จริงซิ! ตอนที่นางขึ้นเขาไปตามหาเฉิงเอ๋อร์ เขาอยู่กับลูกนี่...“ท่าน...” ซินหรานเรียกบุรุษที่เดินไปหยิบเสื้อผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะ จู่ๆ เขาก็ถอดเสื้อตัวนอกออก หญิงสาวหวีดร้องเสียงหลง ยกมือขึ้นปิดตา “ท่านจะทำอะไร!”“เปลี่ยนเสื้อผ้า” พูดแล้วก็ถอดเสื้อตัวนอกออกไม่สนใจที่นางยกมือปิดตาตัวเองอยู่ กำลังจะเอ่ยถามว่าจะปิดตาไปทำไมกัน ใช่ว่าระหว่างเขากับนางจะไม่เคยเปลือยกายต่อหน้ากันมาแล้ว แต่พอนึกอีกที เป็นเขาที่ปิดตานางยามร่วมรักหลับนอน นางเองคงไม่คุ้นชินที่จะเห็นบุรุษเปลือยกาย หรืออีกนัย สี่ปีที่นางหายไปไม่มีบุรุษอื่นใดเข้ามาข้องแวะในชีวิตนางอ้อ! ถ้าไม่นับเด็กๆ ยั้วเยี้ย เต็มลานบ้าน!“ทำไมไม่ไปเปลี่ยนที่อื่น!”“บ้านเจ้ามันมีกี่ห้องเชียว เดินเข้ามาก็เจอเตียงนอนแล้ว แล้วจะให้ข้าไปเปลี่ยนที่ใด” เขากระตุกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่นางยังเอามือข้างหนึ่งปิดตาตัวเอง แล้วใช้มืออีกข้างชี้ไปด้านข้าง“มีฉากกั้น! ท่านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นั่น!”ซินหรานปิดตาตัวเองไม่กล้าลอบมองร่างกำยำของบุรุษผู้นั้น ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของเขาแล้วก็ได้แต่โมโห เหมือนทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ได้ยินเพียงเสียงเสื้อผ้าสวบสาบอ
เขาดูไม่เหมือนคนทั่วไปเลยสักนิด มิใช่ว่ามีหูตาผิดแปลกกว่าคนทั่วไป แต่รัศมีความน่าเกรงขามแม้จะอยู่ในอาภรณ์ซอมซ่อก็ตาม ท่าทางเย่อหยิ่งทรนงนั้นอีก มองเพียงแวบเดียวก็มีส่วนคล้ายเฉิงเอ๋อร์อยู่หลายส่วน“ชิงถิง”เด็กหนุ่มหยุดเดินหันไปตามเสียงเรียก ชิงถิงค้อมกายคารวะอาจารย์จงอินอย่างอ่อนน้อม อีกฝ่ายเพียงแค่โบกมือไปมา“เจอเจ้าก็ดีแล้ว บอกแม่บุญธรรมของพวกเจ้าด้วยว่าข้าให้คนเตรียมเรือนให้พวกเจ้าและน้องๆ ได้หลับนอนเรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าจะมาเมื่อใดก็ได้”“เอ่อ...” ชิงถึงมีสีหน้างุนงง ท่าทางของเขาทำให้อาจารย์จงอินขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยถ้อยคำอธิบายความหมาย “แม่บุญธรรมของเจ้าฝากฝั่งพวกเจ้าพี่น้องทั้งหกคนให้อยู่ที่สำนักศึกษาของข้า ข้าเองก็เห็นพวกเจ้าเป็นเด็กดี แม้เป็นเด็กกำพร้าหากได้รับการอบรมสั่งสอนในภายภาคหน้าก็มีโอกาสสร้างฐานะความเป็นอยู่ของตนเองให้ดีกว่านี้ได้”“ท่านแม่...จะให้ข้ากับน้องๆ มาอยู่กับท่านอาจารย์หรือขอรับ” แม้เขาดีใจที่ได้ร่ำเรียนหนังสือแต่...แม่บุญธรรมต้องการให้พวกเขาไปจากบ้านแล้วหรือ? หรือว่า...เพราะรู้ว่าบิดาของเฉิงเอ๋อร์กลับมาจึงไม่ต้องการเด็กกำพร้าอย่างพวกเขาแล้ว“เจ้าโชคดีกว่า
