ในจวนเจ้าเมืองอู่โจว ฉินอวิ๋นฟานนั่งสง่าอยู่บนตำแหน่งหลัก หลิวเป้ย หานซิ่นและผู้ติดตามจงรักภักดีที่เหลือเรียงแถวอยู่ทางซ้ายและขวา หน้าตาจริงจัง!“เรียนรัชทายาท สมาชิกราชวงศ์แคว้นต่าง ๆ ที่เราปฏิเสธความร่วมมือไปเมื่อก่อนหน้านี้ขอเข้าพบขอรับ!”หลิวเป้ยก้าวออกมาจากแถว กล่าวรายงานด้วยความเคารพ“อื่ม พวกเขามาเร็วกว่าที่ข้าคิดมากเลยนะ”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มมุมปาก พูดอย่างมั่นใจ “เจ้าบอกกับพวกเขา พรุ่งนี้ข้าจะพบพวกเขาที่เครือเหิงไท่ มีธุระอะไรค่อยว่ากันพรุ่งนี้เถอะ”“ขอรับ!”“จริงสิ ลิ่งหูเสี่ยวล่ะ? ข้าไม่เจอเขามานานมากแล้ว เขาล่ะ?”ฉินอวิ๋นฟานมองดูรอบ ๆ กลับไม่เห็นเงาร่างของลิ่งหูเสี่ยว ตอนนี้เข้ากลางฤดูใบไม้ร่วงไปทุกที ตามหลักตอนนี้น่าจะถึงช่วงเก็บเกี่ยวแล้ว“มาแล้ว ๆ ๆ!!!”ครั้นฉินอวิ๋นฟานพูดจบ ลิ่งหูเสี่ยวก็วิ่งพรวดเข้าห้องโถงใหญ่ด้วยความเร่งรีบเห็นลิ่งหูเสี่ยวเนื้อตัวมอมแมมฝุ่นเขลอะ ฉินอวิ๋นฟานจะหัวเราะก็ไม่ใช่จะร้องไห้ก็ไม่ได้ เจ้าหมอนี่บ้างานจริง ๆ อย่างไรก็เป็นขุนนางราชสำนักระดับสี่ กลับมีสภาพดูไม่จืดเช่นนี้“ลิ่งหูเสี่ยว เจ้า เจ้าคงไม่ได้กลับมาจากที่นาหรอกนะ?”ฉินอวิ๋นฟานรีบถา
“ลิ่งหูเสี่ยว ท่านแน่ใจหรือว่าไม่ได้บันทึกตัวเลขผิดน่ะ? ที่ดินหนึ่งหมู่ผลิตได้หนึ่งพันสองร้อยกว่าชั่ง? ไม่ใช่หนึ่งร้อยยี่สิบชั่ง? จะอุปโลกน์เกินจริงไม่ได้เด็ดขาดนะ!”หลิวเป้ยสะกดความระทึกใจ กล่าวยืนยันอีกครั้ง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงส่วนรวม ทันทีที่เกิดช่องโหว่รูใหญ่ จะส่งผลต่อแผนงานก้าวต่อไปของพวกเขามาก“เจ้าเมืองหลิว ท่านก็รู้จักข้าดี ถ้าผลิตได้หมู่ละหนึ่งร้อยยี่สิบชั่ง ท่านคิดว่าข้าจะดีใจขนาดนี้หรือ?”ลิ่งหูเสี่ยวเอ่ยจริงจัง “หมู่ละหนึ่งพันสองร้อยกว่าชั่งเป็นแค่ค่าเฉลี่ยนะ ท่านเชื่อหรือไม่ พื้นที่อุดมสมบูรณ์ยังจะผลิตได้ถึงหนึ่งพันห้าร้อยชั่งแน่ะ!”ซี้ด...เมื่อได้รับคำตอบยืนยันจากลิ่งหูเสี่ยว ทุกคนต่างสูดลมเย็นเข้าปอด ปริมาณการผลิตน่ากลัวเช่นนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงยิ่งนัก มีเพียงฉินอวิ๋นฟานที่สีหน้าเรียบนิ่ง ไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดนับจากฉินอวิ๋นฟานรับช่วงเมืองจัวอันเละเทะนี้มา เขาก็เตรียมฟื้นฟูเมืองจัวแล้ว ตามการพัฒนาการเกษตรในท้องที่เมืองจัวและจุดได้เปรียบ ฉินอวิ๋นฟานแอบทำเมล็ดข้าวข้ามสายพันธุ์ลับ ๆ จำนวนหนึ่งในสมัยโบราณ ที่นาจะอยู่ในกำมือของคหบดีที่ดิน พวกเขาให้ชาวบ้านทั
