เพิ่งออกจากลิฟต์แรงงานมนุษย์ก็เห็นดวงหน้าชวนให้คนประทับใจนั้นของเสี่ยวฮัวมิได้บริสุทธิ์ผุดผ่องปานบงกชพ้นน้ำอย่างเหลียงจื่อฝู หากบนตัวเสี่ยวฮัวมีเสน่ห์ที่อยากจะอธิบายทั้งที่แต่งหน้าบาง ๆ กลับสามารถกักเก็บเสน่ห์ที่ฉายออกมาได้หมด แต่ยังคงเหมือนผีเสื้อล้อบุปผา โปรยเสน่ห์ไปทั่วหากมิใช่เพราะข้างตัวฉินอวิ๋นฟานมีสาวงามแห่งยุคหลายท่าน ลิ้มรสความแปลกใหม่นานแล้ว มิเช่นนั้นคงต้องถูกเสี่ยวฮัวตรงหน้าลวงวิญญาณแน่“คิดไม่ถึง ต้าเหลียงจะมีสาวมากถึงเพียงนี้”ระหว่างทางที่ตามเสี่ยงฮัวไปรับอาหาร ฉินอวิ๋นฟานกระซิบข้างใบหูเหลียงจื่อฝู พาลให้เหลียงจื่อฝูกลอกตาขาวใส่“ก็มีแต่เจ้านี่แหละที่คิดไม่ซื่อ”......ในห้องอาหารที่ตกแต่งอย่างอลังการ อู่จ้าน เซี่ยงเส้าเหยียนและคนอื่น ๆ รออยู่ที่นี่นานแล้วพวกเขาไม่ได้ขยับตะเกียบ แต่กำลังรอการมาถึงของฉินอวิ๋นฟานครั้นเห็นคนคุ้นเคย ฉินอวิ๋นฟานก็อารมณ์ดี “อาจ้าน เมื่อวานพักผ่อนเป็นยังไงบ้าง? อาการบาดเจ็บบนตัวดีขึ้นหรือยัง?”“เสี่ยวฟานมีใจแล้ว ข้าแข็งแรงจะตาย ไม่ต้องห่วงหรอก”อู่จ้านโบกมือพลางหัวเราะเช่นเคยหลังจากโอภาปราศรัยเล็กน้อย เสี่ยวฮัวก็ให้คนยกสำรับข
การจะไปถึงเมืองหลวงจะต้องออกเดินทางจากเมืองเหยียนหลิง อ้อมป่าทึบผืนหนึ่ง ตามด้วยผ่านเมืองคึกคักสองเมืองจึงจะถึงระหว่างนั้นต้องผ่านบริเวณสำคัญของต้าเหลียง จุดนี้ย่อมต้องมีทหารจำนวนมากเฝ้าประจำอยู่ดังนั้นการจะพาทหารสองพันคนไปด้วย อย่างไรก็ไม่ค่อยดีเพราะหากพาทหารมากมายไปพบเสด็จตาของตัวเอง จะทำให้ประชาชนในต้าเหลียงติฉินนินทาได้ง่ายดังนั้นในการเดินทางครั้งนี้ นอกจากจะพาอู่จ้าน เซี่ยงเส้าเหยียนไปด้วยแล้ว ฉินอวิ๋นฟานจะพาทหารไปอีกสามสิบคนเท่านั้นที่เหลือก็อ้อมเมืองเหยียนหลิงรอฟังคำสั่งที่เมืองชายแดนเล็ก ๆ ทางใต้อย่างไรเสีย ตอนจะออกจากต้าเหลียงก็ต้องผ่านจุดนี้อยู่แล้ว แล้วค่อยรวมตัวกันหลังจากหารือกันเสร็จก็ถึงช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะ อาทิตย์ร้อนแรงแผดเผา เมื่อเจอสายลมเย็นก็กลายเป็นลมร้อนที่ทำให้คนยากจะทานทน“เช่นนั้นก็ขอให้รัชทายาทเดินทางโดนสวัสดิภาพ!”หานซิ่นส่งฉินอวิ๋นฟานและคนอื่น ๆ จากไปด้วยสายตา จากนั้นก็จัดระเบียบ วางแผนจะพาทหารไปยังจุดนัดพบ......สายตาคู่หนึ่งจดจ้องขบวนที่เดินทางอยู่กลางท้องถนนฉินอวิ๋นฟานทรงอาชาน่าเกรงขามนำอยู่เบื้องหน้า โดยมีเหลียงจื่อฝูในชุ
