เขาดูไม่เหมือนคนทั่วไปเลยสักนิด มิใช่ว่ามีหูตาผิดแปลกกว่าคนทั่วไป แต่รัศมีความน่าเกรงขามแม้จะอยู่ในอาภรณ์ซอมซ่อก็ตาม ท่าทางเย่อหยิ่งทรนงนั้นอีก มองเพียงแวบเดียวก็มีส่วนคล้ายเฉิงเอ๋อร์อยู่หลายส่วน“ชิงถิง”เด็กหนุ่มหยุดเดินหันไปตามเสียงเรียก ชิงถิงค้อมกายคารวะอาจารย์จงอินอย่างอ่อนน้อม อีกฝ่ายเพียงแค่โบกมือไปมา“เจอเจ้าก็ดีแล้ว บอกแม่บุญธรรมของพวกเจ้าด้วยว่าข้าให้คนเตรียมเรือนให้พวกเจ้าและน้องๆ ได้หลับนอนเรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าจะมาเมื่อใดก็ได้”“เอ่อ...” ชิงถึงมีสีหน้างุนงง ท่าทางของเขาทำให้อาจารย์จงอินขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยถ้อยคำอธิบายความหมาย “แม่บุญธรรมของเจ้าฝากฝั่งพวกเจ้าพี่น้องทั้งหกคนให้อยู่ที่สำนักศึกษาของข้า ข้าเองก็เห็นพวกเจ้าเป็นเด็กดี แม้เป็นเด็กกำพร้าหากได้รับการอบรมสั่งสอนในภายภาคหน้าก็มีโอกาสสร้างฐานะความเป็นอยู่ของตนเองให้ดีกว่านี้ได้”“ท่านแม่...จะให้ข้ากับน้องๆ มาอยู่กับท่านอาจารย์หรือขอรับ” แม้เขาดีใจที่ได้ร่ำเรียนหนังสือแต่...แม่บุญธรรมต้องการให้พวกเขาไปจากบ้านแล้วหรือ? หรือว่า...เพราะรู้ว่าบิดาของเฉิงเอ๋อร์กลับมาจึงไม่ต้องการเด็กกำพร้าอย่างพวกเขาแล้ว“เจ้าโชคดีกว่า
“อะไรที่ท่านแม่สั่งสอน พวกเราล้วนจดจำใส่ใจไว้ไม่ลืมเลือน ขอท่านแม่อย่าคิดมากไปเลย” คราวนี้เป็นซินหรานที่น้ำตารื้นจนต้องยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้า ไฉนเป็นเด็กเหล่านี้ที่มาปลอบใจนางเช่นนี้นะ นางไล่สายตามองใบหน้าเด็กแต่ละคนที่ยามนี้ไม่ได้ผอมกะหร่องเช่นวันแรกๆ ที่ได้พบพวกเขา แม้อยู่ด้วยกันไม่นานสองหรือสามปีเท่านั้น บางคนมาอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ สำหรับนางแล้ว พวกเขาต่างหากที่ทำให้นางสามารถมีกำลังใจเลี้ยงดูเฉิงเอ๋อร์เพียงลำพังได้ถึงวันนี้ “แม่นางซินหราน รถม้ามาแล้วขอรับ” ซินหรานหันไปตามเสียงเรียกที่ดังอยู่นอกประตู นางลุกขึ้นจากเก้าอี้มีชิงถิงคอยช่วยพยุง เห็นอู่ชิงยืนอยู่ด้านนอกก็ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อยๆ ทั้งสองดูไม่ต่างจากที่นางพบเมื่อสี่ปีก่อนมากนัก ยกเว้นใบหน้าที่มิอาจซ่อนความอิดโรยไว้ได้ “เรื่องที่รบกวนพี่อู่ชิงช่วยขายกำไลหยกนั้น...” “พวกเราจัดการให้แล้ว” อู่ชิงผงกศีรษะเล็กน้อย “ได้เต็มจำนวน” “ดีจริง” ซินหรานอมยิ้ม นึกถึงครั้งที่ตัวเองไปถามขายกำไลด้วยตนเองได้เพียงแค่ห้าสิบตำลึงเท่านั้น แต่เมื่อรบกวนให้องครักษ