“รัชทายาทโปรดวางใจ นี่ไม่เพียงแต่เป็นทิศทางนโยบายที่ท่านกำหนด แต่เป็นเป้าหมายความอุตสาหะของพวกเราในชาตินี้ด้วยขอรับ!”ลิ่งหูเสี่ยวรู้สึกพอใจยิ่งกับผลงานดีเด่นตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี้ รู้สึกประสบความสำเร็จอย่างหนึ่ง นี่ก็คือปณิธานตั้งแต่วัยเยาว์ตลอดจนเติบใหญ่ของเขา“ดี ดีมาก!”ฉินอวิ๋นฟานพอใจกับการทำงานของทุกคนในหลายเดือนนี้มาก หลิวเป้ย หานซิ่น ลิ่งหูเสี่ยว เสิ่นวั่นซานและคนอื่น ๆ บรรลุแผนงานที่เขาวางเอาไว้ทั้งหมดบัดนี้ นอกจากประชาชนจะได้อยู่ดีกินดี อาณาจักรธุรกิจของเขาก็ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างตามลำดับถัดจากนี้ก็คือขยายในระดับโลก อย่างไรการต่อสู้กับพี่ใหญ่และพี่รองก็คือเรื่องขี้ประติ๋ว เขาต้องการจัดวางทั้งโลก ใช้วิธีการอันทันสมัยของเขาสร้างความแตกต่างอันโดดเด่น ปฏิวัติโลกใบนี้!หลิวเป้ยแจงรายละเอียดต่าง ๆ กับทุกคนจนถึงช่วงกลางวันจึงจะยุติ ฉินอวิ๋นฟานที่อาการบาดเจ็บยังไม่หายดีอ่อนล้าทั้งกายและใจตอนนี้เอง จู่ ๆ เขาก็มองไปทางเซียวหยางและพูดขึ้นว่า “เซียวหยาง เจ้าประกาศออกไปทันที แขวนหัวของจางหมาจื่อกับหลัวเทียนเป้าไว้ตรงประตูเมืองทิศใต้ ให้ใต้หล้าได้เห็น!”“รับทราบ!”เซียวหยางกำ
เมื่อเยียนอวี่เฉินได้ยินก็สับสนงงงวย นางพอรู้เรื่องอาวุธลับอยู่บ้าง แต่จากสถานการณ์ที่ผู้ใต้บังคับบัญชารายงาน กลับทำให้นางรู้สึกสมองสับสนไปหมด นางถามต่อ “อาวุธลับที่เจ้าว่ามันคืออาวุธลับอะไรกันแน่? เหตุใดถึงมีพลังทำลายล้างน่ากลัวเช่นนั้น?”“องค์หญิงสาม ดู ดูเหมือนว่าอาวุธลับนั่นจะมีชื่อเรียกว่าเอเคสี่สิบแปดขอรับ โจมตีได้ไกลและเร็วยิ่งกว่า ยิงทะลุชุดเกราะของทหารในพริบตา พลังการทำลายล้างน่าทึ่งมากเลยขอรับ!” อีกฝ่ายพูดทั้งหน้าตาขื่นขม “ทหารเกือบห้าหมื่นของเราเข้าใกล้ตัวพวกเขาไม่ได้ก็ถูกฆ่าไปกว่าครึ่งแล้ว พอทหารเสียขวัญก็ถูกกวาดล้างอยู่ฝ่ายเดียว แม้สุดท้ายจะมีทหารบางคนสู้ตายแต่ก็ฆ่าคนของฉินอวิ๋นฟานได้แค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้นขอรับ”“เอ่อ...”เยียนอวี่เฉินในตอนนี้มุมปากกระตุกรัว ๆ หรือว่าใต้หล้านี้ยังมีอาวุธลับที่น่ากลัวและมีพลังทำลายล้างน่าทึ่งเช่นนี้อยู่จริง? ทั้งสามารถเอาชนะขาดลอยได้ในสถานการณ์ที่สามพันคนสู้กับสี่หมื่นกว่าคน ตีพวกเขาจนแตกพ่าย? นี่จะน่ากลัวเกินไปแล้วกระมัง?“หลัวเทียนเป้านี่ยังไงกันแน่? ข้ากำชับแล้วไม่ใช่หรือ? ห้ามเขาเข้าร่วมการต่อสู้เด็ดขาด ทำไมยังไปโผล่ที่นั่นได้อีก?