ปกตินางออกจากวังน้อยมาก ทว่ามีความใฝ่ฝันและอยากรู้อยากเห็นต่อกิจกรรมในเมืองแต่กำเนิดแต่ด้วยร่างกายจึงได้แต่มองดูอยู่ไกล ๆ ไม่สามารถชมอย่างใกล้ชิดได้“เช่นนั้นก็ดี ตอนนี้ก็มืดแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นไปเยี่ยมเยือนเสด็จตา วันนี้ก็เดินเที่ยวในเมืองให้สนุกเต็มที่ไปเลยเถอะ”ฉินอวิ๋นฟานมีใจรักสนุก แทบอยากเอาสุมหัวกับกลุ่มชาวบุ๋นที่แห่แหนมาเป็นกองภูเขา ดื่มด่ำกับกาพย์ฉันท์โคลงกลอน รื่นเริงกับสาวงามสุราดีทว่าเพิ่งจะถึงประตูเมืองก็ถูกขวางเองไว้“หยุดนะ!”ทหารต้าเหลียงกลุ่มหนึ่งขวางอยู่เบื้องหลัง หัวหน้าทหารหน้าตาเข้มขรึม ราวกับขวางทางพยัคฆ์“พวกเจ้าคือใคร มาที่นี่ด้วยเรื่องอันใด?!”ฐานที่เป็นเมืองหลวงของต้าเฉียนและเป็นราชธานีที่พำนักของฮ่องเต้ต้าเหลียง จึงมีการเฝ้ายามอย่างแน่นหนาในทางกลับกัน หากไม่มีใครเฝ้ายามสิแปลกอู่จ้านบอกจุดประสงค์การมาครั้งนี้ และแสดงตัวว่าฉินอวิ๋นฟานก็คือรัชทายาทผู้ว่าราชการของต้าเฉียนเดิมนึกว่าอีกฝ่ายจะปล่อยผ่าน คิดไม่ถึงว่าพอหัวหน้าทหารได้ยินแล้วกลับขมวดคิ้วและพูดด้วยวาจาดุดันกว่าเดิม“รัชทายาทต้าเฉียน? เหลวไหล! ข้าไม่เคยได้รับคำสั่งมาก่อน ไม่มีเหตุอันใดรัช
“โมโหชะมัด!”เมื่อเข้าเมืองและพ้นจากสายตาที่ชวนให้คนไม่สบอารมณ์บนกำแพงเมืองเหล่านั้นแล้ว อู่จ้านจึงจะพูดเขาโกรธจนหน้าแดงก่ำ สีหน้าบิดเบี้ยวจนเหมือนลิงบาบูนตัวหนึ่ง“อาจ้านไม่ต้องโมโหไปหรอก” ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างเห็นต่าง จูงม้าเหมือนกับคนอื่น ๆ เดินอ้อยอิ่งอยู่บนถนนในกลางเมือง“ข้าก็แค่รู้สึกไม่เป็นธรรมกับเจ้า!”อู่จ้านปากบ่นอุบ เห็นชัดว่าไม่พอใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาพูดอย่างคับอกคับใจ “ถึงกับเมินเสี่ยวฟาน ยังพูดจาส่อเสียด ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแท้ ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มพูดอย่างไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ “ที่นี่ไม่ใช่ต้าเฉียน เรื่องบางเรื่องพวกเราไม่รู้และแทรกแซงไม่ได้ด้วย”กับที่ระแวดระวังคนนอกไม่เชื่อง่าย ๆ จุดนี้ เขากลับไม่รู้สึกว่าเป็นการล่วงเกินมิสู้บอกว่าหากอยู่ที่แผ่นดินต้าเฉียน ถ้าจู่ ๆ ก็มีคนแปลกหน้าอ้างว่าตัวเองคือรัชทายาทแคว้นหนึ่ง เขาก็เชื่อในทันทียากเหมือนกันเพราะเขามีชื่อเสียงดังกระฉ่อนทั่วโลกขึ้นได้เพราะอู่เหลียงเย่และเกลือละเอียดแต่จะว่ากันตามจริง เขาไม่เคยออกจากต้าเฉียนมาก่อน ไม่เคยเปิดตัวต่างบ้านต่างเมือง ดังนั้นจึงทำให้ไม่สามารถเชื่อได้ในทันที ตามหลักเหตุผ
