เกรย์สันนั้นสุภาพอย่างยิ่งยวดเมื่อเขาพูดกับเชอร์ลีย์ “พี่ครับ ให้ผมอุ้มนะครับ”เชอร์ลีย์ยังคงอ่อนแออยู่ ดังนั้นเธอก็ไม่พยายามแสร้งทำว่าตัวเองแข็งแกร่ง เพราะฉะนั้นเธอจึงตกลงเซย์นร้องครางหงิง ๆ เมื่อได้เห็นเช่นนั้น แค่เดินเองเขาก็หอบแฮ่กแล้วแต่เขายังต้องมาคำนึงถึงศักดิ์ศรีตัวเองด้วย ดังนั้นเขาจึงพูดกับโจเซฟินว่า “ที่รัก ให้ฉันอุ้มนะ”โจเซฟินเห็นหน้าเซย์นซีดเผือดไม่รู้ว่าเพราะอากาศที่หนาวเย็นหรือว่าเพราะความอ่อนแอของเขา เธอจึงตอบว่า “ฉันเดินเองได้ แค่ไม่ต้องให้ฉันอุ้มนายก็พอ”เซย์นนั้นซาบซึ้งใจมาก “ชีวิตนี้ฉันได้แต่งงานกับผู้หญิงดี ๆ แบบนี้คงเพราะชาติที่แล้วฉันทำบุญมาเยอะแน่”เจย์นั้นชิงชังความทึ่มทื่อของเซย์นมากและสวนกลับไปทันที “ถ้าเป็นแบบนั้นการที่โจเซฟินต้องมาลงเอยกับนายก็คงเป็นเพราะชาติก่อนเธอทำบาปมามากแน่ ๆ”โจเซฟิน “...”เซย์น “...”เมื่อผู้นำทางหญิงได้พาพวกเขาลงมาที่ถนนบนเขาที่ค่อนข้างเรียบแล้ว พวกเขาก็มาถึงทางแยกที่ลงเขา ผู้นำทางได้หยุดก่อนที่จะหันมาถามว่า “ถนนทางซ้ายนี้ตามประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าได้คร่าชีวิตคนไปถึง 382 คนแล้ว ส่วนทางขวาก็มีนักท่องเที่ยวตายไปประมาณ 283
สเปนเซอร์พูดอย่างมีโทสะ “คาร์สัน แกส่งมันกลับคืนมาทำไม?”คาร์สันเงียบถึงอย่างไรเขานั้นก็เป็นคนของโคล แล้วเขาจะหักหลังนายน้อยของเขาง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน?สเปนเซอร์ถอนใจ “เฮ้อ หิมะก็ตกมานานแล้ว ไม่รู้ทองคำแท่งในห้องเก็บสมบัติของฉันจะขึ้นราหรือยัง? ครอบครัวฉันก็ไม่มีทายาท แล้วอนาคตใครจะมาดูแลทองพวกนี้ให้ฉันกันนะ?”ความทุ่มเทที่คาร์สันมีให้กับนายน้อยของเขานั้นไม่สามารถเอาชนะเงินทองที่ยั่วใจได้ เขารีบเปลี่ยนข้างและเอานิ้วมาจิ้มโคลก่อนบอกว่า “นายท่านครับ นายน้อยบอกว่าท่านน่ะมีคนรักมากมายในชีวิตนี้ และก็ทำให้บรรดาสาว ๆ ทั้งหลายที่เคยคบหากับท่านต่างก็อกหัก ต้นกระบองเพชรนี้น่าจะเหมาะกับท่านมากกว่าเพราะว่ามันมีหนามเพียบ”โคลหน้าเคร่งมองคาร์สันด้วยดวงตาเปี่ยมโทสะจากด้านหลัง เขาพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “แก ไอ้คนเฮงซวย เงินสำคัญกับแกมากหรือไง? ทำไมแกถึงได้ทำงานไม่มีความเป็นมืออาชีพขนาดนี้?”คาร์สันรีบไปแอบอยู่หลังประมุขของตระกูล เมื่อมีสเปนเซอร์คอยหนุนหลังคาร์สันก็ยิ่งได้ใจ“ผมเห็นด้วยกับคุณทุกอย่างครับนายน้อย แต่ว่าผมก็แค่เข้าข้างนายท่านเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการหาภรรยาของคุณ มุมมองทางด้านคว
