โจเซฟินชำเลืองไปที่ห้องนั่งรอและเห็นว่าคนในห้องวีไอพีนั้นน้อยลงแล้ว บรรดาสมาชิกครอบครัวต่างก็เข้าไปเยี่ยมผู้ป่วยในห้องพักผู้ป่วยกันหมดแล้วโจเซฟินเองก็ไม่อยากให้แองเจลีนรู้สึกไม่ดี ดังนั้นเธอจึงรับคำ “พี่แองเจลีน งั้นเดี๋ยวฉันกลับมานะ พี่ต้องรอฉันอยู่ตรงนี้แหละ”“ไปเถอะ”โจเซฟินรีบพุ่งตัวไปด้วยความเร็วแสง แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาแองเจลีนก็รู้สึกว่ามีมือคู่หนึ่งมาจับที่ด้านหลังของเก้าอี้รถเข็นของเธอ“นั่นใครน่ะ?” แองเจลีนถามอย่างระแวดระวัง“พี่สาว” เสียงพูดเบา ๆ แต่แฝงน้ำเสียงมุ่งร้ายดังขึ้นมา“เซร่าเหรอ?”เสียงของเซร่าลอยเข้าหูแองเจลีนดุจดั่งเสียงวิญญาณล่องลอย “บังเอิญจังเลยนะพี่สาว เรามาเจอกันอีกแล้ว”“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่?”“ต้องขอบคุณยัยโง่โจเซฟีนที่ให้บัตรวีไอพีกับแม่ฉัน ฉันเลยเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลแกรนด์ เอเซียได้อย่างไม่มีปัญหา”แองเจลีนจึงได้รู้ว่าเซร่าเข้ามารักษาในโรงพยาบาลแกรนด์ เอเซียภายใต้ชื่อของโจเซฟีน“ทำไมเธอถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ล่ะ? เธออัมพาตกินตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยไม่ใช่เหรอ? จุ๊ จุ๊ ฉันล่ะสงสารเธอจริง ๆ แค่จะดูแลตัวเองเธอยังทำไม่ได้ แล้วใครที่มันจะโชคร้ายต้อง
ที่สวนไร้กังวลตอนเวลาห้าทุ่มแม่บ้านกลับไปแล้วและในวิลล่าที่กว้างใหญ่ก็มีเพียงโจเซฟีนและแองเจลีนอยู่ พวกเธอทั้งคู่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาแองเจลีนขดตัวอยู่ที่มุมโซฟา สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ราวกับว่าเธอกำลังเข้าห้วงสมาธิอยู่โจเซฟีนก็นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอและร้องไห้อย่างเงียบ ๆเมื่อประตูวิลล่าถูกผลักเปิดออก สายลมเย็นเยือกก็พัดเข้ามาในห้องนั่งเล่นเจย์ปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าโจเซฟีนโดยไม่มีการบอกกล่าว เมื่อเธอเห็นเขา ความรู้สึกโทษตัวเองก็ที่แสดงออกทางสีหน้าเธอก็ยิ่งย่ำแย่ “ฉันขอโทษ”เมื่อเจย์เห็นว่าดวงตาของโจซี่แดงก่ำขนาดไหน เขาก็ลังเลที่จะต่อว่าเธอสายตาคมกล้าของเขาเลื่อนไปมองบนร่างของแองเจลีน และเขาก็รู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันใด กระเป๋าเดินทางในมือเขาร่วงลงกองกับพื้นเขาเดินลากเท้าหนักอึ้งค่อย ๆ เดินเข้าไปหาแองเจลีนแองเจลีนคิดว่าโจเซฟีนนั้นพูดขอโทษเธอ และเธอก็รู้สึกว่าโจซี่คงต้องรู้สึกหวาดกลัวเพราะเธออยู่แน่ ดังนั้นเธอจึงถอนใจและพูดอย่างโศกเศร้าว่า “โจซี่ อย่าโทษตัวเองเลย มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก”เจย์มาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ เขาฟังประโยคต่อไปของแองเจลีนเงียบ ๆแองเจลีนพูดต่ออย่างขมขื่น “วัน