ถึงพวกเขาจะไม่สนใจโคลงกลอน แต่ฉินอวิ๋นฟานสนใจนี่!นี่อย่างไร เริ่มเมินสายตาเคียดแค้นของเหลียงจื่อฝูที่อยู่ด้านข้างแล้ว เอาแต่เดินดุ่ม ๆ ไปข้างหน้า“เสด็จน้าสิบสาม ถ้าท่านหิวแล้วก็ไปกินเองก่อนเลย ข้าจะไปดูสักหน่อย!”ฉินอวิ๋นฟานพูดทิ้งท้ายแล้วหายเข้าไปท่ามกลางทะเลคนทันที......“ผลไม้เคลือบน้ำตาลจ้า!”“ขนมอบ ขนมอบออกจากเตาใหม่ ๆ!”เสียงร้องแรกแหกกระเชอขายของดังวนเวียนอยู่ข้างหูกลิ่นหอมที่โชยมาเตะจมูกกับโคมไฟสวยสดงดงามระยิบระยับนั้นไม่ดึงดูดสายตาของฉินอวิ๋นฟานสักนิด ความหงุดหงิดที่หน้าประตูเมืองเมื่อครู่มลายหายไปนานแล้วเขาจมดิ่งอยู่กับบรรยากาศ มิอาจถอนตัว“นายท่าน มาดูหน่อยไหมขอรับ? นี่คือน้ำตาลปั้นที่ร้านเราถนัดที่สุดเลยนะ!”พ่อค้าแผงลอยเห็นฉินอวิ๋นฟานสวมใส่เสื้อผ้าชั้นดี แค่ดูก็รู้ว่ามาจากตระกูลใหญ่ จึงนำเสนอสินค้าของตัวเองน้ำตาลปั้นทำมือที่วางอยู่บนโต๊ะราวกับมีชีวิต สดใสน่าประทับใจเหมือนสตรีที่กำลังร่ายรำพลิ้วไหวอยู่บนเวทีฉินอวิ๋นฟานต้านทานน้ำใจของเถ้าแก่ไม่ได้จึงซื้อติดมืออันหนึ่งเขากินไปพลาง ก็เดินออกห่างหน้าแผงลอยต่าง ๆ ไปพลางมีคนกำลังหยุดยืนอยู่หน้าโคมปริศนา คิ
ยังเป็นครั้งแรกที่เหลียงจื่อฝูได้เห็นฉินอวิ๋นฟานมีอารมณ์ครึ้มอกครึ้มใจเช่นนี้เดินเตร่ไปตามแผงลอยต่าง ๆ ไม่หยุด เหมือนกลับถึงบ้านตัวเองอย่างไรอย่างนั้นอู่จ้านกับเซี่ยงเส้าเหยียนตามติดอยู่ข้างหลังก็รู้สึกจนใจเล็กน้อยเหมือนกันพวกเขารู้ดีว่าถ้าฉินอวิ๋นฟานได้เจอกันงานฉลองอะไรเทือกนี้จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน“ช้าหน่อย ช้าหน่อย...”ฉินอวิ๋นฟานจับมือเหลียงจื่อฝูเอาไว้แน่น ประเดี๋ยวก็หยุดตรงแผงลอยอาหารว่าง ประเดี๋ยวก็หยุดอยู่ใต้แท่นสูง ทำนางเหนื่อยจะแย่แต่เปรียบเทียบกัน นางกลับอารมณ์ดีเป็นพิเศษ รู้สึกว่าตัวเองถูกจูงเหมือนกลัวว่าจะเดินหลงภายใต้การนำเช่นนี้ของฉินอวิ๋นฟาน เหลียงจื่อฝูได้เดินเที่ยวรอบตลาดกลางคืนรอบหนึ่ง กระทั่งเหนื่อยหมดแรงเดินไม่ไหวแล้วจริง ๆ จึงหยุดพักในโรงเตี๊ยมละแวกนั้น......ตำหนักบรรทมต้าเฉียนเฉาเจิ้งฉุนกำลังชงชาให้ไท่ซั่งหวง กลิ่นหอมลอดออกมาจากปากถ้วย คลุ้งอยู่ในตำหนักบรรทมกว้าง“ไท่ซั่งหวง มีรายงานมาว่ารัชทายาทถึงต้าเหลียงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เฉาเจิ้งฉุนกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบไท่ซั่งหวงนั่งพิงเก้าอี้มังกร ละเมียดรสชาอย่างผ่อนคลาย ครู่หนึ่งจึงยกเปลือกตาขึ้นช้า ๆ
