การสอบจอหงวนดำเนินไปสองวันเต็ม ๆ อย่างยิ่งใหญ่ กระทั่งวันที่ห้าก็ถึงเวลาประกาศอันดับรายชื่อในห้องโถงใหญ่ของสำนักศึกษาหลวง เหล่านักศึกษาเสียงดังเอ็ดอึงในรายชื่อมีเพียงยี่สิบคน และนี่ก็คือช่วงเวลาสำคัญในการแบ่ง ‘ผลประโยชน์’ตระกูลใหญ่ทั้งหลายต่างหาช่องทางอย่างสุดความสามารถเพื่อคว้ารายชื่อให้ได้มากที่สุดทันทีที่หวังอันสือเดินเข้าห้องโถง ทุกคนเพียงกวาดสายตาแบบไม่ใส่ใจทีหนึ่งหวังอันสือมองรายชื่อที่พวกเขาเรียงเอาไว้แต่แรก อันดับหนึ่งก็คือเหลียงจ่านคุณชายที่แม้แต่ชื่อของตัวเองก็ยังเขียนไม่เป็นที่เหลือคือทายาทตระกูลดังของเมืองต่าง ๆ ส่วนนักศึกษาที่อุตสาหะร่ำเรียนทรงภูมิตกอันดับอย่างไม่ต้องสงสัยแม้หวังอันสือจะสันนิษฐานผลลัพธ์ได้ แต่เวลานี้ก็ยังเคียดแค้นอยู่ดี“ทุกท่าน ทุกท่านตั้งใจตรวจกระดาษคำตอบจริงหรือ?”ทว่าคำถามของเขามีแต่จะได้รับการเยาะเย้ยและการดูแคลนไม่รู้จบ“หัวหน้า พวกเราเรียงลำดับจากผลการตรวจข้อสอบจริง ๆ ย่อมเรียงลำดับตามขั้นตอนอย่างเข้มงวด ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก!”ความหมายของทุกคน หากจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ จะมีเจ้าหวังอันสือหรือไม่ สำนักศึกษาหลวงก็ยังดำเนินต่อ
“ผายลม! หวังอันสือ เจ้าอย่าคิดจะเพ้อเจ้อนะ ระวังข้าผู้แซ่เหลียงจะร้องเรียนว่าเจ้าหมิ่นประมาท!”เหลียงจ่านพอมีปัญญาอยู่บ้าง เขาจะยอมรับว่าตัวเองเขียนไม่ได้กระทั่งชื่อตัวเองต่อหน้าสาธารณชนได้อย่างไร“หึ หมิ่นประมาทหรือไม่ เจ้าแค่เขียนคำตอบในกระดาษคำตอบอีกครั้งก็รู้แล้ว!”หวังอันสือพูดต่อ “ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ ขอเพียงเจ้าตอบถูกครึ่งหนึ่ง วันนี้อันดับหนึ่งก็จะเป็นของเจ้า!”“นี่...”เหลียงจ่านอึ้งจังงัง ให้เขาสอบอีกรอบ ยังจะสอบอะไรอีก!เขาอ่านข้อสอบไม่เข้าใจด้วยซ้ำ คะแนนก็ขอให้คนเขียนให้“พี่เหลียง ถึงยังไงรายชื่อก็ออกมาแล้ว พวกเราไปกันเถอะ ไม่ต้องไปสนใจเขา!”อู๋เหวยมองออกว่าหวังอันสือไม่ได้มาดี ดังนั้นจึงลากเหลียงจ่านจะไป“ชิ้ง!”เสียงกระบี่เฉือนเมฆา ทุกคนชะงักอยู่กับที่หวังอันสือชักกระบี่ออกมาชี้เหลียงจ่านด้วยความโกรธ “วันนี้ พวกเจ้าจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น จับตัวเอาไว้!”ฉับ ๆ ๆ...ทหารค่ายทานหลางทั้งหมดเข้าพื้นที่มาอย่างรวดเร็ว ล้อมทุกคนเอาไว้โดยตรง!สถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนแตกตื่นลนลานทันที เหลียงจ่านและพวกสีหน้าอึมครึมตามไปด้วย“หัวหน้าหวัง