โจเซฟีนรู้สึกเห็นด้วยอย่างมากและเริ่มที่จะพยักหน้าไม่หยุดเหมือนตุ๊กตาหัวสั่นหน้ารถเจย์จ้องโจเซฟีนอย่างเย็นชาจนเธอรีบก้มหน้าหลบอย่างรวดเร็วเจย์พึมพำ “งั้น เธอต้องการยังไงล่ะ?”“ฉันไม่ได้ป่วยค่ะ” แองเจลีนบอก “จากนี้ไปคุณต้องทำเหมือนฉันเป็นคนปกติ”เจย์ “...”โจเซฟีน “...”“อาการทางประสาทก็ถือว่าเป็นอาการป่วยนะ” เจย์พูดเบา ๆ“มันก็แค่ภาวะโซมาติก ฉันรับมือได้ค่ะ” แองเจลีนพูดอย่างมุ่งมั่นเจย์รู้ดีเรื่องสภาวะอารมณ์ของแองเจลีน เมื่อเธอเริ่มรู้สึกโมโหก็เป็นการดีที่สุดที่จะยอมโอนอ่อนให้เธอ “โอเค ฉันรับปากเธอ แต่ตอนนี้ก็ดึกแล้วเธอน่าจะไปนอนไม่ใช่เหรอ?”แองเจลีนพยักหน้าแองเจลีนพูดกับโจเซฟีนว่า “โจซี่ คืนนี้นอนที่นี่นะ”โจเซฟีนหยิบกุญแจรถของตัวเองขึ้นมาแล้วเตรียมจะแอบหลบไปอย่างเร็ว “ฉันไม่อยากเป็นก้างของคู่แต่งงานใหม่หรอกค่ะ ฉันไม่กวนพวกพี่สองคนแล้ว บาย”จากนั้นเธอก็เหลือบมองเจย์อย่างขลาด ๆ ก่อนรีบเผ่นหนีไปแองเจลีนบอก “ดูสิว่าคุณทำโจซี่กลัวแค่ไหน”เจย์รู้สึกว่าโดนกล่าวหา “แหม ฉันก็ไม่ได้ดุอะไรเธอสักหน่อย”แองเจลีนรู้จักเขาดีเกินไป ดวงตาคมกล้าของเขาน่ากลัวยิ่งกว่าคำดุด่าเสียอีก
หลังจากที่ล้มตรงขั้นบันไดเป็นครั้งที่เก้า แองเจลีนก็เหนื่อยมากจนหอบหายใจแรงเจย์เดินเข้ามาหาและกอดเธอไว้แน่นโดยไม่พูดอะไรสักคำแองเจลีนรู้สึกได้ว่าร่างกายของเจย์สั่นเทา เธอลูบผมสีดำหนาของเขาอย่างอ่อนโยน แองเจลีนยิ้มและปลอบเขาว่า “ไม่ต้องสงสารฉันหรอกนะเจย์บี้ ทุกอย่างตอนแรกก็ยากทั้งนั้นแหละ คุณต้องเชื่อมั่นในตัวฉัน ตกลงไหม?”เจย์พยักหน้าแต่ก็เอ่ยอะไรออกมาไม่ได้ เขาเสียใจมากจนไม่สามารถจะพูดอะไรออกมาได้สักคำแองเจลีนตกใจเล็กน้อย เธอถอนใจออกมาเบา ๆ “คุณอุ้มฉันไปที่โซฟาดีกว่าค่ะเจย์บี้”เจย์อุ้มเธอขึ้นและค่อย ๆ วางเธอลงบนโซฟา เขากลั้นสะอื้นเมื่อถามเธอว่า “เธอเหนื่อยไหมแองเจลีน?”แองเจลีนยิ้มและตอบ “ไม่เลยค่ะ”เจย์วางคางเขาไว้บนศีรษะของเธอ มือใหญ่ของเขาลูบหลังเธออย่างนุ่มนวล ลมหายใจของเธอไม่สม่ำเสมอเหมือนกับว่าเธอรู้สึกหายใจลำบาก เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน“ที่จริงฉันคิดว่าฉันโชคดีนะเจย์บี้ ลองคิดดูสิ โรคของฉันไม่ใช่อาการป่วยอะไรแล้วความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหมดที่มีก็แค่เกิดขึ้นในหัวฉัน”“มันจะอยู่แค่ในหัวเธอได้ยังไง? อาการเจ็บปวดทางกายที่เกิดจากระบบประสาทผิดปกติก็มีอยู่จริง เธอไม่ได้แค่มี
