เจย์คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอกว่า “ผมไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงอะไร ผมแค่รู้สึกผิดที่เสียมารยาทกับนายท่านของคุณ ผมก็เลยคิดว่าพรุ่งนี้จะไปขอโทษเขาด้วยตัวเอง ส่วนตอนนี้ผมคงต้องขอโทษนายท่านของคุณเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพวกเราด้วย”ชายคนนั้นตอบอย่างสุภาพ “ไม่จำเป็นต้องทำเป็นนั้นหรอกครับ นายท่านของผมไม่อยากพบใคร”หลังจากนั้นเขาก็หันหลังเดินจากไปเจย์ปิดประตูเบา ๆ แต่เมื่อเขาหันกลับเข้าห้องมาก็เห็นเซย์นถอดรองเท้าออกมาทำเป็นไมค์ร้องเพลง เขากำลังส่งเสียงโหยหวนอินกับเพลงสุด ๆปากเจย์ยกยิ้มเมื่อเขาคิดถึงคำเตือนของนายท่านห้องด้านล่าง ‘ทำตัวเด่นมากไปจะตายไม่รู้ตัว’เขากระชากรองเท้าของเซย์นมาแล้วยัดเข้าปากเจ้าตัว ก่อนมัดมือและเท้าของเซย์นติดกันไว้ด้านหลังด้วยผ้าพันคอไหมของโจเซฟิน ตอนนี้เซย์นก็เปลี่ยนจากชายสูงเจ็ดฟุตเป็นลูกบอลกลิ้งไปมาหลังจากนั้นโลกนี้ก็กลับสู่ความสงบอีกครั้งแต่หลังจากที่จัดการเซย์นเรียบร้อยแล้ว แองเจลีนก็ลุกขึ้นมาจากเตียงเธอนั้นชินกับการนอนเปลือยแถมตอนนี้ที่รวมกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ เธอก็เริ่มถอดเสื้อผ้าออกอย่างไม่รู้ตัวเจย์รู้สึกหมดปัญญากับเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถจะทำใจล
เซย์นลืมตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ“นี่คุณพูดจริงเหรอเนี่ย? เธอเป็นน้องสาวของผมนะให้ตายสิ ผมเห็นเธอใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงชั้นในมาแล้วตอนที่เธอเป็นเด็ก แล้วผมจะไปมีความคิดแบบนั้นกับน้องสาวตัวเองได้ยังไงกัน?”เซย์นรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัว และหน้าเขาก็บิดเบี้ยวเหมือนกินของขม ๆ มา เขาตะคอกว่า “คุณมันก็แค่ร้ายกาจเท่านั้นแหละ”เจย์หมดความอดทนที่มีต่อเซย์นแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเย็นชาขณะที่เสียงก็เข้มเต็มไปด้วยอำนาจ“ถ้าฉันปล่อยให้นายเป็นบ้าต่อไปเมื่อคืนนี้ วันนี้คนที่ตายก็คงเป็นพวกเราไม่ใช่นายท่านห้องข้างล่างหรอก”เซย์นหน้าเปลี่ยนสีทันทีเมื่อได้ยินว่ามีคนอื่นตายเจย์คำรามใส่เขา “จำไว้นะ ถ้านายยังทำตัวดึงดูดความสนใจที่นี่อีก นายก็ตายแน่ ดังนั้นต่อไปนี้นายห้ามดื่มอีก ทุกคนทำตัวเอิกเกริกมากเมื่อคืน”พอเจย์บอกว่าเขาทำตัวเอิกเกริก เซย์นก็ไม่พอใจและบอกว่า “ผมทำตัวเอิกเกริกตอนไหนกัน?”เจย์จ้องเซย์น “เมื่อคืนนายทำเหมือนโรงแรมนี้เป็นคาราโอเกะ นายเอารองเท้าสกปรก ๆ ของตัวเองมาทำเป็นไมค์แล้วก็แหกปากร้องโหยหวนเหมือนพวกแม่มดร้องเรียกปีศาจ นายยังกล้าบอกว่าไม่ได้ทำตัวเอิกเกริกอีกเหรอ?”เซย์น “...”
