม้เก่าผสมกับกลิ่นอับจากการไม่ได้ใช้งานมานานชวนให้บรรยากาศของเรือนนี้ดูไม่น่าอยู่ และทำให้หลินอวี้เหม่ยรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม หากนี่เหมือนกับในฝันถ้างั้นนางก็ชักจะเข้าใจหลินซูหนิงขึ้นมาบ้างแล้วว่าทำไมน้องสาวตัวร้ายนั่นถึงแค้นจนต้องวางแผนใส่ร้ายเจ้าแม่ทัพเฮงซวยนี่ว่าก่อกบฏแล้วหนีไปเป็นอนุของหานเจี้ยนจวิ้นสามีชั่วของนางแทน ก็ดูเขาทำสิ มันน่าไหมล่ะนี่นางหนีเสือป
“คุณหนู ท่านควรกินอะไรบ้างนะเจ้าคะ อย่าอดอาหารเลย เดี๋ยวจะเสียสุขภาพเอาได้นะเจ้าคะ”หลินอวี้เหม่ยนิ่งเงียบ ไม่แม้แต่จะหันไปมองอาหารที่ถูกวางไว้ตรงหน้า แม้จะเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแต่นางกลับกินอะไรไม่ลงเลย นางเฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่า“นี่คือชีวิตที่ข้าต้องเผชิญจริงหรือ? หรือว่านี่คือการลงโทษที่ข้าต้องได้รับ?”เสียงลมพัดไหวผ่านหน้าต่าง ความเย็นยะเยือกของค่ำคืนแผ่กระจายเข้ามาในห้อง ทำให้หลินอวี้เหม่ยกอดตัวเองแน่นขึ้น เสี่ยวจูสังเกตเห็นและรีบไปหยิบผ้าห่มมาให้“คุณหนู ท่านพักสักนิดเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้อาจมีข่าวดี” เสี่ยวจูพยายามปลอบใจ“ข่าวดีหรือ ข้าไม่คิดเช่นนั้น”แต่หลินอวี้เหม่ยรู้ดีว่าความหวังนั้นช่างเลือนลางนัก การแต่งงานที่ควรเป็นวันแห่งความสุข กลับกลายเป็นวันแห่งความว่างเปล่า ความเหงา และการรอคอยโดยไร้จุดหมายสิ่งที่หลินอวี้เหม่ยคิดมีเค้าลางว่าจะเป็นจริง หลังจากวันที่นางถูกพามาทิ้งไว้ที่เรือนนี่ก็แทบจะไม่ได้ข่าวคราวใดๆ จากจวนแม่ทัพใหญ่อีกเลย ราวกับว่านางถูกขังในคุกที่ไร้ลูกกรงและตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงทุกวันในแต่ละมื้อจะมีบ่าวคนเดิมคอยนำอาหารมาวางให้ที่หน้าประตูแล้วหายตัวไปอย่
“เพาะปลูก! แต่ท่านไม่เคยทำมาก่อนนี่เจ้าคะ”ตั้งแต่เล็กจนโต คุณหนูของนางก็อยู่แต่ในห้องหอ ถึงท่านพ่อไม่รักเท่าไหร่ ชีวิตไม่ค่อยสุขสบายแต่ก็ไม่เคยต้องลำบากตรากตรำถึงขั้นมาทำงานเพาะปลูก“ไม่เคย ก็ฝึกได้นี่นา อีกอย่างวันๆ ข้าก็ไม่มีอะไรทำ น่าเบื่อจะแย่ งั้นเราก็มาลองทำอะไรที่ไม่เคยทำนี่แหละ จะได้ไม่เบื่อดีไหม”“คุณหนู...