“อะไรที่ท่านแม่สั่งสอน พวกเราล้วนจดจำใส่ใจไว้ไม่ลืมเลือน ขอท่านแม่อย่าคิดมากไปเลย” คราวนี้เป็นซินหรานที่น้ำตารื้นจนต้องยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้า ไฉนเป็นเด็กเหล่านี้ที่มาปลอบใจนางเช่นนี้นะ นางไล่สายตามองใบหน้าเด็กแต่ละคนที่ยามนี้ไม่ได้ผอมกะหร่องเช่นวันแรกๆ ที่ได้พบพวกเขา แม้อยู่ด้วยกันไม่นานสองหรือสามปีเท่านั้น บางคนมาอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ สำหรับนางแล้ว พวกเขาต่างหากที่ทำให้นางสามารถมีกำลังใจเลี้ยงดูเฉิงเอ๋อร์เพียงลำพังได้ถึงวันนี้ “แม่นางซินหราน รถม้ามาแล้วขอรับ” ซินหรานหันไปตามเสียงเรียกที่ดังอยู่นอกประตู นางลุกขึ้นจากเก้าอี้มีชิงถิงคอยช่วยพยุง เห็นอู่ชิงยืนอยู่ด้านนอกก็ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อยๆ ทั้งสองดูไม่ต่างจากที่นางพบเมื่อสี่ปีก่อนมากนัก ยกเว้นใบหน้าที่มิอาจซ่อนความอิดโรยไว้ได้ “เรื่องที่รบกวนพี่อู่ชิงช่วยขายกำไลหยกนั้น...” “พวกเราจัดการให้แล้ว” อู่ชิงผงกศีรษะเล็กน้อย “ได้เต็มจำนวน” “ดีจริง” ซินหรานอมยิ้ม นึกถึงครั้งที่ตัวเองไปถามขายกำไลด้วยตนเองได้เพียงแค่ห้าสิบตำลึงเท่านั้น แต่เมื่อรบกวนให้องครักษ
“อะไรที่ท่านแม่สั่งสอน พวกเราล้วนจดจำใส่ใจไว้ไม่ลืมเลือน ขอท่านแม่อย่าคิดมากไปเลย” คราวนี้เป็นซินหรานที่น้ำตารื้นจนต้องยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้า ไฉนเป็นเด็กเหล่านี้ที่มาปลอบใจนางเช่นนี้นะ นางไล่สายตามองใบหน้าเด็กแต่ละคนที่ยามนี้ไม่ได้ผอมกะหร่องเช่นวันแรกๆ ที่ได้พบพวกเขา แม้อยู่ด้วยกันไม่นานสองหรือสามปีเท่านั้น บางคนมาอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ สำหรับนางแล้ว พวกเขาต่างหากที่ทำให้นางสามารถมีกำลังใจเลี้ยงดูเฉิงเอ๋อร์เพียงลำพังได้ถึงวันนี้ “แม่นางซินหราน รถม้ามาแล้วขอรับ” ซินหรานหันไปตามเสียงเรียกที่ดังอยู่นอกประตู นางลุกขึ้นจากเก้าอี้มีชิงถิงคอยช่วยพยุง เห็นอู่ชิงยืนอยู่ด้านนอกก็ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อยๆ ทั้งสองดูไม่ต่างจากที่นางพบเมื่อสี่ปีก่อนมากนัก ยกเว้นใบหน้าที่มิอาจซ่อนความอิดโรยไว้ได้ “เรื่องที่รบกวนพี่อู่ชิงช่วยขายกำไลหยกนั้น...” “พวกเราจัดการให้แล้ว” อู่ชิงผงกศีรษะเล็กน้อย “ได้เต็มจำนวน” “ดีจริง” ซินหรานอมยิ้ม นึกถึงครั้งที่ตัวเองไปถามขายกำไลด้วยตนเองได้เพียงแค่ห้าสิบตำลึงเท่านั้น แต่เมื่อรบกวนให้องครักษ์ข้างกายท่าน
