“เจ้าอายอะไรน่ะ เจ้าเจ็บจนเป็นอย่างนี้แล้ว มือยังยกไม่ขึ้นแล้ว”เหลียงจื่อฝูขมวดคิ้วน้อย ๆ ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “ดูเจ้าเหงื่อท่วมตัวสิ ถ้าข้าไม่เช็ดตัวให้ แล้วเจ้าจะนอนทั้งอย่างนี้หรือ?”หากไม่พูดฉินอวิ๋นฟานยังไม่สังเกต ตัวเองไม่ได้อาบน้ำมาสี่ห้าวันแล้วเร่งเดินทางมาต้าเหลียงตลอดทาง แทบจะกินลมดื่มน้ำค้าง ตากแดดตากลมอยู่ข้างนอกทุกวันเสื้อผ้าบนตัวถูกคราบเหงื่อเกาะหนา ๆ ชั้นหนึ่งนานแล้ว เนื้อตัวมีแต่โคลนปกคลุมให้เห็นนี่คงสมควรแก่เวลาเช็ดให้สะอาดสักที“เช่นนั้นก็ให้คนอื่นเข้ามาเถอะ ในโรงแรมน่าจะมีบริการอาบน้ำขัดตัวโดยเฉพาะอยู่”ฉินอวิ๋นฟานโบกมือ ปฏิเสธความปรารถนาดีของเหลียงจื่อฝูทางอ้อมแต่เพิ่งจะยกมือก็มีความอุ่นร้อนมาประคบ ตามด้วยถูกใช้กำลังกดแขนลง“ไม่ต้องยุ่งยากอย่างนั้น ให้ข้าช่วยเจ้าเถอะ”เหลียงจื่อฝูก้มหน้าก้มตา ลงมือทำไม่สนอะไรทั้งนั้น ประคบผ้าขนหนูที่ชื้นแล้วลงบนแขนของฉินอวิ๋นฟานพร้อมเช็ดเบา ๆเมื่อเย็นลงก็ชุบน้ำร้อนใหม่ เปลี่ยนไปเช็ดแขนอีกข้างหนึ่งเดิมยังอยากปฏิเสธ แต่สุดท้ายคำนั้นติดอยู่ที่ริมฝีปาก ยากจะเอ่ยฉินอวิ๋นฟานจึงได้แต่ปล่อยให้เหลียงจื่อฝูทำเช่นนี้เป
ฉินอวิ๋นฟานอดดีใจไม่ได้ เขาโชคดีเช่นนี้เลยหรือ ได้รับความรักจากเสด็จน้าสิบสามเช่นนี้เลย?!ไหนจะเช็ดตัว ไหนจะขัดเท้า นี่คืองานที่แม้แต่มู่หรงจิ่นก็ยังไม่เคยทำ+ กลับถูกเหลียงจื่อฝูทำเกือบหมดในครั้งเดียว?“เรียบร้อย+”เหลียงจื่อฝูบิดขี้เกียจ ยกกะละมังน้ำที่เปลี่ยนเป็นสีขุ่นนานแล้วขึ้นและพูด “เจ้ารออยู่ที่นี่เดี๋ยว ข้าจะไปเอายามา”ในห้องพักของโรงแรมห้าดาวจะมีกล่องยาสามัญอยู่ที่นี่ก็เช่นกัน และในฐานะที่เป็นห้องพัดสุดหรู เป็นธรรมดาที่จะจัดเตรียมอาหารและยาที่ดีที่สุด ครบที่สุดไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บภายนอกหรือภายในก็มียาครบครันเห็นภาพที่เหลียงจื่อฝูยกกะละมังน้ำไปแบบเงอะ ๆ งะ ๆ ก็พาลให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจคิดไม่ถึง เสด็จน้าสิบสามที่ไม่นำพาต่อสิ่งใดในอดีตจะมีด้านที่อ่อนโยนเช่นนี้ประหนึ่งมารดา ทะนุถนอมที่สุดเพียงแต่...เขาจะไม่เอาไหนเกินไปแล้วกระมังกลับมีปฏิกิริยาเสียได้!แย่ชะมัด!เวลาอย่างนี้ เขาควรดื่มด่ำกับความหวังดี ความรักและความห่วงใยของเสด็จน้าสิบสามจึงจะถูก มิใช่คิดเอาแต่คิดเรื่องสัปดี๊สัปดนในหัว!ฉินอวิ๋นฟานสะบัดหน้า พยายามทำให้ตัวเองสงบทว่าดูเหมือนพลังงานของร่างกายจะไม