สเปนเซอร์กระเด้งตัวจากเก้าอี้เอนหลังอย่างกระฉับกระเฉงราวกับได้เจอทอง“ลูกสะใภ้ฉันขึ้นเขามาเหรอ เร็วเข้าไปปิดค่ายกลให้หมด”คนให้ห้องโถงทั้งหมดต่างก็พากันอึ้งไปหนึ่งในผู้หญิงของเขาเอ่ยเตือนขึ้นมาว่า “นายท่านคะ ท่านจะปิดค่ายกลทั้งหมดได้ยังไงคะ? หากว่ามีคนร้ายฉวยโอกาสเข้ามาล่ะ?”ความหวาดกลัวความตายของสเปนเซอร์หายไปล้ว “พวกยอร์กเรามีตั้ง 108 ป้อม แต่เราจะกลัวแค่นักท่องเที่ยวไม่กี่คนเหรอ? หากว่าเรื่องนี้หลุดออกไปคนจะมองเรายังไง?”อนุของเขาพลันเงียบไปช่วงหลายปีที่ผ่านมา นายท่านได้พยายามบังคับให้นายน้อยแต่งงานแล้วก็มีทายาม แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว หากว่ามีผู้หญิงที่ทำให้นายน้อยปลงใจได้ นายท่านก็ต้องปฏิบัติต่อเธอเหมือนผู้มีพระคุณแน่นอนสเปนเซอร์ปิดตัวกั้นถนนที่เข้ามาในภูเขาและโคลก็เร่งออกไปข้างนอกสเปนเซอร์จะพลาดวันสำคัญของลูกชายไปได้อย่างไรกัน? เขารีบรวบรวมคนและสั่งการพวกเขา “ไปเตรียมแตรและเครื่องเป่ามาเล่นต้อนรับว่าที่ลูกสะใภ้ของป้อมตระกูลยอร์กด้วย”“ครับ”เวลาเดียวกัน เจย์ก็เลือกที่จะเดินไปถนนด้านซ้าย แต่ไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่าถนนเส้นนี้ท้าทายและอันตรายมากกว่าเซย์นและโจเซฟินที่เดิน
เจย์มองเซย์น แม้ว่าเสียงของหมอนี่จะโดนแปลงไป แต่เขาก็ยังสติแตกเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอยู่เหมือนเดิม หากว่ามองดูเซย์นอย่างตั้งใจแล้วก็จะรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาเขายังคงกดดันเซย์นต่อ “ถ้านายไม่อยากตาย ก็หุบปากซะ”ประโยคนี้เหมือนคำศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เซย์นหุบปากฉับไม่นานปาฏิหาริย์ก็บังเกิดเหมือนกับว่ามีนางฟ้ามาเสกมนตร์ให้กับถนนบนเขานี้ จู่ ๆ พื้นถนนก็ราบเรียบ หิมะหนาก็ราวกับว่าโดนกวาดออกไปจนหมดเผยให้เห็นต้นไม้สีเขียวสดเซย์นพูดด้วยความกลัวที่ยังมีอยู่ในใจ “คนที่รอดจากวิกฤติรอบนี้ไปได้ จากนี้ต้องโชคดีแน่”ทั้งโจเซฟีนและพี่เชอร์ลีย์ต่างก็แสดงท่าทางยินดีที่รอดพ้นหายนะมาได้ใบหน้าหล่อเหลาของเจย์จู่ ๆ ก็เย็นชายิ่งกว่าหิมะที่อยู่รายรอบ เขารู้ดีว่าสาเหตุที่ทำให้ค่ายกลนั้นโดนปิดก็เป็นเพราะว่าแองเจลีนใช้ชื่อของตัวเองเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนเขานึกด่าโคลในใจ ‘ไอ้หนอนสวะ’แองเจลีนคิดบางอย่างได้และรีบบอกเจย์ “ที่รักคะ พอเราเข้าไปที่ป้อมแล้ว คุณต้องไม่เปิดเผยตัวตนนะ ถ้าเราจำเป็นต้องทำก็ให้ฉันเป็นคนจัดการเอง ฉันคิดว่าโคล ยอร์กคงไม่สร้างปัญหาให้ฉันหรอก”ขณะที่เจย์กำลังจะเอ่ยขัด แองเจลีนก็บอกว่า “ถ้าไม่อด