“อะไรที่ท่านแม่สั่งสอน พวกเราล้วนจดจำใส่ใจไว้ไม่ลืมเลือน ขอท่านแม่อย่าคิดมากไปเลย” คราวนี้เป็นซินหรานที่น้ำตารื้นจนต้องยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้า ไฉนเป็นเด็กเหล่านี้ที่มาปลอบใจนางเช่นนี้นะ นางไล่สายตามองใบหน้าเด็กแต่ละคนที่ยามนี้ไม่ได้ผอมกะหร่องเช่นวันแรกๆ ที่ได้พบพวกเขา แม้อยู่ด้วยกันไม่นานสองหรือสามปีเท่านั้น บางคนมาอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ สำหรับนางแล้ว พวกเขาต่างหากที่ทำให้นางสามารถมีกำลังใจเลี้ยงดูเฉิงเอ๋อร์เพียงลำพังได้ถึงวันนี้ “แม่นางซินหราน รถม้ามาแล้วขอรับ” ซินหรานหันไปตามเสียงเรียกที่ดังอยู่นอกประตู นางลุกขึ้นจากเก้าอี้มีชิงถิงคอยช่วยพยุง เห็นอู่ชิงยืนอยู่ด้านนอกก็ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อยๆ ทั้งสองดูไม่ต่างจากที่นางพบเมื่อสี่ปีก่อนมากนัก ยกเว้นใบหน้าที่มิอาจซ่อนความอิดโรยไว้ได้ “เรื่องที่รบกวนพี่อู่ชิงช่วยขายกำไลหยกนั้น...” “พวกเราจัดการให้แล้ว” อู่ชิงผงกศีรษะเล็กน้อย “ได้เต็มจำนวน” “ดีจริง” ซินหรานอมยิ้ม นึกถึงครั้งที่ตัวเองไปถามขายกำไลด้วยตนเองได้เพียงแค่ห้าสิบตำลึงเท่านั้น แต่เมื่อรบกวนให้องครักษ์ข้างกายท่าน
ซินหรานอยากกุมขมับ ลูกชายช่างกล้าหาญเสียจริง แต่เวลานี้เจ้าจะปากดีกับบิดาของตนมิได้นะ “เฉิงเอ๋อร์เด็กดี” มือใหญ่ไม่รอให้หญิงสาวพูดจบ ยื่นมาหิ้วคอเสื้อของเด็กน้อยขึ้นตัวลอยจากเตียงที่เขานั่ง ซินหรานอ้าปากค้างจะส่งเสียงห้ามแต่ยังช้าไปกว่าเหิงหยางเซิง ‘หิ้ว’ คอเสื้อของเฉิงเอ๋อร์ที่ยังเหวี่ยงเท้าและหมัดไปมาแต่ไม่ถูกตัวของเหิงหยางเซิงสักนิด จอมมารผู้มีใบหน้าเรียบเฉยเหวี่ยงร่างเล็กไปทางอู่ยินที่ยื่นมือรับได้อย่างรวดเร็วแม่นยำพาเด็กน้อยออกไปข้างนอกทันที “ท่านทำแบบนั้นไม่ได้นะ” ซินหรานขึ้นเสียง แต่พอเห็น เหิงหยางเซิงหมุนตัวกลับมายืนกอดอกจ้องมองนาง หญิงสาวลืมคำพูดไปเสียสิ้น “ข้าไม่ทำร้ายลูกตัวเองหรอกน่า” เขาเปิดปากพูด ลอบมองเรือนร่างที่อุ้มเมื่อครู่ นึกถึงเมื่อคืนที่เขาอุตส่าห์เช็ดเนื้อตัวให้เพื่อลดความร้อนจากพิษไข้ ไม่เจอกันสี่ปี นางอายุยี่สิบแล้วกระมั้ง ทรวงทรงองค์เอวเย้ายวนกว่าเมื่อสี่ปีก่อนนัก อาจเพราะเป็นแม่คนแล้ว หน้าอกจึงเต่งตึงเต็มไม้เต็มมือและสะโพกก็กลมกลึงกว่าเดิมมากนัก ไฉนมีคนเคยพูดว่าสตรีที่ผ่านการมีบุตรแล้วไม่น่าพิสมัย แ
