“ขออภัยแม่นาง ข้ารู้สึกชื่นชมเจ้ายิ่งนัก”ซินหรานได้ยินสตรีแปลกหน้าผู้นั้นเอ่ยขึ้นก็ส่ายหน้าไปมา พวงแก้มแดงระเรื่อ “อย่าได้กล่าวเช่นนั้น แท้จริงข้าเป็นคนขี้ขลาด หวาดกลัวไปทุกสิ่ง และอ่อนแอ่ยิ่งนัก”“เหตุใดข้ามองแล้วเห็นแต่ความเข้มแข็งในตัวเจ้า” สตรีผู้นั้นเอ่ยอย่างเป็นกันเอง“แต่ก่อนหวาดกลัวเพราะตนเองอยู่ตัวคนเดียวไร้ญาติขาดมิตร แต่ตอนนี้หวาดกลัวเพราะตนมีลูกชายที่ต้องเลี้ยงดู กลัวจะเลี้ยงดูเขาได้ไม่ดี กลัวจะให้ความสุขลูกไม่ได้ กลัวไปเสียทุกเรื่อง จนต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังยิ่ง”“ถูกแล้ว” ซือไท่เอ่ยขึ้นมาบ้าง “คนเราหากอยู่อย่างทรนงในความเก่งกาจของตนเกินไปมักพลาดพลั้งเสียท่าผู้อื่น การใช้ชีวิตอย่างมีสติตรึกตรองก่อนลงมือทำสิ่งใดย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุด”ซือไท่เพียงแย้มยิ้มให้ด้วยใจเมตตา สตรีที่มีผ้าปิดครึ่งใบหน้านั้นนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจความหมาย ซินหรานล้วงมือไปหยิบถุงผ้าใบน้อยยื่นให้ซือไท่แล้วเอ่ยฝากฝั่งเด็กๆ ที่ตอนนี้อาศัยอยู่สำนักศึกษา สตรีแปลกนางผู้นั้นก็นั่งฟังเรื่องราวของซินหรานด้วยรอยยิ้ม จวบจนซินหรานขอตัวกลับ สตรีผู้นั้นจึงขอเดินออกมาด้านนอกด้วย ซินหร
“พี่อู่เฉียง!” “รีบหนีไป!” อู่เฉียงตวาดหญิงสาว เขาต้องฝืนคำสั่งมาช่วยซินหราน ไม่รู้เลยว่ากั๋วกงกงส่งนักฆ่าจากสำนักอื่นมาเก็บกวาดที่นี่อีกด้วย แม้ฝีมือของเขาระดับองครักษ์จอมมารเหิงหยางเซิงไม่ด้อยไปกว่าใคร แต่การปกป้องสตรีสองคนที่ป้องกันตนเองไม่ได้ และเขาต้องรับมือนักฆ่าที่ไหลเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ต่ำกว่าสามสิบคนอยู่นี่ก็ทำให้เขาหนักใจไม่น้อย เขาสบถทั้งที่ยกกระบี่ขึ้นป้องกันหญิงสาวทั้งสองที่อยู่ด้านหลังของเขาแม้สตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นสนมรักขององค์ฮ่องเต้มีสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาเกิดความหวาดหวั่นไม่น้อย นางมิได้กลัวตาย เดิมทีนางมิใช่คนมักใหญ่ใฝ่สูง ที่จำใจต้องถวายตัวด้วยทำไปเพื่อวงศ์ตระกูล วังหลังต่อสู้กันราวสนามรบ พลันนึกถึงญาติผู้พี่ที่สนิทสนมตั้งแต่ยังเด็กเล็ก แม้ยามนี้นางจะเป็นซือไท่ประกาศตัดขาดเรื่องทางโลก แต่เมื่อนางเดือดร้อนก็ยินดีช่วยเหลือ เดิมทีนางรู้อยู่แล้วว่าการออกมานอกวังจะต้องถูกปองร้าย แต่หวังใช้แผนซ้อนแผน เดินทางก่อนกำหนด จับตัวคนลอบทำร้าย แม้รู้ดีว่าเป็นคำสั่งผู้ใดแต่ก็ขาดหลักฐาน ทว่าไม่คิดว่ากั๋วกงกงจะส่งนักฆ่ามามากมายถึงเพียงนี้“แม่นาง เจ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ รีบหนีไปเส
โดยไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่ ซินหรานไม่ได้เสียงตอบในคำถามที่ต้องการ นางจึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีนิลคู่นั้นจ้องมองนางราวกลืนกินนางลงไปทั้งตัว สายตาของเขาทำให้นางรู้สึกตัว ปล่อยมือใหญ่ในอุ้งมือของตนทันที ทว่าเขากลับพลิกข้อมือเป็นฝ่ายจับมือนางไว้ก่อน ไม่ยินยอมให้ปล่อยนางไป เขาจะไม่ปล่อยนางให้หลุดมือของเขาไปอีก คนที่ถูกตราหน้าเป็นมารปีศาจร้ายเช่นเขา ไยต้องคิดหาวิธีรั้งนางด้วยเล่า? บัดนี้เขาตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำทุกวิธีทางให้นางหวาดกลัวจนไม่กล้าไปจากเขา แต่เมื่อนางไปขุดเอาความกล้าหาญมาจากไหน ฉวยจังหวะที่เขาอยู่ที่หุบเขาเพื่อหลอมกระบี่อัคนีพิฆาตหลบหนีออกมา แต่ ณ เวลานี้ ไม่ว่าเล่ห์กลใดที่รั้งนางไว้ได้ เขายอมหน้าหนาทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งตอนนี้ที่แสร้งทำเป็นว่า รอยแผลนี้ทำให้เขาทุกข์ทรมานเพียงใด “เจ้าเคยเจ็บปวดถึงกระดูกหรือไม่เล่า” เขาเอ่ยพลางจ้องตานาง เก็บทุกความรู้สึกที่อยู่สีหน้าของหญิงสาว “จะ...เจ็บมากเลยหรือ?” แม้เมื่อครู่นางเพิ่งเห็นคนตายมากมาย จนเลือดนองพื้นดิน แต่ยามนี้ความสนใจของนางอยู่ที่มือขวาของเขา “ปะ...เป
“คนอื่นๆ ล่ะ คนในหมู่บ้านจะเป็นอย่างไร!” ซินหรานตวาดอย่างลืมตัว เหิงหยางเซิงแม้จะเป็นคนใจดำ แต่ยามนี้กลับไม่กล้าพูดจาทำร้ายจิตใจซินหราน นึกถึงภาพนางที่เป็นเด็กหญิงตัวน้อยไม่พูดไม่จาอยู่นานเป็นแรมเดือน หัวใจที่เคยด้านชาพลันเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครา แม้เขาไม่ได้พูดออกไป แต่หญิงสาวกลับเข้าใจได้ ใบหน้าที่แต่เดิมซีดเซียวเพราะตกใจอยู่แล้ว ยามนี้กลับยิ่งไร้สีเลือดเข้าไปอีก สองขาแทบทรุดลงด้วยไร้เรี่ยวแรง จนเหิงหยางเซิงต้องประคองไว้“ไม่ได้”นางพึมพำ นึกเด็กๆ ที่นางเคยดูแล ป้าหวังที่เอางานปักผ้ามาให้นาง ทุกคนในหมู่บ้านที่ที่ดีกับนาง ยามนี้พวกเขามีภัย มีภัยโดยไม่รู้ตัวและไม่อาจหลบหนีได้ทัน นางจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้!“เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นเกาะเพลิงอัคนีหรืออย่างไร!” เหิงหยางเซิงโต้กลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับคนในราชสำนักแม้แต่น้อย “เวลานี้มีคนของพรรคเพลิงอัคนีอยู่ข้างกายแค่ห้าหกคน เจ้าคิดจะใช้คนของข้าปกป้องคนนับร้อยเหล่านั้นหรือ? เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่าไม่ไกลจากนี้เหล่าชาวยุทธฝ่ายธรรมะนั้นรวมพิธีล้างมือในอ่างทองคำของพรรควิหคสวรรค์ คนเหล่านั้นเมื่อเข้าใจว่าข้าผู้เป็นปร
