อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าของซินหรานดีขึ้นมาก นางเข้าครัวทำอาหารให้ทุกคนด้วยความเคยชิน ไม่ว่าอยู่ที่เกาะเพลิงอัคนีหรืออยู่ในบ้านหลังนี้ นางก็ยังคงเป็นคนครัวที่ทำอาหารด้วยความเต็มใจยิ่ง “กลิ่นอาหารของเจ้าเย้ายวนไปถึงหน้าบ้านแล้วซินหราน” เสียงทักทายนั่นทำให้ซินหรานเงยหน้าขึ้นจากหม้อซึ่งนางกำลังเคี่ยวทำน้ำแกงปลา ตั้งแต่พ่อบ้านจูโหย่งเจาและสององครักษ์พบนางและลูก ย้ายเด็กกำพร้าที่นางเคยดูแลส่งออกไปอยู่สำนักศึกษาแล้ว คนของท่านจอมมารเข้ามาแทนที่จนเกือบเต็มลานบ้าน แต่นั่นทำให้พวกเขาไปสรรหาของสดมาให้นางทำอาหารบำรุงให้ท่านจอมมารที่เก็บซ่อนอาการบาดเจ็บของตนเอง “แม่นางจางเย่วถิง” ซินหรานทักทายสตรีที่เดินเข้ามาราวกับคุ้นเคยบ้านของนางดี ทั้งที่นางไม่ได้เจอประมุขพรรคกระเรียนแดงมาสี่ปีแล้ว ถึงเวลานี้แล้วนางไม่นึกแปลกใจที่จางเย่วถิงรู้ที่อยู่ของนาง ทว่าเหตุใดจึงเพิ่งมาปรากฏกายในเวลานี้ “ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน” จางเย่วถิงยื่นมือไปหมายสัมผัสแก้มนุ่มของซินหราน แต่การเคลื่อนไหวรวดเร็วจู่โจมจนนางชักมือกลับไม่ทัน งับ! ร่างเล็กห้
“พวกเขาใฝ่ดีอยู่แล้ว ข้าแทบไม่ได้ทำอะไรเลย” นางยิ้มบางๆ นึกถึงในลานบ้านที่เด็กๆ วิ่งเล่นหยอกล้อกัน นางทำขนมของกินให้เด็กๆ เอาไปขาย สอนเขียนชื่อตัวเองบ้าง แต่อย่างไรนางมีความรู้ไม่มากนัก เก็บหอมรอมริบหวังให้พวกเขาได้เข้าสำนักศึกษาเพื่ออย่างน้อยจะได้ไม่ต้องเป็นขโมย ทำงานหาเลี้ยงชีพตนได้ก็เพียงพอแล้ว ป้าหวังพยักหงึกหงัก กวาดสายตามองไปรอบๆ คนเหล่านั้นมีทั้งสตรีแต่งกายงดงามเสื้อผ้าสีแดงสดสวย ส่วนบุรุษก็หน้าตาดุดันขึงขัง หากไม่เพราะว่าช่วงนี้เห็นคนทั้งจากทางการและชาวยุทธ์ผ่านหมู่บ้านบ่อยละก็ นางเองคงตื่นตระหนกไม่น้อย “ข้าก็ว่าอยู่หรอกนะ เฉิงเอ๋อร์หน้าตาน่าเอ็นดูเช่นนี้ บิดาของเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่” ป้าหวังหัวเราะคิกคัก ชะเง้อคอยาวเผื่อจะได้เห็นบิดาของเฉิงเอ๋อร์สักครั้งเป็นบุญตา “ป้าหวังรอสักครู่ ข้าจะไปหยิบผ้ามาให้” ซินหรานเอ่ยแล้วเดินลากเท้าออกมาจากห้องครัว ลังเลอยู่ครู่ก่อนบอกให้ผู้ที่เฝ้าประตูอยู่นั้นช่วยรายงานคนด้านใน ผ้าของป้าหวังอยู่ในห้อง นางต้องเข้าไปหยิบ “เข้ามาเถิด” เป็นเสียงของจางเย่วถิงเอ่ยขึ้น ผู้ติดตา