หวังอันสือก็รู้จักผู้ที่มาเหมือนกัน ก็คือเหอเจินสุนัขรับใช้ขององค์ชายรองนั่นเอง เขาไม่ได้เป็นแค่คนของตระกูลเหอ แต่เป็นรองเจ้ากรมราชทัณฑ์ด้วยในฐานะที่เหอเจินเป็นขุนนางใหญ่ระดับสอง ทั้งยังเป็นผู้มีอำนาจระดับสูงของกรมราชทัณฑ์ จึงมีองครักษ์ชุดเกราะติดตามจำนวนไม่น้อยองครักษ์ชุดเกราะของกรมราชทัณฑ์ล้อมทุกคนไว้อย่างรวดเร็ว ครั้นเหอเจินเห็นร่างของเหลียงจ่านก็ขมึงทึง“หวังอันสือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”หวังอันสือตวัดเลือดสดบนกระบี่แล้วตอบเหอเจินซึ่งหน้าอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ “พวกท่านกรมราชทัณฑ์เกี่ยวข้องอันใดกับการสอบ?”“หึ! ข้าได้ยินว่าเจ้าฆ่าคนกลางถนน หรือว่าข้าที่เป็นเจ้าหน้าที่เจ้ากรมราชทัณฑ์ระดับสองยังควบคุมเจ้าไม่ได้?!”หวังอันสือโบกมือแล้วพูด “ขออภัยที่ข้าพูดตามตรง เรื่องของหวังอันสือ ท่านไม่มีคุณสมบัติควบคุมจริง ๆ นั่นแหละ!”เมื่อกล่าวจบ บรรดาทหารของค่ายทานหลางก็ประชันหน้ากับองครักษ์ชุดเกราะของกรมราชทัณฑ์ทันทีเกิดเป็นภาพสองฝ่ายชักกระบี่น้าวเกาทัณฑ์อาจเปิดศึกขึ้นมาได้ทุกเมื่อเหอเจินเห็นบรรดาทหารที่ฝึกมาอย่างช่ำชองแล้วก็ชักจะหวั่นใจ เกรงว่าเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ค
ถังเจิ้นไห่พูดไม่ออก เจ้าตัวโง่งมสองตัวตรงหน้าดูสถานการณ์ไม่ออกหรือ?ยังจะยกตระกูลเหลียงมาข่มอีก?โง่ชนิดหมดทางเยียวยาถังเจิ้นไห่รับผิดชอบแค่ช่วยคนและขวางหวังอันสือเอาไว้ เขาจึงผลักอู๋เหวยกับจ้าวเชียนไปอีกทางหนึ่ง“หวังอันสือ รายชื่อก็ประกาศแล้ว จะเปลี่ยนแปลงตามอำเภอใจเจ้าได้หรือ? ข้าขอเตือนว่าเจ้าอย่ารั้นเอาแต่ใจจะดีกว่า หยุดเพียงเท่านี้เถอะ!”หวังอันสือยกกระบี่ขึ้น แสงหนาววาบมาอีกครั้ง“อ๊า ๆ ๆ...”เห็นเพียงอู๋เหวยแผดเสียงร้องโหยหวน ตามด้วยล้มลงกับพื้นและหมดลมถังเจิ้นไห่หน้าเขียวปัด หวังอันสือสังหารคนต่อหน้าเขา แล้วยังกล้าสังหารคนจากตระกูลใหญ่อีก“หวังอันสือ เจ้ามันกล้านักนะ!”“ทหาร จับตัวเจ้าเหิมเกริมคนนี้เอาไว้!”เหล่าทหารก้าวออกไป และยื่นมือไปทางหวังอันสือทว่าทหารจากค่ายทานหลางบ้าบิ่นมากกว่า ทิ้งการป้องกันแล้วมุ่งไปทางศัตรูทั้งหมดทั้งสองฝ่ายโรมรันพันตู แสงดาบเงากระบี่ ฝุ่นธุลีคละคลุ้งคนที่อยู่โดยรอบต่างถอยห่าง กลัวจะโดนลูกหลงไปด้วยองครักษ์ชุดเกราะที่ถังเจิ้นไห่พามาเดิมก็มีจำนวนมาก เหอเจินจึงฉวยโอกาสนี้ข่มหวังอันสือ ส่งคนของตัวเองเข้าไปเสริมอีกแรงท่ามกลางความ