ตอนนี้เหลือความหวังเลือนลางแค่อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือความหวังที่ว่าพวกแก๊งในท้องถิ่นจะสามารถหาข้อมูลที่น่าเชื่อถือมาให้ได้สามวันต่อมา ลูกสาวของหัวหน้าแก๊งในท้องถิ่นคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหาเจนสันในโรงแรมอย่างดุดันพร้อมทั้งกลุ่มของบอดี้การ์ด“ใครกันที่อยากเจอพ่อฉัน?” เด็กสาวคนนี้ดูอายุยังน้อยแต่เธอสวมแว่นกันแดดและริมฝีปากสีแดงสดก็คาบบุหรี่เอาไว้ แม้รูปร่างหน้าตาของเธอจะดูสวยแต่มีท่าทางที่ดูนักเลงไม่เบามีกลุ่มบอดี้การ์ดเดินตามเธอมาด้านหลังเจนสันนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา เขามองแขกที่ไม่ได้รับเชิญนิ่ง ๆเซย์นนั้นปฏิบัติกับทุกคนที่มาเป็นแขก ดังนั้นเขาจึงถามอย่างกระตือรือร้น “ไม่ทราบว่าพ่อของคุณคือใครครับ?”“รอย คอมเรด”ตอนนั้นสตอร์มก็กระซิบกับเจนสัน “นายน้อย รอย คอมเรดคือหัวหน้าแก๊งในท้องถิ่นของประเทศเอส เขาเข้าไปอยู่ในกระทรวงพาณิชย์แต่จริง ๆ เขาแอบทำธุรกิจกับพวกนักเลงและพวกค้าของเถื่อน”สตอร์มอาศัยในประเทศเอสมาสามปี และเพื่อที่จะหาตัวร็อบบี้น้อยเขาก็ปลอมแปลงเป็นหลากหลายตัวตนรวมถึงการติดต่อกับพวกใหญ่ ๆ ในประเทศนี้มากมาย เขาจึงรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของผู้มีอิทธิพลที่นี่เป็นอย่างดี
ร่างหล่อเหลาของเจนสันแข็งแกร่งขึ้นมาทันใดชื่อของปีศาจนั้นเป็นที่รู้จักกันดีครูคอร์นีเลียสจากสถาบันเยาวชนแห่งตำนานเคยบอกเขาก่อนหน้านี้ว่ามีเพียงสองคนที่มีความสามารถสูงส่งเอาชนะเขาได้ในประวัติศาสตร์ของสถาบัน… ซึ่งก็คือตัวเขาเองและปีศาจแต่ว่าปีศาจนั้นจบการศึกษาไปหลายปีก่อนหน้าตั้งแต่ตอนที่เจนสันยังเป็นแค่เด็กน้อย ระดับของปีศาจเองก็อาจจะสูงส่งกว่าเขามากสิ่งที่ยิ่งทำให้เจนสันไม่สบายใจน่าจะเป็นก่อนที่เขาจะจากมา ผู้อำนวยการมีความปรารถนาเดียวมอบให้เขา นั้นก็คือขออย่าให้เขาต้องพบเจอกับปีศาจดูเหมือนว่าเส้นทางของปีศาจต้องมาปะทะกับเจนสันอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นเลยเป็นสาเหตุว่าทำไมผู้อำนวยการถึงพูดออกมาแบบนั้นเจนสันเปิดคอมพิวเตอร์โดยไม่รอช้าและพยายามแฮ็กเข้าระบบของสถาบันเยาวชนแห่งตำนานสถาบันนั้นมีเอกสารที่มีข้อมูลลับสุดยอดของนักเรียนที่จบไปแล้วทุกคนเจนสันคิดที่จะดึงข้อมูลของปีศาจออกมา แต่เขาไม่คาดคิดว่าเมื่อเขาคลิกที่ชื่อของปีศาจข้อมูลทั้งหมดก็ถูกทำลายไปทุกอย่างหายไปอย่างไม่เหลือร่องรอยเจนสันอึ้งจนพูดไม่ออก แม้ว่าทักษะในการแฮ็กข้อมูลของเขาจะเหนือชั้น แต่ทักษะการป้องกันที่สูงล้ำของ