ท่านช่างเข้มแข็งยิ่งนัก ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะช่วยท่านอีกแรงนะเจ้าคะ บ่าวจะอยู่ข้างท่านเสมอ”หลินอวี้เหม่ยพยักหน้าเบาๆ ด้วยความซาบซึ้งใจ“ขอบใจเจ้ามากนะเสี่ยวจูที่คอยอยู่เป็นเพื่อนข้า ต่อไปข้าจะไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาอีกแล้ว ข้าจะสร้างอนาคตของพวกเราขึ้นมาด้วยสองมือของข้าเอง” หญิงสาวมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ที่ลานรกร้างหน้าเรือนด้วยดวงตาที่มีหวังหากจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ นางก็จะใช้ประโยชน์จากพื้นที่รกร้างนี่ทำเงินให้แล้วกัน ส่วนเจ้าแม่ทัพเฮงซวยนั่นจะกลับมาหรือไม่ นางก็จะไม่สนใจอีกแล้ว มีเงินเมื่อไรนางก็จะได้โบยบินไปจากที่นี่ไม่ต้องสนใจชะตาชีวิตของใครอีกต่อไปหลังจากที่คิดได้ หลินอวี้เหม่ยก็เริ่มวางแผนการต่างๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมในฝันนั้น เริ่มแรกนางได้ไปสำรวจที่แปลงเพาะปลูกด้านหลั
ที่เรือนนอกเมือง หลังจากหลินอวี้เหม่ยตัดสินใจที่จะไม่งอมืองอเท้ารอชะตาชีวิต นางก็เริ่มสำรวจรอบเรือนนอก พบว่าแม้มีพื้นที่ไม่ได้กว้างขวางมากนักแต่ก็มีแปลงสมุนไพรเล็กๆ ที่ปลูกอยู่ด้านหลังเรือน แถมยังมีพื้นที่รกร้างที่สามารถเพาะปลูกสมุนไพรเพิ่มได้อันที่จริงในฝันร้ายนั่น หลังจากที่นางแต่งงานกับหานเจี้ยนจวิ้นเพียงไม่นานนางก็ร่างกายอ่อนแอจนล้มป่วยอยู่บ่อยๆ จนมารู้ทีหลังว่าเป็นเพราะโดนสามีชั่ววางยามานานโดยที่นางไม่เคยระแคะระคายอะไรเพราะความรักที่มีต่อเขาแต่นั่นก็ทำให้นางหันมาเริ่มศึกษาเรื่องสมุนไพรอย่างจริงจัง เพื่อใช้รักษาอาการตัวเอง โดยได้หมอเทวดาประจำตระกูลคอยแนะนำ รวมถึงครูพักลักจำ จนได้วิชาปรุงยาติดตัวมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจถึงขั้นตั้งตนเป็นหมอเองได้ นางจึงเริ่มนำความรู้นี้มาปรับใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันหลังจากลองปรุงยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคง่ายๆ ออกมาสองสามขนานเสร็จ หลินอวี้เหม่ยก็เริ่มออกไปสำรวจที่ร้านขายยาตามตลาดใกล้ๆ เพื่อฝากขาย ในเมื่อนางไม่สะดวกที่จะเปิดเผยตัวจึงได้ปลอมตัวเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา ให้เสี่ยวจูเรียกตนว่าพี่สาวไม่ใช่คุณหนู แม้จะถูกปฏิเสธในคราวแรก แต่นางก็ไม่คิดย่อท้อหรือ
“จะรีบไปไหนล่ะน้องสาว ให้พี่ช่วยเจ้าถือของดีหรือไม่”หลินอวี้เหม่ยตกใจมาก แต่พยายามกุมสติให้มั่นคิดหาทางเอาตัวรอด นางมีกันแค่สองคนส่วนอีกฝ่ายมีคนมากกว่าหลายเท่า ทั้งที่นี่อยู่ห่างจากตลาด หนทางค่อนข้างเปลี่ยว แม้อยู่ไม่ไกลจากเรือนที่พักของนางมากนัก แต่หากจะวิ่งหนีชายฉกรรจ์พวกนี้ก็คงไม่ทัน หรือจะตะโกนเรียกคนมาช่วยก็ไม่แน่ว่าจะมีใครได้ยิน“คุณหนู