เมืองทางเหนือนั้นหนาว ดังนั้นเมื่อเซย์นอยากให้แองเจลีนดื่มด้วยกัน เจย์ก็ไม่ได้ห้าม เขาเพียงแต่เตือนแองเจลีนว่า “อย่าดื่มมากเกินไป เดี๋ยวจะเมาเอาได้นะ”“อืม” แองเจลีนพยักหน้า“แล้วคุณไม่ดื่มเหรอ?” แองเจลีนถามเจย์อย่างสงสัยเจย์ก็อยากดื่มแต่ว่าเขาแพ้แอลกอฮอล์อีกอย่างนี่เป็นอาณาเขตของพวกโลกาวินาศ เขาอยากจะทำให้สมองโล่งไว้ตลอดเวลาเพื่อที่ว่าเขาจะได้ปกป้องทุกคนที่นี่ได้ขณะที่เซย์นและคนอื่น ๆ กำลังดื่ม เจย์ก็รื้อกระเป๋าของแองเจลีนอยู่ข้าง ๆ เขาถึงกับทำข้าวโอ๊ตให้แองเจลีนโจเซฟินพูดอย่างอ้อน ๆ “พี่ใหญ่ ฉันก็อยากทานด้วย”เจย์พูดกลับ “ให้ผู้ชายของเธอทำให้สิ”เซย์นยืนขึ้นและบอกว่า “ผมจะทำให้เอง”เมื่อเซย์นยกชามข้าวโอ๊ตมา โจเซฟินก็มองชามใหญ่เบ้อเริ่มนั้นอย่างอึ้ง ๆ “นี่นายเห็นฉันเป็นหมูเหรอเนี่ย?”เซย์นโอดว่า “ก็พอฉันใส่น้ำแล้วมันก็เหลวไป ฉันก็เลยเพิ่มข้าวโอ๊ตลงไปแล้วทีนี้มันก็แห้งเกิน สรุปก็เลยได้มาแบบนี้นี่แหละ”เจย์จ้องมองถุงข้าวโอ๊ตเปล่า ตอนนั้นเองคนที่สูงส่งที่สุดในเมืองอิมพีเรียลนั้นเจ็บปวดมากจนครวญว่า “ฉันเอาข้าวโอ๊ตติดมาแค่นั้นแล้วนายก็ใช้จนหมดแบบนี้เนี่ยนะ?”เซย์นขอโทษเหม
เมื่อแองเจลีนได้ยินเซย์นและโจเซฟินร้องขอให้ช่วย เธอก็รีบยืนขึ้นและคำรามอย่างใจกล้า “ไม่ต้องกลัว มีฉันหนุนหลังทั้งคน!”เมื่อเธอพูดจบ แองเจลีนก็รู้สึกว่าตัวเธอลอยขึ้นและไปนั่งอยู่บนตักใครสักคน มีแขนแกร่งกำลังโอบรอบกายเธออ้อมกอดที่คุ้นเคยนี้ต้องเป็นเจย์บี้แน่นอนแองเจลีนซุกหน้าเข้ากับอ้อมแขนของเขาเจย์รู้สึกทั้งรักทั้งชังเธอ“เธอหนุนหลังใครแน่?” เขาโมโหอย่างเห็นได้ชัด แต่น้ำเสียงของเขานั้นเหมือนความดุดันและเข้มงวดโดนกรองออกไป มันกลายเป็นคำพูดที่ดูไร้น้ำหนักและไม่ใส่อารมณ์แทน“ฉันหนุนหลังเซย์นและโจซี่” แองเจลีนบอก“งั้นใครจะหนุนหลังฉันล่ะ?” เจย์ถามแองเจลีนหยุดไปชั่วครู่ หัวสมองที่พร่าเลือนของเธอยังสามารถกลั่นกรองคำพูดได้ “ใครก็ตามที่กล้ามาแหย็มกับคุณ ฉันจะอัดให้เละเลย”“แล้วถ้าเป็นเซย์นกับโจเซฟินล่ะ?”เขารู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรเซย์นและโจเซฟินไม่มีทางทำอะไรเขาได้ แต่ว่าความรู้สึกไม่ยอมแพ้ของเขาอยากจะรู้ว่าสำหรับแองเจลีนแล้วใครสำคัญกว่าแองเจลีนไม่ลังเล “เซย์นกับโจเซฟินกล้ารังแกคุณเหรอ?”“อืม ตามปกติพวกเขาก็ไม่ทำหรอก แต่ถ้าเป็นสถานการณ์พิเศษก็อาจจะเป็นไปได้ ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้พว