ซินหรานอยากกุมขมับ ลูกชายช่างกล้าหาญเสียจริง แต่เวลานี้เจ้าจะปากดีกับบิดาของตนมิได้นะ “เฉิงเอ๋อร์เด็กดี” มือใหญ่ไม่รอให้หญิงสาวพูดจบ ยื่นมาหิ้วคอเสื้อของเด็กน้อยขึ้นตัวลอยจากเตียงที่เขานั่ง ซินหรานอ้าปากค้างจะส่งเสียงห้ามแต่ยังช้าไปกว่าเหิงหยางเซิง ‘หิ้ว’ คอเสื้อของเฉิงเอ๋อร์ที่ยังเหวี่ยงเท้าและหมัดไปมาแต่ไม่ถูกตัวของเหิงหยางเซิงสักนิด จอมมารผู้มีใบหน้าเรียบเฉยเหวี่ยงร่างเล็กไปทางอู่ยินที่ยื่นมือรับได้อย่างรวดเร็วแม่นยำพาเด็กน้อยออกไปข้างนอกทันที “ท่านทำแบบนั้นไม่ได้นะ” ซินหรานขึ้นเสียง แต่พอเห็น เหิงหยางเซิงหมุนตัวกลับมายืนกอดอกจ้องมองนาง หญิงสาวลืมคำพูดไปเสียสิ้น “ข้าไม่ทำร้ายลูกตัวเองหรอกน่า” เขาเปิดปากพูด ลอบมองเรือนร่างที่อุ้มเมื่อครู่ นึกถึงเมื่อคืนที่เขาอุตส่าห์เช็ดเนื้อตัวให้เพื่อลดความร้อนจากพิษไข้ ไม่เจอกันสี่ปี นางอายุยี่สิบแล้วกระมั้ง ทรวงทรงองค์เอวเย้ายวนกว่าเมื่อสี่ปีก่อนนัก อาจเพราะเป็นแม่คนแล้ว หน้าอกจึงเต่งตึงเต็มไม้เต็มมือและสะโพกก็กลมกลึงกว่าเดิมมากนัก ไฉนมีคนเคยพูดว่าสตรีที่ผ่านการมีบุตรแล้วไม่น่าพิสมัย แ
“ปล่อย-ท่าน-แม่-ของ-ข้า-ห้าม-รัง-แก-ท่าน-แม่!” ซินหรานลืมตามองเสียงอู้อี้ของเด็กน้อย นางอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไม่รู้ว่าเฉิงเอ๋อร์เข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อใด ซ้ำยัง ‘กัด’ ท่อนแขนของเหิงหยางเซิงอีกด้วย! “เจ้าเด็กนี่!” เหิงหยางเซิงผู้ถูกก่อกวนจนโมโหจนอยากจะบีบคอเจ้าเด็กน้อยคนนี้นัก เขาจ้องมองดวงตาดุดันที่จ้องมองและปากก็ยังกัดท่อนแขนของเขา เจ้าเด็กนี่กัดเขาอีกแล้ว “อย่าเรียกลูกเช่นนั้นซิ!” นางดุเหิงหยางเซิงแล้วรีบยื่นมือไปกอดเฉิงเอ๋อร์ “แม่ไม่เป็นอะไร เจ้าปล่อยเอ่อ...ท่านพ่อของเจ้าเสียก่อน” “ไฉน-ท่าน-ลุง-กลาย-เป็น-ท่าน-พ่อ-ไป-ได้” เฉิงเอ๋อร์ถามทั้งที่ปากยังกดท่อนแขนของเหิงหยางเซิง “เรื่องนี้...แม่จะเล่าให้ฟังวันหลังนะ” ซินหรานจนปัญญา “ตอนนี้เจ้าเลิกกัดท่านพ่อก่อนนะ” เหิงหยางเซิงสูดลมหายใจลึก แล้วตะโกนออกไป “ใครอยู่ข้างนอกมาเอาเด็กนี่ออกไป” ประตูบ้านถูกผลักเข้ามาอย่างรวดเร็ว องครักษ์อย่างอู่ชิงและ อูยินรวมทั้งพ่อบ้านจูโหย่งเจาวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา พวกเขาไม่รู้ว่า ‘นายน้อย’ หลบเข้ามาในบ้านได
อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าของซินหรานดีขึ้นมาก นางเข้าครัวทำอาหารให้ทุกคนด้วยความเคยชิน ไม่ว่าอยู่ที่เกาะเพลิงอัคนีหรืออยู่ในบ้านหลังนี้ นางก็ยังคงเป็นคนครัวที่ทำอาหารด้วยความเต็มใจยิ่ง “กลิ่นอาหารของเจ้าเย้ายวนไปถึงหน้าบ้านแล้วซินหราน” เสียงทักทายนั่นทำให้ซินหรานเงยหน้าขึ้นจากหม้อซึ่งนางกำลังเคี่ยวทำน้ำแกงปลา ตั้งแต่พ่อบ้านจูโหย่งเจาและสององครักษ์พบนางและลูก ย้ายเด็กกำพร้าที่นางเคยดูแลส่งออกไปอยู่สำนักศึกษาแล้ว คนของท่านจอมมารเข้ามาแทนที่จนเกือบเต็มลานบ้าน