พวกเราจะทำอย่างไรดี” เสี่ยวจูรีบเข้ามากอดแขนนายสาวไว้อย่างหวาดกลัว“พวกเจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรจากข้า” หลินอวี้เหม่ยข่มความกลัวถามขึ้น พลางมองใบหน้าของพวกอันธพาล ก่อนชะงักเมื่อเห็นว่าหนึ่งนั้นดูคุ้นหน้าพลันภาพเหตุการณ์ในฝันก่อนที่นางจะตายก็ผุดแว่บขึ้นมาในสมอง ที่แท้คนที่นางรู้สึกคุ้นหน้าก็คือชายหน้าเหี้ยมที่เป็นคนโบยลงโทษนางในความฝันนั่นเอง และเท่าที่จำได้คนผู้นี้ก็คือ...“หลินซูหนิงส่งพวกเจ้ามาสินะ”ได้ผล! ชายทั้งสี่มีอาการชะงัก มองหน้ากันเลิ่กลั่ก นั่นก็แปลว่านางเดาถูกต้อง“นางจ้างพวกเจ้ามาเท่าไหร่ ข้าให้มากกว่าสองเท่า ไม่สิ สามเท่าไปเลย” หญิงสาวทำใจกล้าต่อรอง“อย่าไปฟังนาง รีบจับตัวพวกนางไปจัดการตามคำสั่งคุณหนูให้เสร็จเสีย” ชายหน้าเหี้ยมสั่งพ
“เจ้าเป็นใคร!” หัวหน้าคนร้ายตะโกนถาม“บรรพบุรุษของพวกเจ้าไง” ชายลึกลับตอบอย่างยียวน พร้อมกับเงื้อดาบฟันฉับเข้าสู้กับพวกคนร้ายอย่างคล่องแคล่ว ว่องไว ทุกครั้งที่ดาบเงื้อขึ้นต้องมีหนึ่งชีวิตที่เซ่นสังเวยปลิดปลิวราวใบไม้ร่วงหล่นบนพื้นหลินอวี้เหม่ยมองภาพนั้นตาค้าง“คุณหนูช่วยบ่าวด้วย ช่วยด้วย...”เสียงกรีดร้องนั้นทำให้หญิงสาวได้สติฉับพลัน รีบฉวยจังหวะชุลมุนวิ่งไปช่วยเสี่ยวจูขึ้นมาจากพื้น เคราะห์ยังดีที่พวกคนร้ายยังไม่ทันได้ทำอะไรสาวใช้ของนาง “คุณหนู...ฮือๆ บ่าวกลัวยิ่งนัก” เสี่ยวจูรีบพุ่งเข้ามากอดนายสาวร้องไห้อย่างตกใจ พอเห็นสภาพเสื้อผ้าผมเผ้าหลุดลุ่ยของหลินอวี้เหม่ยนางก็รีบถามเสียงสั่นเครือ “คุณหนูท่านเป็นอันใดหรือไม่ พวกมัน...พวกมัน...”“ข้าไม่เป็นไร เจ้าหยุดร้องไห้เสียก่อน” หญิงสาวรีบบอกสาวใช้ ก่อนตั้งสติแล้วหันไปมองกลุ่มคนที่กำลังต่อสู้กันจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร หากแล้วมีจังหวะหนึ่งที่ชายลึกลับที่เข้ามาช่วยนางดูเหมือนจะเพลี่ยงพล้ำ“ระวัง!”หลินอวี้เหม่ยรีบร้องตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นหนึ่งในคนร้ายเงื้อดาบขึ้นจู่โจมเขาจากทางด้านหลัง และฟันเข้าที่ไหล่ของเขาจนเลือดทะลักออกมา แต่ชายหนุ่มก็หัน