ขณะที่เขาเดินเข้าไปใกล้ประตูเขาก็ได้ยินเสียงบอดี้การ์ดที่คุมอารมณ์ไม่ได้และกรีดร้องออกมา “ผมบอกแล้วไงว่านายท่านของผมโดนฆ่าตาย! ทำไมพวกคุณไม่เชื่อผม?”“เพราะว่ามันไม่มีหลักฐานว่าห้องคุณโดนบุกรุกเข้ามา แล้วบนร่างกายของเจ้านายคุณก็ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นด้วย การกล่าวอ้างของคุณนั้นมันไม่มีหลักฐานอะไรเลย แล้วจะให้พวกเราเชื่อคุณได้ยังไง?”“ผมเห็นกับตาตัวเอง ผมถึงกับสู้กับหมอนั่นอยู่พักนึงด้วย” บอดี้การ์ดอธิบาย “เขาเป็นขโมย แล้วเขาก็เอาของมีค่าของเจ้านายผมไป”“ของมีค่าอะไรล่ะที่เขาเอาไป?”ดวงตาของบอดี้การ์ดฉายแววบางอย่างขึ้นมาชั่วขณะเมื่อเขารู้ตัวว่าได้พูดเรื่องที่ไม่ควรออกไป เขาก้มหน้าลงและเงียบไม่พูดอะไรเจย์รู้ได้ทันที ขโมยคนนั้นไม่ได้มาเพื่อเอาชีวิตของนายท่านคนนี้ แต่ว่าเขามาเพื่อสมบัติเขายกมือขึ้นกุมหน้าอกซ้ายโดยสัญชาตญาณ ป้ายเครื่องหมายที่แม่ของเขาให้มาน่าจะอยู่ในกระเป๋าด้านในของเสื้อเชิ้ตเขาขณะที่เจย์ควานหา สีหน้าเขาก็ค่อย ๆ ซีดเผือดป้ายหายไปแล้วมีคลื่นอารมณ์ก่อตัวขึ้นในใจของเจย์ เขาค่อย ๆ ปะติดปะต่อเรื่องราว ป้ายโดนขโมยไปตอนไหน? ใครเป็นคนเอาไป?หลังจากนั้นความคิดเขาก็หยุดท
แองเจลีนตัวสั่นเทาป้อมตระกูลยอร์กนั้นอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกโลกาวินาศ ตอนนี้เจย์บี้อยากจะไปที่นั่น ระดับความอันตรายก็เป็นเหมือนกับตอนที่โคล ยอร์กจัดการล้างบางตระกูลอาเรสในตอนนั้นเลยเจย์รู้ดีว่าแองเจลีนกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขา ดังนั้นเขาจึงโอบไหล่และปลอบเธอว่า “ไม่ต้องห่วง ฉันจะไปที่ป้อมตระกูลยอร์กวันนี้แค่ไปแจ้งเรื่องการตายของนายท่านที่อยู่ห้องข้างล่างกับคุณท่านยอร์ก ฉันจะไม่เปิดเผยตัวตนหรอก ฉันจะทำให้แน่ใจว่าฉันได้กลับมาไว ๆ นะ”แองเจลีนมองเขาออกทะลุปรุโปร่ง “สามี คุณคิดจะใช้โอกาสนี้เพื่อแอบเข้าองค์กรโลกาวินาศและหาข่าวเกี่ยวกับร็อบบี้น้อยใช่ไหม?”เจย์เงียบไปผ่านไปชั่วครู่เจย์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจกับความฉลาดหัวไวของแองเจลีน เธอรู้จักเขาดีจริง ๆเขาไม่สามารถปกปิดอะไรจากเธอได้เลย“อืม”“แล้วป้ายของคุณไปไหนล่ะ?” แองเจลีนถามป้ายนั้นโคลอี้ ยอร์กทิ้งไว้ให้เจย์เพื่อช่วยให้เขารู้จักกับญาติของตัวเอง หากว่าองค์กรโลกาวินาศสร้างปัญหาให้เขา ป้ายนี้ก็อาจจะช่วยชีวิตเขาได้เจย์ลังเลและตอบไปอย่างว้าวุ่นใจว่า “ป้ายโดนขโมยไปแล้ว พอฉันมาคิดดูดี ๆ ชายคนที่มาชนเราที่สนามบินน่า