เจย์คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอกว่า “ผมไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงอะไร ผมแค่รู้สึกผิดที่เสียมารยาทกับนายท่านของคุณ ผมก็เลยคิดว่าพรุ่งนี้จะไปขอโทษเขาด้วยตัวเอง ส่วนตอนนี้ผมคงต้องขอโทษนายท่านของคุณเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพวกเราด้วย”ชายคนนั้นตอบอย่างสุภาพ “ไม่จำเป็นต้องทำเป็นนั้นหรอกครับ นายท่านของผมไม่อยากพบใคร”หลังจากนั้นเขาก็หันหลังเดินจากไปเจย์ปิดประตูเบา ๆ แต่เมื่อเขาหันกลับเข้าห้องมาก็เห็นเซย์นถอดรองเท้าออกมาทำเป็นไมค์ร้องเพลง เขากำลังส่งเสียงโหยหวนอินกับเพลงสุด ๆปากเจย์ยกยิ้มเมื่อเขาคิดถึงคำเตือนของนายท่านห้องด้านล่าง ‘ทำตัวเด่นมากไปจะตายไม่รู้ตัว’เขากระชากรองเท้าของเซย์นมาแล้วยัดเข้าปากเจ้าตัว ก่อนมัดมือและเท้าของเซย์นติดกันไว้ด้านหลังด้วยผ้าพันคอไหมของโจเซฟิน ตอนนี้เซย์นก็เปลี่ยนจากชายสูงเจ็ดฟุตเป็นลูกบอลกลิ้งไปมาหลังจากนั้นโลกนี้ก็กลับสู่ความสงบอีกครั้งแต่หลังจากที่จัดการเซย์นเรียบร้อยแล้ว แองเจลีนก็ลุกขึ้นมาจากเตียงเธอนั้นชินกับการนอนเปลือยแถมตอนนี้ที่รวมกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ เธอก็เริ่มถอดเสื้อผ้าออกอย่างไม่รู้ตัวเจย์รู้สึกหมดปัญญากับเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถจะทำใจล
เซย์นลืมตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ“นี่คุณพูดจริงเหรอเนี่ย? เธอเป็นน้องสาวของผมนะให้ตายสิ ผมเห็นเธอใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงชั้นในมาแล้วตอนที่เธอเป็นเด็ก แล้วผมจะไปมีความคิดแบบนั้นกับน้องสาวตัวเองได้ยังไงกัน?”เซย์นรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัว และหน้าเขาก็บิดเบี้ยวเหมือนกินของขม ๆ มา เขาตะคอกว่า “คุณมันก็แค่ร้ายกาจเท่านั้นแหละ”เจย์หมดความอดทนที่มีต่อเซย์นแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเย็นชาขณะที่เสียงก็เข้มเต็มไปด้วยอำนาจ“ถ้าฉันปล่อยให้นายเป็นบ้าต่อไปเมื่อคืนนี้ วันนี้คนที่ตายก็คงเป็นพวกเราไม่ใช่นายท่านห้องข้างล่างหรอก”เซย์นหน้าเปลี่ยนสีทันทีเมื่อได้ยินว่ามีคนอื่นตายเจย์คำรามใส่เขา “จำไว้นะ ถ้านายยังทำตัวดึงดูดความสนใจที่นี่อีก นายก็ตายแน่ ดังนั้นต่อไปนี้นายห้ามดื่มอีก ทุกคนทำตัวเอิกเกริกมากเมื่อคืน”พอเจย์บอกว่าเขาทำตัวเอิกเกริก เซย์นก็ไม่พอใจและบอกว่า “ผมทำตัวเอิกเกริกตอนไหนกัน?”เจย์จ้องเซย์น “เมื่อคืนนายทำเหมือนโรงแรมนี้เป็นคาราโอเกะ นายเอารองเท้าสกปรก ๆ ของตัวเองมาทำเป็นไมค์แล้วก็แหกปากร้องโหยหวนเหมือนพวกแม่มดร้องเรียกปีศาจ นายยังกล้าบอกว่าไม่ได้ทำตัวเอิกเกริกอีกเหรอ?”เซย์น “...”