ระหว่างรอเสี่ยวจูไปตามหมอ หลินอวี้เหม่ยก็คอยดูคนเจ็บเพื่อประเมินอาการเบื้องต้น เขายังคงไม่ได้สติ นางจึงใช้ผ้าชุบน้ำมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้บุรุษผู้นั้นอย่างเบามือ พอหมดคราบเลือดคราบไคล ก็เผยใบหน้าแท้จริงที่ทำให้นางถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะ“รูปงามเสียด้วย” หญิงสาวยื่นมือไปลูบไล้ที่ใบหน้าคมคายนั้นอย่างลืมตัว“เจ้าเป็นผู้ใดกันนะ...”ใบหน้าหล่อเหลาสมชายชาตรี คิ้วทรงกระบี่เข้มรับกับจมูกโด่งคมเป็นสัน รวมถึงกรอบตายาวเรียวลึก และริมฝีปากที่ได้รูป เขาผู้นี้เป็นใครกันนะ แล้วเหตุใดจึงเข้ามาช่วยพวกนางไว้“อือ...เจ็บ...”เสียงแหบแห้งประท้วงเบาๆ ทำให้นางได้สติรีบดึงมือกลับมาอย่างละอายใจ พร้อมกับตำหนิตัวเองที่ถูกรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายทำให้เผลอลืมตัวไปชั่วขณะ อันที่จริงนางไม่ใช่คนที่คลั่งบุรุษรูปงามเสียหน่อย แต่หากจะว่าไปแล้ว บุรุษตรงหน้าดูแล้วก็อาจจะรูปงามกว่าหานเจี้ยนจวิ้น อดีตสามีชั่วนั่นเสียอีก ไม่แน่ว่าหากเทียบกับแม่ทัพผู้นั้นก็ยังไม่รู้ว่าใครจะเหนือกว่า ในเมื่อนางยังไม่เคยพบหน้าสามีที่ยังไม่ได้เข้าพิธีนั่นเลยนี่นาที่สำคัญกว่านั้นคือเขาเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยนางไว้ หากไม่มีเขา ไม่แน่ว่าตอนนี้นางอาจจะพบ
ภายในเวลาไม่นาน กบฏทั้งหมดก็ถูกปราบจนสิ้นซากหานเจี้ยนจวิ้นถูกทหารเข้ามาจับกุมตัว ขณะที่เขาพยายามดิ้นรนอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส อัครเสนาบดีและขุนนางผู้สมรู้ร่วมคิดต่างถูกล้อมจับจนหมดสิ้น ไม่มีทางหนีรอดจากมือแม่ทัพใหญ่ได้แม้แต่คนเดียว Top of FormBottom of Formท่ามกลางความเงียบสงบในท้องพระโรง บรรยากาศกลับตึงเครียด ใต้เท้าจางในฐานะหัวหน้าผู้ก่อการกบฏ รวมถึงหานเจี้ยนจวิ้นและบรรดาขุนนางผู้ร่วมก่อการครั้งนี้ถูกตัดสินประหารชีวิตในข้อหากบฏต่อแผ่นดินส่วนหลินซูหนิงก็ถูกคุมตัวออกมาจากคุกเพื่อรับโทษประหารโทษฐานสมรู้ร่วมคิด นางถูกตราหน้าว่าเป็นอนุภรรยาของโจรกบฏแซ่หานต้องตายตกไปตามกัน ในวันประหาร มีการแห่งนักโทษรอบเมืองให้ชาวบ้านได้เห็นจุดจบของคนทรยศต่อแผ่นดินหานเจี้ยนจวิ้นที่ถูกขังกรงในสภาพไร้แขน เนื้อตัวสะบักสะบอมด้วยบาดแผลจากการทรมานจนแทบสิ้นสภาพ ถูกชาวบ้านขว้างปาก้อนหินและเศษผักเน่าใส่ไปตลอดทาง ด้านหลังมีกรงที่ใส่ร่างของอนุภรรยาของเขาตามมาในสภาพที่เรียกว่าอยู่ไม่สู้ตาย หลินซูหนิงนอนงอตัวร้องครางด้วยความเจ็บปวดแต่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได
หลินอวี้เหม่ยมองสามีราวกับเห็นเทพเซียนลงมาปรากฏตัวตรงหน้า หัวใจที่เต้นระทึกมีความตื้นตันจนน้ำตาคลอเมื่อได้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และไม่ได้เป็นโจรกบฏอย่างที่ใครต่อใครกล่าวหา“โจรกบฏแซ่เซียว!”“ใครกันแน่ที่เป็นโจรกบฏชิงบัลลังก์” เซียวหลงเฉิงก้าวเข้ามายืนเอาตัวบังฮ่องเต้ไว้เพื่อปกป้องพระองค์จากคนชั่วที่หมายปองร้ายเอาชีวิต และจ้องมองหานเจี้ยนจวิ้นด้วยสายตาดุดันแกมดูแคลนหานเจี้ยนจวิ้นยืนนิ่งเมื่อเห็นร่างของเซียวหลงเฉิงเข้าใกล้เขาทีละก้าว ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธแค้น เมื่อรู้ว่าตนเองเสียรู้และตกเป็นเหยื่อของแผนการซ้อนแผนนี้“เจ้า...เจ้าควรตายไปแล้วมิใช่หรือ”เซียวหลงเฉิงแสยะยิ้มเย็นชาและเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ“น่าเสียดายที่แผนของเจ้ามันตื้นเขินเกินไปเลยทำอะไรพวกข้าไม่ได้ และฮ่องเต้ก็ทรงรู้มาตั้งแต่แรกว่าพวกเจ้าต่างหากที่เป็นกบฏคิดคดทรยศต่อแผ่นดินหาใช่ข้าไม่ ราชโองการที่มอบให้เจ้านั้นก็เป็นเพียงกับดักให้พวกเจ้าเปิดเผยตัวตนออกมาเท่านั้นเอง”ในเวลานั้น ฮ่องเต้ก็ตรัสก้องอย่างเยือกเย็น
“นี่เจ้า!”ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตนางกำนัลตรงหน้าอย่างประหลาดพระทัย ก่อนที่จะลดสายพระเนตรมองสิ่งของในพระหัตถ์ ม้วนกระดาษเล็กๆ แต่เมื่อพระองค์เงยหน้าขึ้น นางกำนัลลึกลับผู้นั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องไปเสียแล้วฮ่องเต้ทรงเปิดม้วนกระดาษนั้นออกอ่านจนจบ ดวงเนตรที่เคยหม่นหมองพลันสว่างไสวขึ้นอย่างมีความหวัง พระองค์แย้มพระโอษฐ์บางๆทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักของทหารแคว้นเหลียงเริ่มดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หานเจี้ยนจวิ้นและอัครเสนาบดีจางเดินเข้ามาในท้องพระโรงด้วยท่าทีเย้ยหยัน เมื่อมาถึงกึ่งกลางของห้อง เขาทั้งสองมองตรงไปยังราชบัลลังก์ด้วยรอยยิ้มสะใจ ดวงตาเต็มไปด้วยละโมบทะเยอทะยานในที่สุดวันที่เขารอคอยก็มาถึง“จงไปคุมตัวฝ่าบาทมาที่นี่” อัครเสนาบดีจางหันไปสั่งหานเจี้ยนจวิ้นเสียงเหี้ยมเพียงไม่นานนักฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ถูกทหารกบฏกุมตัวเข้ามาในท้องพระโรง หากทว่าเมื่อมองขึ้นไปบนพระราชบัลลังก์ก็กลับพบภาพอันน่าตกตะลึง“บังอาจ!”เสียงหัวเราะกังวานก้องของบุคคลที่พระองค์ไม่คาดคิดว่าจะทรยศต่