นี่จะเริ่มแล้วหรือ?นางรู้เรื่องบนเตียงระหว่างชายหญิง และเข้าใจบรรยากาศตรงหน้าว่าไม่มีทางเรียบง่ายแค่สนทนาแม้จะรู้ว่าการกระทำของนางเมื่อครู่มีความปลุกปั่นอยู่ แต่เพราะอยากหยอกหลานชายตัวน้อยน่ารักคนนี้สักหน่อยเท่านั้นเองไม่เคยคิดว่าจะเปลี่ยนเป็นสถานการณ์เช่นนี้!ไม่ได้ ๆ!นางยังไม่ทันได้เตรียมใจเลย แถมยังมีปมในใจ และ...“ข้าจัดการเองเถอะ”ในขณะที่อารมณ์กำหนัดกำลังจะปะทุ ฉินอวิ๋นฟานรับยาจากมือของเหลียงจื่อฝูแล้วข่มใจเบือนหน้า ตามด้วยก้มหน้าก้มตาจัดการแผลของตัวเองกลิ่นอายเร่าร้อนหายไปจากใบหน้า บรรยากาศคลุมเครือเมื่อครู่สลายไปสิ้น“เอ๋?”เหลียงจื่อฝูกะพริบตาปริบ ๆ คล้ายคิดไม่ถึงว่าจะดำเนินต่อไปในทางนี้ทีแรกนางนึกว่า...ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจกลับผิดหวังขึ้นมาเสียอย่างนั้น“เสด็จน้าสิบสาม ดึกมากแล้ว ท่านกลับไปพักที่ห้องเร็วหน่อยเถอะ ข้าก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน”ฉินอวิ๋นฟานลุกขึ้นยืนและเดินกลับห้องทั้งเปลือยเปล่าท่อนบนตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้หันไปมองเหลียงจื่อฝูแม้แต่แวบเดียวความรู้สึกเย็นชาห่างเหินเหลียงจื่อฝูกะทันหันเช่นนี้ ทำให้นางทำอะไรไม่ถูกแต่นางก็ยังบังคับเรียกหัว
ค่ำคืนนี้ เหลียงจื่อฝูนอนพลิกกายไปมาอยู่บนเตียง ยากจะหลับใหลที่โผล่เข้ามาในสมองล้วนเป็นดวงหน้าหล่อเหลาองอาจสุดท้ายนั้นของฉินอวิ๋นฟาน แววตานั้นฉายความรู้สึกถึงระยะห่าง ทำให้หัวใจนางเต้นแรงการเข้าใกล้แต่ก็ดึงตัวออกห่างกะทันหันอีก ความคล้ายมีแต่ก็คล้ายไม่มีประเภทนั้นทำให้นางเสียดายเล็กน้อย“ข้าบ้าไปแล้วจริง ๆ ...”เหลียงจื่อฝูกุมใบหน้า ถอนหายใจยาว ๆนางรู้ดี ความเป็นไปได้ระหว่างนางกับฉินอวิ๋นฟานคือศูนย์ และจะเกิดขึ้นไม่ได้ด้วย!แม้นางจะชอบกลั่นแกล้งพ่อหนุ่มน้อยรูปงามที่ดูจริงจังแต่มักจะยิ้มร้ายนั้นอยู่บ่อย ๆ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง นางนั่นแหละที่จะกลัวเป็นคนแรกความบกพร่องทางร่างกายทำให้นางสิ้นความปรารถนาต่อบุรุษ กระทั่งรู้สึกกลัวและต้อยต่ำในยุคนี้ สตรีหินคือตัวตนที่น่าอายและถูกคนประณามราวกับเป็นคำสาปที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ทำให้ใครได้ยินก็ต้องหัวเราะอย่างเปิดเผยดังนั้นนางจะเอาอะไรไปแสวงหาความสุข ใช้อะไรปรารถนาให้ฉินอวิ๋นฟานอ่อนโยนกับตัวเอง?นี่คือการหวังเกินตัว และเป็นกรรมตามสนองอย่างหนึ่งแต่นางยังคงยากจะลืมสายตาที่ฉินอวิ๋นฟานมองมาบนโซฟานั้นเร่าร้อนปานนั้น ทำให้นางเมามายป