แต่นั่นทำให้พวกเขาไปสรรหาของสดมาให้นางทำอาหารบำรุงให้ท่านจอมมารที่เก็บซ่อนอาการบาดเจ็บของตนเอง “แม่นางจางเย่วถิง” ซินหรานทักทายสตรีที่เดินเข้ามาราวกับคุ้นเคยบ้านของนางดี ทั้งที่นางไม่ได้เจอประมุขพรรคกระเรียนแดงมาสี่ปีแล้ว ถึงเวลานี้แล้วนางไม่นึกแปลกใจที่จางเย่วถิงรู้ที่อยู่ของนาง ทว่าเหตุใดจึงเพิ่งมาปรากฏกายในเวลานี้ “ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน” จางเย่วถิงยื่นมือไปหมายสัมผัสแก้มนุ่มของซินหราน แต่การเคลื่อนไหวรวดเร็วจู่โจมจนนางชักมือกลับไม่ทัน งับ! ร่างเล็กห้
“พวกเขาใฝ่ดีอยู่แล้ว ข้าแทบไม่ได้ทำอะไรเลย” นางยิ้มบางๆ นึกถึงในลานบ้านที่เด็กๆ วิ่งเล่นหยอกล้อกัน นางทำขนมของกินให้เด็กๆ เอาไปขาย สอนเขียนชื่อตัวเองบ้าง แต่อย่างไรนางมีความรู้ไม่มากนัก เก็บหอมรอมริบหวังให้พวกเขาได้เข้าสำนักศึกษาเพื่ออย่างน้อยจะได้ไม่ต้องเป็นขโมย ทำงานหาเลี้ยงชีพตนได้ก็เพียงพอแล้ว ป้าหวังพยักหงึกหงัก กวาดสายตามองไปรอบๆ คนเหล่านั้นมีทั้งสตรีแต่งกายงดงามเสื้อผ้าสีแดงสดสวย ส่วนบุรุษก็หน้าตาดุดันขึงขัง หากไม่เพราะว่าช่วงนี้เห็นคนทั้งจากทางการและชาวยุทธ์ผ่านหมู่บ้านบ่อยละก็ นางเองคงตื่นตระหนกไม่น้อย “ข้าก็ว่าอยู่หรอกนะ เฉิงเอ๋อร์หน้าตาน่าเอ็นดูเช่นนี้ บิดาของเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่” ป้าหวังหัวเราะคิกคัก ชะเง้อคอยาวเผื่อจะได้เห็นบิดาของเฉิงเอ๋อร์สักครั้งเป็นบุญตา “ป้าหวังรอสักครู่ ข้าจะไปหยิบผ้ามาให้” ซินหรานเอ่ยแล้วเดินลากเท้าออกมาจากห้องครัว ลังเลอยู่ครู่ก่อนบอกให้ผู้ที่เฝ้าประตูอยู่นั้นช่วยรายงานคนด้านใน ผ้าของป้าหวังอยู่ในห้อง นางต้องเข้าไปหยิบ “เข้ามาเถิด” เป็นเสียงของจางเย่วถิงเอ่ยขึ้น ผู้ติดตา
ดวงตาร้อนแรงที่จ้องมองเหมือนจะกลืนกินทำให้ซินหรานต้องหลับตารับรู้สัมผัสร้อนผ่าวจากเรียวลิ้นของเขาที่แทรกเข้ามาในโพรงปาก มือใหญ่ปล่อยฝ่ามือนางที่อาจไม่ขยับไปจากแผ่นอกของเขาได้เปลี่ยนมัดร่างนางให้แนบชิดกับร่างของเขาแน่นขึ้นราวกับจะผสานเป็นเนื้อเดียว ลิ้นร้อนไล่ลุกเร้ากับลิ้นน้อยๆ จนยอมจำนนให้เกี่ยวกระหวัด เสียงครางครือในลำคอของหญิงสาวทำให้บุรุษหนุ่มฮึกเฮิมดันร่างบางไปชิดก้อนหินกลมเกลี้ยงก้อนใหญ่ให้แผ่นหลังของนางแนบชิด ดอกบัวคู่งามจึงเชิดชันท้าท้ายให้บุรุษหนุ่มอ้าปากครอบครอง เม้มริมฝีปากดูดดึงจนหญิงสาวไม่อาจกลั้นเสียงครวญครางของตนเองได้ “ประเดี๋ยวมีใครมาเห็น” นางใช้สองมือที่อ่อนแรกผลักเขาออก “ไม่มีหรอก” เขาหัวเราะชั่วร้ายในลำคอ “หากมีก็แค่ควักตาออกเสีย” ซินหรานไม่รู้จะโต้เถียงอย่างไร เขาดึงดันจะกลืนกินนางและเขาก็ทำให้นางไม่เหลือสติสัมปชัญญะใดๆ อีก ราวกับร่างกายของนางก็โหยหิวสัมผัสของเขาเช่นกัน นางถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเขายอมเลิกทรมานทรวงอกของนาง ทว่าริมฝีปากร้ายพรมจูบหน้าท้องของนาง เพราะรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร นางรีบร้องห้ามทั้งที่ตัวเองอ่