หลังจากที่มีข่าวว่าแม่ทัพเซียวหลงเฉิงกลายเป็นกบฏไปเข้าร่วมกับศัตรูต่างแคว้น ก็มีข่าวใหม่ว่าตอนนี้แคว้นเหลียงกำลังยกทัพบุกเข้ามาที่เมืองหลวงเพื่อหวังชิงบัลลังก์โดยมีเซียวหลงเฉิงเป็นผู้นำทัพ ข่าวนั้นสร้างความหวาดหวั่นให้กับชาวบ้าน หลายคนเคยเป็นโรคระบาดและได้ยาสมุนไพรของจวนแม่ทัพช่วยชีวิตไว้ ทำให้ซาบซึ้งบุญคุณของแม่ทัพใหญ่ จึงไม่อยากจะเชื่อข่าวคราวนั้น แต่ก็มีอีกหลายคนที่เชื่อจึงเกิดคลื่นลมแรงไปทั้งเมืองหลวงลามไปถึงในวังที่พากันอกสั่นขวัญแขวนกันไปถ้วนหน้าฮ่องเต้เรียกขุนนางทุกคนเข้าประชุมหารือเรื่องการรับมือทัพข้าศึกที่มีแม่ทัพยอดฝีมืออย่างเซียวหลงเฉิงนำทัพมา ขุนนางต่างเห็นพ้องกันราวกับนัดหมายว่าให้พระองค์แต่งตั้งรองแม่ทัพสกุลหานให้เป็นแม่ทัพใหญ่เพื่อรับมือกับข้าศึกคราวนี้ โดยมีเบื้องหลังที่ผลักดันอย่างอัครเสนาบดีจางเป็นหัวเรือใหญ่คอยสนับสนุน ทำให้ฝ่าบาทไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอนี้ได้โดยง่ายพระองค์นิ่งเงียบพลางไตร่ตรองอย่างหนัก ขุนนางต่างเฝ้ารอคอยคำตอบด้วยความกระตือรือร้น ขณะที่แววตาของอัครเสนาบดีจางฉายแววมั่นใจ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างสนับสนุนอย่างเต็มที่ให
“หลินซูหนิง!”คนถูกเรียกเงยหน้ามองไปที่สามีของตนอย่างเลื่อนลอยอยู่พักใหญ่ ก่อนที่สมองจะทำงาน“หะ...หานเจี้ยนจวิ้น” ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความหวาดกลัว เมื่อเห็นว่าเป็นหานเจี้ยนจวิ้นที่ยืนอยู่ตรงหน้า นางก็รีบคลานเข้าไปหาแต่ติดที่ขาทั้งสองถูกล่ามเอาไว้ทำให้ไม่อาจทำตามใจได้“ท่านพี่ ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”“เป็นนังอวี้เหม่ยเจ้าค่ะ นางสั่งให้จับข้ามาขังไว้ที่นี่ ฮือๆ ข้าไม่ผิด ข้าถูกนางพี่สาวสารเลวนั่นใส่ความ ข้าไม่ได้มีอะไรกับเจ้าบ่าวรับใช้หน้าโง่นั่น ฮือๆ ไม่มี ไม่ใช่ข้าๆ”หลินซูหนิงฟูมฟายอย่างคนสติแตก จนเผลอหลุดปากออกไป ทำให้คนได้ชื่อว่าเป็นสามีถึงกับนิ่งงันไป รวมถึงทหารที่อยู่ด้านหลังได้แต่มองกันไปมาเลิ่กลั่กไม่รู้ว่านางกำลังพล่ามอะไรจนกระทั่ง“ท่านพี่ ท่านเป็นสามีของข้า ช่วยข้าด้วย ปล่อยข้าไปนะเจ้าคะ ถ้าท่านปล่อยข้าไป ข้ายินดีทำตามที่ท่านสั่งทุกอย่าง จะให้ข้าไปเป็นนางบำเรอของตาเสนาบดีเฒ่านั่น หรือใครก็ได้ ข้ายอมทั้งนั้น ฮือๆ”หานเจี้ยนจวิ้นยืนมองนางอย่างเย็นชา แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความรังเกียจมากกว่าจะเห็นใจ เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพร่ำพูดออกมาอ