“แหะ ๆ” ฉินอวิ๋นฟานเกาศีรษะรู้สึกผิดเล็กน้อย “เมื่อวานข้าตื่นเต้นเกินไปจริง ๆ”“ฮึ!” เหลียงจื่อฝูทำปากจู๋แล้วเบือนหน้าใส่ ตามด้วยแค่นเสียงฮึหวาน ๆ“ถ้าเสด็จน้าสิบสามเดินไม่ไหวจริง ๆ เช่นนั้นข้าก็แบกท่านไปได้นี่”เหลียงจื่อฝูได้ยินแล้วก็เลิกคิ้ว ก่อนจะส่งยิ้มชั่วร้ายมา “เจ้าพูดเองนะ วันนี้เจ้าต้องแบกข้าทั้งวัน!”สบโอกาสแกล้งเจ้าเด็กนี่สักทีแม้ยังห่วงว่าแผลตรงท้องของฉินอวิ๋นฟานจะกลับมากำเริบอยู่บ้าง แต่ตอนนี้นางคำนึงถึงอะไรมากไม่ได้แล้วต้องระบายความแค้นเมื่อคืนออกมาให้หมดจึงจะถูก!“ต้องแบกจนกว่าข้าจะพอใจนะ” เหลียงจื่อฝูเชิดหน้าเล็ก ๆ อย่างหยิ่งผยอง รอให้ฉินอวิ๋นฟานหันหลังให้แต่คิดไม่ถึงว่าฉินอวิ๋นฟานจะฉีกยิ้มพูดออกมาว่า“มันก็แน่อยู่แล้ว...ประเดี๋ยวข้าจะรับผิดชอบแบกเสด็จน้าสิบสามไปถึงวังหลวงเลย ถึงเวลาขุนนางต้าเหลียงจะได้เห็นว่าข้ากับเสด็จน้าสิบสามใกล้ชิดกันเพียงไร”เมื่อได้ยินอย่างนี้ เหลียงจื่อฝูหน้าแดงซ่านในทันทีนางไม่ได้คิดมากอย่างนั้นนี่ถ้าให้คนในวันเห็นว่าพวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้มิต้องยุ่งหรือ!ชั่วขณะ ความคิดก็ถูกปัดตกไปอย่างไร้หัวใจเหลียงจื่อฝูได้แต่หยิบไหล่ของ
“อ้อ อย่างนั้นหรือ? ฉินอวิ๋นฟานถึงต้าเหลียงแล้ว?”ในเรือนพักอันเงียบสงบ ฉินอ้าวกำลังยืนอยู่ใต้ต้นหลิวจัดการกับกระถางต้นไม้อยู่ ใบหน้าของเขาอึมครึม ซ่อนอันตรายและความชั่วร้ายที่มิอาจให้ผู้ใดล่วงรู้เบื้องหลังของเขา เหอเหวินเย่าตึงเครียดเล็กน้อย สำรวมกิริยาเมื่อได้ยินถ้อยคำของฉินอ้าว เหอเหวินเย่าจึงพยักหน้าตอบ “สายมารายงาน ข้อมูลเป็นความจริงขอรับ”เมื่อได้ยินว่าฉินอวิ๋นฟานถึงต้าเหลียงอย่างราบรื่น เหอเหวินเย่าก็รีบมาแจ้งฉินอ้าวทันทีโดยมิได้หยุดพักแน่นอน เขารู้ดีว่าเฮ่อชินอ๋องผู้เก่งกาจได้ข่าวจากช่องทางอื่นก่อนแล้ว...แต่เขาก็ยังทำเช่นนี้ ด้านหนึ่งเพราะจะได้เข้าหาฉินอ้าว ประเมินความมั่นใจและท่าทีของอีกฝ่ายสักหน่อยอีกด้านหนึ่งก็เพื่อมาหยิ่งเชิงว่าเวลานี้ฉินอ้าวยังมีแผนอะไรที่เขาไม่รู้อีก“เจ้าว่าฉินอวิ๋นฟานนี้ดวงแข็งแค่ไหน?”ฉินอ้าวหมุนตัวกลับมา บีบดอกไม้สีม่วงช่อหนึ่งในมือแล้วพูด “รอดตายได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ขนาดข้าเองยังต้องนับถือดวงของเขาเลย”เห็นฉินอ้าวยังมีสีหน้าคงเดิม ท่าทางใจเย็นเช่นวันวานทำให้เหอเหวินเย่าหนังศีรษะหนึบชาแต่มิได้โกรธ ในทางกลับกัน นี่ได้พิสูจน์ข้อสันนิษฐ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