เด็กหญิงไม่พูดอะไรอีกป้อมตระกูลยอร์กตั้งอยู่บนยอดเขา ทางด้านตะวันออกของประเทศพีชบลอสซั่มทันทีที่เจย์และคนอื่น ๆ มาถึงตีนเขา คนคุมก็ยื่นหัวออกมาจากห้องบัญชาการและโบกมือบอก “หันหลังกลับไปซะ รถเคเบิ้ลเสียวันนี้แล้วก็ยังไม่ได้ซ่อม ขึ้นไปไม่ได้”ดวงตาเหยี่ยวของเจย์มีแววหยัน เขาเดินไปหาคนคุมอย่างสง่า “รถเคเบิ้ลเสียเหรอครับ? งั้นก็ซ่อมเลยสิ”คนคุมมองเจย์อย่างไม่ไว้ใจ “คุณรีบเหรอไง?”เจย์พยักหน้า “คุณคิดว่าจะขึ้นไปทำอะไรกัน? มีแต่หน้าผาทั้งนั้น ถ้าเกิดอุบัติเหตุตกลงมาก็กลายเป็นเศษเนื้อเท่านั้นแหละ”เจย์จ้องคนคุมรถ “คุณดูเหมือนจะไม่อยากจะให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมสถานที่ธรรมชาตินี่เลยนะ”คนคุมยิ้มด้วยท่าทางรู้สึกผิด “พวกคุณตั้งหลายคนซื้อตั๋วขึ้นไปเที่ยวแบบนี้ มันก็ต้องดีกับคนในป้อมตระกูลยอร์กอยู่แล้ว ทำไมผมถึงจะไม่ยินดีล่ะ?”เจย์บอก “ข้อแรก คุณบอกว่ารถเคเบิ้ลเสีย ตอนนี้คุณก็พยายามใช้หลักจิตวิทยามาหว่านล้อมให้เรากลับไป ผมบอกเลยนะว่าอย่ามาทำเราเสียเวลา เรามีเหตุผลที่ต้องขึ้นไปแล้วเราก็ต้องขึ้นไปวันนี้ด้วย”คนคุมมองเจย์และบอกได้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เขาดูเหมือนเป็นคนที่รับมือได้ยาก
เซย์นนั้นกลัวมากจนเขากอดโจเซฟินไว้แน่นพร้อมร้องโหยหวน “พระเจ้า เราต้องเละตุ้มเป๊ะแน่ถ้าเราร่วงลงไปจากตรงนี้และก็กลายเป็นผีเร่ร่อน”เจย์มองเซย์นอย่างรังเกียจ “พวกเขาไม่ปล่อยให้เราตายก่อนที่เราจะส่งข่าวให้นายท่านยอร์กหรอก”แองเจลีนคิดว่าเธอจะได้เจอร็อบบี้น้อยเร็ว ๆ นี้แล้วและก็ยินดีมาก ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความหวัง“ที่รัก อย่าลืมถามเรื่องร็อบบี้น้อยด้วยนะ” แองเจลีนเตือนเขาอย่างนุ่มนวล“ฉันรู้” เจย์ก็ใจกระวนกระวายเมื่อได้เห็นสายตามีความหวังของแองเจลีนแองเจลีนวางความหวังเรื่องของร็อบบี้น้อยทั้งหมดไว้ที่องค์กรโลกาวินาศเขากังวลว่าผลที่ได้อาจจะทำให้แองเจลีนต้องผิดหวังตอนที่พวกเขาอยู่ประเทศเอส ข้อมูลที่ได้มาจากเรย์ คอมราดก็ไม่อาจตรวจสอบได้อย่างละเอียดตอนนี้ในหัวของเขามีอยู่สองคำถามข้อแรก ปีศาจเป็นคนพาตัวร็อบบี้น้อยไปจริงไหม?ข้อสอง แล้วปีศาจเป็นคนขององค์กรโลกาวินาศหรือไม่?พวกเขาไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้เลย แต่ความต้องการที่จะหาร็อบบี้น้อยก็เร่งด่วนมาก แม้ว่าจะดูเกินเอื้อม แต่พวกเขาก็วาดหวังไว้สูงว่าจะคว้าไว้ได้นี่เป็นสิ่งที่พ่อแม่คนไหนในโลกก็ต้องทำแบบนี้เป็นอย่างที่เจย์ค