ขณะที่เขาเดินเข้าไปใกล้ประตูเขาก็ได้ยินเสียงบอดี้การ์ดที่คุมอารมณ์ไม่ได้และกรีดร้องออกมา “ผมบอกแล้วไงว่านายท่านของผมโดนฆ่าตาย! ทำไมพวกคุณไม่เชื่อผม?”“เพราะว่ามันไม่มีหลักฐานว่าห้องคุณโดนบุกรุกเข้ามา แล้วบนร่างกายของเจ้านายคุณก็ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นด้วย การกล่าวอ้างของคุณนั้นมันไม่มีหลักฐานอะไรเลย แล้วจะให้พวกเราเชื่อคุณได้ยังไง?”“ผมเห็นกับตาตัวเอง ผมถึงกับสู้กับหมอนั่นอยู่พักนึงด้วย” บอดี้การ์ดอธิบาย “เขาเป็นขโมย แล้วเขาก็เอาของมีค่าของเจ้านายผมไป”“ของมีค่าอะไรล่ะที่เขาเอาไป?”ดวงตาของบอดี้การ์ดฉายแววบางอย่างขึ้นมาชั่วขณะเมื่อเขารู้ตัวว่าได้พูดเรื่องที่ไม่ควรออกไป เขาก้มหน้าลงและเงียบไม่พูดอะไรเจย์รู้ได้ทันที ขโมยคนนั้นไม่ได้มาเพื่อเอาชีวิตของนายท่านคนนี้ แต่ว่าเขามาเพื่อสมบัติเขายกมือขึ้นกุมหน้าอกซ้ายโดยสัญชาตญาณ ป้ายเครื่องหมายที่แม่ของเขาให้มาน่าจะอยู่ในกระเป๋าด้านในของเสื้อเชิ้ตเขาขณะที่เจย์ควานหา สีหน้าเขาก็ค่อย ๆ ซีดเผือดป้ายหายไปแล้วมีคลื่นอารมณ์ก่อตัวขึ้นในใจของเจย์ เขาค่อย ๆ ปะติดปะต่อเรื่องราว ป้ายโดนขโมยไปตอนไหน? ใครเป็นคนเอาไป?หลังจากนั้นความคิดเขาก็หยุดท
แองเจลีนตัวสั่นเทาป้อมตระกูลยอร์กนั้นอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกโลกาวินาศ ตอนนี้เจย์บี้อยากจะไปที่นั่น ระดับความอันตรายก็เป็นเหมือนกับตอนที่โคล ยอร์กจัดการล้างบางตระกูลอาเรสในตอนนั้นเลยเจย์รู้ดีว่าแองเจลีนกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขา ดังนั้นเขาจึงโอบไหล่และปลอบเธอว่า “ไม่ต้องห่วง ฉันจะไปที่ป้อมตระกูลยอร์กวันนี้แค่ไปแจ้งเรื่องการตายของนายท่านที่อยู่ห้องข้างล่างกับคุณท่านยอร์ก ฉันจะไม่เปิดเผยตัวตนหรอก ฉันจะทำให้แน่ใจว่าฉันได้กลับมาไว ๆ นะ”แองเจลีนมองเขาออกทะลุปรุโปร่ง “สามี คุณคิดจะใช้โอกาสนี้เพื่อแอบเข้าองค์กรโลกาวินาศและหาข่าวเกี่ยวกับร็อบบี้น้อยใช่ไหม?”เจย์เงียบไปผ่านไปชั่วครู่เจย์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจกับความฉลาดหัวไวของแองเจลีน เธอรู้จักเขาดีจริง ๆเขาไม่สามารถปกปิดอะไรจากเธอได้เลย“อืม”“แล้วป้ายของคุณไปไหนล่ะ?” แองเจลีนถามป้ายนั้นโคลอี้ ยอร์กทิ้งไว้ให้เจย์เพื่อช่วยให้เขารู้จักกับญาติของตัวเอง หากว่าองค์กรโลกาวินาศสร้างปัญหาให้เขา ป้ายนี้ก็อาจจะช่วยชีวิตเขาได้เจย์ลังเลและตอบไปอย่างว้าวุ่นใจว่า “ป้ายโดนขโมยไปแล้ว พอฉันมาคิดดูดี ๆ ชายคนที่มาชนเราที่สนามบินน่า