“พี่อู่เฉียง” ซินหรานเรียกอีกครั้ง นึกถึงที่อู่ชิงและอู่ยินเล่าว่าเขาถูกขังคุกใต้ดินเพราะนางแล้วก็รู้สึกผิด มือเล็กยื่นไปแตะท่อนแขนอย่างระวัง “พี่อู่เฉียงเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บที่ใด แล้วตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน...” “เจ้า...” เขากล้ำกลืนคำพูดตัวเองแล้วเปลี่ยนประโยคใหม่ “เจ้าคงรู้จากอู่ชิงและอู่ยินแล้ว” ซินหรานพยักหน้า “เป็นเพราะข้าแท้ๆ ทำให้พี่อู่เฉียงต้องลำบาก” “ไม่เกี่ยวกับเจ้า” น้ำเสียงของบางเบาและแหบพร่า มองฝ่ามือเล็กที่จับแขนเขาอย่างสำรวจว่าเขาบาดเจ็บที่ใด นางเป็นเช่นนี้เสมอ ยามที่เขากลับจากภารกิจลับ นางถือวิสาสะสำรวจแขนสองข้างของเขาว่าบาดเจ็บที่ใดบ้าง นางส่ายหน้าไปมา เหลือบมองรอบกายไม่มีผู้อื่น ไม่มีทางที่ผู้ติดตามของเหิงหยางเซิงจะไม่รู้ไม่เห็นว่านางเดินออกมานอกรั้วบ้านและยืนคุยกับอู่เฉียงเช่นนี้ แสดงว่าประมุขพรรคเพลิงอัคนีมิได้โกรธแค้นหรือหมายเอาชีวิตอู่เฉียงเป็นแน่ นางจึงยืนอยู่เช่นเดิมไม่คิดหลบซ่อนตัว “หากมิใช่เพราะข้า พี่อู่เฉียงคงไม่ต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ” นางพูดกลั้นน้ำตาพยายามส่งยิ้มให้เขา “ท่านจอมมารใช้ข้ามาบี
ท่าทางข่มขู่เหมือนแมวน้อยของนางทำให้เขาตะลึงงันไปชั่วขณะ มุมปากยกขึ้นคล้ายยิ้มและไม่ยิ้มในที การดิ้นรนขัดขืนของนางทำให้เขาเพียงแค่กระชับวงแขนแน่นขึ้น เรือนผมของนางคลอเคลียปลายจมูกทำให้ได้กลิ่นหอมของนาง “ปล่อย! ข้าจะไปหาเฉิงเอ๋อร์!” “คืนนี้ลูกของเจ้านอนกับพ่อบ้านจูโหย่งเจา” ‘ลูกของเจ้า’ เอ่ยวาจาเหมือนมิใช่ลูกของตนเอง นางเม้มปากทำแง่งอนอย่างไม่รู้ตัว แต่พอนึกทบทวนประโยคของเขาแล้วนางก็งุนงง หมายความว่าอย่างไรกัน ปกติเฉิงเอ๋อร์หวงนางเสียยิ่งกว่าอะไร ไม่ยอมให้เหิงหยางเซิงเข้าใกล้ด้วยซ้ำ ตั้งแต่พบกันและพากลับมาที่บ้านหลังนี้ เฉิงเอ๋อร์ไม่ยอมแบ่งที่นอนให้ใคร “แล้ว...แล้วท่านเข้ามาทำไม” คงไม่ได้จะนอนที่นี่หรอกกระมัง? “เฉิงเอ๋อร์ให้ข้าเข้ามา” เขาเอ่ยกลั้นหัวเราะกับท่าทีของนาง แต่ก่อนอยู่กับเขามีสีหน้าเดียวไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใด หากหัวเราะหยอกล้อก็กับผู้อื่น ยามนี้กล้าโมโห เกรี้ยวกราด ขึงตาใส่แถมทำน้ำเสียงดุเหมือนเขาเป็นเด็กเล็กๆ ที่นางต้องดูแล มือใหญ่ยื่นไปเกลี่ยเส้นผมที่ลงมาเคลียแก้ม นางคงสระผมมา เส้นผมยังชื้นอยู่บ้าง “เหต