“ฮูหยิน! เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” เสียงเอะอะของเสี่ยวจูที่เปิดประตูพรวดพราดเข้ามาหน้าตาตื่น ทำให้หลินอวี้เหม่ยรีบเงยหน้าจากบันทึกที่กำลังอ่านอย่างตกใจ“มีอันใดกันหรือเสี่ยวจู”“ทะ...ท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” คำนั้นทำให้คนฟังใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม“ทำไมหรือ ท่านแม่ทัพเป็นอะไร”“มีข่าวว่าท่านแม่ทัพเกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”“รีบพูดมาเร็ว”“เมื่อกี้ข้าได้ยินข่าวมาว่าตอนนี้ทัพหน้าของเราเพลี่ยงพล้ำให้กับข้าศึก แม่ทัพเซียวถูกข้าศึกจับตัวไป มีข่าวลือว่าตอนนี้ท่านแม่ทัพยอมจำนนและเข้าร่วมกับทัพข้าศึกแคว้นเหลียงกลายเป็นกบฏแล้วเจ้าค่ะ”“ว่าไงนะ!”หลินอวี้เหม่ยตัวชา พยายามคุมสติให้มั่นในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน นางจ้องมองไพ่ตายที่ซ่อนความลับสำคัญไว้ สัญญาณที่สามีทิ้งไว้ให้ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เขาบอกให้นางหาทางส่งมันเข้าวังเพื่อให้ถึงพระหัตถ์ของฮ่องเต้เท่านั้นแต่มันจะง่ายปานนั้นหรือ ในเมื่อตอนนี้มีข่าวว่าสามีของนางเข้าร่วมกับศัตรูกลายเป็นกบฏ ฮ่องเต้หรือจะทรงอนุญาตให้ฮูหยินของกบฏอย่างนางเข้าพบได้ง่ายๆ หลินอวี้เหม่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่มีเวลาให้คิดแล้วเสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นใกล้ประตูใหญ่ พร้อมเสียงเคร
“นี่คือ...”“เหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชาติก่อนที่ข้าบันทึกเอาไว้ และแผนการคร่าวๆ ส่วนนี่คือไพ่ตายของข้า หากแผนที่วางไว้ไม่เป็นไปตามคาด เจ้าจงหาหนทางส่งสิ่งนี้เข้าวังให้ถึงมือฝ่าบาท เมื่อข้าไปถึงชายแดนแล้ว เจ้าจงรอข่าวจากข้า ฝากดูแลจวนนี้ให้ดี”“ท่านทำราวกับสั่งเสียเช่นนี้ จะให้ข้าวางใจได้อย่างไร” หลินอวี้เหม่ยหน้าเสีย ใจคอไม่ค่อยดี “ถึงอย่างไรพวกเราก็เคยผ่านความตายมาแล้วรอบหนึ่งไม่ใช่หรือฮูหยิน หากครั้งนี้ต้องตายอีกหน มีอันใดให้ต้องกลัวกัน”“ท่านพี่! ข้าไม่ได้กลัวตาย แต่ข้าไม่อยากตายเพราะแผนชั่วร้ายของผู้อื่นอีก และท่านจงจำไว้ ข้าขอสั่งให้ท่านกลับมาอย่างปลอดภัย ห้ามทำข้าเป็นม่าย หรือถูกประหารศพไม่สวยเด็ดขาด ข้าไม่ยอม ถึงเป็นผีก็จะตามไปเอาเรื่องท่านถึงยมโลกแน่ รับปากสิเจ้าคะ”พอขาดคำ เซียวหลงเฉิงก็โน้มริมฝีปากมาแนบกับกลีบปากงามของนางอย่างอ่อนโยน จูบแสนหวานลึกซึ้งแทนคำสัญญาของเขา“ดูแลตัวเองให้ดี รอข้ากลับมานะ”หลินอวี้เหม่ยพยักหน้าเบาๆ ใบหน้างามแดงซ่านเพราะรสจูบวาบหวามของสามี ก้มลงหลบสายตาร้อนแรงประหนึ่งเปลวไฟคู่นั้น แม้ในใจจะยังคงหวั่นไหวอยู่บ้าง แต่เมื่อได้เห็นความมุ่งมั่นในดว