จากนั้นเป็นต้นมา เจนสันหนุ่มน้อยก็ตั้งเป้าหมายสู่ชัยชนะไม่กี่วันต่อมา เชอร์ลีย์ก็หายจากอาการป่วยและเตรียมพร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาลแองเจลีนรู้สึกตื่นเต้นจนคืนก่อนหน้านั้นเธอนอนไม่หลับ เธออ้อนวอนขอร้องเจย์ “พรุ่งนี้คุณจะให้ฉันไปรับพี่เชอร์ลีย์ไหมคะ? ได้ไหมคะ?”เจย์ดึงแองเจลีนเข้ามาให้อ้อมแขน “ถ้าคืนนี้เธอเข้านอนตรงเวลา ฉันจะพิจารณายอมให้เธอไปโรงพยาบาลพรุ่งนี้”แองเจลีนรีบหลับตาและหยุดพูดคุยทันทีแต่เธอก็ตื่นเต้นเสียจนแม้ว่าเธอจะแสร้งทำเป็นเข้านอน ขนตาของเธอยังคงกะพริบสั่นไหวไปมาเหมือนกระต่ายน้อยเจย์เอื้อมมือมาลูบแพขนตาหนาของเธอราวกับว่ากำลังลูบพู่กันอยู่ เขาปัดลูบขนตาไปมาก่อนที่จะขยับมาลูบคิ้ว ดวงตา สันจมูก และสุดท้ายก็ริมฝีปากของเธอ…การกระทำของเขาทำให้แองเจลีนจั๊กจี้จนเธออดไม่ได้ที่ต้องหัวเราะคิกคักจู่ ๆ เธอก็อ้าปากขึ้นงับนิ้วมือของเขาเบา ๆ“แองเจลีนอย่ายั่วฉันนะ” เจย์พูดเสียงแหบพร่าคงมีแค่พระเจ้าที่รู้ว่าเขาต้องอดทนอดกลั้นมากแค่ไหนแองเจลีนเสียดสีร่างกายเข้ากับตัวเขาขณะที่ยังอยู่ในอ้อมกอด และมือไม้เธอทั้งสองข้างก็เริ่มอยู่ไม่สุข“แองเจลีน…” น้ำเสียงเจย์เริ่มเข้ม “นี่
เจย์ยิ้มกริ่มเมื่อเขาเห็นใบหูแดงก่ำของเธอ“เธอเก่งกล้ามากไม่ใช่เหรอ ตอนที่ยั่วยวนฉันเมื่อคืนน่ะ ฉันไม่เห็นเธอจะอายเลย ฉันแค่แหย่เรื่องเธอกับเซย์นนิดหน่อยเท่านี้ก็อายแล้วเหรอ?”แองเจลีนบอก “ฉันไม่ได้มีความสัมพันธ์กับคุณเหมือนเซย์นนี่ คุณเป็นคู่ชีวิตฉันส่วนเขาเป็นพี่ชาย คุณควรต้องเป็นคนเดียวที่ได้ยินคำรักที่ฉันบอก”เจย์ดูเหมือนว่าเขาได้เรียนรู้เรื่องใหม่ “ก็มีเหตุผล”แองเจลีนถอนใจอย่างโล่งอกบางทีกิจกรรมเมื่อคืนอาจจะเหนื่อยเกินไปสำหรับเธอ แองเจลีนรู้สึกไร้เรี่ยวแรงกว่าเมื่อก่อน เธอเอื้อมแขนออกมาแล้วทำท่าออดอ้อน “ขอกอดหน่อยค่ะ”เจย์ยิ้มและอุ้มเธอขึ้น เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ ล้างหน้าล้างตาและแปรงฟันให้เมื่อเขาพาแองเจลีนลงมาด้านล่าง เธอก็กลับเป็นตัวเองที่ดูงดงามอีกครั้งโจเซฟินและเซย์นต่างก็มองคู่สามีภรรยานี้อย่างหมดคำพูด “เรารอพวกเธอมาตั้งชั่วโมง”เจย์ตอบเธออย่างเจ็บแสบ “ตระกูลอาเรสก็สายกันเป็นปกติ”โจเซฟินได้ยินคำตอบของเขาก็โมโหมากเจย์และแองเจลีนกินอาหารเช้าเสร็จก็เป็นเวลา 11 โมงแล้ว พอตกบ่ายพวกเขาจึงเริ่งรีบไปโรงพยาบาลโรงพยาบาลเตรียมขั้นตอนการออกจากโรงพยาบาลของเชอร์ลีย์เร