ห้องทรงพระอักษร วังหลวงต้าเยียน!“ฝ่าบาท แม่ทัพผู้เฒ่าหลัวมาขอเข้าเฝ้าเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ...”เยียนจ้านเทียนกำลังตรวจอ่านฎีกา จู่ ๆ ขันทีเฒ่าก็ค้อมตัวรายงานเยียนจ้านเทียนบ่อน้ำโบราณไร้คลื่น สีหน้าเรียบนิ่ง เขาวางพู่กันในมือลงอย่างเบามือก่อนจะเคาะโต๊ะตรงหน้าและพูดว่า “อื่ม ให้เขาเข้ามาเถอะ!”ตุบ...“ฝ่าบาท ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ต้องคืนความเป็นธรรมให้กระหม่อมนะ ต้องคืนความเป็นธรรมให้กระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ!”แม่ทัพใหญ่พิทักษ์แดนหลัวอิงสงแห่งราชวงศ์ต้าเยียนเดินเร็วเข้ามาในห้องทรงพระอักษรก็คุกเข่าลงตรงหน้าโต๊ะทรงงาน เขาน้ำตานองหน้า ทุกข์ระทมไม่ปรารถนาอยู่ต่อเมื่อเห็นเช่นนี้ เยียนจ้านเทียนขมวดคิ้วน้อย ๆ แต่ไม่นานก็กลับสู่ปกติ เขาเอ่ยปากเนิบนาบ “แม่ทัพหลัว ท่านลุกขึ้นมาก่อน มีอะไรพูดกันดี ๆ”หลัวอิงสงสองตาแดงก่ำ ทั่วสรรพางค์กายแผ่กลิ่นอายสังหาร ทันทีที่เขารู้เรื่องที่บุตรชายถูกสังหาร ทั้งยังถูกฉินอวิ๋นฟานแขวนศีรษะไว้บนกำแพงเมือง นี่คือการหยามเกียรติกันชัด ๆ คือการฉีกหน้า ก็เดือดดาลถึงขีดสุด แทบอยากสับฉินอวิ๋นฟานเป็นหมื่น ๆ ชิ้นต้าเยียนคือแคว้นใหญ่อันดับหนึ่งของโลก เคยรับความอัปยศเช่นนี้ตั้งแ
“ราชวงศ์ต้าเซี่ยกับแคว้นเหมียวคงไม่เขลาขนาดนั้นกระมัง? ล่วงเกินศัตรูใหญ่เพื่อช่วยต้าเฉียน อย่างไรก็ได้ไม่คุ้มเสียกระมังพ่ะย่ะค่ะ?”เยียนจ้านเทียนเอ่ยปากเรียบ “เช่นนั้นท่านรู้การเลือกครั้งนี้ของราชวงศ์ต้าเซี่ยกับราชวงศ์ต้าฉู่ตอนที่สมาคมการค้าเรากีดกันต้าเฉียนหรือไม่?”“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ!”หลัวอิงสงยิ่งรู้สึกแปลก แต่อยู่ต่อหน้าเยียนจ้านเทียน เขาไม่กล้าไม่เคารพ!“พวกเขาอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับต้าเยียนกันหมด!”เยียนจ้านเทียนเอ่ยเรียบ “ฉะนั้น จากท่าทีของผู้รับผิดชอบสมาคมการค้าเหล่านี้ พวกเขาไม่อยากถูกพวกเราต้าเยียนควบคุม และไม่ได้เกรงกลัวอำนาจของต้าเยียนเราด้วย ทันทีที่เกิดสงคราม สำหรับพวกเขาที่เป็นแคว้นบ้านใกล้เรือนเคียง จะต้องเป็นสถานการณ์ที่ริมฝีปากหายฟันหนาว[1]แน่!”“การชิงบัลลังก์ของต้าเฉียนมาถึงจุดเดือดสุดแล้ว ราชวงศ์ใหญ่ทั้งหลายต่างเข้าร่วม ถึงตอนนั้นท่านคิดว่าใครต่างหากที่จะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด?”ครั้นได้ฟังการวิเคราะห์จากเยียนจ้านเทียน หลัวอิงสงหนังตากระตุกรัว ๆ ยามนี้เขาไม่ได้หัวร้อนโอหังเหมือนเมื่อครู่แล้ว แต่เปลี่ยนเป็นใบหน้าเศร้าสลดท่าทีของเยียนจ้านเทียนได้อธิบาย