ใครเลยจะรู้ว่าคำสั่งแรกในฐานะฮูหยินของประมุขพรรคเพลิงอัคนีคือการสั่งให้ทุกคนเดินทางพร้อมกันไม่มีแยกเป็นสองขบวนตามที่เหิงหยางเซิงตกลงกับเฉินเอ๋อร์ “ตั้งแต่คลอดเฉินเอ๋อร์ออกมา เขาไม่เคยห่างจากข้าเลยสักครั้ง ท่านจะผลักไสให้ข้ากับลูกแยกกันได้อย่างไร” เหิงหยางเซิงได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม แม้หญิงสาวผู้นี้จะยังคงเป็นซินหรานที่แลดูอ่อนแอบอบบางไร้ปากเสียง แต่ยามที่นางต้องการสิ่งใดก็ไม่นิ่งเงียบอีกต่อไป แต่อย่างน้อยเขาก็ผลักไสให้อู่เฉียงไปไกลหูไกลตา และจางเย่วถิงที่แสร้งทำเป็นอยากเดินทางด้วย แต่เพราะนางยังต้องการยาอายุวัฒนะนั้นอยู่จึงออกไล่ล่าช่วงชิงยาวิเศษที่ถูกเปลี่ยนมือไปแล้ว ก่อนเอ่ยคำลา ซินหรานคืนหยกประจำกายของจางเย่วถิง ที่ผ่านมานางไม่เคยคิดว่าหยกชิ้นนี้มีความหมายมากขนาดนี้ แม้สิ่งนี้จะทำให้นางออกคำสั่งคนของพรรคกระเรียนแดงได้ก็ตาม แต่จางเย่วถิงกลับยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมาแล้วเอ่ยปาก “สิ่งใดที่ข้าให้แล้วย่อมไม่เอาคืน ถือเสียว่าข้าให้เป็นของขวัญเจ้าก็แล้วกัน” ด้วยเหตุนี้ซินหรานจึงไม่อาจปฏิเสธได้อีก นางเก็บหยกชิ้นนั้นไว้แล้ว
“อู่ชิงอู่ยินเอาม้าของข้าให้อู่เฉียงไป”“ขอรับ” คนที่อยู่ด้านนอกรีบตอบรับ หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายผ่านไป เดิมทีจอมมารเหิงหยางเซิงต้องการเดินทางกลับเกาะเพลิงอัคนีทันทีและแน่นอนว่ากลับไปครั้งนี้มีฮูหยินติดตามกลับไปด้วย ทว่าเมื่อเร่งรีบออกจากหมู่บ้านมาเพื่อไม่ต้องการพบกับคนของทางการ ทั้งหมดจึงได้ไปอาศัยหลบอยู่อีกหมู่บ้านไม่ไกลมากนักเพื่อให้อู่เฉียงได้รักษาตัว แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือพระสนมหลิวเสียนเฟยผู้นี้ไม่ยอมเดินทางกลับเมืองหลวง“ข้าจะอยู่ดูแลผู้มีพระคุณสักสามสี่วันจะเป็นไรไป” แม้นางจะไม่ให้ใครเอ่ยถึงนางในฐานะพระสนมคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ แต่ลักษณะท่าทางสูงส่งแม้กระทั้งน้ำเสียงเย่อหยิ่งถือดีนั้นก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เหิงหยางเซิงผู้เป็นประมุขพรรคมารมิชอบใจท่าทีเช่นนี้ เขาต้องการเดินทางกลับอยู่ทุกวันคืนไม่ใช่เพียงไม่ชอบท่าทีของสตรีผู้นี้แต่เพราะไม่ต้องการให้ซินหรานอยู่ใกล้อู่เฉียงแม้บาดแผลจะทำให้เสียเลือดมากแต่เพราะมีพ่อบ้านจูโหย่งเจาอยู่จึงดูแลรักษาอู่เฉียงให้ฟื้นกำลังได้อย่างรวดเร็ว ในวันที่สามก็สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ปกติ และถูกจอมมารเหิงหยางเซิงขึงตาขับไล่อย่างไม่ไว้หน้า เ