ผู้หญิงคนนั้นบีบเธอแน่นแองเจลีนโมโหเดือดจนเธอกระชากคือเสื้อหล่อนจนเปิดออก และเผยให้เห็นเนื้อหนังของหล่อน ผู้หญิงคนนั้นร้องออกมาทันใด “กรี๊ด”เจย์มองแองเจลีนรังแกคนอื่นด้วยสายตารักใคร่ผู้หญิงคนนั้นจ้องแองเจลีนอย่างมีโทสะ เมื่อเธอค้นตัวเชอร์ลีย์และโจเซฟิน เธอจึงไม่กล้าที่จะเล่นลูกไม้อีกแล้วนอกจากมือถือของพวกเขาที่โดนยึดไปแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรโดนเอาไปเมื่อการค้นตัวเสร็จเรียบร้อย ผู้หญิงคนนั้นก็พูดอย่างไม่เต็มใจว่า “ตามฉันมา”จากนั้นเธอก็นำพวกเขาเดินไปตามถนนบนภูเขาที่ขรุขระและคดเคี้ยวขณะที่ไปได้ครึ่งทาง หล่อนก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งหมายเลขคนโทรเข้านั้นไม่ขึ้นชื่อ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ดูเหมือนจะตื่นเต้นที่ได้เห็นคนที่โทรเข้ามา เสียงเธอเปลี่ยนเป็นโทนสูงทันที“คาร์ซีย์ ทำไมถึงได้นานนักกว่าคุณจะโทรมา?”“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว นายท่านอยากพูดกับเธอ”มีอีกเสียงหนึ่งดังเข้ามาปลายสาย และผู้หญิงคนนี้ก็เริ่มตัวสั่นสะท้าน“นายท่านเหรอคะ?”“คนที่มาเป็นใครกัน?” เสียงเข้มของผู้ชายดังมาจากปลายสาย“พวกเขาเป็นชายสามคนและหญิงอีกสามคนค่ะ”“มีผู้หญิงตัวสูง ๆ ผอม ๆ ด้วยไหม? คนที่สวย ๆ แล้วก
เกรย์สันนั้นสุภาพอย่างยิ่งยวดเมื่อเขาพูดกับเชอร์ลีย์ “พี่ครับ ให้ผมอุ้มนะครับ”เชอร์ลีย์ยังคงอ่อนแออยู่ ดังนั้นเธอก็ไม่พยายามแสร้งทำว่าตัวเองแข็งแกร่ง เพราะฉะนั้นเธอจึงตกลงเซย์นร้องครางหงิง ๆ เมื่อได้เห็นเช่นนั้น แค่เดินเองเขาก็หอบแฮ่กแล้วแต่เขายังต้องมาคำนึงถึงศักดิ์ศรีตัวเองด้วย ดังนั้นเขาจึงพูดกับโจเซฟินว่า “ที่รัก ให้ฉันอุ้มนะ”โจเซฟินเห็นหน้าเซย์นซีดเผือดไม่รู้ว่าเพราะอากาศที่หนาวเย็นหรือว่าเพราะความอ่อนแอของเขา เธอจึงตอบว่า “ฉันเดินเองได้ แค่ไม่ต้องให้ฉันอุ้มนายก็พอ”เซย์นนั้นซาบซึ้งใจมาก “ชีวิตนี้ฉันได้แต่งงานกับผู้หญิงดี ๆ แบบนี้คงเพราะชาติที่แล้วฉันทำบุญมาเยอะแน่”เจย์นั้นชิงชังความทึ่มทื่อของเซย์นมากและสวนกลับไปทันที “ถ้าเป็นแบบนั้นการที่โจเซฟินต้องมาลงเอยกับนายก็คงเป็นเพราะชาติก่อนเธอทำบาปมามากแน่ ๆ”โจเซฟิน “...”เซย์น “...”เมื่อผู้นำทางหญิงได้พาพวกเขาลงมาที่ถนนบนเขาที่ค่อนข้างเรียบแล้ว พวกเขาก็มาถึงทางแยกที่ลงเขา ผู้นำทางได้หยุดก่อนที่จะหันมาถามว่า “ถนนทางซ้ายนี้ตามประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าได้คร่าชีวิตคนไปถึง 382 คนแล้ว ส่วนทางขวาก็มีนักท่องเที่ยวตายไปประมาณ 283