“แม่ทัพผู้เฒ่าหลัว เรื่องนี้ยุติแต่เพียงเท่านี้เถอะ สิ่งที่จะสูญเสียกับเรื่องนี้มากกว่าที่ท่านคิดเอาไว้เยอะ”เยียนจ้านเทียนส่ายหน้าพลางพูด“เอ่อ พ่ะย่ะค่ะ!”หลัวอิงสงใบหน้าสลดหดหู่ เยียนจ้านเทียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว แม้ในใจของเขาจะมีความแค้นและไม่ยินยอมขนาดไหน ก็จำต้องยอมรับเรื่องอันโหดเหี้ยมนี้ แต่ในตอนที่หลัวอิงสงกำลังจะออกไป จู่ ๆ เยียนจ้านเทียนก็เอ่ยปากขึ้นว่า “สามเดือนให้หลังฉินอวิ๋นฟานก็จะมาสู่ขอที่ต้าเยียนแล้ว ในฐานะที่เป็นแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แดนของต้าเยียน เรื่องนี้ท่านต้องดูแลให้มากหน่อยจึงจะดี”“พ่ะย่ะค่ะ!”หลัวอิงสงกำหมัดทั้งสองข้างและถอยออกจากห้องทรงพระอักษร แต่เขาเพิ่งเดินได้สองก้าวก็หยุดกึกอีก รูม่านตาหดเล็ก “ฝ่าบาท! พระดำรัสคำสุดท้ายของพระองค์เมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร?!”“ทุกคนก็รู้เรื่องที่ฉินอวิ๋นฟานจะมาสู่ขอที่ต้าเยียนมิใช่หรือ? เหตุใดฝ่าบาทจึงต้องย้ำเตือนด้วยองค์เองล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”“หรือว่าฝ่าบาทประสงค์จะ...”เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลัวอิงสงพลันดีใจอย่างคาดไม่ถึง ติดตามฝ่าบาทมานานอย่างนั้น เขาย่อมสันนิษฐานความคิดของฝ่าบาทได้บ้าง ชัดเจน ฝ่าบาทไม่พอพระทัยกับการกระทำขอ
“น้าสาม ท่านหมายถึงตระกูลเริ่น?”ฉินอวิ๋นฮุยถามพลางขมวดคิ้ว“ไม่ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะจับมือกับตระกูลเริ่นไม่ได้”เหอเหวินเย่าส่ายหน้าพูด “หลายวันมานี้ข้าเคยแอบสืบเรื่องนี้มาแล้ว มีเงาขององค์ชายใหญ่อยู่ หรือก็หมายถึงพวกเขาเริ่นเคลื่อนไหวใต้น้ำแล้ว กระทั่งอาจคิดฆ่าเจ้าด้วย!”“ถ้าร่วมมือกับตระกูลเริ่นในเวลานี้ นั่นเท่ากับการเอาตัวเราไปย่างบนเตาอย่างไม่ต้องสงสัย”“สถานการณ์ของตระกูลเริ่นในตอนนี้แย่กว่าเรามาก ถ้าเป็นไปตามคาด เป็นไปได้มากว่าองค์ชายใหญ่จะเป็นคนแรกที่ต้องออกจากการชิงบัลลังก์”“ฉะนั้น พวกเราควรหาโอกาสเหมาะ ๆ เหยียบตระกูลเริ่นและองค์ชายใหญ่ให้จมดิน เหยียบจนกว่าองค์ชายใหญ่จะหมดโอกาสสนิท”“อ้อ? น้าสาม นี่ท่านหมายความว่ายังไง?”ฉินอวิ๋นฮุยถามแบบสับสนมาก “ไม่จับมือกับตระกูลเริ่น แล้วจะจับมือกับใคร? ทั้งเมืองหลวงนอกจากพี่ใหญ่ที่มีอิทธิพลสูสีกับเรา ขั้วอิทธิพลอื่นน่าจะไม่คู่ควรแก่การจับมือกับเรากระมัง?”“เสี่ยวฮุย คำนี้ของเจ้าผิดถนัดแล้ว!”เหอเหวินเย่ายิ้มพูดอย่างจนปัญญา “ในเมืองหลวงยังมีขั้วอิทธิพลใหญ่อีกหนึ่ง และยังถึงขั้นว่าไม่ด้อยไปกว่าเรา กลับถูกเราละเลย”“อะไรนะ? น้า
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