สุดท้ายก็ไม่ต่างจากสุนัขขี้เรื้อนไม่เหลือหน้าตาให้หยัดยืนใน ยุทธภพ เปลี่ยนแปลงตนเอง เข้าไปในวังวนของวังหลวง หวังให้ตำแหน่งของตนสูงสุด แต่สุดท้ายกลับถูกเจ้าเด็กเมื่อวานซืนทำลายป่นปี้ ด้วยความแค้นทำให้กั๋วกงกงลืมกลยุทธไปหมดสิ้นต่อสู้เหมือนคนตาบอดสะเปะสะปะไปมา ยิ่งสู้ยิ่งไม่อาจยอมรับความแพ้พ่าย หางตาเห็นสตรีสวมหน้ากากผู้นั้นยืนอยู่คนเดียว จึงเปลี่ยนเป็นพุ่งเป้าไปที่หญิงสาวบอบบาง ซินหรานเบิกตากว้างที่จู่ๆ กั๋วกงกงเปลี่ยนเป้าหมายพุ่งมาที่นาง ทว่าเมื่อประสายสายตากันกลับเป็นกั๋วกงกงที่ชะงักงันแล้วกรีดร้องคลุ้งคลั่ง “ไม่จริง! ข้าจะไม่ตายเช่นนั้น! ข้าไม่มีวัน...!” ยังไม่ทันจบประโยคดี แสงสีเพลิงจากกระบี่อัคนีพิฆาตก็แทงทะลุร่างของกั๋วกงกง ดวงตาคู่นั้นก้มมองปลายกระบี่ที่ทะลุหน้าอกตนเอง ใบหน้าบิดเบี้ยวเอี้ยวมองไปด้านหลัง เห็นเพียงรอยยิ้มโหดเหี้ยมของเหิงหยางเซิง เขาบิดข้อมือทำให้กระบี่ควานเนื้อเรียกโลหิตให้หลั่งออกมาจนนองพื้น “เจ้า...เจ้ามัน...มาร...ปีศาจ...ร้าย” “ถูกต้อง ข้าคือจอมมารเหิงหยางเซิงแห่งพรรคเพลิงอัคนี” เพียงชั
ไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่นางเป็นเด็กแปดขวบ หญิงสาวเบิกตาโต ความทรงจำที่เลือนลางไปเต็มทีแล้วกลับเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง บ้านของนางไฟไหม้ บิดามารดาฉุดแขนให้นางวิ่งออกมา ทว่าบิดาถูกคนร้ายใช้ดาบฟันกลางหลัง แต่กระนั้นก็ยังกอดนางกับมารดาไว้ คนร้ายหัวเราะทั้งที่มารดาหวีดร้องเหมือนคนเสียสติ พุ่งเข้าไปใช้เพียงมือเปล่าทุบตีคนเหล่านั้น หนึ่งนั้นใช้ฝ่ามือฟาดใส่หน้ามารดาถึงกับเซถลาล้มลง พวกมันหัวเราะร่ากระตุกเท้ามารดาไว้แล้วฉีกทึ้งเสื้อผ้าของมารดา‘หนีไป! หนีไป!’เด็กน้อยตัวแข็งทื่อก้าวเท้าไม่ออก ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยแปดขวบถูกฉุดกระชากอย่างแรงจนแขนเสื้อของเด็กหญิงขาด เด็กหญิงตัวน้อยหวีดร้องสุดเสียง พยายามสะบัดแขนขาที่ถูกเกาะกุมด้วยชายร่างใหญ่หลายคนที่ล้อมตัวนางอยู่ เด็กหญิงสู้แรงชายเหล่านั้นไม่ได้ ร่างของนางถูกยกขึ้นเหนือพื้นแขนสองข้าง ขาสองข้างถูกมือสกปรกจับยกขึ้น แม้น้ำตาไหลอาบแก้มแต่นางยังมองเห็นเปลวเพลิง ผู้คนที่ถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด บนพื้นนองไปด้วยเลือดสีแดงสด ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีแดงของเปลวเพลิง เด็กหญิงหวีดร้องจนเจ็บคอไปหมด ราวกับมีเลือดผสมน้ำลาย เสียงหัวเราะราวกับคนเสียสติดังขึ้น