“ปล่อย-ท่าน-แม่-ของ-ข้า-ห้าม-รัง-แก-ท่าน-แม่!” ซินหรานลืมตามองเสียงอู้อี้ของเด็กน้อย นางอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไม่รู้ว่าเฉิงเอ๋อร์เข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อใด ซ้ำยัง ‘กัด’ ท่อนแขนของเหิงหยางเซิงอีกด้วย! “เจ้าเด็กนี่!” เหิงหยางเซิงผู้ถูกก่อกวนจนโมโหจนอยากจะบีบคอเจ้าเด็กน้อยคนนี้นัก เขาจ้องมองดวงตาดุดันที่จ้องมองและปากก็ยังกัดท่อนแขนของเขา เจ้าเด็กนี่กัดเขาอีกแล้ว “อย่าเรียกลูกเช่นนั้นซิ!” นางดุเหิงหยางเซิงแล้วรีบยื่นมือไปกอดเฉิงเอ๋อร์ “แม่ไม่เป็นอะไร เจ้าปล่อยเอ่อ...ท่านพ่อของเจ้าเสียก่อน” “ไฉน-ท่าน-ลุง-กลาย-เป็น-ท่าน-พ่อ-ไป-ได้” เฉิงเอ๋อร์ถามทั้งที่ปากยังกดท่อนแขนของเหิงหยางเซิง “เรื่องนี้...แม่จะเล่าให้ฟังวันหลังนะ” ซินหรานจนปัญญา “ตอนนี้เจ้าเลิกกัดท่านพ่อก่อนนะ” เหิงหยางเซิงสูดลมหายใจลึก แล้วตะโกนออกไป “ใครอยู่ข้างนอกมาเอาเด็กนี่ออกไป” ประตูบ้านถูกผลักเข้ามาอย่างรวดเร็ว องครักษ์อย่างอู่ชิงและ อูยินรวมทั้งพ่อบ้านจูโหย่งเจาวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา พวกเขาไม่รู้ว่า ‘นายน้อย’ หลบเข้ามาในบ้านได
อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าของซินหรานดีขึ้นมาก นางเข้าครัวทำอาหารให้ทุกคนด้วยความเคยชิน ไม่ว่าอยู่ที่เกาะเพลิงอัคนีหรืออยู่ในบ้านหลังนี้ นางก็ยังคงเป็นคนครัวที่ทำอาหารด้วยความเต็มใจยิ่ง “กลิ่นอาหารของเจ้าเย้ายวนไปถึงหน้าบ้านแล้วซินหราน” เสียงทักทายนั่นทำให้ซินหรานเงยหน้าขึ้นจากหม้อซึ่งนางกำลังเคี่ยวทำน้ำแกงปลา ตั้งแต่พ่อบ้านจูโหย่งเจาและสององครักษ์พบนางและลูก ย้ายเด็กกำพร้าที่นางเคยดูแลส่งออกไปอยู่สำนักศึกษาแล้ว คนของท่านจอมมารเข้ามาแทนที่จนเกือบเต็มลานบ้าน แต่นั่นทำให้พวกเขาไปสรรหาของสดมาให้นางทำอาหารบำรุงให้ท่านจอมมารที่เก็บซ่อนอาการบาดเจ็บของตนเอง “แม่นางจางเย่วถิง” ซินหรานทักทายสตรีที่เดินเข้ามาราวกับคุ้นเคยบ้านของนางดี ทั้งที่นางไม่ได้เจอประมุขพรรคกระเรียนแดงมาสี่ปีแล้ว ถึงเวลานี้แล้วนางไม่นึกแปลกใจที่จางเย่วถิงรู้ที่อยู่ของนาง ทว่าเหตุใดจึงเพิ่งมาปรากฏกายในเวลานี้ “ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน” จางเย่วถิงยื่นมือไปหมายสัมผัสแก้มนุ่มของซินหราน แต่การเคลื่อนไหวรวดเร็วจู่โจมจนนางชักมือกลับไม่ทัน งับ! ร่างเล็กห้