หวังอันสือเชิญนักศึกษาห้าร้อยคนเข้าสำนักศึกษาหลวง ต่อจากนี้เขาต้องการสะสางเรื่องการสอบให้เรียบร้อยขณะเดียวกัน หวังอันสือเรียกบรรดาผู้ดูแลงานทั้งหมดในสำนักศึกษาหลวงมาด้วย“รัชทายาท ต้องรบกวนท่านดำเนินการประชุมแล้ว”ฉินอวิ๋นฟานขึ้นปะรำและยกมือเป็นการบอกให้ทุกคนเงียบ“ทุกท่าน ระบบการสอบคือช่องทางสำคัญในการคัดเลือกผู้มีความสามารถของต้าเฉียน”“แต่จนใจที่มีคนนั่งตำแหน่งแต่ไม่ทำงาน ใช้อำนาจในตำแหน่งช่วยเหลือพวกคุณชายที่ขาดการศึกษาไม่เอาถ่านเข้าราชสำนัก”“ข้าฉินอวิ๋นฟานในฐานะที่เป็นรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินของต้าเฉียนจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดทำลายระเบียบราชสำนัก ทำลายความยุติธรรมในการสอบเด็ดขาด!”“ดี!!!”นักศึกษาที่อยู่ด้านล่างต่างปรบมือเกรียวกราวเรียกว่าดีฉินอวิ๋นฟานมิได้มีเพียงชื่อเสียงจอมปลอม พวกเขาได้รัชทายาทพาคนมาขับไล่ถังเจิ้นไห่และคนของกรมราชทัณฑ์กับตาตัวเองหากมิใช่เช่นนี้ น่ากลัวว่ารายชื่อคงถูกคุณชายผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่พวกนั้นครองไปหมดแล้ว และพวกเขาก็ได้แต่มองทุกอย่างตาปริบ ๆ“ทุกคน ในหมู่พวกเจ้ามีคนที่รับเบี้ยหวัดจากราชสำนัก กลับรับสินบนจากตระกูลใหญ่ทำลายการสอบนี้”“ดังนั
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ”อีกทางหนึ่งฉินอวิ๋นฟานกำลังอยู่เป็นเพื่อนมู่หรงจิ่นในตำหนัก ทั้งสองแลกเปลี่ยนเชิงลึกกันหนึ่งชั่วยามกว่า ตอนนี้มู่หรงจิ่นเหนื่อยจนกระหืดกระหอบโชคดีที่มีเสี่ยวจวี๋แบ่งเบาแรงกดดัน มิเช่นนั้นนางคนเดียวยากจะรับมือกับฉินอวิ๋นฟานจริง ๆ“รัชทายาทโปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยไม่ไหวแล้ว...”เสี่ยวจวี๋สองมือจับถังไม้ ใบหน้าแดงก่ำเหมือนผิงกว่อ [1] หายใจถี่เจือความรื่นรมย์ที่มิอาจปกปิด“หึ ไม่เอาไหนจริง ๆ ข้ายังไม่ทันเริ่มพวกเจ้าก็อ่อนเปลี้ยกันหมดแล้ว!”กระทั่งสองสาวยกธงขาว ฉินอวิ๋นฟานจึงปล่อยพวกนางและนั่งลงอย่างเกียจคร้าน มู่หรงจิ่นอดมองบนไม่ได้ ก่อนจะพูดเสียงหวาน “ใครให้ท่านป่าเถื่อนเช่นนี้เล่า แถมยังจะแข็งแรงอย่างกับวัว ทำจนกระดูกของข้าจะหลุดเป็นชิ้น ๆ อยู่แล้ว”......เมื่อนั้นก็มีเสียงดังมาจากนอกประตู“เรียนรัชทายาท ตามข่าวที่สายรายงานมา หน่วยลาดตระเวนทางใต้ของเมืองวิวาทกับคนของเสิ่นวั่นซานแล้วขอรับ”ในห้อง ฉินอวิ๋นฟานเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อยหน่วยลาดตระเวนรับผิดชอบลาดตระเวนตามที่ต่าง ๆ ในเมืองหลวงเพื่อขจัดอันตรายซ่อนเร้นขณะเดียวกันพวกเขาก็มีอำนาจพิเศษในการตร