อู่เฉียงได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหันกลับมามองพร้อมกับพระสนมหลิวเสียนเฟยที่ปรายตามองเล็กน้อย ซินหรานก้าวออกมายืนแล้วกวาดตามองเหมือนค้นหาสิ่งผิดปกติ “เอ่อ...ข้าคงรู้สึกไปเอง เหมือนมีผู้อื่นอยู่ที่นี่” ซินหรานอึกอักหน้าแดง นางคงกังวลเกินเหตุไป พระสนมหลิวเสียนเฟยส่งยิ้มเอ็นดูให้ ได้ยินว่าหญิงสาวผู้นี้อายุยี่สิบแล้วและมีลูกชายน่ารัก แต่ลักษณะท่าทางยังเหมือนเด็กสาวมิได้ออกเรือน ยามเขินอายก็แก้มแดงระเรื่อ ช่างดูไร้เดียงสานัก พลันอดคิดถึงตนเองยามเป็นเด็กสาวไม่ได้ นางเหม่อลอยไปครู่หนึ่งสายตาดุจตาหงส์สังเกตสิ่งที่อยู่ในมือของซินหรานนั้นคุ้นตา จึงเอ่ยถามออกไป “นี่นะหรือ?” ซินหรานยื่นหน้ากากอันนั้นส่งให้พระสนม แต่เมื่ออีกฝ่ายย้ำให้พูดคุยกับนางเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป ซินหรานจึงเอ่ยกับอีกฝ่ายดุจสนทนากับคนที่ฐานะเท่าเทียมกัน “เจ้าได้หน้ากากนี่มาจากที่ใด” พระสนมหลิวเสียนเฟยเอ่ยถาม ดวงตามีประกายความตื่นเต้นไม่น้อย “เรียนตามตรง ท่านจอมมารให้ข้ามา เป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการที่ส่งมาให้ท่านจอมมาร แต่ข้าจำไม่ได้แล้วว่ามาจากที่ใด” “เจ้าเคยใช้หรือไม่?” ซินหรานอึกอักอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยไปตรง “ครั้
พระสนมหลิวเสียนเฟยมิได้ดึงดัน พยักหน้ารับอย่างเข้าใจและหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว อู่เฉียงจ้องมองซินหรานอีกครั้ง เขาเคยมีคำพูดมากมายอยากเอ่ยถามนาง แต่ยามนี้เขากลับรู้สึกว่าตนเองได้คำตอบนั้นจากแววตาห่วงใยที่นางมีให้จอมมารแสนร้ายกาจผู้นั้นแล้ว“ข้าจะคุ้มกันอยู่ด้านนอก” “ขอบคุณพี่อู่เฉียง” นางยิ้มบางๆ มองร่างสูงหันหลังเดินออกไปแล้ว นางยื่นมือไปปิดประตูด้วยตนเองเพื่อให้มั่นใจว่าบานประตูปิดสนิท หญิงสาวระบายลมหายใจเบาๆ เมื่อหมุนตัวกลับมาภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ก้าวเท้าไม่ออก“ข้าต้องเดินลมปราณ” เขาเอ่ยเสียงแหบพร่า แล้วยันตัวเองลุกขึ้นยืนเพื่อถอดเสื้อเปื้อนเลือดของตนออก ใบหน้าหวานเริ่มมีสีเลือดปรากฏ ไฉนอยู่ดีๆ เปลื้องเสื้อผ้าเช่นนี้เล่า นางอยู่กับคนในพรรคมารมาแปดปี แต่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์ใดๆ เห็นเพียงอู่เฉียง อู่ชิงและอู่ยินต่อสู้ประมือกัน แต่ไม่รู้ว่ายามต้องลมปราณนี้ต้องเปลื้องเสื้อผ้าเช่นนี้ด้วย“ถ้าอายนักก็ออกไป” เหิงหยางเซิงเห็นนางยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ทั้งที่เอ่ยตำหนิขับไล่นาง แต่เพราะไม่ต้องการให้นางเห็นเขาในสภาพยับแย่เช่นนี้เพราะใช้เพลงกระบี่อัคนีพิฆาต เขาจึงเจ็บหนักเช่นนี้ ดาบเดีย