เพิ่งออกจากลิฟต์แรงงานมนุษย์ก็เห็นดวงหน้าชวนให้คนประทับใจนั้นของเสี่ยวฮัวมิได้บริสุทธิ์ผุดผ่องปานบงกชพ้นน้ำอย่างเหลียงจื่อฝู หากบนตัวเสี่ยวฮัวมีเสน่ห์ที่อยากจะอธิบายทั้งที่แต่งหน้าบาง ๆ กลับสามารถกักเก็บเสน่ห์ที่ฉายออกมาได้หมด แต่ยังคงเหมือนผีเสื้อล้อบุปผา โปรยเสน่ห์ไปทั่วหากมิใช่เพราะข้างตัวฉินอวิ๋นฟานมีสาวงามแห่งยุคหลายท่าน ลิ้มรสความแปลกใหม่นานแล้ว มิเช่นนั้นคงต้องถูกเสี่ยวฮัวตรงหน้าลวงวิญญาณแน่“คิดไม่ถึง ต้าเหลียงจะมีสาวมากถึงเพียงนี้”ระหว่างทางที่ตามเสี่ยงฮัวไปรับอาหาร ฉินอวิ๋นฟานกระซิบข้างใบหูเหลียงจื่อฝู พาลให้เหลียงจื่อฝูกลอกตาขาวใส่“ก็มีแต่เจ้านี่แหละที่คิดไม่ซื่อ”......ในห้องอาหารที่ตกแต่งอย่างอลังการ อู่จ้าน เซี่ยงเส้าเหยียนและคนอื่น ๆ รออยู่ที่นี่นานแล้วพวกเขาไม่ได้ขยับตะเกียบ แต่กำลังรอการมาถึงของฉินอวิ๋นฟานครั้นเห็นคนคุ้นเคย ฉินอวิ๋นฟานก็อารมณ์ดี “อาจ้าน เมื่อวานพักผ่อนเป็นยังไงบ้าง? อาการบาดเจ็บบนตัวดีขึ้นหรือยัง?”“เสี่ยวฟานมีใจแล้ว ข้าแข็งแรงจะตาย ไม่ต้องห่วงหรอก”อู่จ้านโบกมือพลางหัวเราะเช่นเคยหลังจากโอภาปราศรัยเล็กน้อย เสี่ยวฮัวก็ให้คนยกสำรับข
การจะไปถึงเมืองหลวงจะต้องออกเดินทางจากเมืองเหยียนหลิง อ้อมป่าทึบผืนหนึ่ง ตามด้วยผ่านเมืองคึกคักสองเมืองจึงจะถึงระหว่างนั้นต้องผ่านบริเวณสำคัญของต้าเหลียง จุดนี้ย่อมต้องมีทหารจำนวนมากเฝ้าประจำอยู่ดังนั้นการจะพาทหารสองพันคนไปด้วย อย่างไรก็ไม่ค่อยดีเพราะหากพาทหารมากมายไปพบเสด็จตาของตัวเอง จะทำให้ประชาชนในต้าเหลียงติฉินนินทาได้ง่ายดังนั้นในการเดินทางครั้งนี้ นอกจากจะพาอู่จ้าน เซี่ยงเส้าเหยียนไปด้วยแล้ว ฉินอวิ๋นฟานจะพาทหารไปอีกสามสิบคนเท่านั้นที่เหลือก็อ้อมเมืองเหยียนหลิงรอฟังคำสั่งที่เมืองชายแดนเล็ก ๆ ทางใต้อย่างไรเสีย ตอนจะออกจากต้าเหลียงก็ต้องผ่านจุดนี้อยู่แล้ว แล้วค่อยรวมตัวกันหลังจากหารือกันเสร็จก็ถึงช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะ อาทิตย์ร้อนแรงแผดเผา เมื่อเจอสายลมเย็นก็กลายเป็นลมร้อนที่ทำให้คนยากจะทานทน“เช่นนั้นก็ขอให้รัชทายาทเดินทางโดนสวัสดิภาพ!”หานซิ่นส่งฉินอวิ๋นฟานและคนอื่น ๆ จากไปด้วยสายตา จากนั้นก็จัดระเบียบ วางแผนจะพาทหารไปยังจุดนัดพบ......สายตาคู่หนึ่งจดจ้องขบวนที่เดินทางอยู่กลางท้องถนนฉินอวิ๋นฟานทรงอาชาน่าเกรงขามนำอยู่เบื้องหน้า โดยมีเหลียงจื่อฝูในชุ