“ก็เฉิงเอ๋อร์อยากมีน้อง เขาของน้องชายหรือน้องสาวก็ได้ ข้าถึงได้เข้ามาในนี่อย่างไรเล่า” เพราะความเขินอาย ซินหรานตีท่อนแขนของอีกฝ่าย แม้ไม่ได้ทำให้เขาเจ็บแต่ก็ทำให้มือที่กำลังปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางชะงัก “ข้าไม่ยินยอมให้เจ้าอุ้มท้องลูกของผู้อื่นหรอกนะ” เขาทำเสียงขึงขังแสร้งไม่พอใจที่นางปฏิเสธเขา ทว่าในใจกลับเห็นอาการดื้อรั้นของนางเป็นเรื่องสนุก “ประเดี๋ยวก่อน!” นางยื้อมือของเขาไม่ให้แตะเอี้ยมตัวในของนางได้สำเร็จ “ท่านพูดอะไรกับเฉิงเอ๋อร์ เหตุใดจู่ๆ อยากมีน้องชายน้องสาว” “ไม่รู้” เขาตอบหน้านิ่ง “เป็นลูกชายของเราที่อยากมีน้อง” ‘ลูกชายของเรา’ “ท่าน...ท่านไม่คิดหรือว่าข้าอาจมีผู้อื่นก็ได้” นางก้มหน้าถามเสียงแผ่วเบา “ข้าไม่ถามสิ่งที่ข้ารู้คำตอบดีอยู่แล้ว” พูดพลางยื่นปลายจมูกสูดดมกลิ่นหอมที่ริมใบหู เห็นใบหูน้อยๆ ถูกย้อมด้วยสีแดงเรื่อ เขาก็อ้าปากงับติ่งหูของนางเล่นอย่างหมันเขี้ยว “อ๊ะ!” นางร้องเสียงหลง ขยับตัวหนีแต่วงแขนนั้นโอบกอดนางไว้แน่น “ท่าน! ท่านบาดเจ็บมิใช่หรือ? เรื่องแบบนี้ควรงด
“พี่ชาย?” นางพยักหน้ารับ แล้วเพิ่งสังเกตเห็นฝ่ามือของเขา ที่กลางฝ่ามือมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ นางเผลอจับมือของเขามาหงายฝ่ามือจ้องมอง จำได้ว่าตอนนางจากมายังไม่เห็นมีรอยแผลเป็นนี้ “เพราะเจ้าทำถุงมือให้ข้าไม่เสร็จ” เขาบ่นโยนความผิดให้นาง เมื่อยามที่เขาออกมาจากหุบเขาหลังจากตีกระบี่อัคนีพิฆาตเสร็จ แต่กลับรับรู้ว่านางลอบหนีออกไปนั้น เขาแทบคลุ้มคลั่งไม่ต่างจากอู่เฉียง ซินหรานนึกถึงถุงมือที่เคยทำทิ้งไว้ได้แต่ส่ายหน้าไปมา คนอย่างจอมมารเหิงหยางเซิงที่มีคลังเก็บสมบัติใหญ่กว่าบ้านของนางนี้นะ จะยากไร้ถุงมือเพียงคู่เดียว ทว่าพอรู้สึกตัวว่าตนเองจับมือของเขาอยู่ก็รีบปล่อยทันที “ข้า...ข้าจะนอนแล้ว ท่านหยุดรุ่มร่ามกับข้าเสียที” “คืนนี้ข้าต้องทำตามที่ลูกชายขอร้อง” เขากดร่างเล็กลงบนเตียงและใช้ร่างตัวเองกักขังนางไว้ “ไม่ได้” นางใช้สองมือยันแผ่นอกที่ทาบทับลงมา “คืนนี้ไม่ได้” “เหตุใดจึงไม่ได้” “ข้า...