“คนอื่นๆ ล่ะ คนในหมู่บ้านจะเป็นอย่างไร!” ซินหรานตวาดอย่างลืมตัว เหิงหยางเซิงแม้จะเป็นคนใจดำ แต่ยามนี้กลับไม่กล้าพูดจาทำร้ายจิตใจซินหราน นึกถึงภาพนางที่เป็นเด็กหญิงตัวน้อยไม่พูดไม่จาอยู่นานเป็นแรมเดือน หัวใจที่เคยด้านชาพลันเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครา แม้เขาไม่ได้พูดออกไป แต่หญิงสาวกลับเข้าใจได้ ใบหน้าที่แต่เดิมซีดเซียวเพราะตกใจอยู่แล้ว ยามนี้กลับยิ่งไร้สีเลือดเข้าไปอีก สองขาแทบทรุดลงด้วยไร้เรี่ยวแรง จนเหิงหยางเซิงต้องประคองไว้“ไม่ได้”นางพึมพำ นึกเด็กๆ ที่นางเคยดูแล ป้าหวังที่เอางานปักผ้ามาให้นาง ทุกคนในหมู่บ้านที่ที่ดีกับนาง ยามนี้พวกเขามีภัย มีภัยโดยไม่รู้ตัวและไม่อาจหลบหนีได้ทัน นางจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้!“เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นเกาะเพลิงอัคนีหรืออย่างไร!” เหิงหยางเซิงโต้กลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับคนในราชสำนักแม้แต่น้อย “เวลานี้มีคนของพรรคเพลิงอัคนีอยู่ข้างกายแค่ห้าหกคน เจ้าคิดจะใช้คนของข้าปกป้องคนนับร้อยเหล่านั้นหรือ? เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่าไม่ไกลจากนี้เหล่าชาวยุทธฝ่ายธรรมะนั้นรวมพิธีล้างมือในอ่างทองคำของพรรควิหคสวรรค์ คนเหล่านั้นเมื่อเข้าใจว่าข้าผู้เป็นปร
โดยไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่ ซินหรานไม่ได้เสียงตอบในคำถามที่ต้องการ นางจึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีนิลคู่นั้นจ้องมองนางราวกลืนกินนางลงไปทั้งตัว สายตาของเขาทำให้นางรู้สึกตัว ปล่อยมือใหญ่ในอุ้งมือของตนทันที ทว่าเขากลับพลิกข้อมือเป็นฝ่ายจับมือนางไว้ก่อน ไม่ยินยอมให้ปล่อยนางไป เขาจะไม่ปล่อยนางให้หลุดมือของเขาไปอีก คนที่ถูกตราหน้าเป็นมารปีศาจร้ายเช่นเขา ไยต้องคิดหาวิธีรั้งนางด้วยเล่า? บัดนี้เขาตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำทุกวิธีทางให้นางหวาดกลัวจนไม่กล้าไปจากเขา แต่เมื่อนางไปขุดเอาความกล้าหาญมาจากไหน ฉวยจังหวะที่เขาอยู่ที่หุบเขาเพื่อหลอมกระบี่อัคนีพิฆาตหลบหนีออกมา แต่ ณ เวลานี้ ไม่ว่าเล่ห์กลใดที่รั้งนางไว้ได้ เขายอมหน้าหนาทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งตอนนี้ที่แสร้งทำเป็นว่า รอยแผลนี้ทำให้เขาทุกข์ทรมานเพียงใด “เจ้าเคยเจ็บปวดถึงกระดูกหรือไม่เล่า” เขาเอ่ยพลางจ้องตานาง เก็บทุกความรู้สึกที่อยู่สีหน้าของหญิงสาว “จะ...เจ็บมากเลยหรือ?” แม้เมื่อครู่นางเพิ่งเห็นคนตายมากมาย จนเลือดนองพื้นดิน แต่ยามนี้ความสนใจของนางอยู่ที่มือขวาของเขา “ปะ...เป