ดวงตาที่ก่อนนี้แฝงความรักใคร่แฝงไว้ด้วยความระแวดระวังและความเป็นศัตรู “แกต้องแน่ใจนะโคล อย่าพาพวกศัตรูเข้าบ้านเรา”ตอนนี้เจย์และคนที่เหลือต่างก็อยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้วโคลจ้องหน้าแต่ละคนอย่างพินิจพิเคราะห์และไม่เห็นคนที่เขามองหา เขารู้สึกว่าความหวังที่มีพลันหายไปและแสงระยิบระยับในดวงตาเขาก็จางหายไป“แองเจลีนอยู่ไหน?” ตอนนี้เขาห่อเหี่ยวมาก เสียงที่เคยกระตือรือร้นก็หดหู่ทันใดแองเจลีนพูดเบา ๆ “ฉันแองเจิล ลินน์ค่ะ” เธอเปลี่ยนแปลงเสียงของเธอโคลยังคงจ้องแองเจลีนไม่วางตา…แม้ว่าจะปลอมตัวแต่แองเจลีนก็ยังคงมีรูปหน้าที่งดงามไว้อยู่ แต่ว่าหน้าของเธอก็ไม่เหมือนเดิมเลยสักนิดโคลจำแองเจลีนไม่ได้และรู้สึกว่าโดนหลอก เขาโมโหปรี๊ดทันที “เธอบอกว่าตัวเองชื่อแองเจลีนเหรอ?”แองเจลีนแสร้งทำเป็นหวาดกลัว “ค่ะ ใช่ค่ะ”“เธอกล้าโกหกฉันเหรอ?” โคลโมโหเดือดแองเจลีนพูดทั้งน้ำตา “คุณคะ ฉันไม่ได้โกหกคุณนะคะ ฉันชื่อแองเจิล ลินน์ แ-อ-ง-เ-จ-ิ-ล-ลิ-น-น์”พอได้ฟังคำอธิบายจากแองเจลีน ใบหน้าหล่อเหลาของโคลก็เปลี่ยนเป็นเขียวและพลันซีดเผือดทันทีสเปนเซอร์กลั้นหัวเราะต่อไปไม่ไหวเมื่อเขาได้เห็นสีหน้าของลูกชาย “ฮ่าฮ่าฮ
หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ เขาก็สั่งคนของเขาว่า “ให้พวกเขาเข้ามา”ชายหนุ่มสองสามคนเดินเข้ามา และพูดอย่างไม่เป็นมิตรว่า “ไปได้”เจย์หลิ่วตาให้เกรย์สันและเซย์นที่จริงแล้วตอนนี้เซย์นกลัวมากจนพูดไม่ออก แต่ละก้าวของเขาไม่มั่นคงและโจเซฟีนจำต้องพยุงเขาไว้เจย์และแองเจลีนเดินตามมาข้างหลังและหลังจากที่เข้ามาในตัวอาคารแล้ว ความอบอุ่นในห้องก็ทำให้คิ้วที่ขมวดแน่นของเจย์ผ่อนคลายลงเล็กน้อยสเปนเซอร์นั้นนั่งรออยู่ตรงส่วนที่สูงที่สุดของห้องโถงรับแขก เก้าอี้ของเขาหุ้มด้วยหนังเสือ ดวงตาเหยี่ยวจ้องเจย์และคนที่เหลือ“ทีนี้บอกได้หรือยังว่าข้อความที่รอนนี่ขอให้ส่งมาให้ฉันคืออะไร?”เจย์จ้องสเปนเซอร์ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูไม่พอใจ “นี่คือมารยาทในการรับแขกของคุณเหรอ? ช่วยหาอะไรร้อน ๆ ให้เราดื่มก่อนไม่ได้–”“ฉันคิดว่าแกคงอยากโดนอัดสินะ” คาร์สันกระโดดออกมาสเปนเซอร์สะกดกลั้นโทสะในใจไว้และบอกคาร์สันอย่างหมดความอดทน “เทชาร้อนมา”ตอนนั้นโคลที่กำลังห่อเหี่ยวก็นอนทิ้งตัวอยู่บนเก้าอี้ปรับได้ของพ่อเขาคาร์สันส่งถ้วยชาร้อนให้เจย์และคนอื่น ๆ เจย์ลองชิมดูก่อนที่จะเอาให้แองเจลีนหลังจากที่ดื่มชาเสร็จเจย์ก็อ้าปากพู