“พวกเขาใฝ่ดีอยู่แล้ว ข้าแทบไม่ได้ทำอะไรเลย” นางยิ้มบางๆ นึกถึงในลานบ้านที่เด็กๆ วิ่งเล่นหยอกล้อกัน นางทำขนมของกินให้เด็กๆ เอาไปขาย สอนเขียนชื่อตัวเองบ้าง แต่อย่างไรนางมีความรู้ไม่มากนัก เก็บหอมรอมริบหวังให้พวกเขาได้เข้าสำนักศึกษาเพื่ออย่างน้อยจะได้ไม่ต้องเป็นขโมย ทำงานหาเลี้ยงชีพตนได้ก็เพียงพอแล้ว ป้าหวังพยักหงึกหงัก กวาดสายตามองไปรอบๆ คนเหล่านั้นมีทั้งสตรีแต่งกายงดงามเสื้อผ้าสีแดงสดสวย ส่วนบุรุษก็หน้าตาดุดันขึงขัง หากไม่เพราะว่าช่วงนี้เห็นคนทั้งจากทางการและชาวยุทธ์ผ่านหมู่บ้านบ่อยละก็ นางเองคงตื่นตระหนกไม่น้อย “ข้าก็ว่าอยู่หรอกนะ เฉิงเอ๋อร์หน้าตาน่าเอ็นดูเช่นนี้ บิดาของเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่” ป้าหวังหัวเราะคิกคัก ชะเง้อคอยาวเผื่อจะได้เห็นบิดาของเฉิงเอ๋อร์สักครั้งเป็นบุญตา “ป้าหวังรอสักครู่ ข้าจะไปหยิบผ้ามาให้” ซินหรานเอ่ยแล้วเดินลากเท้าออกมาจากห้องครัว ลังเลอยู่ครู่ก่อนบอกให้ผู้ที่เฝ้าประตูอยู่นั้นช่วยรายงานคนด้านใน ผ้าของป้าหวังอยู่ในห้อง นางต้องเข้าไปหยิบ “เข้ามาเถิด” เป็นเสียงของจางเย่วถิงเอ่ยขึ้น ผู้ติดตา
“พี่อู่เฉียง” ซินหรานเรียกอีกครั้ง นึกถึงที่อู่ชิงและอู่ยินเล่าว่าเขาถูกขังคุกใต้ดินเพราะนางแล้วก็รู้สึกผิด มือเล็กยื่นไปแตะท่อนแขนอย่างระวัง “พี่อู่เฉียงเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บที่ใด แล้วตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน...” “เจ้า...” เขากล้ำกลืนคำพูดตัวเองแล้วเปลี่ยนประโยคใหม่ “เจ้าคงรู้จากอู่ชิงและอู่ยินแล้ว” ซินหรานพยักหน้า “เป็นเพราะข้าแท้ๆ ทำให้พี่อู่เฉียงต้องลำบาก” “ไม่เกี่ยวกับเจ้า” น้ำเสียงของบางเบาและแหบพร่า มองฝ่ามือเล็กที่จับแขนเขาอย่างสำรวจว่าเขาบาดเจ็บที่ใด นางเป็นเช่นนี้เสมอ ยามที่เขากลับจากภารกิจลับ นางถือวิสาสะสำรวจแขนสองข้างของเขาว่าบาดเจ็บที่ใดบ้าง นางส่ายหน้าไปมา เหลือบมองรอบกายไม่มีผู้อื่น ไม่มีทางที่ผู้ติดตามของเหิงหยางเซิงจะไม่รู้ไม่เห็นว่านางเดินออกมานอกรั้วบ้านและยืนคุยกับอู่เฉียงเช่นนี้ แสดงว่าประมุขพรรคเพลิงอัคนีมิได้โกรธแค้นหรือหมายเอาชีวิตอู่เฉียงเป็นแน่ นางจึงยืนอยู่เช่นเดิมไม่คิดหลบซ่อนตัว “หากมิใช่เพราะข้า พี่อู่เฉียงคงไม่ต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ” นางพูดกลั้นน้ำตาพยายามส่งยิ้มให้เขา “ท่านจอมมารใช้ข้ามาบี