เสิ่นวั่นซานใบหน้างงงัน “รัชทายาท เรื่องเช่นนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ “ชัดเจนมาก คนของเจ้าใจกล้านัก ผู้ค้าสิ่งของในสุสานคือไม่เคารพต่อผู้ตาย”“ในเมื่อรัชทายาทเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะนำตัวคนกลับไปก่อน”สวีเชียนเติงโบกมือบอกให้ผู้ใต้บังคับบัญชากุมตัวเสิ่นวั่นซานพร้อมขนย้ายของในสุสานทั้งหมดไปเรื่องที่คนของเสิ่นวั่นซานจำหน่ายสินค้าต้องห้าม ฉินอวิ๋นฟานไม่เข้าใจเอาเสียเลยแต่ฉินอวิ๋นฟานสงสัยอยู่ข้อหนึ่ง มักรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นมู่หรงจิ่นในฐานะที่เป็นคนดู นางนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง “พี่อวิ๋นฟาน หรือจะมีคนเล่นงานฉีเป่าจาย วันนี้จึงจงใจมาตรวจค้น นี่จะบังเอิญไปแล้วกระมัง?“กลับไปก่อนแล้วข้าจะลองคิดอีกที”ฉินอวิ๋นฟานจูงมู่หรงจิ่นออกจากฉีเป่าจาย ทว่าเขาไม่ได้กลับตำหนัก แต่ลงรถม้าระหว่างทางแล้วให้คนส่งมู่หรงจิ่นกลับไปก่อนใช่ว่าความระแวงของฉินอวิ๋นฟานเกิดขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ แต่เพราะเขาล่วงเกินคนไม่น้อยถ้อยคำที่กล่าวออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจของมู่หรงจิ่นเตือนสติเขาหากเสิ่นวั่นซานถูกคนเล่นงาน สุดท้ายยังต้องเป็นเขาฉินอวิ๋นฟานที่ต้องอ
หลี่ถงไม่พูดพร่ำทำเพลง นำตัวคนที่ละเมิดกฎทั้งหมดไป“หลัวเหิง ดูแลงานในค่ายทหารให้ดี อย่าให้เกิดเหตุเช่นนี้อีก มิเช่นนั้นข้าคงได้แต่หาคนนั่งตำแหน่งเจ้าแทนแล้ว!”หลัวเหิงรีบผงกศีรษะงก ๆ ขานรับ “ขอรับ ๆ ๆ ข้าน้อยจะเรียกพล รับรองว่าจะไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเช่นเดียวกันนี้อีกขอรับ!”ฉินอวิ๋นฟานปวดหัวหนัก ทางเสิ่นวั่นซานก็ยังไม่เรียบร้อย ทางนี้ยังจะเกิดเรื่องอีกนี่ทำให้เขาวิ่งไปวิ่งมาไม่ได้หยุดพัก......ม่านรัตติกาลมาถึง ดวงดาราทอแสงระยิบระยับเมื่อฉินอวิ๋นฟานนำร่างอันอ่อนล้ากลับถึงตำหนักก็ล้มตัวลงนอนไม่อยากขยับอีกเพียงระยะเวลาหนึ่งวันก็เกิดเรื่องใหญ่หลายเรื่องแล้วเริ่มจากการสอบจอหงวน ตามด้วยเสิ่นวั่นซานถูกจับและค่ายทานหลางเกิดเรื่องปัญหาเป็นพรวนทำให้ฉินอวิ๋นฟานหงุดหงิดเล็กน้อยมู่หรงจิ่น เสี่ยวจวี๋และหลู่เซียงหลิงสามคนเดินมานวดให้ฉินอวิ๋นฟานผ่อนคลายอย่างเอาใจ“พี่อวิ๋นฟาน ไม่อย่างนั้นก็อาบน้ำเสียก่อนแล้วคืนนี้พักเร็วหน่อยเถอะ”มู่หรงจิ่นสงสารฉินอวิ๋นฟานที่ยุ่งไม่หยุดมาก ทั้งคนดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมด“พี่อวิ๋นฟาน พี่จิ่นเอ๋อร์พูดถูกแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ให้ข้าน้อยไปเตรียมน้ำก่
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