พระสนมหลิวเสียนเฟยมิได้ดึงดัน พยักหน้ารับอย่างเข้าใจและหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว อู่เฉียงจ้องมองซินหรานอีกครั้ง เขาเคยมีคำพูดมากมายอยากเอ่ยถามนาง แต่ยามนี้เขากลับรู้สึกว่าตนเองได้คำตอบนั้นจากแววตาห่วงใยที่นางมีให้จอมมารแสนร้ายกาจผู้นั้นแล้ว“ข้าจะคุ้มกันอยู่ด้านนอก” “ขอบคุณพี่อู่เฉียง” นางยิ้มบางๆ มองร่างสูงหันหลังเดินออกไปแล้ว นางยื่นมือไปปิดประตูด้วยตนเองเพื่อให้มั่นใจว่าบานประตูปิดสนิท หญิงสาวระบายลมหายใจเบาๆ เมื่อหมุนตัวกลับมาภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ก้าวเท้าไม่ออก“ข้าต้องเดินลมปราณ” เขาเอ่ยเสียงแหบพร่า แล้วยันตัวเองลุกขึ้นยืนเพื่อถอดเสื้อเปื้อนเลือดของตนออก ใบหน้าหวานเริ่มมีสีเลือดปรากฏ ไฉนอยู่ดีๆ เปลื้องเสื้อผ้าเช่นนี้เล่า นางอยู่กับคนในพรรคมารมาแปดปี แต่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์ใดๆ เห็นเพียงอู่เฉียง อู่ชิงและอู่ยินต่อสู้ประมือกัน แต่ไม่รู้ว่ายามต้องลมปราณนี้ต้องเปลื้องเสื้อผ้าเช่นนี้ด้วย“ถ้าอายนักก็ออกไป” เหิงหยางเซิงเห็นนางยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ทั้งที่เอ่ยตำหนิขับไล่นาง แต่เพราะไม่ต้องการให้นางเห็นเขาในสภาพยับแย่เช่นนี้เพราะใช้เพลงกระบี่อัคนีพิฆาต เขาจึงเจ็บหนักเช่นนี้ ดาบเดีย
อู่เฉียงได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหันกลับมามองพร้อมกับพระสนมหลิวเสียนเฟยที่ปรายตามองเล็กน้อย ซินหรานก้าวออกมายืนแล้วกวาดตามองเหมือนค้นหาสิ่งผิดปกติ “เอ่อ...ข้าคงรู้สึกไปเอง เหมือนมีผู้อื่นอยู่ที่นี่” ซินหรานอึกอักหน้าแดง นางคงกังวลเกินเหตุไป พระสนมหลิวเสียนเฟยส่งยิ้มเอ็นดูให้ ได้ยินว่าหญิงสาวผู้นี้อายุยี่สิบแล้วและมีลูกชายน่ารัก แต่ลักษณะท่าทางยังเหมือนเด็กสาวมิได้ออกเรือน ยามเขินอายก็แก้มแดงระเรื่อ ช่างดูไร้เดียงสานัก พลันอดคิดถึงตนเองยามเป็นเด็กสาวไม่ได้ นางเหม่อลอยไปครู่หนึ่งสายตาดุจตาหงส์สังเกตสิ่งที่อยู่ในมือของซินหรานนั้นคุ้นตา จึงเอ่ยถามออกไป “นี่นะหรือ?” ซินหรานยื่นหน้ากากอันนั้นส่งให้พระสนม แต่เมื่ออีกฝ่ายย้ำให้พูดคุยกับนางเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป ซินหรานจึงเอ่ยกับอีกฝ่ายดุจสนทนากับคนที่ฐานะเท่าเทียมกัน “เจ้าได้หน้ากากนี่มาจากที่ใด” พระสนมหลิวเสียนเฟยเอ่ยถาม ดวงตามีประกายความตื่นเต้นไม่น้อย “เรียนตามตรง ท่านจอมมารให้ข้ามา เป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการที่ส่งมาให้ท่านจอมมาร แต่ข้าจำไม่ได้แล้วว่ามาจากที่ใด” “เจ้าเคยใช้หรือไม่?” ซินหรานอึกอักอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยไปตรง “ครั้
ไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่นางเป็นเด็กแปดขวบ หญิงสาวเบิกตาโต ความทรงจำที่เลือนลางไปเต็มทีแล้วกลับเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง บ้านของนางไฟไหม้ บิดามารดาฉุดแขนให้นางวิ่งออกมา ทว่าบิดาถูกคนร้ายใช้ดาบฟันกลางหลัง แต่กระนั้นก็ยังกอดนางกับมารดาไว้ คนร้ายหัวเราะทั้งที่มารดาหวีดร้องเหมือนคนเสียสติ พุ่งเข้าไปใช้เพียงมือเปล่าทุบตีคนเหล่านั้น หนึ่งนั้นใช้ฝ่ามือฟาดใส่หน้ามารดาถึงกับเซถลาล้มลง พวกมันหัวเราะร่ากระตุกเท้ามารดาไว้แล้วฉีกทึ้งเสื้อผ้าของมารดา‘หนีไป! หนีไป!’เด็กน้อยตัวแข็งทื่อก้าวเท้าไม่ออก ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยแปดขวบถูกฉุดกระชากอย่างแรงจนแขนเสื้อของเด็กหญิงขาด เด็กหญิงตัวน้อยหวีดร้องสุดเสียง พยายามสะบัดแขนขาที่ถูกเกาะกุมด้วยชายร่างใหญ่หลายคนที่ล้อมตัวนางอยู่ เด็กหญิงสู้แรงชายเหล่านั้นไม่ได้ ร่างของนางถูกยกขึ้นเหนือพื้นแขนสองข้าง ขาสองข้างถูกมือสกปรกจับยกขึ้น แม้น้ำตาไหลอาบแก้มแต่นางยังมองเห็นเปลวเพลิง ผู้คนที่ถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด บนพื้นนองไปด้วยเลือดสีแดงสด ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีแดงของเปลวเพลิง เด็กหญิงหวีดร้องจนเจ็บคอไปหมด ราวกับมีเลือดผสมน้ำลาย เสียงหัวเราะราวกับคนเสียสติดังขึ้น
สุดท้ายก็ไม่ต่างจากสุนัขขี้เรื้อนไม่เหลือหน้าตาให้หยัดยืนใน ยุทธภพ เปลี่ยนแปลงตนเอง เข้าไปในวังวนของวังหลวง หวังให้ตำแหน่งของตนสูงสุด แต่สุดท้ายกลับถูกเจ้าเด็กเมื่อวานซืนทำลายป่นปี้ ด้วยความแค้นทำให้กั๋วกงกงลืมกลยุทธไปหมดสิ้นต่อสู้เหมือนคนตาบอดสะเปะสะปะไปมา ยิ่งสู้ยิ่งไม่อาจยอมรับความแพ้พ่าย หางตาเห็นสตรีสวมหน้ากากผู้นั้นยืนอยู่คนเดียว จึงเปลี่ยนเป็นพุ่งเป้าไปที่หญิงสาวบอบบาง ซินหรานเบิกตากว้างที่จู่ๆ กั๋วกงกงเปลี่ยนเป้าหมายพุ่งมาที่นาง ทว่าเมื่อประสายสายตากันกลับเป็นกั๋วกงกงที่ชะงักงันแล้วกรีดร้องคลุ้งคลั่ง “ไม่จริง! ข้าจะไม่ตายเช่นนั้น! ข้าไม่มีวัน...!” ยังไม่ทันจบประโยคดี แสงสีเพลิงจากกระบี่อัคนีพิฆาตก็แทงทะลุร่างของกั๋วกงกง ดวงตาคู่นั้นก้มมองปลายกระบี่ที่ทะลุหน้าอกตนเอง ใบหน้าบิดเบี้ยวเอี้ยวมองไปด้านหลัง เห็นเพียงรอยยิ้มโหดเหี้ยมของเหิงหยางเซิง เขาบิดข้อมือทำให้กระบี่ควานเนื้อเรียกโลหิตให้หลั่งออกมาจนนองพื้น “เจ้า...เจ้ามัน...มาร...ปีศาจ...ร้าย” “ถูกต้อง ข้าคือจอมมารเหิงหยางเซิงแห่งพรรคเพลิงอัคนี” เพียงชั