เด็กหญิงไม่พูดอะไรอีกป้อมตระกูลยอร์กตั้งอยู่บนยอดเขา ทางด้านตะวันออกของประเทศพีชบลอสซั่มทันทีที่เจย์และคนอื่น ๆ มาถึงตีนเขา คนคุมก็ยื่นหัวออกมาจากห้องบัญชาการและโบกมือบอก “หันหลังกลับไปซะ รถเคเบิ้ลเสียวันนี้แล้วก็ยังไม่ได้ซ่อม ขึ้นไปไม่ได้”ดวงตาเหยี่ยวของเจย์มีแววหยัน เขาเดินไปหาคนคุมอย่างสง่า “รถเคเบิ้ลเสียเหรอครับ? งั้นก็ซ่อมเลยสิ”คนคุมมองเจย์อย่างไม่ไว้ใจ “คุณรีบเหรอไง?”เจย์พยักหน้า “คุณคิดว่าจะขึ้นไปทำอะไรกัน? มีแต่หน้าผาทั้งนั้น ถ้าเกิดอุบัติเหตุตกลงมาก็กลายเป็นเศษเนื้อเท่านั้นแหละ”เจย์จ้องคนคุมรถ “คุณดูเหมือนจะไม่อยากจะให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมสถานที่ธรรมชาตินี่เลยนะ”คนคุมยิ้มด้วยท่าทางรู้สึกผิด “พวกคุณตั้งหลายคนซื้อตั๋วขึ้นไปเที่ยวแบบนี้ มันก็ต้องดีกับคนในป้อมตระกูลยอร์กอยู่แล้ว ทำไมผมถึงจะไม่ยินดีล่ะ?”เจย์บอก “ข้อแรก คุณบอกว่ารถเคเบิ้ลเสีย ตอนนี้คุณก็พยายามใช้หลักจิตวิทยามาหว่านล้อมให้เรากลับไป ผมบอกเลยนะว่าอย่ามาทำเราเสียเวลา เรามีเหตุผลที่ต้องขึ้นไปแล้วเราก็ต้องขึ้นไปวันนี้ด้วย”คนคุมมองเจย์และบอกได้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เขาดูเหมือนเป็นคนที่รับมือได้ยาก
เซย์นนั้นกลัวมากจนเขากอดโจเซฟินไว้แน่นพร้อมร้องโหยหวน “พระเจ้า เราต้องเละตุ้มเป๊ะแน่ถ้าเราร่วงลงไปจากตรงนี้และก็กลายเป็นผีเร่ร่อน”เจย์มองเซย์นอย่างรังเกียจ “พวกเขาไม่ปล่อยให้เราตายก่อนที่เราจะส่งข่าวให้นายท่านยอร์กหรอก”แองเจลีนคิดว่าเธอจะได้เจอร็อบบี้น้อยเร็ว ๆ นี้แล้วและก็ยินดีมาก ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความหวัง“ที่รัก อย่าลืมถามเรื่องร็อบบี้น้อยด้วยนะ” แองเจลีนเตือนเขาอย่างนุ่มนวล“ฉันรู้” เจย์ก็ใจกระวนกระวายเมื่อได้เห็นสายตามีความหวังของแองเจลีนแองเจลีนวางความหวังเรื่องของร็อบบี้น้อยทั้งหมดไว้ที่องค์กรโลกาวินาศเขากังวลว่าผลที่ได้อาจจะทำให้แองเจลีนต้องผิดหวังตอนที่พวกเขาอยู่ประเทศเอส ข้อมูลที่ได้มาจากเรย์ คอมราดก็ไม่อาจตรวจสอบได้อย่างละเอียดตอนนี้ในหัวของเขามีอยู่สองคำถามข้อแรก ปีศาจเป็นคนพาตัวร็อบบี้น้อยไปจริงไหม?ข้อสอง แล้วปีศาจเป็นคนขององค์กรโลกาวินาศหรือไม่?พวกเขาไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้เลย แต่ความต้องการที่จะหาร็อบบี้น้อยก็เร่งด่วนมาก แม้ว่าจะดูเกินเอื้อม แต่พวกเขาก็วาดหวังไว้สูงว่าจะคว้าไว้ได้นี่เป็นสิ่งที่พ่อแม่คนไหนในโลกก็ต้องทำแบบนี้เป็นอย่างที่เจย์ค