ปกตินางออกจากวังน้อยมาก ทว่ามีความใฝ่ฝันและอยากรู้อยากเห็นต่อกิจกรรมในเมืองแต่กำเนิดแต่ด้วยร่างกายจึงได้แต่มองดูอยู่ไกล ๆ ไม่สามารถชมอย่างใกล้ชิดได้“เช่นนั้นก็ดี ตอนนี้ก็มืดแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นไปเยี่ยมเยือนเสด็จตา วันนี้ก็เดินเที่ยวในเมืองให้สนุกเต็มที่ไปเลยเถอะ”ฉินอวิ๋นฟานมีใจรักสนุก แทบอยากเอาสุมหัวกับกลุ่มชาวบุ๋นที่แห่แหนมาเป็นกองภูเขา ดื่มด่ำกับกาพย์ฉันท์โคลงกลอน รื่นเริงกับสาวงามสุราดีทว่าเพิ่งจะถึงประตูเมืองก็ถูกขวางเองไว้“หยุดนะ!”ทหารต้าเหลียงกลุ่มหนึ่งขวางอยู่เบื้องหลัง หัวหน้าทหารหน้าตาเข้มขรึม ราวกับขวางทางพยัคฆ์“พวกเจ้าคือใคร มาที่นี่ด้วยเรื่องอันใด?!”ฐานที่เป็นเมืองหลวงของต้าเฉียนและเป็นราชธานีที่พำนักของฮ่องเต้ต้าเหลียง จึงมีการเฝ้ายามอย่างแน่นหนาในทางกลับกัน หากไม่มีใครเฝ้ายามสิแปลกอู่จ้านบอกจุดประสงค์การมาครั้งนี้ และแสดงตัวว่าฉินอวิ๋นฟานก็คือรัชทายาทผู้ว่าราชการของต้าเฉียนเดิมนึกว่าอีกฝ่ายจะปล่อยผ่าน คิดไม่ถึงว่าพอหัวหน้าทหารได้ยินแล้วกลับขมวดคิ้วและพูดด้วยวาจาดุดันกว่าเดิม“รัชทายาทต้าเฉียน? เหลวไหล! ข้าไม่เคยได้รับคำสั่งมาก่อน ไม่มีเหตุอันใดรัช
“โมโหชะมัด!”เมื่อเข้าเมืองและพ้นจากสายตาที่ชวนให้คนไม่สบอารมณ์บนกำแพงเมืองเหล่านั้นแล้ว อู่จ้านจึงจะพูดเขาโกรธจนหน้าแดงก่ำ สีหน้าบิดเบี้ยวจนเหมือนลิงบาบูนตัวหนึ่ง“อาจ้านไม่ต้องโมโหไปหรอก” ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างเห็นต่าง จูงม้าเหมือนกับคนอื่น ๆ เดินอ้อยอิ่งอยู่บนถนนในกลางเมือง“ข้าก็แค่รู้สึกไม่เป็นธรรมกับเจ้า!”อู่จ้านปากบ่นอุบ เห็นชัดว่าไม่พอใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาพูดอย่างคับอกคับใจ “ถึงกับเมินเสี่ยวฟาน ยังพูดจาส่อเสียด ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแท้ ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มพูดอย่างไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ “ที่นี่ไม่ใช่ต้าเฉียน เรื่องบางเรื่องพวกเราไม่รู้และแทรกแซงไม่ได้ด้วย”กับที่ระแวดระวังคนนอกไม่เชื่อง่าย ๆ จุดนี้ เขากลับไม่รู้สึกว่าเป็นการล่วงเกินมิสู้บอกว่าหากอยู่ที่แผ่นดินต้าเฉียน ถ้าจู่ ๆ ก็มีคนแปลกหน้าอ้างว่าตัวเองคือรัชทายาทแคว้นหนึ่ง เขาก็เชื่อในทันทียากเหมือนกันเพราะเขามีชื่อเสียงดังกระฉ่อนทั่วโลกขึ้นได้เพราะอู่เหลียงเย่และเกลือละเอียดแต่จะว่ากันตามจริง เขาไม่เคยออกจากต้าเฉียนมาก่อน ไม่เคยเปิดตัวต่างบ้านต่างเมือง ดังนั้นจึงทำให้ไม่สามารถเชื่อได้ในทันที ตามหลักเหตุผ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