“แม่ทัพใหญ่เซียวหลงเฉิงรับราชโองการ บัดนี้แคว้นเหลียงได้กำเริบเสิบสาน ยกทัพรุกล้ำเข้ามายังชายแดนทิศประจิมของเรา เข่นฆ่าปล้นสะดมชาวบ้านบริเวณชายแดนจนได้รับความเดือดร้อน ฮ่องเต้จึงมีราชโองการให้ท่านแม่ทัพเซียวหลงเฉิงเป็นผู้นำกองกำลังออกไปปราบข้าศึก เพื่อรักษาความสงบสุขของแผ่นดิน หวังว่าท่านแม่ทัพจะทุ่มเทกำลังกาย ใจและสติปัญญาอย่างเต็มที่เพื่อยับยั้งภัยรุกรานและขจัดข้าศึกผู้เป็นศัตรูของแผ่นดินโดยเร็ว จงอย่าให้ข้าศึกใดมีโอกาสย่ำยีดินแดนของเราได้ ขอให้ท่านเร่งออกเดินทางไปยังชายแดนทันที พร้อมนำความสงบสุขกลับคืนสู่ประชาชนภายในเวลาสามเดือนนับจากนี้ จบราชโองการ”“แคว้นเหลียง...” เซียวหลงเฉิงพึมพำ นัยน์ตาสะท้อนความคิดลึกซึ้ง ในใจเขาสงสัยว่าทำไมจู่ๆ ถึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เพราะที่ผ่านมาแคว้นเหลียงแทบไม่เคยมีปัญหากับแคว้นของพวกเขา แต่ด้วยฐานะของแม่ทัพ เขารู้ดีว่าต้องปฏิบัติตามคำสั่ง“ท่านพี่...”หลังจากที่คล้อยหลังทุกคน หลินอวี้เหม่ยก็หันไปสบสายตากับสามีด้วยความเป็นห่วงและกังวลใจ“แผนการของเจ้าดูเหมือนจะได้ผลนะ พวกนั้นเริ่มทนต่อไปไม่ไหวแล้ว” เซียวหลงเฉิงเอ่ยลอดไรฟันเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในชาติก่อน
“แต่ก่อนหน้านั้นท่านเองก็ถูกตัดสินประหารแล้วด้วยข้อหาก่อกบฏเข้าร่วมกับข้าศึกคิดโค่นล้มบัลลังก์ของฝ่าบาท เพื่อหนีจากโทษประหารหลินซูหนิงก็มาที่จวนสกุลหานเพื่อขอพึ่งพิงข้าในฐานะพี่สาว แล้ววางแผนปีนขึ้นเตียงของหานเจี้ยนจวิ้นจนได้เป็นอนุของเขา เหตุการณ์ในตอนนั้นก็เหมือนกับตอนนี้ เพียงแต่เราได้เปลี่ยนแปลงมันใหม่จนนางทำตามแผนไม่สำเร็จ ข้ายังจำได้ว่าตอนที่หานเจี้ยนจวิ้นได้ความดีความชอบจากเรื่องยับยั้งโรคระบาดเพราะข้าบอกเรื่องยาสมุนไพร จนเขาได้เลื่อนขั้นขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของท่าน ข้าสงสัยว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับเรื่องที่ท่านถูกใส่ร้ายว่าเป็นกบฏ” เซียวหลงเฉิงสบถอย่างดุดัน ดวงตาแข็งกร้าว หัวใจเต็มไปด้วยความคุกรุ่นแต่ก็ยังมีความเจ็บปวดแฝงอยู่ลึกๆ เมื่อรู้ถึงสิ่งที่หลินอวี้เหม่ยต้องพบเจอในชาติที่แล้วหลินอวี้เหม่ยเอื้อมมือไปจับแขนของเขาเบาๆ“นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในปัจจุบันของเรา ข้าต้องการปกป้องท่าน ปกป้องครอบครัวของเรา และไม่ให้คนชั่วเหล่านั้นได้โอกาสทำลายล้างชีวิตของเราได้อีก”เซียวหลงเฉิงพยักหน้า น้ำเสียงของเขานุ่มลงแต่ยังคงแฝงด้วยความมุ่งม