ข้ามีระดู” ชายหนุ่มหน้ามุ่ยไป แต่ขยับตัวสูดกลิ่นในอากาศ ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ อาจเพราะนางเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“ข้าทราบแล้ว” นางรับคำเสียงแผ่ว “เก็บไปเฉพาะของที่จำเป็นก็พอ” เหิงหยางเซิงเอ่ยขึ้น เห็นดวงตาเหม่อลอยของนางแล้วพลันรู้สึกหงุดหงิด บ้านเก่าซอมซอนี่มีอะไรให้ต้องอาลัยอาวรณ์นั้นหรืออย่างไรกัน “ได้ยินว่าที่นี่มีคนผูกคอตาย” “อ๊ะ!” ซินหรานตื่นจากภวังค์ นางเผลอคิดไปว่าต้องเตรียมสิ่งใดสำหรับเดินทางบ้าง แต่นางเองก็ไม่มีสมบัติใด สิ่งมีค่าสิ่งเดียวที่นางมีคือ ‘เฉิงเอ๋อร์’ “บ้านหลังเล็กเก่าซอมซ่อยังไม่เท่าไหร่ ซ้ำยังมีสตรีผูกคอตายอีก เจ้านี่กินดีหมีมาหรือไรถึงกล้าอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้” “จากที่ข้าเคยประสบมา คนเป็นๆ น่ากลัวกว่าภูตผีวิญญาณเสียอีก ข้าอยู่ที่นี่มาหลายปียังไม่เคยเจอสิ่งนั้นเลย” น้ำเสียงเหน็บแนมทำให้ซินหรานกลอกตาไปมา เขาคงคิดว่านางไปไหนไม่รอดนะซิ หญิงสาวสูดลมหายใจลึกข่มโทสะที่แล่น พล่านในอก แต่สิ่งที่นางเป็นอยู่นั้นไม่อาจหลุดรอดสายตาของจอมมาร เหิงหยางเซิงไปได้ เขาลอบยิ้ม เดิมทีคิดว่าเลี้ยงนางไว้เหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่หวาดกลัวและปกป้องตนเองไม่ได้จะทำให้นางไม่กล้าหลบหนีไปจากเขา ใครเลยจะรู้ว่านางไ
“ข้ามีเพียงเสื้อผ้าเล็กน้อยเท่านั้น” ซินหรานยิ้มบางๆ มองดู เฉิงเอ๋อร์ที่ยังไม่รู้ว่ากำลังจะเดินทางไปเกาะเพลิงอัคนี เด็กน้อยเพียงแค่ตื่นเต้นที่เห็นรถม้า“เดินทางหนึ่งเดือนครึ่ง ขาดเหลือสิ่งใดสามารถหาซื้อระหว่างทางได้”“เจ้าค่ะ” นางเผลอถอนหายใจเบาๆ “เอ่อ...ท่านพ่อบ้านจู”“มีอะไรรึ”“คือ...เหตุใดท่านจอมมารถึงมาที่นี่และยังได้รับบาดเจ็บอีก” นางถามอย่างนึกได้ ความจริงนางสงสัยมาหลายวันแต่จะเอ่ยถาม จอมมารด้วยตนเอง ก็มีเหตุให้ไม่ได้ปริปากถามทุกทีไป เท่าที่นางจำได้ วรยุทธ์ของท่านจอมมารเป็นหนึ่งในใต้หล้าไม่น่าจะบาดเจ็บหนักขนาดนี้พ่อบ้านจูโหย่งเจาจ้องมองหญิงสาว เวลานี้นางอาจยังไม่รู้ฐานะของตัวเองว่าไม่ได้เป็นหญิงรับใช้ของท่านจอมมารอีกแล้ว นางให้กำเนิดบุตรชายสืบสายเลือดบริสุทธิ์ของท่านจอมมาร เด็กน้อยผู้นั้นเองก็มีลักษณะโดดเด่นกว่าใคร ถอดพิมพ์บิดาทุกกระเบียดนิ้ว “ไม่ได้มีแต่อู่เฉียงที่ทุกข์ทรมานเพราะการจากไปของเจ้า” พ่อบ้านจูโหย่งเจาเอ่ยพลางถอนหายใจหนักหน่วง เพราะเป็นคนแก่อย่างเขาที่ต้องคอยดูแลบุรุษหนุ่มที่ไม่รู้จักใจตนเอง“เพราะข้าหรือ?” “ข้าไม่อาจกล่าวโทษเจ้าได้” ผู้ผ่านร้อนหนาวมานา