คาร์สันจ้องเจย์ เขาสงสัยว่าชายคนนี้เอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้หยิ่งจองหองและเก่งกล้าต่อป้อมตระกูลยอร์กเช่นนี้คาร์สันก็ดุจกับโดนสะกด เขาพาแขกทั้งหมดไปยังห้องพักที่ดีที่สุด เจย์เดินไปรอบ ๆ ห้องและพูดอย่างไม่เต็มใจ “ก็พอใช้ได้”คาร์สันแอบด่าเขาในใจ 'แน่สิ คนที่หน้าหนาก็จะกล้ามากเป็นธรรมดา'ห้องพักแขกนี้ที่จริงแล้วเป็นส่วนหน้าของป้อมตระกูลยอร์ก มันเรียกว่าส่วนหน้าเพราะว่ามีตึกที่แย่ ๆ และทรุดโทรมมากมายในป้อมตระกูลยอร์ก แต่มีแค่อาคารในสวนตรงนี้ที่ดูหรูหราหน่อยมันเป็นสวนที่หรูหราซึ่งมีสวนอยู่ตรงกลางด้วย เฟอร์นิเจอร์ก็ทำมาจากไม้มะฮอกกานีซึ่งมีราคาแพง ต้องเป็นคนสำคัญมีเกียรติถึงได้พักในห้องเช่นนี้แต่ว่าปีศาจคลั่งรักภรรยาอย่างเจย์นั้นอยากจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เธอเสมอ ดังนั้นเขาจึงเรื่องมากกับห้องพักหลังจากที่เลือกห้องพักได้ เจย์ก็สั่งคาร์สันอีก “ช่วยเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้เราหน่อยแล้วก็เปิดเครื่องทำความร้อนด้วย… ผมอยากได้เครื่องทำความชื้นด้วย… อีกอย่างเราหิวมาก คุณช่วยเตรียมอาหารเที่ยงเร็วหน่อยได้ไหม?”คาร์สันพยายามเก็บกักโทสะไว้ในใจและเมื่อออกมาจากสวน เขาก็ตรงไปที่โถงรับแขกพร้อมกับด่าไ
โคลบอกว่า “ตอนที่มีคนกลุ่มก่อนหน้านี้มาพ่อก็พูดแบบนี้ พ่อเกือบปล่อยฝูงรถคอร์เวตต์เราออกไปแล้ว แต่ที่จริงเธอก็เป็นแค่นักธุรกิจหญิงที่อยากจะมาร่วมมือพัฒนาป้อมตระกูลยอร์กกับเราแค่นั้น”สเปนเซอร์ตอบเสียงอ่อย “ผู้หญิงคนนั้นมีธุรกิจตั้งมากมายนับไม่ถ้วนและก็ถือว่าเป็นเศรษฐีแม้แต่กับพวกประเทศคู่แข่งของเรา แล้วจะนับว่าเธอเป็นคนธรรมดาได้ยังไง?”โคลไม่สนใจจะเถียงกับเขาต่อแล้ว “นักท่องเที่ยวหกคนที่มานี่ มีคนหนึ่งตาบอด อีกคนป่วย สองคนก็กลัวมาก ส่วนผู้ชายอีกสองคนที่เหลือก็ดูมีประโยชน์กว่าหน่อยเพราะว่าช่วยลากเพื่อนร่วมทางไร้ประโยชน์มาได้ แล้วพ่อจะต้องกลัวอะไร?”สเปนเซอร์หยุดคิดชั่วขณะก่อนจะพยักหน้าหลังจากผ่านไปประมาณชั่วโมง สเปนเซอร์ก็ทนรอไม่ไหวแล้วและบอกคาร์สันว่า “ช่วยไปดูหน่อยซิว่าพวกเพี้ยนนั่นกินมื้อเที่ยงเสร็จหรือยัง? ถ้ากินเสร็จแล้วก็ให้พามาพบฉัน ฉันอยากจะถามอะไรสักหน่อย”“ครับ”คาร์สันกลับไปที่ห้องพักแขกในสวนอีกครั้งเจย์และคนอื่น ๆ เพิ่งกินอาหารเสร็จและกำลังจะเตรียมพักผ่อนในช่วงบ่ายขณะที่คาร์สันพรวดพราดเข้ามาไม่บอกกล่าว“นายท่านอยากพบพวกนาย” คาร์สันยืนตรงประตูและพูดกับเจย์อย่างออกคำส